บทที่ ๑๐
เรื่องอันตราย
ยามสายของวันใหม่ หลังจากเพิ่งหมดคาบเรียนที่สาม รติยาซึ่งเดินผ่านสนามบาสเกตบอลและเห็นเจตต์เข็นรถเข็นใส่ลูกบาสเกตบอลไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ร้องทักอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เพราะรู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่น่าจะคุยง่ายและคงไม่ถือสาความกระโดกกระเดกของหล่อนนัก
“สวัสดีค่ะครูเจตต์”
เจตต์หันมองตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นผู้ช่วยเลขาฯ คนใหม่ของผู้อำนวยการ ที่ใครๆ ในโรงเรียนนี้รู้กันหมดแล้วว่าเจ้าหล่อนเป็นแฟนเจ้าของโรงเรียนก็ส่งยิ้มให้
“สวัสดีครับคุณรุ้ง”
“เพิ่งสอนเสร็จเหรอคะ”
หล่อนร้องถามขณะเดินเข้ามาใกล้ พลางมองรถเข็นลูกบาสเกตบอลที่เล็กกว่าลูกบาสเกตบอลสำหรับใช้แข่งขัน แล้วแปลกใจปนสงสัย เพราะเมื่อวานจำได้ว่าเขาบอกว่าสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ห้ากับประถมศึกษาปีที่หก ซึ่งหล่อนก็จำได้อีกนั่นละว่าทั้งสองชั้นนี้ไม่ได้เรียนแชร์บอลในคาบพละ หรือหล่อนจะจำอะไรผิดไป
“ป. ห้า กับ ป. หกเรียนแชร์บอลด้วยเหรอคะ”
“เปล่าหรอกครับ เป็นของ ป. สี่ แต่พอดีชั่วโมงเมื่อครู่นี้ ผมสอนแทนครูศักดิ์ที่ลาป่วยครับ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
“คุณรุ้งว่างเหรอครับ”
“ไม่ว่างหรอกค่ะ แต่เพิ่งเอาเอกสารไปให้หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย เห็นว่าโครงการที่ส่งเด็กไปแข่งขันด้านภาษาไทยได้รับอนุมัติแล้ว ผอ. ก็เลยวานให้ฉันเอาไปให้ครูหัวหน้าหมวด นี่เสร็จแล้วกำลังจะกลับห้องทำงานค่ะ แล้วครูเจตต์ล่ะคะมีสอนต่อไหม”
“เดี๋ยวผมต้องไปดูเด็ก ป. หกที่สระว่ายน้ำในคาบต่อไปครับ”
“สระว่ายน้ำ...” หล่อนทวนแล้วทำตาเป็นประกายเหมือนเด็กๆ “รุ้งรู้ว่าที่นี่มีสระว่ายน้ำ แต่ยังไม่เคยไปดูเลยค่ะ ถ้ายังไงรุ้งขอตามไปดูหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ไปกันครับ”
เจตต์บอกแล้วพาไปยังสระว่ายน้ำซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอาคารเรียน มีสวนหย่อมคั่นกลาง มันเป็นสระว่ายน้ำในร่ม ถ้ามองเผินๆ แค่หลังคาอาจจะคิดว่าเป็นโรงยิม
“โอ้โห ใหญ่เหมือนกันนะคะ มีสระใหญ่กับสระเล็กด้วย”
รติยาร้องขณะขึ้นมายืนตรงบันไดทางขึ้นสระว่ายน้ำ แต่หล่อนไม่ได้เข้าไปที่ตัวสระ เพราะต้องถอดรองเท้าและดูจะทำตัววุ่นวายเกินไป จึงยืนดูอยู่ตรงแนวพุ่มไม้แทน แต่แค่นั้นก็เห็นมุมกว้างของสระได้มากแล้ว
สระที่นี่ใหญ่กว่าสระว่ายน้ำที่บ้านหล่อน มีแยกเป็นสองสระสำหรับเด็กโตและเด็กเล็ก บนผนังด้านหนึ่งใกล้ห้องอาบน้ำล้างตัว มีกระดานโฟมสำหรับว่ายน้ำสีสันสดใสและแท่งโฟมฝึกลอยตัวในน้ำวางเรียงรายอยู่บนชั้นวางอุปกรณ์ ดูน่าเอามาว่ายเล่นมาก
“คุณรุ้งว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าครับ ว่างๆ มาเล่นน้ำกับเด็กๆ ได้นะครับ วันเสาร์อาทิตย์โรงเรียนจะเปิดโซนสระว่ายน้ำให้เด็กมาฝึกซ้อมและเล่นกันได้ครับ”
“ดีจังเลย แต่รุ้งว่ายน้ำไม่เป็นหรอกค่ะ”
หญิงสาวบอกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้เขาชวนมาว่ายน้ำให้อายเด็กเปล่าๆ ผู้ใหญ่มาแย่งสระเด็กประถมเล่น ดูอย่างไรก็น่าอายแน่นอน ตัวหล่อนนั้นว่ายน้ำเป็น ถึงจะว่ายได้ไม่เก่ง แต่ถือว่าต่อให้ตกน้ำก็ช่วยเหลือตัวเองได้แล้วกัน
“ผมสอนให้ได้นะครับถ้าคุณรุ้งสนใจ”
“ไม่เอาจริงๆ ค่ะ อายเด็ก”
