บทที่ ๙
เริ่มต้นก็วัดดวงแล้ว
ความผิดที่เกิดขึ้นและความวุ่นวายที่โรงแรมกลายเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข แล้วก็เป็นอย่างที่ทั้งสองครอบครัวคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ว่าสาวิตรีคงเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปโพนทะนาต่อแน่นอน เพราะมีคุณหญิงคุณนายคนรู้จักที่สนิทสนมกันโทรศัพท์มาสอบถามด้วยความเป็นห่วงกึ่งอยากรู้ความจริงว่า ใช่เรื่องจริงอย่างที่สาวิตรีเอาไปพูดหรือว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน
มาลินีกับนงนภาจึงได้แต่ตอบคำถามตามที่เตี๊ยมกันไว้ว่า ผู้หญิงที่อติรุจพาเข้าโรงแรมคือรติยา ลูกสาวของมาลินีและเป็นแฟนของอติรุจเอง แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องเสื่อมเสียอะไรกัน แต่เพราะรติยาเมาหนักแล้วเดินตกบ่อน้ำพุที่โรงแรมจนเสื้อผ้าเปียก อติรุจซึ่งเป็นแฟนกันเลยต้องดูแล คนเป็นแฟนกันดูแลกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ทุกคนที่โทรศัพท์มาสอบถามจึงได้รับข้อมูลนี้ไป บางคนเชื่อ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ แค่มีมารยาทไม่พูดอะไรออกมา แต่บางคนก็เตรียมรอดูว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ มาลินีจะประกาศว่าลูกสาวจะแต่งงานหรือเปล่า ซึ่งถ้าใช่ก็แปลว่าลูกสาวของมาลินีท้องก่อนแต่งเพราะชิงสุกก่อนห่ามตามที่สาวิตรีพูดไว้
รติยารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ทำให้แม่ต้องวุ่นวายใจ แต่หล่อนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยเลยตามเลยและให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนตัวเองก็มาที่โรงเรียนเปรมธิมาเพื่อทำงานตามที่ได้พูดคุยกับอติรุจไว้
แต่ก่อนที่หล่อนจะได้เรียนรู้การทำงานใหม่ที่โรงเรียน หล่อนก็ได้เจอกับตุลยา ผู้อำนวยการโรงเรียนเปรมธิมา และเป็นผู้หญิงที่หล่อนเห็นที่ร้านอาหารและเข้าใจผิดว่าเป็นภรรยาของอติรุจ
ตุลยาค่อนข้างเป็นกันเองและมีอัธยาศัยดีมาก แถมยังบอกรติยาด้วยว่า
‘คุณรุ้งเรียกตาลว่าตาลอย่างเดียว ไม่ต้องเรียกว่าพี่ตาลก็ได้ค่ะ เพราะถึงตาลจะอายุมากกว่าคุณรุ้ง แต่ในอนาคตคุณรุ้งก็จะมาเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้าน เป็นพี่สะใภ้ของตาลด้วย มันจะดูแปลกๆ หน่อยถ้าเรียกตาลว่าพี่’
รติยาก็ยอมตามใจ เพราะถ้าไม่บอกอายุคงไม่รู้แน่นอนว่าตุลยาอายุสามสิบสี่แล้ว เพราะรูปร่างหน้าตาผิวพรรณยังดูเหมือนคนอายุยี่สิบกลางๆ อยู่เลย
พอทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ตุลยาก็พาหล่อนไปแนะนำให้ครูในโรงเรียนรู้จักที่ห้องประชุมเล็กของโรงเรียน แถมยังบอกบรรดาครูด้วยว่าหล่อนเป็นแฟนของอติรุจ เจ้าของโรงเรียนแห่งนี้
แรกทีเดียวที่ครูหลายคนได้ยินก็ชะงักไปนิดและออกอาการเกร็งนิดหน่อย แต่พอรติยาแนะนำตัวกับทุกคนด้วยท่าทางไม่ถือตัว ไม่วางท่าเย่อหยิ่งใดๆ บรรดาครูก็หายเกร็งไปได้ และกลายเป็นจุดสนใจเล็กๆ ที่ทำให้ทุกคนพูดถึงในวันนี้
ทว่าเมื่อมีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา ซึ่งหนึ่งคนที่รติยามั่นใจว่าเกลียดหล่อนแน่ก็คือรองผู้อำนวยการที่ชื่อปฏิพัทธ์ เพราะถึงเขาจะพูดคุยทักทายหล่อนเป็นปกติ แต่แววตากลับดูไม่ค่อยจริงใจสักเท่าไร
หล่อนเดาว่าเขาอาจจะยังโกรธเรื่องครั้งก่อน ที่ทางกองถ่ายละครมีปัญหาและเขาถูกอติรุจต่อว่าต่อหน้าคนอื่น ทำให้รู้สึกเสียหน้าและเกลียดขี้หน้าหล่อนไปด้วย เพราะเหมือนกับว่าหล่อนเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น
ส่วนอีกคนที่หล่อนไม่แน่ใจว่าไม่ชอบหล่อนหรือแค่เพราะเป็นคนเจ้าระเบียบกันแน่ ก็คือครูสมศรี ครูหัวหน้าฝ่ายวิชาการของโรงเรียน ที่แม้ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างตุลยาจะแจ้งแล้วว่าต้องการให้รติยาไปเป็นผู้ช่วยครูสอนดนตรีชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ที่ท้องแก่อยู่ แต่ครูสมศรีกลับปฏิเสธที่จะให้อภิสิทธิ์ในทันทีและบอกว่า
“คุณรติยาจะต้องทำแบบทดสอบด้านจิตวิทยาความเป็นครู รวมถึงทดสอบสภาพอารมณ์ จิตใจ จากการสอบสัมภาษณ์ก่อนค่ะ ครูถึงจะประเมินได้ว่าจะอนุมัติให้ไปช่วยงานครูกานดาได้หรือเปล่าค่ะ”
