บทที่ ๓

เพราะไม่มีความรู้สึก

 

ฝนตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนน้ำระบายไม่ทัน เกิดน้ำท่วมขังในซอยบ้านของอัจจิมาจนรถแท็กซี่ไปต่อไม่ได้ หญิงสาวจำใจต้องลงจากรถไปยืนหลบฝนที่หน้าร้านขายของชำ ครู่หนึ่งมีชายวัยรุ่นเดินขากะเผลกผ่านมา ชายคนนี้สวมเสื้อขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาสกปรกมอมแมม เขาเข้ามายืนหลบฝนข้างๆ เธอ อัจจิมาขยับหนีจนตัวพ้นออกไปนอกชายคาทำให้แขนเสื้อเปียกฝน สายตาที่เธอมองชายอนาถานั้นฉายแววรังเกียจปนสมเพชเวทนา

“พี่รังเกียจผมเหรอ” ชายวัยรุ่นถามขึ้น

“เอ่อ...เปล่า” อัจจิมาตอบอ้อมแอ้ม ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้

ชายวัยรุ่นมองหน้าหญิงสาวตรงๆ แล้วพูดต่อไป “พี่จะคิดอะไรก็คิดไปเถอะ ถ้าพี่เป็นอย่างผม แล้วพี่จะรู้สึก”

“เอ๊ะ...เธอมีสิทธิ์อะไรมาแช่งฉัน” อัจจิมาโวยวายทันที

ชายวัยรุ่นยิ้มมุมปาก เบนสายตามองท้องฟ้ามืดดำ

ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าลงมาตรงกลางถนนเบื้องหน้าของหญิงสาวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

อัจจิมาสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มตัวทั้งที่อยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เธอมองไปรอบตัว ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอน ชายวัยรุ่นคนนั้นอยู่ในความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่สมจริงเหลือเกิน หญิงสาวยังจำสายตาทรงพลังที่มองมาได้ เสียงฟ้าผ่าก็ยังก้องอยู่ในโสตประสาท

“แม่ปลุกเสียงดังไป ตกใจตื่นเลยเหรอลูก ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” จิตราภาบอกลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

“ไม่ใช่เสียงแม่หรอกค่ะ เอมฝันร้ายต่างหาก”

“ตายแล้ว ฝันว่าอะไรลูก”

“ช่างมันเถอะค่ะแม่” จู่ๆ อัจจิมาก็เกิดกลัวความฝันนั้นขึ้นมา

“ฝันตอนค่อนรุ่งเขาว่าจะเป็นลางบอกเหตุ แต่ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวตอนล้างหน้าไปแก้ฝันให้ฝันร้ายลอยไปกับพระแม่คงคานะลูก”

อัจจิมาถูกแม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าฝันร้าย ให้ไปแก้ฝันกับพระแม่คงคาด้วยการเปิดก๊อกน้ำแล้วเอามือวักน้ำออกนอกตัวพร้อมทั้งอธิษฐาน ขอให้สิ่งเลวร้ายลอยไปกับสายน้ำซึ่งเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของพระแม่คงคา อัจจิมาทำตามบ้างไม่ทำบ้างเพราะไม่ค่อยเชื่อถือ แต่ครั้งนี้เธอย้ำเตือนตัวเองว่าจะไม่ลืมทำ เพราะรู้สึกกลัวว่าคำสาปแช่งในฝันนั้นจะกลายเป็นจริง

“ทำไมแม่มาปลุกเอมล่ะคะ เอมตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วนี่” อัจจิมาถามแม่แล้วหันไปมองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้จะเก้าโมง อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่เธอนัดให้กุ้งนางมารับไปทำงาน

“บ้าจริง เอมลืมตั้งนาฬิกาปลุก” หญิงสาวร้อง

“เอมไม่ได้ลืมหรอกลูก นาฬิกาปลุกแล้วแต่ลูกคงเผลอกดปิดน่ะ แม่ได้ยินเสียงปลุกนานแล้วไม่เห็นเอมลงไป แม่ก็เลยมาเรียกนี่แหละ”