หล่อนอ้างแล้วยืนคุยกับเจตต์อยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ ส่วนเจตต์เข้าไปในสระว่ายน้ำเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย เตรียมตัวสอนเด็กในคาบต่อไป
ฝ่ายรติยาหลังจากผละจากเจตต์มาแล้วก็เดินแกมวิ่งไปยังอาคารฝ่ายธุรการ สายตาเหลือบไปเห็นโรงรถเล็กๆ ซึ่งเป็นที่จอดรถของผู้อำนวยการที่ตอนนี้มีรถยนต์อีกคันมาจอดเทียบรถยนต์ของตุลยา หล่อนมองตัวรถแล้วมองป้ายทะเบียน แล้วก็ยิ้มอย่างดีใจเมื่อจำได้ว่าเป็นรถของใคร
หญิงสาวจึงเดินแกมวิ่งเร็วขึ้น แม้จะก้าวขึ้นมาบนอาคารแล้วก็ยังไม่หยุด ประจวบกับครูสมศรียืนอยู่ตรงทางเดินของอาคารอยู่แล้วและมองมาเห็นตั้งแต่หล่อนยังไม่ขึ้นอาคาร พอหล่อนขึ้นมาครูสมศรีจึงกล่าวตักเตือนทันที
“คุณรติยาคะ หลังจากนี้ขอความกรุณาอย่าวิ่งตรงทางเดินบนอาคารเรียนอีกนะคะ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็ก ที่นี่เรามีกฎห้ามนักเรียนวิ่งบนอาคารเรียนเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เราเป็นครูก็ต้องทำให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่างที่ดีด้วยค่ะ”
“ขอโทษค่ะครูสมศรี”
หล่อนกล่าวขอโทษและยกมือไหว้ ขณะเดินผ่านครูสมศรีหล่อนก็ก้มตัวให้อย่างมีมารยาท พอผ่านหน้าครูสมศรีไปแล้วก็ยังเดินเรียบร้อยต่อไป โดยที่ครูสมศรีได้แต่มองตามพร้อมกับส่ายหน้ากับความม้าดีดกะโหลกของอีกฝ่าย แล้วจึงกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
รติยาเดินเรียบร้อยต่อไปจนเข้าไปที่โถงห้องทำงานหน้าห้องผู้อำนวยการ หล่อนก็หันออกมามองตรงระเบียงทางเดินด้านหน้า พอเห็นว่าครูสมศรีไปแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานของตุลยา แต่ไม่ลืมเคาะประตูก่อนตามมารยาท
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาได้เลยค่ะคุณรุ้ง”
ตุลยาอนุญาต เพราะความจริงก็มองออกมาเห็นรติยาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่แปลกใจว่ารติยาทำอะไร ทำไมหันไปเหมือนมองใครหรืออะไรแล้วถอนหายใจ เช่นเดียวกับอติรุจที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของน้องสาว เขาเห็นท่าทางแปลกๆ ของหล่อนเมื่อกี้เหมือนกัน เพราะห้องทำงานของน้องสาวเป็นกระจกใส ที่มีแค่ฝ้าขุ่นประดับกระจกไว้บางๆ แค่นั้น พอว่าที่พี่สะใภ้เข้ามาได้ตุลยาก็ถามทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณรุ้ง”
“เปล่าค่ะ”
“แต่เมื่อกี้ผมเห็นคุณเดินมาเหมือนย่องๆ แล้วพอถึงข้างหน้าก็หันไปดูแล้วถอนหายใจ นั่นไม่เรียกปกตินะ หรือเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ” อติรุจแหย่ ไม่ได้คิดจริงหรอกว่าที่นี่มีผี ในเมื่อโรงเรียนนี้ไม่ใช่โรงเรียนเก่าแก่ อายุของมันมากกว่าหลานสาวของเขาแค่ปีกว่าเท่านั้นเอง
“ผีหลอกคุณน่ะสิ” หล่อนว่า ทำเป็นงอนใส่แล้วจึงยอมเฉลยให้ทั้งสองคนฟัง “เมื่อกี้รุ้งวิ่งบนทางเดินแล้วเจอครูสมศรีดุว่าต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก ห้ามวิ่งบนทางเดิน เพราะที่นี่มีกฎเพื่อความปลอดภัยว่าห้ามเด็กๆ วิ่งบนทางเดินบนอาคารค่ะ”
สิ้นเสียงหล่อน พี่น้องรัตนธนการก็หัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกันราวกับเป็นเรื่องตลกที่หล่อนโดนครูผู้ใหญ่ในโรงเรียนดุ เล่นเอาคนถูกขำใส่ซึ่งๆ หน้าถึงกับทำหน้าหงิกหน้างอ