ด้วยเหตุนี้เอง รติยาจึงต้องมานั่งทำแบบทดสอบในห้องพักของหัวหน้าฝ่ายวิชาการ โดยมีอติรุจนั่งรออยู่ข้างนอกและมองผ่านกระจกกั้นห้องเข้าไปด้วยความเอ็นดูและสงสารหล่อน แต่เขาก็ไม่ได้ใช้อำนาจของเจ้าของโรงเรียนสั่งการอย่างที่ทำได้ เพราะถือว่าโรงเรียนมีกฎระเบียบในการคัดคนเข้าทำงาน ซึ่งในทางที่ถูกต้องก็ควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
สองชั่วโมงผ่านไป รติยาก็ทำแบบประเมินและสอบสัมภาษณ์เสร็จ หล่อนเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเนือยๆ เหมือนเด็กที่เพิ่งออกจากห้องสอบ แบบที่ชอบออกมาบอกเพื่อนว่าทำไม่ได้แบบจริงๆ ไม่ใช่ทำไม่ได้แต่ดันได้ทอปอะไรแบบนั้น
“ทำหน้าแบบนั้น แบบทดสอบยากมากเลยเหรอ”
อติรุจถามพลางส่งแก้วน้ำหวานใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจให้หล่อนดื่ม เพราะรู้ว่าหล่อนคงหิวน้ำและต้องการความหวานเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง
“อยากลองดูบ้างไหมคะ เดี๋ยวรุ้งบอกครูสมศรีให้ว่าคุณอยากลอง” หล่อนค้อนใส่ แต่ก็ยอมรับแก้วน้ำเย็นชื่นใจมาดื่ม
“ไม่ดีกว่า เพราะผมไม่ใช่คนที่มีความผิดติดตัว” ชายหนุ่มเย้าเรื่องที่หล่อนโกหกครอบครัวจนกลายเป็นเรื่องขึ้นมา
รติยาค้อนให้อีกรอบแล้วดื่มน้ำไปอีกอึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองห้องทำงานของหัวหน้าฝ่ายวิชาการด้วยท่าทางเหมือนเด็กตัวแสบที่มองต้นทางก่อนครูมา พอเห็นว่าครูสมศรียังนั่งตรวจแบบทดสอบของหล่อนอยู่ก็หันมาซุบซิบกับเขา
“ครูสมศรีดุจังเลยค่ะ”
“ครูสมศรีก็ดุแบบนี้มาตั้งแต่เปิดโรงเรียนแล้ว มาดเหมือนครูฝ่ายปกครองสมัยก่อน แต่เป็นครูแบบครูจริงๆ และรักเด็กมาก เรื่องวิชาการไม่เป็นรองใคร แล้วก็ไม่ได้เก่งเพราะโม้หรือขี้คุยด้วย” เขาบอกตามที่รู้มาจากน้องสาว
รติยาเห็นด้วย เพราะทุกคำพูดที่ครูสมศรีสัมภาษณ์หล่อน บอกให้รู้ว่าเป็นครูที่เข้าใจความเป็นครู ไม่ใช่ครูแค่ในนามหรือแค่ตำแหน่งนั่งกินเงินเดือนไปวันๆ
“เดี๋ยวเราไปนั่งรอที่ห้องทำงานของตาลดีกว่า ยืนอยู่ตรงทางเดินแบบนี้ เดี๋ยวจะโดนดุทั้งคู่”
“ที่แท้คุณก็กลัวครูสมศรีเหมือนกัน”
หล่อนหรี่ตามองเมื่อจับไต๋ได้ แต่เขากลับปฏิเสธ ก็ใครจะไปยอมรับได้กัน เสียหายหมด!
“เปล่า ผมไม่ได้กลัว แต่เกรงใจไม้เรียวต่างหาก”
อติรุจว่าแล้วเดินนำไปยังห้องทำงานของน้องสาวซึ่งอยู่ถัดไปอีกสามห้อง โดยมีหล่อนเดินตามต้อยๆ เหมือนเด็ก บรรดาครูฝ่ายธุรการที่มองผ่านห้องกระจกออกมาถึงกับอมยิ้มไปตามๆ กันที่เห็นเจ้าของโรงเรียนเดินมากับแฟนสาว ที่แม้ตัวแฟนสาวจะดูกระโดกกระเดกไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำตัวเย่อหยิ่งจองหองหรือเรื่องมากอย่างที่หลายคนกังวล
พอสองหนุ่มสาวเข้ามาในห้องทำงานของตุลยา ผู้อำนวยการสาวคนสวยก็ถามทันที
“เป็นยังไงบ้างคะคุณรุ้ง โอเคไหม”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ รอครูสมศรีประเมินอยู่”
รติยาบอกแล้วยิ้มแห้งๆ แต่มีหรือที่ตุลยาจะเดาไม่ออก ในโรงเรียนนี้ครูทุกคนกลัวครูสมศรีทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเป็นครูที่วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่เป็นเพราะมาดความเป็นครูที่จริงจัง ทำให้ทุกคนหวนนึกถึงครูที่ดุที่สุดในโรงเรียนสมัยก่อน แต่ก็เป็นครูที่เด็กๆ รัก และเป็นครูที่ได้พวงมาลัยวันไหว้ครูมากที่สุดด้วยเช่นกัน
“จริงๆ ครูสมศรีใจดีนะคะ แต่แค่ดูดุไปหน่อย” ตุลยาการันตีให้อีกคน
จากนั้นหลายนาทีต่อมาครูสมศรีก็มาเคาะประตูห้องผู้อำนวยการ และเข้ามาแจ้งผลการประเมินให้ทุกคนทราบ
“ผลการประเมินไม่ผ่านค่ะ จากข้อสอบการประเมินทั้งหมดสามสิบข้อ ว่าด้วยเรื่องจิตวิทยาและความเข้าใจการเป็นผู้สอนที่ดี ได้สิบเจ็ดจากสามสิบคะแนน ส่วนการสอบสัมภาษณ์ ครูไม่ให้ผ่านค่ะ เพราะคิดว่าในเหตุการณ์สมมุติบางเหตุการณ์ คุณรติยายังมีความเป็นเด็กอยู่สำหรับการตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้าและการจัดการเกี่ยวกับเด็กค่ะ รวมทั้งครูคิดว่าคุณรติยายังไม่เข้าใจความเป็นครูที่ชัดเจนนัก เกรงว่าอาจจะชวนเด็กเล่นมากกว่าจะเป็นผู้ช่วยสอนให้ครูกานดาได้ค่ะ”