อัจจิมารู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที วันนี้มีฟิตติงละครเรื่องเพลิงพรางตา เธอไม่อยากไปสาย เดี๋ยวนายแดนสรวงจะมาหาเรื่องค่อนขอดเธออีก

เมื่อเดือนก่อนหลังจากผ่านการคัดเลือกให้รับบทพวงครามได้หนึ่งหนึ่งสัปดาห์ ผู้จัดก็นัดหมายให้อัจจิมาไปประชุมทำความเข้าใจ แต่พอไปถึงกลับเป็นการรันทรู หรือให้นักแสดงซ้อมอ่านบทละครเสมือนแสดงจริง อัจจิมาไม่พอใจที่ผู้จัดนัดเธอไปอย่างนั้นเพราะคิดว่านักแสดงที่ทำงานมานานอย่างตัวเองไม่จำเป็นต้องซ้อมอ่านบทก่อนถ่ายทำร่วมกับนักแสดงหน้าใหม่และกลุ่มนักแสดงสมทบ ยิ่งเห็นว่าพิมพ์ระพีและนักแสดงรุ่นใหญ่บางคนไม่ได้มาร่วมประชุมด้วยเธอก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ แม้ว่าวันนั้นอัจจิมาจะพยายามเก็บความรู้สึก แต่เธอก็หงุดหงิดทั้งกับงานและผู้ร่วมงานอย่างผู้กำกับหน้าอ่อนคนนั้นที่ดูเหมือนจะดูออกว่าเธอไม่พอใจ

วันนั้นอัจจิมารู้สึกว่าแดนสรวงจับตาดูเธออยู่ตลอด เธอคิดว่าเขาคอยจ้องจะจับผิดเธอ เธอตั้งใจว่าวันนี้จะต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด แต่เช้านี้ก็ตื่นสายจนได้

รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บหลังจนต้องหยุดชะงัก

“เอม เป็นอะไรลูก”

หญิงสาวเจ็บจนพูดไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ตอบออกมาได้ “ไม่เป็นไรค่ะแม่”

“เกี่ยวกับที่หกล้มเมื่อคืนนี้หรือเปล่า กุ้งนางบอกแม่ว่าหนูหกล้มตอนซ้อมเดินแบบ”

เมื่อวานนี้อัจจิมามีงานเดินแบบตลอดทั้งวัน ในช่วงเช้าที่ซ้อมเดินอัจจิมาเกิดสะดุดชายกระโปรงหกล้มบนเวที เธอเจ็บหลังมากจนผู้จัดงานแนะนำให้ไปหาหมอ แต่อัจจิมาเลือกกินแค่ยาแก้ปวด เพราะไม่อยากพลาดเดินแบบชุดฟินาเลซึ่งเป็นชุดสุดท้ายที่สวยที่สุดในงานคืนนั้น

อัจจิมาไม่อยากให้แม่เป็นห่วงจึงไม่ได้บอกว่ารู้สึกเจ็บแปลบที่หลังแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว แต่ความเจ็บจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วหายไป เว้นแต่หลังจากหกล้มในงานเดินแบบเมื่อคืนที่เจ็บมากและนานกว่าทุกครั้ง อัจจิมาตั้งใจว่าจะหาเวลาไปหาหมอทันทีที่ว่างจากงาน

“อาจจะเกี่ยวมั้งคะ คงไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ไปเตรียมแซนด์วิชให้เอมหน่อยนะคะ เอมจะเอาไปกินในรถ” หญิงสาวบอกพลางไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วหายเข้าห้องน้ำไป

จิตราภาเตรียมแซนด์วิชไข่ต้มใส่ไก่ฉีกราดด้วยมายองเนสอย่างที่ลูกสาวชอบใส่กล่องพลาสติกสุญญากาศ อรรถพลผู้เป็นสามีก็ชงกาแฟใส่ในกระติกเก็บความร้อนให้ลูกด้วย เขาสังเกตเห็นว่าภรรยาสีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่ลงมาจากห้องนอนของลูก รอจนภรรยาหยุดมือแล้วจึงถาม