แต่แล้วเสียงออดพักเที่ยงก็เหมือนกับเป็นระฆังหมดยกขำขัน ทั้งสามคนจึงเตรียมตัวไปกินอาหารที่โรงอาหาร แต่รติยาก็ยังทำหน้าง้ำไม่เลิก จนอติรุจต้องหยิบลูกอมบนโต๊ะของน้องสาวมาส่งให้เพื่อให้หล่อนหายหงุดหงิด หล่อนได้แต่ค้อนที่เขาทำเหมือนหล่อนเป็นเด็ก แต่ก็รับลูกอมมาแล้วก็ยิ้มออกมาได้
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยงทุกคนก็มาพร้อมกันที่โรงอาหาร ทั้งครูประจำชั้นทั้งนักเรียนประถมทั้งหมดหกชั้นเรียน ยกเว้นครูฝั่งอนุบาลและนักเรียนอนุบาลเท่านั้นที่จะกินอาหารเที่ยงที่ห้องเรียน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลเด็กเล็ก
ภายในโรงอาหารที่มีโต๊ะตัวยาวต่อกัน นักเรียนนั่งประจำโต๊ะของห้องเรียนของตัวเอง ส่วนโต๊ะอาหารของครูอยู่อีกด้านหนึ่งของโรงอาหาร เป็นโต๊ะยาวเหมือนโต๊ะของเด็กๆ จะมีที่แปลกไปก็คือโต๊ะของผู้อำนวยการที่แยกออกมาเป็นโต๊ะเดี่ยวนั่งได้สี่คน
ตุลยา อติรุจ และรติยานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ส่วนรองผู้อำนวยการปฏิพัทธ์กับครูสมศรีนั่งอีกโต๊ะร่วมกับครูอีกสองคน หล่อนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เดาว่าน่าจะเป็นครูระดับหัวหน้าสูงขึ้นมาหน่อย
“อาหารน่ากินจังเลยค่ะ”
รติยาชมและมองอาหารตรงหน้า มันเป็นแกงจืดเต้าหู้หมูสับกับไข่ยัดไส้เครื่องแน่นๆ แล้วก็มีของหวานล้างปากเป็นแตงโมสามชิ้นที่แค่เห็นก็น้ำลายสอแล้ว
“อาหารที่นี่เราจะมีสามอย่างทุกวันค่ะ ของคาวสองอย่าง ของหวานหนึ่งอย่าง ในช่วงสิบนาทีก่อนที่ออดเลิกคาบสี่จะดัง นักเรียนของห้องที่เป็นเวรในวันนั้นๆ จะต้องลงมาเตรียมอาหารที่โรงอาหาร ต้องนับถาดให้ครบจำนวนเพื่อนในห้อง แล้วมาตักอาหารใส่ถาดเตรียมไว้ให้เพื่อนๆ ด้วยตัวเอง โดยครูของโรงครัวจะทำอาหารเตรียมใส่หม้อปิดฝาและวางไว้ให้ที่โต๊ะของแต่ละชั้นค่ะ”
ตุลยาอธิบายระหว่างที่กินอาหารด้วยกัน พอเห็นสีหน้าว่าที่พี่สะใภ้มีความสนอกสนใจ ไม่ได้ถามอย่างขอไปทีหรือแค่ชมอาหารไปอย่างนั้นก็ยิ้มให้ แม้รติยาจะโดนบังคับให้มาทำงานที่นี่ แต่ก็ใส่ใจในสถานที่ทำงานและงานที่ทำ ถือว่าสอบผ่านไปเปลาะหนึ่งสำหรับการเป็นพี่สะใภ้ในสายตาของตุลยา
ฝ่ายรติยาที่ไม่รู้ว่าตุลยาคิดอะไรอยู่ก็กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารของโรงเรียน ที่แม้จะดูเป็นอาหารธรรมดาๆ แต่รสชาติก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว หล่อนกินไปคุยไป แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตุลยากับอติรุจ เช่นเดียวกับครูโต๊ะอื่นที่กินไปคุยไปเหมือนเป็นช่วงผ่อนคลายจากงาน จะมีก็แต่โต๊ะของครูสมศรีกับรองผู้อำนวยการนั่นละที่เห็นจะเงียบกว่าใครเพื่อน แทบจะนับคำคุยได้เลยทีเดียว
ทว่ามีแวบหนึ่งที่หล่อนหันไปประสานสายตากับรองผู้อำนวยการเข้าพอดี แต่อีกฝ่ายกลับชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจราวกับจงเกลียดจงชังหล่อนไม่เลิก แต่รติยาทำเป็นไม่เห็นเพื่อจะได้ไม่หงุดหงิดจนเสียอรรถรสการกิน หล่อนจึงหันไปชวนอติรุจคุย
“คุณรุจเคยมากินอาหารโรงเรียนบ้างไหมคะ”
“นี่เป็นครั้งแรกเลย ถึงผมจะมีชื่อเป็นเจ้าของโรงเรียนแต่ก็แค่ในนาม รับมรดกช่วยดูแลจากพ่อเป็นการชั่วคราว แต่เจ้าของโรงเรียนตัวจริงไม่ใช่คนนี้หรอกนะ”
เขาหมายถึงน้องสาว แต่กลับบุ้ยใบ้ไปทางเด็กประถมคนหนึ่งที่นั่งกินอาหารอยู่
“แต่นั่งอยู่นู่น”
ตุลยาหัวเราะคำพูดของพี่ชายที่หมายถึงลูกสาวของหล่อน แต่ก็เป็นความจริงที่ในอนาคตโรงเรียนแห่งนี้จะถูกส่งต่อให้เป็นทรัพย์สินของน้องมิว เพราะมันเป็นสิ่งที่พ่อของหล่อนตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