ครูสมศรีสรุปชัดเจน แต่เล่นเอารติยาถึงกับครางในใจเลยทีเดียว
‘อูย จัดเต็ม ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดก็ครูสมศรีนี่แหละค่า’
รติยาคราง แต่ไม่โกรธที่ตัวเองถูกประเมินไม่ให้ผ่าน และไม่เถียงด้วยว่าผลมันออกมาอย่างนั้นจริงๆ ฝ่ายอติรุจกับตุลยาก็ไม่ได้ว่าอะไร โดยเฉพาะอติรุจนั้นแอบยิ้มอย่างขบขัน เพราะเขาก็คิดอยู่ว่าผลอาจจะออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้ ด้วยบุคลิกของรติยาที่บางมุมยังดูซน ยังใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาอย่างที่เคยทำมาแล้วที่เลานจ์ของโรงแรม แต่ไม่คิดว่าครูสมศรีจะมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
“ขอบคุณมากนะคะครูสมศรี”
“ผู้อำนวยการมีอะไรอยากให้ครูจัดการอีกไหมคะ”
“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะครู”
ตุลยากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ครูสมศรีก้มศีรษะให้เล็กน้อยและขอตัวกลับไปทำงาน ทั้งท่วงท่าการเดินและมาดการเป็นครูยิ่งชัดเจน คล้อยหลังครูสมศรีตุลยาก็หันมาถามพี่ชายตรงๆ
“เอาไงดีคะพี่รุจ ให้คุณรุ้งมาช่วยงานตาลแทนดีไหมคะ เป็นผู้ช่วยเลขาฯ ผู้อำนวยการอีกคนหนึ่ง จะได้แบ่งเบาหน้าที่ครูกรองไปด้วย หรือพี่รุจจะเอาไปช่วยงานที่บริษัทดีคะ”
คนเป็นน้องหมายถึงครูกรองซึ่งเป็นเลขาฯ ผู้อำนวยการโรงเรียน และนั่งประจำตำแหน่งอยู่หน้าห้องหล่อน ซึ่งครูกรองไม่ได้จบครูมา เพราะครูธุรการไม่จำเป็นต้องจบครูเหมือนครูที่ทำหน้าที่สอนนักเรียน
อติรุจพยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะในเมื่อครูสมศรีประเมินว่ารติยาไม่ผ่าน การจะใช้อำนาจของผู้อำนวยการมาบังคับก็คงไม่ดีนัก หากใครมารู้ทีหลังว่ารติยาทำแบบประเมินจิตวิทยาไม่ผ่านแต่กลับได้เป็นผู้ช่วยครู หญิงสาวจะถูกมองไม่ดีไปด้วย
“ตกลงให้คุณรุ้งทำงานที่นี่เป็นผู้ช่วยของตาลแล้วกัน ถ้าให้ไปทำงานกับพี่มันหนักเกินไป” เขาหมายถึงงานที่บริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตตของตัวเอง “อยู่กับเด็กๆ คุณรุ้งน่าจะสบายใจและทำงานมีความสุขกว่าไปอยู่กับพวกตาลุงเรื่องมากทั้งหลาย”
ตุลยาหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้จัดการแผนกต่างๆ ในบริษัทของพี่ชาย รวมถึงคณะกรรมการบริษัทที่อยู่ด้วยแล้วมีแต่เรื่องตัวเลขสินทรัพย์และการบริหารเต็มหัวไปหมด
“ได้ค่ะ เดี๋ยวตาลให้เขาช่วยจัดโต๊ะทำงานให้คุณรุ้งข้างโต๊ะครูกรอง” น้องสาวว่า แล้วก็ไม่วายแซวพี่ชาย “เวลาพี่รุจมาหาจะได้ไม่ต้องตามหาคุณรุ้งให้เมื่อย”
“รู้ใจดีมากคุณผู้อำนวยการ” เขาแหย่น้องสาวกลับ “เดี๋ยวพี่กลับไปทำงานต่อแล้ว แต่จะขอตัวผู้ช่วยคนใหม่ของตาลไปกินมื้อเที่ยงกันก่อน แล้วจะเอาตัวกลับมาส่งให้เรียบร้อย ได้ไหมครับผู้อำนวยการ”
“ตามสบายเลยค่ะพี่รุจ แต่เอาตัวผู้ช่วยของตาลมาคืนก่อนบ่ายโมงครึ่งนะคะ”
“โอเค” คนเป็นพี่ตกลง แล้วก็มีแก่ใจเอื้อเฟื้อถามน้องสาว “แล้วตาลล่ะ ออกไปกินมื้อเที่ยงพร้อมพี่ไหม”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ตาลกินที่โรงอาหารของครูดีกว่า”
“ดีมากน้องสาวที่น่ารัก รู้งานอย่างนี้เดี๋ยวจะซื้อขนมอร่อยๆ มาฝาก”
อติรุจชมที่น้องสาวรู้ใจ ไม่มาเป็นก้างขวางคอมื้อเที่ยง แล้วเขาก็คว้าข้อมือรติยาพาออกไปจากห้องทำงานของน้องสาวด้วยกัน ทำเอารติยาถึงกับตีแขนเขาแล้วพยายามจะแกะมือเขาออกให้ได้
“อ๊ะ เดี๋ยวสิคะ รุ้งเดินเองได้ ไม่ต้องจูงกันก็ได้ โธ่ คนบ้านี่”
รติยาร้องขณะเดินไปตามแรงจูงของเขา โดยมีตุลยามองตามด้วยสีหน้าขบขันกับความรักเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นของพี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้ ฝ่ายคนถูกจูงก็ต้องเบาเสียงลงขณะเดินผ่านห้องธุรการ รีบก้มหน้างุดๆ อายบรรดาครูที่อยู่ในห้องและมองออกมาเห็น
คนอื่นอาจไม่คิดว่าแปลกหรือผิดปกติอะไร แต่สำหรับหล่อนมันไม่ใช่ เพราะเขากับหล่อนเพิ่งจะเริ่มต้นจีบกันเอง แล้วดูสิ แค่เริ่มเขาก็ทำให้หล่อนปั่นป่วนหัวใจแล้ว
เดี๋ยวก็แกล้ง เดี๋ยวก็หยอก เดี๋ยวก็เย้า เดี๋ยวก็แสดงความเป็นเจ้าของแบบนี้
โอ๊ย แล้วแบบนี้หล่อนจะไปรับมือเขาไหวได้อย่างไร!