“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”

“ฉันใจไม่ดีเลยค่ะคุณ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร บรรยากาศรอบตัวมันก็หม่นๆ มัวๆ ยังไงไม่รู้ เอมก็บอกว่าฝันร้าย ฝันตอนค่อนรุ่งเขาว่าเป็นลางบอกเหตุด้วยสิ”

“คุณก็คิดมากไป มันก็แค่ความฝัน ลูกเราทำงานหักโหมไปนะผมว่า พอเหนื่อยเลยฝันร้าย”

“คุณก็รีบทำสวนของคุณให้เป็นสวนเงินล้านซะทีสิ ลูกจะได้ไม่ต้องรับงานเยอะแยะ” จิตราภาประชด

อรรถพลอยากจะสวนคำไปว่าถ้าหากจิตราภาใช้จ่ายให้น้อยลง ลูกก็คงไม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะถือว่าที่ฐานะครอบครัวยังไม่ดีนักก็เป็นความรับผิดชอบของเขา

เดิมทีครอบครัวของอรรถพลมีฐานะดีเข้าขั้นมหาเศรษฐี พ่อของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจัดสรรที่ดินและมีบริษัทลูกเป็นบริษัทนำเข้าและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ อรรถพลรักชอบกับจิตราภาตั้งแต่เขาเรียนจบ มาช่วยงานพ่อได้ไม่นาน จิตราภาเป็นลูกสาวแม่ค้าในตลาดละแวกบ้าน เหตุผลที่จิตราภาตัดสินใจแต่งงานกับอรรถพลก็ด้วยความรักประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือความมั่นคงในชีวิตที่เธอคาดหวังว่าจะได้รับหลังการแต่งงาน

ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่จิตราภาคาดหวังจนกระทั่งถึงช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทแม่คือธุรกิจจัดสรรที่ดินของผู้เป็นพ่อล้มไม่เป็นท่า แต่บริษัทวัสดุก่อสร้างของอรรถพลเองยังพอเอาตัวรอดได้ แต่อีกสิบปีต่อมาเขาก็ดำเนินธุรกิจผิดพลาดจนบริษัทต้องปิดตัวลง อรรถพลตัดสินใจเอาเงินก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปลงทุนซื้อที่ดินทำการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แม้ว่าภรรยาจะไม่พอใจในการตัดสินใจของเขา แต่เขาก็มั่นใจว่าทางที่เขาเลือกจะทำให้ครอบครัวอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

เมื่อวิถีชีวิตที่สุขสบายต้องกลายมาเป็นชีวิตที่ต้องประหยัดอดออมจิตราภาก็หมดความสุข เธอยังรักอรรถพล แต่ก็อดคิดว่าเขาเป็นสามีที่ไม่เอาไหนเลยไม่ได้ สิ่งเดียวที่เป็นความหวังของจิตราภาก็คืออัจจิมา ลูกสาวคนเดียวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ในช่วงเวลาที่ฐานะครอบครัวกำลังตกต่ำ เด็กหญิงอัจจิมาก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กน้อยน่ารัก จิตราภาเห็นว่ามีเด็กน่ารักมากมายที่หารายได้ได้จากการเป็นนางแบบโฆษณา เธอจึงพาลูกสาวไปทดสอบการแสดง อัจจิมาได้งานเดินแบบแฟชั่นเสื้อผ้าเด็กเป็นงานแรก หลังจากนั้นก็รับงานถ่ายแบบโฆษณาเรื่อยมา จนกระทั่งได้ประกวดนางแบบและเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวในที่สุด

อรรถพลไม่สนับสนุนให้ลูกสาวเข้าวงการบันเทิง แต่ก็ต้องยอมรับว่ารายได้ของลูกสาวจุนเจือครอบครัวได้จริงๆ ลำพังแค่รายได้จากการขายผลไม้ในสวนไม่อาจทำให้ชีวิตของภรรยาและลูกสุขสบายได้อย่างที่เคยเป็น อรรถพลอยากจะให้จิตราภาเข้าใจว่าชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่พอเพียงพอใจ ไม่ใช่ชีวิตที่ไหลไปตามความต้องการของกิเลส แต่เขาก็จนปัญญาจะอธิบาย ได้แต่ปล่อยให้ภรรยาสอนลูกให้มีรสนิยมสูงเกินตัวเสมอมา