รติยาพยักหน้าเข้าใจ เพราะหล่อนเองก็ทราบประวัติการก่อตั้งโรงเรียนมาบ้าง หล่อนกินอาหารต่อจนหมด แล้วก็เห็นเด็กๆ เดินถือถาดที่กินเสร็จแล้วไปต่อแถวที่มีครูยืนอยู่และมีหม้อใบใหญ่สำหรับใส่เศษอาหารวางอยู่ใกล้ๆ มีเด็กคนหนึ่งเหมือนจะเหลืออาหารเยอะก็ถูกสั่งให้กลับมากินให้หมด ส่วนคนที่กินหมดก็เอาเศษอาหารที่กินไม่ได้เทลงไปในหม้อใบใหญ่ที่วางอยู่ แล้วเอาถาดไปวางซ้อนบนชั้นวางใกล้ๆ เป็นการช่วยเก็บถาดไปด้วยอีกแรงหนึ่ง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจริงๆ
“เด็กๆ ที่นี่ช่วยเหลือตัวเองและรับผิดชอบตัวเองดีจัง ถ้ามีหลาน รุ้งจะส่งมาเรียนที่นี่เลย”
หล่อนเปรยอย่างใจคิด ทำเอาอติรุจที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยได้โอกาสหยอดใส่เสียเลย
“ไม่ต้องรอให้ถึงหลานหรอก เอาแค่ลูกของเรา คุณก็ส่งมาเรียนที่นี่ได้”
“คุณ! พูดอะไรออกมาเนี่ย คนบ้า!”
หล่อนแว้ดใส่หน้าแดง จู่ๆ เขาก็มาพูดเรื่องทำลูกอะไรตอนนี้ต่อหน้าน้องสาวตัวเองหน้าตาเฉย เขาไม่อายน้องสาวแต่หล่อนอายนี่ คนอะไรก็ไม่รู้ หน้ามึนจริงๆ เลย!
แต่มีหรือคนแกล้งทำหน้ามึนอย่างอติรุจจะอาย ในเมื่อน้องสาวเองก็เป็นใจขนาดนี้แล้ว อีกอย่างเขาก็ถือโอกาสแกล้งหล่อนเสียหน่อยที่วันนี้ไม่ยอมออกไปกินมื้อเที่ยงกับเขา แล้วเขาก็ต้องตามใจหล่อนมานั่งกินอาหารในโรงอาหารด้วยกัน ถึงไม่ได้บ่นหรือแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ชอบมานั่งกินแบบนี้เท่าไร
รติยาได้แต่ค้อนขวับเพราะทำอะไรคนหน้ามึนไม่ได้ ส่วนอติรุจก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ดวงตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ พอมื้ออาหารเที่ยงจบเขาก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ รติยาจึงเดินมาส่งที่รถยนต์ของเขา แต่ก่อนไปเขายังไม่วายหยอดใส่หล่อนอีกจนได้
“เย็นนี้ผมมารับนะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ รุ้งกลับเองได้”
“แต่วันนี้ผมไม่ติดงาน คุณบอกเองนี่ว่าถ้าผมไม่ติดงานค่อยมารับ” เขาทวงสัญญาที่ตกลงกันไว้ ทำเอารติยาได้แต่ค้อนใส่อย่างหมั่นไส้ และสุดท้ายก็ตกปากรับคำยอมให้เขามารับ
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามีงานด่วนก็ไม่ต้องมานะคะ เดี๋ยวคุณรุจจะเสียงานเสียการ”
อติรุจยิ้มให้ก่อนจะกดปุ่มปิดกระจกและชี้ไปที่อาคารให้หล่อนกลับขึ้นไป ไม่ต้องยืนรอส่งเขา รติยาจึงได้แต่มองค้อนก่อนจะเดินแกมวิ่งกลับขึ้นไปบนอาคาร แต่พอนึกได้ก็รีบหยุดและเดินอย่างเรียบร้อย โชคดีที่หล่อนไม่เดินแกมวิ่งขึ้นมา ไม่อย่างนั้นได้โดนดุอีกแน่ เพราะครูสมศรีเพิ่งเดินออกมาจากห้องพักครูหมาดๆ เลยทีเดียว
รติยากลับมาทำงานต่อตามปกติ จนถึงสี่โมงครึ่งจึงลงจากอาคารมานั่งรอที่ม้าหินแถวสนามเด็กเล่น ส่วนตุลยานั้นยังทำงานต่อเหมือนเคยและฝากให้หล่อนช่วยดูแลลูกสาว รวมทั้งให้กลับกับอติรุจ
“คุณแม่โหมงานแบบนี้บ่อยๆ หรือเปล่าคะน้องมิว”
“ไม่นะคะ เมื่อก่อนคุณแม่ไม่ได้ทำงานอยู่เย็นแบบนี้ แต่ที่คุณแม่ต้องกลับบ้านหลังทุกคนเป็นเรื่องปกติค่ะ เป็นคำสั่งของคุณตา บอกว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆ กลับบ้านหมดแล้วเท่านั้น”
น้องมิวพูดถึงคุณตาที่เสียไปแล้ว แล้วก็คิดถึงขึ้นมาจนน้ำตารื้น รติยาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้น้องมิวต้องกลับกับลุงรุจ ปกติแล้วลุงรุจมารับน้องมิวบ่อยไหมคะ”