สองหนุ่มสาวเดินไปถึงรถ พอขึ้นรถปิดประตูได้เรียบร้อย รติยาก็หันมาแหวใส่เขาทันที
“คุณรุจ ไม่ต้องจูงกันก็ได้ รุ้งอายคนอื่น”
“อายทำไม คนเป็นแฟนกัน เดินจูงมือกันเป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นต้องอายเลย”
“ค่าๆ ท่านประธาน”
หล่อนประชดใส่พลางกอดอกทำหน้าบูดหน้าง้ำที่เถียงแพ้เขาอีกจนได้ แต่คนที่ถือไพ่เหนือกว่ากลับหัวเราะ ก่อนจะยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ กึ่งยั่วเย้า
“ถ้าไม่ให้ผมจูงมือ ผมเปลี่ยนเป็นจูบแทนนะ”
“อื้อ...” หล่อนร้องแล้วเบี่ยงกายแนบประตูรถ มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ “ถ้าทำอะไรละก็ รุ้งโกรธจริงๆ ด้วย”
อติรุจยิ้ม แต่ก็เลิกแกล้งพร้อมกับสัญญาว่า
“ผมไม่ชอบการบังคับกัน ถ้าผมจะจูบ คือคุณยอมให้ผมจูบเอง”
ชายหนุ่มว่าแล้วสตาร์ตรถออกไป ปล่อยให้คนที่เป็นแฟนกันในนามถึงกับร้องกรี๊ดอยู่ในใจที่เขาช่างพูดออกมาได้หน้าตาเฉยว่าหล่อนจะต้องการให้เขาจูบเอง แบบนี้มันอ่อยกันชัดๆ
โอ๊ย คนบ้า ผู้ชายอะไรเนี่ย ร้ายกาจแล้วยังทำหน้าตายใส่อีก มันน่านักเชียว!
อติรุจขับรถพารติยามาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไม่มาก เป็นร้านอาหารไทยสไตล์น่ารัก แต่ก็ไม่ใช่ร้านที่มีมุมสวยงามขายสถานที่ถ่ายภาพสวยๆ พอเข้ามานั่งในร้านและสั่งอาหารเรียบร้อย เขาก็เริ่มถามไถ่หล่อน
“คุณโอเคหรือเปล่ากับการต้องทำงานที่โรงเรียน”
“ก็ยังไม่มีอะไรที่ไม่โอเคนะคะ” หล่อนตอบไปตามจริง “รุ้งไม่ได้เกลียดเด็ก แล้วก็จริงอย่างที่ครูสมศรีประเมิน แต่รุ้งคิดว่าถ้าเป็นแค่งานธุรการ ผู้ช่วยเลขาฯ ผอ. มันก็ไม่น่าจะมีอะไรยากถ้ารุ้งเรียนรู้ไปเรื่อยๆ”
“ถ้าคุณเบื่อ ไม่อยากทำก็บอกได้ ผมจะไปคุยกับคุณแม่ของคุณให้ว่าจะขอเปลี่ยนการทำโทษของคุณเป็นอย่างอื่นแทน”
ชายหนุ่มบอกอย่างเข้าใจว่าคนเราให้มาทำงานที่ไม่คุ้นเคย มันต้องปรับตัวกันเยอะ แต่รติยาปฏิเสธและคิดว่าตนเองน่าจะทำไหว
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งจะลองดูสักตั้ง ขืนงอแงเดี๋ยวแม่งอนอีก”
“คุณแม่คุณเป็นคนน่ารัก ท่านทำไปก็เพราะหวังดีกับคุณและเป็นห่วงคุณ”
“รุ้งรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าพ่อกับแม่และพี่ๆ รักรุ้งมาก แต่บางทีรุ้งก็อยากทำให้พวกท่านเห็นว่ารุ้งโตแล้วและดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่เด็กที่พวกท่านต้องเป็นห่วง”
หล่อนยอมรับสีหน้ามีความสุขเมื่อนึกถึงครอบครัว แม้จะโดนแม่ทำโทษให้มาทำงานตามที่หล่อนได้ตกลงกับอติรุจไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
สองหนุ่มสาวกินมื้อเที่ยงด้วยกัน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเหมือนค่อยๆ เรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละฝ่ายไปทีละน้อย แล้วอติรุจก็ชอบหยอดหล่อนทุกครั้งที่มีโอกาส
“เย็นนี้ผมจะมารับคุณหลังเลิกงาน”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ รุ้งกลับเองได้”
“ได้ยังไง เป็นแฟนกันก็ต้องดูแลกันสิถึงจะถูก”
“แต่รุ้งไม่ได้เป็นผู้หญิงพิเศษที่ต้องการการปกป้องดูแลขนาดนั้น ถ้าคุณรุจติดงานติดธุระก็ทำงานเถอะค่ะ รุ้งไม่อยากให้คุณรุจเสียงานเสียการค่ะ”
“เอาเป็นว่าถ้าผมติดงาน มีประชุม หรือมีงานด่วนมารับไม่ได้จะแชตมาบอก แต่ถ้าวันไหนไม่ติดงาน ไม่ติดธุระ ผมจะมารับคุณกลับบ้าน ตกลงไหม”
“ก็ได้ค่ะ ตกลงตามนั้น” หล่อนยอมให้คนละครึ่งทาง
รติยาตกลงและถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ดีที่เขาเอาใจใส่ดูแล แต่ก็ไม่ได้มาเจ้ากี้เจ้าการอะไรหล่อน ให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองค่อยเป็นค่อยไป มันจะเป็นการเติมเต็มให้กันและกันไปเรื่อยๆ จนกว่าความรักของทั้งคู่จะสุกงอม