สวนผลไม้ของอรรถพลเริ่มให้ผลผลิตและมีรายได้เลี้ยงตัวเองมาได้หลายปีแล้ว อรรถพลเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในสวนเพื่อให้มีรายได้เพิ่มเติม แต่แม้ว่าสวนจะสร้างกำไรได้ จิตราภาก็ยังไม่พอใจ เธอไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนนครปฐมตามความตั้งใจของเขา จิตราภาอ้างว่าสวนอยู่ไกล เดินทางไม่สะดวก จิตราภาเลือกหารายได้ด้วยการใช้เวลาว่างขายของออนไลน์ร่วมกับกุ้งนาง เธอคุยอวดกับสามีอยู่เสมอว่าธุรกิจขายสินค้าแบรนด์เนมของเธอมีรายได้มากกว่าสวนผลไม้ของเขาและยังมีหน้ามีตาในสังคมมากกว่าด้วย อรรถพลจึงต้องจ้างหลานชายและหลานสาวไปช่วยดูแลสวน ส่วนตัวเขาเองก็ปักหลักอยู่ที่บ้านในเมืองหลวง

กุ้งนางมารับอัจจิมาตามเวลา แต่การจราจรติดขัดทำให้ทั้งสองคนเดินทางมาถึงออฟฟิศของบริษัทเจนจัด พลัส สตูดิโอช้ากว่าเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง

“โอย...ทำไมรถมันติดอย่างนี้นะ นี่ดีนะที่ลิลลี่ไม่ได้เล่นเรื่องนี้ ถ้าพี่ต้องแวะไปรับลิลลี่ด้วยแย่เลย เดี๋ยวเอมลงรถแล้วเข้าตึกไปเลยนะ พี่หาที่จอดรถได้แล้วตามไป” กุ้งนางสั่งอัจจิมาแล้วจอดรถให้เธอลงที่หน้าอาคารสำนักงาน

อัจจิมารีบขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสาม เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกหญิงสาวก็เห็นว่าโถงกลางที่เคยเป็นที่นั่งรอทดสอบการแสดงเมื่อเดือนก่อนถูกจัดให้เป็นที่ถ่ายภาพฟิตติงละคร   ฉากหลังเป็นบลูสกรีนเพื่อให้ทีมงานสามารถนำรูปที่ได้ไปตัดต่อด้วยโปรแกรมให้เหมือนว่านักแสดงอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน ช่างไฟกำลังจัดแสง ช่างกล้องกำลังเตรียมถ่ายภาพในชุดต่อไป ทีมงานฝ่ายเสื้อผ้าก็กำลังขนย้ายราวเสื้อผ้าเข้าไปในห้องแต่งตัว

“คุณเอมมาแล้ว” ป้าติ่งช่างแต่งหน้ารีบวิ่งเข้ามาหาอัจจิมาทันทีที่หันมาเห็นเธอเดินออกมาจากลิฟต์ “รีบไปแต่งหน้าแต่งตัวเถอะค่ะ คนอื่นมากันครบแล้ว ถ่ายไปหลายชุดแล้วค่ะ”

อัจจิมาเห็นตรีภพกำลังจะเดินเข้าฉากถ่ายภาพ เธอไม่ได้ทักทายเขาเพราะเกรงจะรบกวนสมาธิ

แดนสรวงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขากำลังเลือกรูปถ่ายที่ใช้ได้และปรับแต่งเพิ่มเติม เมื่อดาราสาวและช่างแต่งหน้าเดินผ่าน ชายหนุ่มก็จงใจสั่งงานเสียงดังให้อัจจิมาได้ยิน 