“ไม่บ่อยค่ะ” น้องมิวตอบแล้วเปลี่ยนท่าทีจากที่เกือบจะเศร้าเป็นยิ้มเผล่ “แต่ตอนนี้ลุงรุจคงมารับน้องมิวบ่อยขึ้น เพราะจะหาข้ออ้างมาหาน้ารุ้ง เพราะน้ารุ้งเป็นแฟนของคุณลุง”
เด็กหญิงบอกแล้วยิ้มให้อย่างที่รติยาคิดว่าเหมือนอติรุจจริงๆ ความคิดแก่แดดแก่ลมเกินวัยแบบนี้ สงสัยคุณลุงตัวดีคงไปพูดหรือสอนอะไรให้หลานฟังแน่ๆ แต่เรื่องเรียกว่า ‘น้า’ นี่สงสัยต้องขอเปลี่ยนสักหน่อย หล่อนเพิ่งอายุยี่สิบสี่เอง โดนเรียกแบบนี้แล้วรู้สึกแก่ยังไงไม่รู้
“น้องมิวเรียกพี่รุ้งดีกว่าค่ะ เรียกน้าแล้วมันดูแก่ยังไงไม่รู้”
“แต่คุณแม่บอกน้องมิวว่า น้ารุ้งเป็นแฟนของลุงรุจ แต่เพราะว่าอายุน้อยกว่าคุณแม่ก็เลยให้เรียกน้า”
“ถ้าตามลำดับอาวุโสแล้วมันก็ใช่จ้ะ แต่พี่อนุญาตให้เรียกพี่ได้”
เด็กหญิงทำหน้างง แต่ก็ยอมเรียกรติยาว่าพี่ตามที่อีกฝ่ายบอก อีกทั้งเจ้าตัวก็รู้สึกว่ารติยายังไม่แก่ ดูไม่เหมือนคนที่ถูกเรียกว่าน้าส่วนใหญ่ซึ่งอายุมากกว่านี้หลายเท่า
“ก็ได้ค่ะพี่รุ้ง”
รติยานั่งเล่นรออยู่กับน้องมิวสักพัก เสียงเรียกของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัวเดินส่งยิ้มมาแต่ไกล
“คุณรุ้ง น้องมิว รอผู้ปกครองมารับอยู่เหรอครับ”
“ค่ะ ครูเจตต์”
เด็กหญิงหันไปตอบและยิ้มให้ ก่อนที่ครูเจตต์จะขออนุญาตนั่งลงข้างๆ รติยา โดยเว้นระยะห่างไว้พอประมาณไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป แล้วก็ชวนทั้งสองคนคุย
“วันนี้เป็นไงบ้างครับคุณรุ้ง เห็นตอนเที่ยงไปกินข้าวที่โรงอาหาร ผมจะเข้าไปทัก แต่เห็นคุณอติรุจอยู่ด้วยเลยไม่อยากเข้าไปรบกวน”
รติยายิ้มเขินๆ แต่ยังไม่ทันตอบ น้องมิวก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ไม่ได้นะคะครูเจตต์ พี่รุ้งเป็นแฟนของลุงรุจ ครูเจตต์ห้ามจีบเด็ดขาด”
“อื้อหือ...มีหน่วยพิทักษ์คุณรุ้งด้วย” เจตต์แซวแล้วแกล้งพูดออกมา “แต่เป็นแค่แฟนนี่ครับ ยังไม่ได้เป็นภรรยา ครูเจตต์ก็ยังจีบได้สิ”
น้องมิวถึงกับทำหน้างง ส่วนรติยาก็หน้าเหลอไปเลย ไม่คิดว่าครูหนุ่มจะกล้าเล่นมุกนี้ ฝ่ายเจตต์พอเห็นหล่อนทำหน้าอย่างนั้นรีบขอโทษที่พูดอะไรเกินไป
“ขอโทษครับคุณรุ้ง ผมแค่แหย่เล่น ก็เห็นน้องมิวพูดอย่างนั้น สบายใจได้ครับ”
รติยาไม่ได้พูดหรือต่อว่าอะไร พอดีกับที่น้องมิวหันไปเห็นรถยนต์ของอติรุจแล่นเข้ามาที่โรงจอดรถผู้อำนวยการพอดีจึงหันไปบอกหล่อน
“อ๊ะ ลุงรุจมาแล้วค่ะพี่รุ้ง”
น้องมิวบอกแล้วรีบวิ่งไปที่รถที่กำลังจะจอด พอรถยนต์จอดสนิทอติรุจก็ก้าวลงมา รติยาจึงลุกขึ้นและจะเดินไปหาเขา เห็นน้องมิวพูดอะไรสักอย่างกับอติรุจ แล้วเขาก็มองมาทางหล่อนซึ่งตอนนี้มีครูเจตต์ยืนอยู่ข้างๆ รติยาจึงหันไปบอกสวัสดีครูหนุ่มตามมารยาท
“รุ้งกลับก่อนนะคะ ขอบคุณนะคะที่มานั่งคุยด้วย”
“ครับ คุณรุ้ง”
เจตต์ว่าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ส่วนรติยาเดินไปหาอติรุจ เขาก็ยิ้มให้ตามปกติ แต่ไม่รู้ทำไมหล่อนกลับรู้สึกว่าวันนี้รอยยิ้มของเขาดูไม่เหมือนเคย หล่อนคิดว่าเขาคงทำงานหนักและเหนื่อยเพลีย
“วันนี้คุณตาลบอกให้คุณรุจพาน้องมิวกลับไปด้วยค่ะ คุณตาลขอทำงานต่อให้เสร็จค่ะ”
“อีกแล้วเหรอ ทำงานหนักมากไปแล้วนะยายตาล”
อติรุจบ่นถึงน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แต่จะว่าตุลยาทำงานหนักคนเดียวก็ไม่ได้ เขาเองช่วงนี้ก็ทำงานหนักไม่แพ้กัน เพียงแต่ทำจนชินไปแล้วเลยไม่รู้สึกว่าหนักหนาสาหัสอะไร ต่างจากน้องสาวที่เพิ่งมาเห็นว่าพักหลังชอบทำงานเลิกช้าอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยพูดอะไรให้ฟัง แล้วก็ไม่มีท่าทางอะไรแปลกๆ ด้วย เขาจึงไม่ได้ก้าวเข้ามายุ่ง แต่ก็คอยสังเกตอยู่ เพราะถึงจะโตแค่ไหนก็ยังคงเป็นน้องสาวของเขาอยู่ดี
ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วพาหลานสาวกับรติยาขึ้นรถไปด้วยกัน เขาถือโอกาสพารติยามาที่บ้านของตนเองเพื่อกินมื้อเย็นด้วยกัน แต่เพราะน้องชายของเขายังไม่กลับจากบริษัท ทำให้มื้อเย็นวันนี้เหมือนเขาพาว่าที่สะใภ้มากินข้าวกับแม่สามีเพื่อสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่มีผิด
ฝ่ายครูเจตต์หลังจากแยกกับรติยามาแล้วก็เจอกับรองผู้อำนวยการปฏิพัทธ์ สีหน้าของเจตต์เปลี่ยนไป เขาไม่ชอบรองผู้อำนวยการคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากในสายตาเขา ปฏิพัทธ์เป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว ชอบยกตนข่มท่านและโอ้อวด บางครั้งก็เหยียดคนที่ต่ำกว่า
ทว่าสิ่งที่ปฏิพัทธ์มีดีนั้นคือทำงานเก่งจริง สมกับเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียน แล้วเพราะเหตุที่ปฏิพัทธ์เป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงเรียนนี้เอง เขาจึงแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ไม่มากนัก
“ครูเจตต์ ผมขอเตือนเลยนะว่าโรงเรียนของเรามีกฎเรื่องชู้สาว อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด แล้วทางที่ดีก็ตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าของโรงเรียน คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”
“ต้องขอบคุณรองผู้อำนวยการที่เตือนครับ” เจตต์บอกขอบคุณก็จริงแต่ดวงตากลับฉายแววตำหนิ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และรู้กฎของโรงเรียนนี้ดี”
“คุณรู้กฎก็ดีแล้ว จะได้เตือนตัวเองบ่อยๆ ถ้าเผลอใจขึ้นมามันจะมีแต่เจ็บ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมขอตัวก่อน”
เจตต์กล่าวจบแล้วทำท่าจะเดินเลี่ยงจากไป ทว่ากลับถูกรองผู้อำนวยการทัดทานไว้ด้วยคำพูดที่เหมือนจะหวังดี แต่ฟังอย่างไรก็เหมือนกระแทกแดกดันมากกว่า
“ตามสบาย ผมแค่ไม่อยากให้คุณทำตัวเหมือนหมามองเครื่องบินที่ได้แต่มอง แต่ทำอะไรไม่ได้”
ครูพละหนุ่มถึงกับโมโห มองหน้าอีกฝ่ายอย่างกรุ่นโกรธ ใจอยากจะชกอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่โต้กลับไปแบบเรียบๆ ตามเคย
“ครับ ผมอาจจะเป็นหมามองเครื่องบินที่ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาต้องเอาจริงขึ้นมา หมาที่ได้แต่แหงนมองเครื่องบินมันก็กัดคนได้เหมือนกัน ขอตัวนะครับรองผู้อำนวยการ”
เจตต์กล่าวจบก็ขอตัวจากไป ปล่อยให้ปฏิพัทธ์ได้แต่มองตามด้วยความโกรธที่ถูกย้อน แต่ก็รักษาท่าทีไว้และเดินไปยังลานจอดรถของเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน เขาขับรถกลับที่พักด้วยความหัวเสียสุดๆ เพราะความจริงแล้วทั้งปฏิพัทธ์และเจตต์ ต่างคนต่างรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของทั้งสองมีนัยแฝงอยู่และหมายถึงใคร
ทางด้านรติยาซึ่งมากินมื้อเย็นที่บ้านอติรุจก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เป็นมื้ออาหารที่ทั้งอบอุ่นและอร่อยมาก เพราะนงนภาลงครัวด้วยตัวเองเพื่อว่าที่ลูกสะใภ้และโชว์สูตรเด็ดอาหารประจำบ้านให้ได้ลิ้มลองกัน ทั้งแกงรัญจวน ยำทวาย ไข่เจียวฟูกุ้งสับ ตบท้ายด้วยทับทิมกรอบสีสวยน่ากินอย่างมาก