อติรุจกินอาหารเที่ยงกับรติยาเสร็จก็พาหล่อนกลับมาส่งที่โรงเรียน รติยาจึงเริ่มเรียนรู้งานของผู้ช่วยเลขาฯ ผู้อำนวยการจากครูกรองซึ่งเป็นเลขาฯ ตัวจริงของผู้อำนวยการ งานส่วนใหญ่ที่หล่อนได้ทำในช่วงเริ่มต้นนี้เป็นงานง่ายๆ พวกจัดเตรียมเอกสารและแฟ้มที่ผู้อำนวยการต้องเซ็นรับทราบ และหล่อนก็เพิ่งรู้ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หกต้องไปเข้าค่าย
“คุณรุ้งไปด้วยกันนะคะ ครั้งนี้เราจะไปอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า หว้ากอค่ะ เด็กๆ ดูตื่นเต้นมาก ครูเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ เพราะปีนี้เราเพิ่งเลือกที่นี่เป็นที่แรก”
“น่าสนใจจังเลยค่ะ แต่รุ้งจะไปเกะกะหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ เวลาตาลไปก็แค่ไปสอดส่องดูแลเด็กอยู่ห่างๆ ไม่ให้ครูประจำชั้นหรือครูฝ่ายกิจกรรมเขาเกร็งเวลาเราไปด้วย แล้วปกติตาลจะจองรีสอร์ตหรือที่พักใกล้ๆ จุดที่เด็กเข้าค่าย ไม่ไปนอนรวมกับเด็กๆ หรือครู เพราะบางทีพอมีคำว่า ผอ. นำหน้า ทุกคนก็จะไม่สนุกสนานเต็มที่อย่างที่ควรเป็นเพราะเกรงใจ ผอ.”
รติยาเข้าใจและสนใจ แต่ก็ขอคิดดูก่อน เพราะหล่อนยังไม่เคยไปเที่ยวที่นั่นเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้คงต้องทำงานตรงหน้าให้เสร็จก่อน เรื่องเที่ยวเรื่องเข้าค่ายไว้ทีหลัง
หญิงสาวทำงานไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงออดเลิกเรียนดัง นักเรียนประถมชั้นต่างๆ เริ่มทยอยลงมาจากอาคารและมุ่งหน้าไปที่ประตูรั้วชั้นแรกซึ่งเป็นจุดคัดกรองการเข้าออกของนักเรียน มีกองอำนวยการและครูเวรประจำวันดูแลอยู่สี่คน คอยคัดกรองให้แน่ใจว่าเด็กมีผู้ปกครองมารับจริง จึงจะให้เดินพ้นประตูออกไปได้ เพื่อป้องกันอันตรายจากบุคคลภายนอกที่อาจเข้ามาปะปนกับผู้ปกครอง ส่วนเด็กชั้นอนุบาลนั้นจะมีครูประจำชั้นดูแลและส่งถึงมือผู้ปกครองโดยตรง และออกที่ประตูข้างสำหรับเด็กอนุบาลโดยเฉพาะ
รติยามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นบรรยากาศชุลมุนวุ่นวายหลังเลิกเรียนแล้วก็นึกถึงวัยเด็กของตัวเอง แต่ที่นี่ดูจะวุ่นวายน้อยกว่า เพราะห้องหนึ่งมีนักเรียนแค่ยี่สิบห้าถึงสามสิบคน และชั้นเรียนหนึ่งมีแค่สามห้อง ทั้งโรงเรียนจึงมีเด็กแค่ห้าร้อยกว่าคน
หล่อนยิ้มก่อนจะทำงานต่อ ไม่นานนักก็จัดการงานทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย จึงเก็บโต๊ะทำงานเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เช่นเดียวกับครูกรองซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไป แต่ครูกรองต้องเอาเอกสารไปให้ที่ห้องวิชาการก่อนกลับบ้าน จึงขอตัวออกไปก่อน เหลือแต่หล่อนที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ส่วนตุลยานั้นไม่อยู่ ไปเดินตรวจตราดูนักเรียนช่วงเลิกเรียนเป็นปกติเหมือนทุกวัน
พอเก็บโต๊ะเสร็จ หล่อนก็ไปห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ยังไม่ทันถึงห้องน้ำก็เห็นตุลยายืนอยู่ตรงมุมสุดโถงทางเดิน ตอนแรกหล่อนตั้งใจจะร้องเรียก แต่เห็นท่าทางอีกฝ่ายเหมือนยืนคุยกับใครอยู่ จึงเปลี่ยนใจและจะเดินไปยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง แต่ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงตุลยาเริ่มดังขึ้นด้วยความโมโห
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้เวลาคุณเจ็ดวัน นี่ใกล้จะครบกำหนดแล้วนะ ถ้าคุณไม่ไปยอมรับกับตำรวจดีๆ ฉันจะแจ้งความจับคุณอย่างที่เคยบอกไว้!”
