บทที่ ๑๔

๑๔

ฤกษ์ที่ดี คือ เลิกงานแล้วกลับบ้านได้

“อากงกับคุณย่าถึงไหนแล้วครับป๊า” เด็กชายที่นอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเอ่ยถามบิดา

“น่าจะยังอยู่บนเครื่องบินครับ” ชลชาติลดหนังสือในมือลงก่อนตอบ

“ทำไมอากงกับคุณย่าต้องไปสวิต” เด็กชายถามต่อ

ชลชาติยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ก่อนตอบ “คุณย่าชอบ อากงก็เลยพาไป”

เจ้าหนูจำไมปีนขึ้นไปนั่งบนตักบิดาแล้วเอียงหน้าขึ้นถาม “ทำไมถึงชอบครับ”

“เพราะอากงกับคุณย่าเคยไปฮันนีมูนที่นั่น” ชลชาติลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู เก้าเดือนหลังจากฮันนีมูนรอบนั้นมารดาก็ให้กำเนิดเขา นับตั้งแต่จำความได้ บิดามารดามักจะพากันไปรำลึกความหลังที่นั่นแทบทุกปี

“ฮันนีมูน” เด็กชายทวนคำ “เหมือนที่เจ็กจะพาซิ่มไปเที่ยวหรือครับ”

“ครับ ฮันนีมูนก็คือการท่องเที่ยวของคนที่รักกัน”

“คนที่รักกัน” เด็กชายพยักหน้ารับคล้ายเข้าใจ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด จากนั้นจึงดันตัวลงจากตักของบิดา “ต้นน้ำอยากปั่นจักรยาน”

“ได้สิลูก” ชลชาติว่าพลางเดินจูงมือบุตรชายออกไปยังสนามข้างบ้าน หลังจากที่ลูกร้องห่มร้องไห้ในคืนนั้น ชลชาติก็ตั้งใจปรับตารางการทำงานใหม่ เว้นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ไว้ เพื่อที่จะได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนครอบครัวอื่นบ้าง

“ดูทางให้ดี อย่าปั่นไวเกินไป” ชลชาติกำชับ

“ค้าบ” เด็กชายสมุทรยกมือขวาขึ้นทำท่าวันทยหัตถ์ 

ชลชาติส่ายหน้าพร้อมยิ้ม มองตามหลังบุตรชายที่รับปากว่าจะไม่ปั่นไว แต่กลับเร่งสปีดการปั่นขึ้นเนิน แล้วปล่อยตัวลงเนินโดยไม่มีการเบรก 

“ซิ่งแบบนี้ โตขึ้นป๊าจะทำใจให้ขับรถสปอร์ตได้ยังไง” 

“ป๊า ต้นน้ำเท่มั้ย” เด็กชายสมุทรตะโกนถาม ก่อนจะปล่อยรถจักรยานลงจากเนิน และเมื่อลงมาถึงพื้นที่ราบแล้วจึงสะบัดวงล้อหยุดรถได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

“เท่ครับ” ชลชาติยกนิ้วโป้งขึ้น

“ต้นน้ำเป็นลูกป๊า ก็ต้องเท่ ชิกๆ คูลๆ เหมือนป๊าอยู่แล้ว” เด็กชายคุยโว แล้วเร่งสปีดปั่นจักรยานคันโปรดกลับขึ้นไปบนเนินอีกรอบ ทว่าการปล่อยตัวลงรอบนี้ไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนหน้า เมื่อวงล้อแฉลบโดนหินก้อนเล็กจนเสียหลัก พุ่งลงข้างทาง พลิกคว่ำชนเข้ากับต้นไม้

“ต้นน้ำ!” ชลชาติร้อง แล้ววิ่งเข้าไปหา 

“โอ๊ย!” เด็กชายร้องเมื่อบิดาจับแขนขาพลิกดูความผิดปกติ “ป๊า เจ็บ” 

“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ป๊าจะพาไปหาหมอนะครับ” คนใจแข็งที่ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดสั่นไปทั้งตัวและเสียง อุ้มเจ้าของร่างเล็กที่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลไปยังโรงรถ

“คุณต้นน้ำเป็นอะไรคะ” เรียม แม่บ้านเก่าแก่ที่ดูแลครอบครัวลักษมีเมธีมาหลายสิบปีวิ่งตามแล้วร้องถาม