พอกินอาหารเสร็จแล้วนงนภาก็ย้ายมานั่งในห้องนั่งเล่น ส่วนน้องมิวต้องไปทำการบ้าน ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่นงนภา อติรุจ และรติยาเท่านั้น
“หนูรุ้งทำงานที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหมลูก” นงนภาถามไถ่ว่าที่ลูกสะใภ้อย่างเอ็นดู
“ไม่เหนื่อยค่ะคุณป้า คงเพราะยังไม่ได้ทำอะไรมาก ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเรียนรู้งานค่ะ”
“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะลูก ไม่ต้องเกรงใจ แล้วนี่บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนตั้งมาก เดินทางเหนื่อยแย่เลย มาพักที่บ้านป้าไหมลูก ไปกลับใกล้กว่ากันเยอะเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า หนูเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรลูก อนาคตหนูก็ต้องมาอยู่บ้านนี้อยู่แล้ว”
นงนภาว่าแล้วหันไปยิ้มกับลูกชาย เอ็นดูว่าที่สะใภ้ที่ยังจะคิดอีกว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานะใดได้ ในเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจแล้วว่าลูกของทั้งคู่น่าจะไปกันรอดมากกว่าคบกันไม่ยืด
รติยาไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่ยิ้มแก้เขิน นงนภาจึงไม่เซ้าซี้ต่อให้อึดอัดใจและเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วก็บอกให้ลูกชายชวนรติยามากินข้าวด้วยกันที่บ้านบ่อยๆ โดยอ้างว่า
“ป้าอยู่บ้านมันเหงา ถึงจะมีแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็ไม่ครึกครื้นเท่าไหร่ ถ้าไม่มีประชุมกรรมการบริษัทหรือไปที่บริษัท ก็มีแค่พบปะสังสรรค์ เข้างานสังคมไปเรื่อย ช่วงนี้มีไปเยี่ยมตาลที่โรงพยาบาลช่วงกลางวัน แต่นอกนั้นแล้วป้าก็ไม่ค่อยได้ไปไหนมาก ก็คนแก่แหละลูก กิจกรรมมันก็ไม่มีอะไรมาก ไม่เหมือนคนหนุ่มสาว แค่ตอนนี้ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ก็ถือว่าบุญมากแล้ว”
นงนภาเล่าให้ฟัง ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป แล้วถามว่าที่ลูกสะใภ้ว่าชอบกินอะไรเป็นพิเศษ เผื่อวันหลังมาที่บ้านจะได้ทำเตรียมไว้ ผ่านไปครู่ใหญ่นงนภาก็ขอตัวไปดูรายการโปรด อติรุจจึงพารติยาไปเดินเล่นที่สวนหย่อมหน้าบ้าน แล้วถือโอกาสถามเรื่องที่ค้างคาใจตั้งแต่ตอนไปรับหล่อนที่โรงเรียน
“น้องมิวบอกผมว่าครูผู้ชายคนนั้นจีบคุณ จริงหรือเปล่า”
“คะ? ครูผู้ชาย อ๋อ หมายถึงครูเจตต์ ค่ะ เขาพูดว่าจีบจริง”
หล่อนยอมรับอย่างไม่ปิดบังใดๆ แค่ต้องการแหย่เขาเล่น แต่พอเห็นสีหน้าของเขาไม่มีแววล้อเล่นด้วย จึงรีบเฉลยก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดว่าตนยอมให้คนอื่นมาจีบทั้งที่มีเขาเป็นแฟนอยู่แล้ว
“ครูเจตต์เขาไม่ได้จีบจริงๆ หรอกค่ะ แค่พูดแหย่เล่น เพราะน้องมิวออกตัวแรง หวงรุ้งแทนคุณลุงขี้เก๊กว่าห้ามจีบนะ เพราะรุ้งเป็นแฟนคุณ ครูเจตต์เขาก็เลยบอกว่ายังเป็นแค่แฟนกัน ไม่ใช่สามีภรรยากัน เขาก็ยังมีสิทธิ์จีบได้ พูดกันแค่นี้แหละค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
รติยาอธิบายทุกอย่างแบบไม่โกหกและไม่กั๊กคำพูดใด แต่กลับกลายเป็นว่าอติรุจหน้าตึงยิ่งกว่าเดิมเสียอย่างนั้น เพราะมันเหมือนกับเขาถูกลูบคมกัน แบบนี้จะยอมได้อย่างไร
หน็อย! ไอ้ครูหน้าหม้อ แฟนเขาก็แสดงตัวให้เห็นอยู่แล้ว ยังจะกล้ามาโยนหินถามทางอีกเหรอ แบบนี้เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้เสียแล้ว!