รติยาถึงกับชะงัก รีบหลบเข้าไปยืนชิดผนังข้างตู้ใส่เอกสารที่มีพวกกระดาษทำโครงงานหรือทำกิจกรรมสำหรับให้นักเรียนและครูหยิบไปใช้งาน พอตุลยาเดินออกมาจึงไม่เห็นว่าหล่อนยืนอยู่ ส่วนอีกคนที่หล่อนไม่รู้ว่าใครเดินออกไปอีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่หล่อนได้ยินไม่ใช่เรื่องปกติแน่ เมื่อมีการเอ่ยถึงตำรวจ!
‘เฮ้อ...ยายรุ้ง เริ่มงานใหม่วันแรกก็เหมือนจะงานเข้าแล้วไง’
หญิงสาวได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นหล่อน จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำและกลับมาเอากระเป๋าถือที่โต๊ะทำงาน เห็นตุลยากลับมาที่ห้องทำงานแล้วและนั่งตรวจงานที่โต๊ะ จึงเดินเข้าไปบอกอีกฝ่าย
“ผอ. คะ รุ้งจะกลับแล้วนะคะ”
หล่อนร้องเรียกกึ่งถาม แล้วถึงแม้ตุลยาจะบอกให้หล่อนเรียกชื่อ ไม่ให้เรียกว่าพี่ แต่ไม่ได้บอกเรื่องห้ามเรียกว่า ผอ. และหล่อนก็คิดว่าสมควรเรียกตุลยาเช่นนี้ด้วย เพราะนี่คือที่ทำงานของตุลยา ก็เหมือนกับว่าหล่อนให้ความสำคัญและให้เกียรติอีกฝ่าย ไม่ใช่ใช้เส้นของการเป็นแฟนพี่ชายของอีกฝ่ายมาอ้าง
ตุลยายิ้มให้ รู้สึกชอบใจว่าที่พี่สะใภ้ก็ตรงนี้ ที่รติยาเข้าใจสถานะตัวเองแต่ไม่ได้ทำอวดเบ่งหรือใช้มันให้เป็นประโยชน์ ตรงกันข้ามกลับให้เกียรติกันและกัน ให้เกียรติสถานที่ที่หล่อนเป็นใหญ่ที่สุด
“จะกลับแล้วเหรอคะคุณรุ้ง เอ๊ะ นี่พี่รุจมารับแล้วเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ รุ้งบอกคุณรุจเองว่าถ้ามีงานมีธุระก็ไม่ต้องมารับมาส่ง” หล่อนว่าแล้วถามต่อ “แล้ว ผอ. ล่ะคะ ยังไม่กลับเหรอ นี่ก็จะห้าโมงเย็นแล้วนะคะ”
“เดี๋ยวเคลียร์งานอีกนิดหน่อยก็กลับแล้วค่ะ” ตุลยายิ้มให้แล้วถามไถ่ต่อ “แล้วคุณรุ้งกลับยังไงคะ”
“รุ้งนั่งแท็กซี่กลับค่ะ รถยังไปนอนเล่นอยู่ในอู่อยู่เลยค่ะ”
“งั้นกลับดีๆ นะคะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
ตุลยายิ้มให้ รติยาจึงขอตัวออกมาจากห้องทำงาน หล่อนเดินออกจากโถงห้องทำงานของตัวเอง ผ่านห้องรองผู้อำนวยการกับห้องทำงานของครูสมศรีและห้องธุรการ จนมาถึงทางลงบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้าอาคาร หล่อนเดินเลียบสนามบาสเกตบอลซึ่งตอนนี้มีเด็กที่ดูโตหน่อยกำลังเล่นกีฬากันอยู่เพื่อฆ่าเวลารอผู้ปกครอง โดยมีครูพละคนหนึ่งคอยดูความเรียบร้อยทั่วไปอยู่แถวสนาม
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีลูกบาสเกตบอลลอยหวือผ่านหน้าหล่อนไปอย่างฉิวเฉียด หล่อนถึงกับผงะด้วยความตกใจ
“ว้าย!”
รติยาร้อง แล้วก็แว่วเสียงฝีเท้าของคนหลายคนวิ่งตรงมาหาหล่อน พร้อมกับเสียงร้องขอโทษอย่างตกใจ
“ขอโทษค่ะครู”
เด็กนักเรียนหญิงห้าคนที่ก่อนหน้านี้หล่อนเห็นกำลังเล่นบาสเกตบอลกันวิ่งกรูเข้ามาหา แล้วก็ไม่ใช่เด็กเท่านั้น ครูผู้ชายที่ใส่ชุดพละและยืนดูความเรียบร้อยอยู่ก็วิ่งเข้ามาด้วย ก่อนที่เด็กผู้หญิงหนึ่งในห้าคนจะวิ่งตามไปเก็บลูกบาสเกตบอลที่กลิ้งไปไกลแล้ว
“ขอโทษแทนเด็กๆ ด้วยครับคุณรติยา” ครูผู้ชายเอ่ยทักทันทีที่มาหยุดใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ” รติยาตอบแล้วมองเด็กนักเรียนห้าคนที่ทำหน้าจ๋อย หล่อนจึงยิ้มให้และยืนยันอีกครั้ง “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกบาสไม่ได้โดนพี่ แต่วันหลังระวังหน่อยนะคะ”
เด็กๆ ชะงัก ทำตาปริบๆ เมื่อเจอครูแทนตัวว่าพี่ แล้วที่เข้าใจว่าเป็นครูเพราะเดินลงมาจากอาคารฝ่ายธุรการ ซึ่งตรงนั้นมักจะมีแต่ครูที่ทำงานอยู่ถึงจะขึ้นไปได้ อีกทั้งเด็กๆ ก็เห็นหล่อนเดินเข้าเดินออกโรงเรียนวันนี้ พอไปแอบเลียบเคียงถามครูที่สนิทกันก็ได้ความว่าเป็นครูประจำห้องผู้อำนวยการคนใหม่ พวกเด็กๆ เลยเรียกว่าครูไปโดยปริยาย
ฝ่ายรติยาพอเห็นเด็กทำหน้าแปลกๆ แล้วมองหน้ากัน ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า จนครูพละหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยต้องช่วยด้วยการบอกเด็กๆ ให้กลับไปซ้อมกันเองก่อน
หลังจากเด็กๆ วิ่งกลับเข้าไปในสนามบาสเกตบอลแล้ว ครูพละหนุ่มขาวตี๋อปป้าก็หันมาพูดกับหล่อน
“ขอโทษแทนเด็กๆ อีกครั้งนะครับคุณรติยา”
“เรียกว่ารุ้งก็ได้ค่ะ” หล่อนอนุญาต “รุ้งไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ เอ่อ ว่าแต่เมื่อครู่นี้เด็กๆ เขาเป็นอะไรกันหรือเปล่าคะ เห็นทำหน้าแปลกๆ หรือรุ้งพูดอะไรผิดไปคะ ครู...”