“จักรยานล้ม แต่แม่เรียมไม่ต้องบอกอากงนะครับ” ชลชาติว่าขณะวางบุตรชายลงในคาร์ซีต

“ค่ะ ได้ค่ะ” เรียมรับคำแล้วถอยออกห่างออกมา มองตามหลังรถที่แล่นออกไปจากรั้วบ้านจนสุดตา

“ขอบคุณนะคะที่มาเป็นเพื่อนอิง” ศศิมาเอ่ยขอบคุณสาวรุ่นพี่ที่ยอมเสียเวลาพาเธอไปถ่ายมิวสิกวิดีโอตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น 

“เปิดหูเปิดตา ได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นตั้งเยอะ เผื่อต่อไปเขาจะได้ใช้บริการบริษัทเจ้ตรวจบัญชี” พรวิภาตอบโดยที่สายตาจับจ้องอยู่ถนนตรงหน้า

ศศิมายิ้มรับบางๆ เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์มาเอง แต่ดุจตะวันที่ต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟไม่ยอม จึงโทรศัพท์ไปนัดแนะพรวิภาให้มาเป็นเพื่อนเธอ 

“ยายไอน่าจะถึงบ้านแล้วมั้ง” พรวิภาถาม

“ค่ะ ส่งข้อความมาบอกว่ากำลังนึ่งขนมแตงไทย” 

“แตงไทย ปลูกเองเหรอ” พรวิภาถามต่อ

“ค่ะ สุกคาต้นหอมหวาน ไอก็เลยเอาไปทำขนมแตงไทย” 

“หมดยัง บอกให้เก็บไว้ให้หน่อย จะเอาไปฝากพ่อกับแม่” 

“ได้ค่ะ” ศศิมารับคำ แล้วกดข้อความส่งไปยังหมายเลขของดุจตะวัน

“กระดูกไม่เป็นอะไร แต่เอ็นฉีกต้องใส่เฝือกอ่อน” ชลชาติถอนหายใจ สายตาจับจ้องร่างเล็กที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงพักฟื้นในโรงพยาบาล

“ใส่เฝือกเลยหรือเฮีย” นทีธัชช์ถามเสียงสูง 

“อืม แขนขวากับข้อเท้าซ้าย” 

“เฮียบอกป๊ากับคุณแม่หรือยัง” นทีธัชช์เอ่ยถามผ่านระบบไร้สาย

“ยัง ฉันไม่อยากให้ป๊ากับคุณแม่ไม่สบายใจ นานๆ จะมีเวลาได้ไปเที่ยวพักผ่อนสักที” ชลชาติตอบ

“ก็จริง แล้วอากงกับคุณตาล่ะ” นทีธัชช์ถามต่อ

“ไม่ได้บอก แต่ฉันโทร. ไปบอกอากงว่าพาต้นน้ำออกมาข้างนอก เลยไม่ได้ไปกินข้าวเย็นด้วย” 

“แล้วเฮียจะทำยังไง จะให้ใครดูต้นน้ำ จ้างพยาบาลพิเศษเหรอ” คนที่กำลังขับรถเพื่อพาคู่หมั้นสาวไปเยี่ยมย่าที่ต่างจังหวัดเอ่ยถาม 

“อืม แต่จะให้พัฒน์อยู่ด้วย” 

“เสร็จธุระทางนี้แล้วผมจะรีบกลับ ซิ่มนั่งปาดน้ำตาตั้งแต่ได้ยินว่าต้นน้ำนอนโรง’บาล” นทีธัชช์ละแขนข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถ เอื้อมไปวางบนศีรษะเล็กของคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ จับโยกซ้ายขวาอย่างไม่แรงนัก

“บอกน้ำรินไม่ต้องเป็นห่วง ทำธุระให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาหาหลาน” ชลชาติกล่าว เพราะเหตุนี้เขาจึงยังไม่ส่งข่าวให้บิดามารดาและผู้อาวุโสของบ้าน เพราะหากทุกคนรู้ข่าว ก็คงจะอยู่ในอาการเดียวกับวนาลีเช่นกัน

“แกขับรถต่อเถอะ เฮียจะโทร. หาพัฒน์หน่อย” 

“ครับ”

เมื่อวางสายจากน้องชายแล้วจึงต่อสายถึงคนสนิทเพื่อสั่งงาน พรุ่งนี้เขามีนัดสำคัญตั้งแต่เช้าตรู่ จึงต้องให้ผู้ช่วยมาอยู่ดูแลบุตรชายแทนหนึ่งคน และตามเขาไปทำงานหนึ่งคน

“พี่นางฟ้า เป่าหน่อย”

“...”