“ให้มันสวยและเร็วสมเป็นมืออาชีพหน่อยนะป้า เสียเวลามามากแล้ว”

“ค่ะๆ ป้าจะแต่งให้สวยเลยค่ะ”

อัจจิมารู้ว่าแดนสรวงตั้งใจว่ากระทบเธอ เพราะเมื่อวันที่มาซ้อมอ่านบทเธอเคยบ่นว่า นักแสดงมืออาชีพอย่างเธอไม่มีความจำเป็นจะต้องมาซ้อมอ่านบทกับนักแสดงหน้าใหม่ หญิงสาวนึกอยากจะตอบโต้กลับ แต่ก็จนใจเพราะเธอมาสายจริงๆ กลัวว่ายิ่งแก้ตัวจะยิ่งทำให้เสียเวลาจึงรีบเดินตามช่างแต่งหน้าไปที่ห้องแต่งตัว

มาค่ะ มาลองชุดกันก่อน วันนี้คนไม่พอ ป้าเลยเหมาตำแหน่งผู้ช่วยแต่งตัวนักแสดงด้วยเลยค่ะ” ป้าติ่งบอกเมื่อเข้ามาในห้องแต่งตัวนักแสดง ช่างแต่งหน้าสาวใหญ่กุลีกุจอเลือกเสื้อผ้า

“นี่ไม่มีห้องแต่งตัวเฉพาะให้เอมเหรอคะ”

“โอย...ไม่มีหรอกค่ะคุณ” ป้าติ่งลงท้ายคำว่า ‘คุณ’ เสียงสูงบ่งบอกความรำคาญ “บริษัทนี้ก็มีแค่ชั้นนี้นะคะ ไม่ใช่ทั้งตึก แบ่งห้องแต่งตัวได้แค่ห้องนักแสดงหญิงกับห้องนักแสดงชายแค่นี้แหละค่ะ อ้อ มีผ้าม่านไว้แบ่งส่วนแต่งตัวกับแต่งหน้า จะต้องปิดไหมล่ะคะ มีกันอยู่แค่สองคนเนี่ย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เอมแค่ถามดู ป้าอย่าเข้าใจผิดว่าเอมเรื่องมากนะคะ” นักแสดงสาวรีบแก้ตัว ดูสีหน้าท่าทางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเธอ

“แหม ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ ป้าได้ยินมาว่าคุณเอม...เอ่อ...อย่าหาว่าป้าว่านะคะ เขาบอกกันว่าคุณเอมจู้จี้ นั่นนี่ ทำงานด้วยยาก แต่คุณเอมบอกอย่างนี้ป้าก็ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”

“คนก็พูดกันไป เอมก็แค่มีระเบียบในการทำงานของเอมน่ะค่ะ จะให้อะไรก็ได้ มันก็ไม่ใช่ ใช่ไหมคะ” อัจจิมาพูดให้ดูดีกลบเกลื่อนความขุ่นข้องในใจที่ช่างแต่งหน้าสาวใหญ่ตำหนิเธอต่อหน้า

ถึงแม้คนพูดจะบอกว่าได้ยินคนอื่นพูดกันมา แต่หญิงสาวก็รู้ว่าช่างแต่งหน้าสาวใหญ่คงรู้สึกกับเธอไม่ต่างจากคนอื่น ได้แต่คิดในใจว่าคอยดูเถอะ เธอจะทำให้ทุกคนในกองถ่ายยอมรับนับถือฝีมือการแสดงของเธอ อย่างที่ถึงเธอจะจู้จี้คนพวกนี้ก็ต้องยอม

“ค่ะๆ มาลองเสื้อเถอะค่ะ” ป้าติ่งบอกพลางหยิบชุดเดรสสั้นสีแดงเพลิงออกมาจากราวเสื้อผ้า

เมื่ออัจจิมาเห็นก็ชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะสั้นแล้วยังเป็นชุดเข้ารูป เปิดไหล่ และคอเว้าลึกจนเห็นเนินอก

“ชุดไม่โป๊ไปหน่อยเหรอคะ”