“หลังจากนี้ผมจะไปรับคุณกลับบ้านทุกวัน” เขาประกาศชัด
“หึงเหรอคะ”
หล่อนถามทีเล่นทีจริงและทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แต่อติรุจไม่ได้ล้อเล่นเรื่องนี้ แววตาของเขาจริงจังมากเช่นเดียวกับคำพูดที่เอ่ยออกมา
“ผมพูดจริง ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว ถึงจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ผมก็บอกตัวเองว่าผมจะให้เกียรติคุณและให้เกียรติทุกคนรอบตัวคุณ ผมเชื่อว่าคุณจะไม่สนใจเขาเพราะคุณมีแฟนแล้ว ส่วนผมเองก็จะไม่สนใจใครเพราะผมมีคุณเป็นแฟนแล้วเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากนี้ถ้าเขาแค่พูดคุยกับคุณธรรมดาเหมือนเพื่อนร่วมงานกันหรือเหมือนครูในโรงเรียนคุยกันตามปกติ ผมจะไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ถ้าเขากล้าจีบคุณอีก เขาได้ออกจากโรงเรียนแน่!”
“คุณรุจ”
รติยาชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้ ทำเอาหล่อนถึงกับหัวใจเต้นแรง เพิ่งเคยเจอคนหึงจริงๆ ก็วันนี้นี่ละ ทำให้นึกถึงคำพูดที่รณพีร์เคยพูดกับหล่อนตอนที่มีผู้ชายมาจีบแล้วโดนพี่ชายสองคนเอาจริงจนใส่เกียร์ถอยหนีไปเลย
‘ผู้ชายมันต้องมีมุมร้ายๆ อยู่ในตัว ไม่ใช่ทำตัวร้ายกาจกับคนที่เรารักหรือมีไว้ทำร้ายคนที่เรารัก แต่ความร้ายกาจนี้เปรียบเสมือนเขี้ยวเล็บที่มีไว้เพื่อปกป้องและหวงแหนผู้หญิงของตัวเอง แล้วก็เพื่อให้ความมั่นใจแก่คนที่เรารักด้วยว่าเราจริงจังกับเขามากแค่ไหน ไม่ใช่เจออะไรหน่อยก็โกยแน่บหนี หรือมีใครมาวอแวแฟนเราก็ทำเฉยว่าไม่เป็นไร แบบนั้นมันอ่อนหัด’
โอ๊ย ตอนนี้รู้แล้วค่ะว่าผู้ชายไม่อ่อนหัดเป็นยังไง ขอยกธงขาวแต่เนิ่นๆ เลยแล้วกัน!
“เข้าใจแล้วค่ะ...” หล่อนหยุดไปนิดก่อนจะยิ้มและแหย่เขา “แต่ถ้าอนาคตมีใครเข้ามาวุ่นวายกับคุณรุจ รุ้งก็ไม่ยอมเหมือนกัน ตกลงไหมคะ”
“ตกลง ถ้าผมนอกลู่นอกทาง เชิญควักหัวใจผมทิ้งได้เลย”
“บ้า รุ้งไม่ใช่นางยักษ์เสียหน่อย จะได้ไปควักหัวใจคุณรุจทิ้ง”
“ก็ควักหัวใจผมไปไว้ในใจคุณไง”
อติรุจพูดหน้าตาเฉย แต่อารมณ์ดีแล้วหลังจากหงุดหงิดเรื่องนั้น เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าหล่อนไม่ได้เพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ในครั้งนี้ แล้วความรักก็กำลังร้อยรัดพันเกี่ยวให้ความรู้สึกของทั้งสองคนสุกงอมยิ่งขึ้นหลังจากนี้เป็นต้นไป
ความคิดเห็น |
---|