“ต้นน้ำเจ็บ”

“...”

ปลายนิ้วที่กำลังจะกดเชื่อมต่อสัญญาณชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ชลชาติวางสมาร์ตโฟนลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง เดินเข้าไปลูบหน้าผากเล็ก ขมวดหัวคิ้วน้อยๆ ยามสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ระอุอยู่ใต้ผิวบอบบาง 

“เดี๋ยวก็หายนะลูก”

ทว่าคนที่นอนละเมอกลับตอบรับเพียงการบดเคี้ยวฟัน คนเป็นพ่อยกมุมปากขึ้นน้อยๆ กดจมูกลงบนแก้มยุ้ย ก่อนจะขยับตัวออกไปคุยโทรศัพท์ตามความตั้งใจแรก

“ป๊า...”

เสียงเล็กที่เรียกหาทำให้สองขาที่กำลังจะก้าวออกไปยังระเบียงห้องชะงักอยู่กับที่ ชลชาติหันไปมองบนเตียงแล้วพบว่าบุตรชายไม่ได้ละเมอ และกำลังมองมาทางเขาตาแป๋ว 

“ตื่นแล้วหรือลูก” ชลชาติวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะดังเดิม ย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง จับมือเล็กข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกขึ้นมากุมก่อนถาม

เด็กชายพยักหน้า “พี่นางฟ้า”

“หือ”

“ต้นน้ำฝัน”

ชลชาติอมยิ้ม เด็กตัวเท่านี้แต่รู้จักแม้กระทั่งความฝัน “ฝันว่าอะไรครับ”

“พี่นางฟ้าเป่าแขน ต้นน้ำเลยหายเจ็บ”

“งั้นต้นน้ำก็หายเจ็บแล้วใช่ไหม” ชลชาติลูบผมที่ปรกหน้าผากของบุตรชายออก

เด็กชายสมุทรส่ายหน้า “ยัง ต้นน้ำแค่ฝัน ไม่ใช่ความจริง”

“...”

คล้ายกับเสียงลั่นระฆังหมดยก เมื่อประตูห้องพักถูกเคาะตามมาด้วยนางพยาบาลที่เดินยิ้มเข้ามาหาอย่างใจดี “ขอเช็ดตัวหน่อยนะคะ”

“เชิญครับ” ชลชาติตอบพร้อมกับถอยหลังออกมา

“เช็ดตัวหน่อยนะครับจะได้สดชื่น” พยาบาลสาวหน้าตาน่ารักและใจดีว่าเสียงหวาน พลางวางมือเพื่อถอดเสื้อและกางเกง ทว่า...

“ไม่!” เด็กชายร้องเสียงหลง จนเจ้าหน้าที่ต้องชักมือกลับด้วยความตกใจ 

“ต้นน้ำเป็นอะไรลูก” ชลชาติพุ่งตัวเข้าไปหาบุตรชายด้วยความไวแสง

“ต้นน้ำไม่เช็ดตัว” เด็กชายเบะปาก

“ทำไมล่ะลูก หรือลูกเจ็บตรงไหน ถึงให้เช็ดตัวไม่ได้”

เด็กชายส่ายหน้า “ต้นน้ำไม่เจ็บ แต่ต้นน้ำไม่ให้ใครดูช้างน้อยอีกแล้ว” 

“หือ...” พยาบาลหันไปทางบิดาของเด็กชาย

“ตอนบ่ายคุณป้าพยาบาลบอกว่าคุณป้าแก่แล้ว ไม่ต้องอาย ให้ต้นน้ำหลับตา แต่พี่พยาบาลยังไม่แก่ ต้นน้ำไม่ให้ดู”

“เอ่อ...” พยาบาลสาวสวยกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง 

“คุณวางชุดกับอุปกรณ์ไว้ ผมขอคุยกับลูกก่อน”

“ได้ค่ะ”

ชลชาติรอจนกระทั่งนางพยาบาลเดินออกไปจากห้องและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว จึงย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