“ไม่โป๊หรอกค่ะ ตามบทพวงครามเป็นคนทะเยอทะยาน ชุดก็ต้องยั่วยวนหน่อยสิคะ”

ป้าติ่งแต่งหน้าได้สวยและเร็วตามที่รับรองไว้ หลังจากแต่งหน้าเรียบร้อยช่างแต่งหน้าสาวใหญ่ก็บอกอัจจิมา “ป้าแต่งหน้าคุณเอมให้คมๆ เฉี่ยวๆ หน่อยนะคะ จะได้เข้ากับชุดเซ็กซี่”

 อัจจิมามองดูชุดที่สวมใส่อีกครั้งอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เธอนึกถึงคำปรามาสของแดนสรวงที่ว่าเธอมีดีแค่ความเซ็กซี่ แต่เมื่อจะแสดงบทนี้แล้วเธอก็ต้องทำให้เต็มที่ เมื่อจะเป็นนางร้ายก็ต้องเป็นนางร้ายให้ดีที่สุด

ขยับเข้าไปใกล้กันอีกนิดนะครับ” ช่างกล้องบอกพิมพ์ระพีที่แต่งกายด้วยเสื้อสีพื้นนุ่งผ้าซิ่นตามบทคนรับใช้ ให้ขยับเข้าไปใกล้ตรีภพที่ใส่สูทโก้หรูตามบทเมฆ

“ยิ้มครับยิ้ม ขอสายตาแบบรักกัน นั่นละครับ นิ่งไว้นะครับ ดีมาก”

“เหมือนรูปพรีเวดดิงเลยนะพี่จี” นุกนิกพูดกับผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนดูอยู่หลังกล้อง 

จีรพัฒน์ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปจากตรงนั้น

“เป็นอะไรของเขา เราพูดอะไรผิดเหรอเนี่ย” สวัสดิการกองถ่ายสาวน้อยบ่นอุบอิบ

อัจจิมาที่ออกมาจากห้องแต่งตัวนึกตำหนินุกนิกในใจ เธอคิดว่าเด็กคนนี้ตาไม่ถึงที่ชมว่าพิมพ์ระพีเหมาะสมกับแฟนหนุ่มของเธอ คนที่เหมาะสมกับตรีภพคือเธอเท่านั้น คอยดูเถอะ ถ้าคนพวกนี้ได้เห็นรูปคู่ของเธอกับตรีภพต้องบอกว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

“ต่อไปขอเป็นเซตพุดจีบกับพวงครามนะครับ พระเอกเปลี่ยนชุดครับ” ทีมงานบอก

อัจจิมาเดินเข้าเซตสวนกับตรีภพที่เดินออก

“สู้ๆ นะคะเอม” ตรีภพหยอดคำหวาน

ทีแรกอัจจิมาคิดว่าจะแกล้งงอนเขาเล่นๆ ที่เขาถ่ายรูปใกล้ชิดกับคู่อริของเธอ แต่พอชายหนุ่มหยอดคำหวานก็เปลี่ยนใจยิ้มรับ

“สวัสดีจ้ะเอม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดีใจจังที่ได้เล่นละครกับเอม” พิมพ์ระพีทักอัจจิมาก่อน

“เราก็ดีใจ” อัจจิมาตีหน้าซื่อตอบคำ

“รูปแรกขอเป็นแบบยิ้มๆ รักกันนะครับ” จีรพัฒน์เข้ามาสรุปให้นักแสดงฟัง

“แต่คนรักกัน ไม่ต้องยิ้มให้กันก็ได้นี่คะ คนรักที่แกล้งเก๊กก็มีเยอะแยะไป” พิมพ์ระพีบอก

จีรพัฒน์ชะงักไปนิดหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบอะไร พิมพ์ระพีได้แต่อมยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้อัจจิมาเพื่อเตรียมโพสท่าถ่ายรูป

การถ่ายชุดแรกเป็นไปด้วยดี แต่ยิ่งใกล้ชิดกับพิมพ์ระพี อัจจิมาก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้ เมื่อรูปชุดต่อไปกำหนดให้พวงครามมองพุดจีบผู้เป็นพี่สาวด้วยความไม่พอใจ เธอจึงเสนอไอเดียในการโพสท่า