รติยาถามแล้วก็พยายามนึกชื่ออีกฝ่ายแต่นึกไม่ออก เพราะตอนที่ตุลยาแนะนำหล่อนให้ครูในโรงเรียนรู้จักในห้องประชุมนั้น หล่อนก็จำได้ไม่หมดหรอกว่าใครชื่ออะไรบ้าง จำได้แค่ไม่กี่คน และจำได้ดีที่สุดก็คือครูสมศรีนั่นละ
“ผมครูเจตต์ครับ สอนพละชั้น ป. ห้า และ ป. หก ครับ” เจตต์แนะนำตัวแล้วตอบคำถามที่หล่อนทิ้งไว้ “ส่วนเมื่อกี้เด็กๆ คงแปลกใจว่าทำไมคุณรุ้งแทนตัวว่าพี่น่ะครับ”
“ก็รุ้งอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เองนี่คะ จะให้แทนตัวว่าน้าว่าป้าก็เกินไป แล้วรุ้งก็ไม่ใช่ครูด้วย”
“ไม่หรอกครับ สำหรับเด็กๆ แล้วคนที่ทำงานอยู่ในโรงเรียน ไม่ใช่แม่บ้านทำความสะอาดหรือพนักงานรักษาความปลอดภัย เขาก็เรียกครูหมดแหละครับ ยิ่งตอนนี้ทุกคนในโรงเรียนรู้แล้วว่าคุณรุ้งเป็นครูประจำห้องผู้อำนวยการคนใหม่ เด็กจะเรียกครูก็ไม่แปลกหรอกครับ”
“อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณนะคะครูเจตต์”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ ครูเจตต์”
รติยารับคำ มองครูพละหนุ่มหล่อตี๋สายอปป้ากลับไปทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยแถวสนามบาสเกตบอลต่อ แล้วจึงเดินไปหน้าโรงเรียนโดยกดแอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่ไปด้วย เกือบสิบห้าทีต่อมาหล่อนก็กลับบ้านไปด้วยรถแท็กซี่ เสร็จงานการเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ผู้อำนวยการไปหนึ่งวัน
เกือบสองชั่วโมงต่อมา รติยากลับถึงบ้านแล้วก็แทบจะหมดแรงเสียเดี๋ยวนั้น เพราะทั้งหิวทั้งเหนื่อยกับการเดินทาง เนื่องจากโรงเรียนเปรมธิมาอยู่ไกลจากบ้านหล่อนค่อนข้างมาก แต่พอกลับถึงบ้านได้ไม่เท่าไร หล่อนก็ได้รับข้อความจากอติรุจ เขายังหยอดใส่หล่อนเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิมชนิดไม่ปล่อยให้ว่างเว้นเลยทีเดียว
รุจ: คุณถึงบ้านหรือยัง (เอียง)
รุ้งพราย: เพิ่งถึงเดี๋ยวนี้เอง แล้วคุณล่ะคะ (เอียง)
รุจ: ผมเพิ่งประชุมเสร็จ กำลังจะกลับบ้าน แต่คิดถึงคุณ (เอียง)
รุ้งพราย: ไม่ต้องมาทำปากหวานเลยค่ะ (เอียง)
หล่อนพิมพ์ข้อความไปแล้วก็ส่งสติกเกอร์แลบลิ้นตามไปด้วย ผิดกับความเป็นจริงลิบลับ เพราะตอนนี้หล่อนกำลังหน้าแดงเขินอายอยู่ต่างหาก
คนบ้า! บอกคิดถึงได้หน้าตาเฉยเลย
รุจ: เรายังไม่เคยจูบกัน แล้วรู้ได้ยังไงว่าปากผมหวาน (เอียง)
เขาพิมพ์ตอบกลับมา แค่นั้นก็ทำเอารติยาถึงกับอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง ไม่ใช่เพราะความโมโหแต่อย่างใด แต่เพราะเขินจนไม่รู้จะเอามือไปจิกที่ไหนดี
รุ้งพราย: คนทะลึ่ง! เดี๋ยวรุ้งไม่คุยด้วยแล้วนะ (เรื่อง)
รุจ: ก็แค่แหย่เล่น แต่ที่บอกว่าคิดถึงน่ะ...เรื่องจริง (เรื่อง)
อติรุจพิมพ์ตอบกลับมา คราวนี้ส่งสติกเกอร์ทำตาออดอ้อนมาด้วย เล่นเอารติยาถึงกับขำคิกที่เขาก็มีมุมน่ารักๆ แบบนี้อยู่ด้วย ช่างขัดกับมาดผู้บริหารขี้เก๊กลิบลับ
รุ้งพราย: ค่าๆ ว่าแต่วันนี้งานเป็นยังไงบ้างคะ โอเคไหม (เอียง)
รติยาเปลี่ยนเรื่อง อยากรู้เกี่ยวกับตัวเขาบ้าง
รุจ: ทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วคุณล่ะเป็นยังไงบ้าง โดนครูสมศรีดุอีกไหม (เอียง)
รุ้งพราย: ไม่โดนแล้วค่ะ แล้วก็จะไม่ให้โดนอีกหลังจากนี้ด้วย (เอียง)
รุจ: เก่งมาก พรุ่งนี้ผมจะไปหาตอนเที่ยง เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน (เอียง)
รุ้งพราย: แต่พรุ่งนี้รุ้งตั้งใจจะกินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียน อยากลองระลึกความหลังดูบ้างค่ะ (เอียง)
รุจ: ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่กินเป็นเพื่อน (เอียง)
เจออย่างนี้รติยาก็ถึงกับชะงักไป ไม่คิดว่าเขาจะตามใจหล่อนถึงขั้นมากินอาหารที่โรงเรียนด้วยกัน ใจหนึ่งหล่อนอยากเห็นเขาในมาดผู้บริหารมานั่งกินอาหารถาดโรงเรียน แค่นึกภาพก็ขำแล้ว แต่อีกใจก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันจึงถามกลับไป
รุ้งพราย: จะดีเหรอคะ คุณเป็นถึงท่านประธานนะ (เอียง)
รุจ: ท่านประธานก็เคยเป็นเด็กมาก่อน นานๆ ทีย้อนวัยระลึกความหลังบ้างจะเป็นไรไป (เอียง)
รุ้งพราย: ค่าๆ (เอียง)
รติยารับคำแล้วพิมพ์คุยกับเขาต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวไปทำอาหารเย็น แล้วอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน แต่แล้วช่วงสามสี่ทุ่มเขาก็ส่งข้อความมาหาหล่อน เป็นข้อความสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
รุจ: สี่ทุ่มแล้วนะ ถ้ายังไม่นอน นอนได้แล้ว เดี๋ยวตื่นสายนะ...ราตรีสวัสดิ์ รุ้งพราย (เอียง)
หล่อนแทบจะดิ้นไปดิ้นมาบนเตียงกับข้อความสั้นๆ นั้น อะไรมันจะจั๊กจี้หัวใจปานนี้ แล้วเจ้าตัวก็ไม่ลืมส่งข้อความราตรีสวัสดิ์กลับไปให้เขาด้วยเช่นกัน
รุ้งพราย: กำลังจะนอนแล้วค่ะ ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะ...ท่านประธานขี้เก๊ก (เอียง)
ด้านหนึ่งของมุมเมืองอาจจะมีความหวานชื่นและความสุข แต่อีกด้านหนึ่งกลับเต็มไปด้วยเพลิงของความคับแค้นใจที่ถูกผู้อำนวยการสาวข่มขู่ กลายเป็นโทสะที่ยากจะดับลง จึงเป็นที่มาของการคิดกำจัดทิ้ง จากที่เคยพลาดไปเมื่อหลายวันก่อน ครั้งนี้จะต้องไม่พลาดอีก!
บริเวณเพิงเล็กๆ กลางพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพฯ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณ แสงไฟเดียวที่มองเห็นอยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร พื้นที่ค่อนข้างกว้างเต็มไปด้วยพงหญ้ารกเรื้อ บางส่วนเป็นจุดทิ้งขยะที่คนไม่ใช้แล้ว และบางครั้งก็มีพวกขี้ยามานั่งพี้ยากันในนี้
ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือ มันคือไอ้เก่ง เป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า รับจ้างทุกอย่างแล้วแต่ลูกค้าต้องการให้ทำอะไร ซึ่งงานส่วนใหญ่ไม่ใช่งานขาวสะอาด แต่เป็นงานของธุรกิจสีเทา ทั้งทวงหนี้นอกระบบ ทั้งรุมกระทืบคน เขาทำมาแล้วโชกโชน แล้วตอนนี้เขาก็กำลังได้รับงานใหม่จากผู้ว่าจ้างคนหนึ่ง โดยบอกให้เขามาที่แคร่ใต้ต้นไม้นี้ตามที่เพื่อนของเขาเป็นคนกลางติดต่อให้ และงานที่ว่าก็เป็นงานที่ง่ายแสนง่าย ที่ผู้ว่าจ้างต้องการทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุ
“ในซองบนแคร่คือเงินครึ่งแรกสำหรับค่าจ้างที่กูให้มึง ถ้างานสำเร็จมาที่นี่และรับเงินอีกครึ่งหนึ่งไป แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ มึงก็ต้องรับผิดชอบตัวมึงเอง ไม่เกี่ยวกับกู”
“แค่ขับรถชนใช่ไหม แค่นี้สบายมาก”
“ใช่ ชนให้ตาย! ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ”
ผู้ว่าจ้างย้ำความต้องการ ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตำรวจสืบเรื่องนี้ต่อในเชิงคดีฆาตกรรมอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็จะต้องสำเร็จเป็นครั้งที่สองด้วย!
“บอกลักษณะเป้าหมายและรถยนต์ รวมถึงทะเบียนรถมาให้หมด และวันที่มึงต้องการให้กูลงมือ หลังจากนั้นมึงก็รอจ่ายเงินให้กูได้เลย”
ไอ้เก่งบอกอย่างเป็นงาน ผิดกับคนก่อนที่รับงานไปแต่กลับทำเรื่องง่ายๆ พลาด ผู้ว่าจ้างจึงบอกรายละเอียดรถและลักษณะของเจ้าของรถที่เป็นเป้าหมายในครั้งนี้ให้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงสถานที่และวันที่ต้องการให้มันลงมือ ก่อนจะสรุปกึ่งขู่
“มึงรู้ไหมว่าคนก่อนที่มันทำพลาดกูทำยังไงกับมัน กูจ้างซุ้มมือปืนเก็บมัน!”
“กูไม่พลาดแน่ มึงเตรียมเงินไว้ได้เลย แต่ถ้ามึงตุกติก กูก็จะจัดการมึงเหมือนกัน ถึงมึงจะไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร แต่มึงจะไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่ถ้าคิดจะเล่นแง่กับกู!”
ความคิดเห็น |
---|