“เอมว่าให้พวงครามทำท่าผลักพุดจีบดีไหมคะ จะได้ได้อารมณ์ว่าสองคนไม่ถูกกัน”

“พี่แดนว่าไงฮะ” จีรพัฒน์ปรึกษาลูกพี่

“ลองดูก็ได้” แดนสรวงว่าพลางลุกขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์มาดู ผู้กำกับหนุ่มรู้สึกตั้งแต่ทดสอบบทคราวก่อนแล้วว่าอัจจิมาดูเหมือนไม่ค่อยถูกกับพิมพ์ระพี เขาอยากรู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร

“แสดงไปเลยไม่ต้องหยุดโพส จะได้สมจริง แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาตัดเป็นภาพนิ่งทีหลัง” ผู้กำกับบอก

เมื่อกล้องพร้อมการโพสท่าก็เริ่มขึ้น อัจจิมาเดินเข้าไปหาพิมพ์ระพีด้วยความตั้งใจจะผลักอีกฝ่ายจริงๆ เธอยกมือขึ้นหมายจะผลักหัวไหล่ แต่พิมพ์ระพีขยับตัวอัจจิมาจึงผลักอากาศแล้วพลาดล้ม ตัวเธอหมุนลงไปก้นจ้ำเบ้าเหยียดขาอยู่กับพื้น

“เอม เป็นอะไรหรือเปล่า ระพีขอโทษนะ” พิมพ์ระพีถามอย่างห่วงใย

“โอ๊ย...” อัจจิมารู้สึกเจ็บแปลบที่แผ่นหลังจนต้องร้องออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ลุกไหวไหม” แดนสรวงรีบเข้าไปดู เขาจะฉุดมือเธอให้ลุกขึ้น แต่หญิงสาวยกมือห้ามไว้

“มันเจ็บมาก ฉันเจ็บหลัง”

แดนสรวงใจหายวาบ เขาคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับจีรพัฒน์เมื่อเช้านี้

ตอนเช้าที่นักแสดงคนอื่นมากันครบแล้วแดนสรวงบ่นถึงอัจจิมา ตอนนั้นเองที่จีรพัฒน์นึกขึ้นมาได้แล้วเล่าว่าเมื่อวันที่คัดเลือกนักแสดงตอนที่ขี่จักรยานยนต์ออกจากบริษัท เขาเห็นอัจจิมาถูกรถสามล้อเครื่องเฉี่ยวชนจนล้มลง เขาจะเข้าไปช่วย แต่อัจจิมาขึ้นรถแท็กซี่ออกไปเสียก่อน จีรพัฒน์บอกว่าเขายังนึกเป็นห่วงว่านางเอกสาวจะบาดเจ็บ แต่สัปดาห์ถัดมาที่อัจจิมามาซ้อมอ่านบทละครเธอก็ดูปกติดี

แต่วันนี้ ตอนนี้...แดนสรวงไม่แน่ใจแล้วว่าอัจจิมาจะยังปกติดีอยู่หรือเปล่า

“จี เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

จีรพัฒน์ไม่คิดว่าแค่หกล้มจะต้องเรียกรถพยาบาล เขาจึงลังเล

“โทร. เร็วสิ” แดนสรวงสั่งซ้ำ จีรพัฒน์จึงรีบกดโทรศัพท์มือถือ

“คุณอยู่นิ่งๆ นะ อย่าขยับจนกว่าหมอจะมา ขยับผิดท่าจะยิ่งแย่” แดนสรวงจับมืออัจจิมาไว้แล้วบอก

ทุกคนในกองถ่ายรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา อัจจิมาไม่กล้าขยับ พยายามบังคับตัวเองให้นั่งนิ่งที่สุดตามที่แดนสรวงบอก แล้วก็ต้องใจหายเมื่อรู้สึกว่าเธอส่งความรู้สึกไปที่ปลายเท้าไม่ได้


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น