“ต้นน้ำ”

“ป๊า ช้างน้อยของต้นน้ำ”

“ป๊าเข้าใจ” ชลชาติว่าอย่างใจเย็น ถึงทายาทจะเป็นผู้ชาย แต่มารดาของเขาก็สอนเรื่องร่างกายของคนเราเป็นของมีค่า อย่าให้ใครเห็นหรือสัมผัสแตะต้องได้ง่ายๆ แต่คุณย่าของเด็กชายคงลืมยกตัวอย่างกรณีที่ควรยกเว้น วันนี้เจ้าตัวเล็กก็เลยมีอาการอย่างที่เห็น

“งั้นป๊าเช็ดให้ดีไหม”

“แต่ป๊าต้องทำเบาๆ ต้นน้ำเจ็บไปทั้งตัว”

ชลชาติกุมขมับ “ป๊าขอลองดูก่อน ถ้าต้นน้ำเจ็บก็บอก ป๊าจะได้ลดแรงลง”

เด็กชายพยักหน้า แต่แค่เพียงบิดาดึงปมตรงเสื้อออก เจ้าตัวเล็กก็นิ่วหน้า “เบาอีกป๊า”

“ครับ”

“ป๊าเบา”

“...”

“เบาอีกป๊า”

“...”

“ป๊า”

“...”

“เบาอีกได้มั้ย”

ชลชาติเป่าลมออกปาก เมื่อการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แสนยาวนานจบลง พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยนาทีเว้นครึ่งนาที

“ป๊าแข็งแรงเกินไป”

“งั้นพรุ่งนี้ให้อาพัฒน์เช็ดให้ก็แล้วกัน”

อาพัฒน์ที่ไม่ได้เรียนโด เร มี และมีกล้ามใหญ่พอๆ กับบิดา เด็กชายส่ายหน้ากับหมอนแรงๆ “อาพัฒน์มือใหญ่”

“มือใหญ่แต่อาจจะมือเบากว่าป๊าก็ได้”

“อาพัฒน์เหมือนป๊าแน่ๆ ซิ่มไปไหน” เด็กชายพยายามมองหาตัวช่วย

“ซิ่มกลับบ้านที่ต่างจังหวัด” 

“ทำไมซิ่มต้องไปตอนนี้ด้วย” เจ้าตัวเล็กเบะปาก

“งั้นป๊าให้แม่เรียมมาอยู่กับต้นน้ำดีไหม”

“ไม่เอา” เด็กชายตอบทันควัน

“ทำไมล่ะลูก”

“แม่เรียมแก่แล้ว” 

ชลชาติโคลงศีรษะกับคำตอบของบุตรชาย สาวไปก็ไม่เอาแก่ไปก็ได้ เพิ่งห้าขวบไม่รู้จะช่างเลือกไปไหน “พรุ่งนี้ป๊าต้องไปทำงาน อาพัฒน์จะมาอยู่กับต้นน้ำ”

“ป๊า...”

“หืม”

“วันนี้วันเสาร์”

“ใช่ครับ”

“พี่นางฟ้าก็ไม่ได้ไปทำงานใช่ไหม”

“ป๊าไม่รู้ แต่เด็กคนนั้น…”

“พี่นางฟ้าไม่ใช่เด็กแล้ว” บุตรชายแย้ง

ชลชาติโคลงศีรษะ “พี่นางฟ้าของลูกน่าจะทำงานอยู่ที่ไหนสักที่”

“เสาร์อาทิตย์ก็ไม่หยุดหรือป๊า” 

“คนเรามีความจำเป็นไม่เหมือนกันลูก” 

“แล้วความจำเป็นของต้นน้ำล่ะ” 

“ความจำเป็นของต้นน้ำ” ชลชาติจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมใส แล้วเลิกคิ้วขึ้น “คืออะไร”

“จำเป็นต้องเจอพี่นางฟ้า”

“...”

“ที่ทำงานเล่นด้วยกันไม่ได้ เสาร์อาทิตย์ก็ยังเล่นด้วยกันไม่ได้อีกหรือป๊า”

“อร่อยอะ หอมมากด้วย” พรวิภาตักขนมแตงไทยจากกระทงใบตองใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ 

“นี่ใครคะ” ดุจตะวันยกมือข้างซ้ายขึ้นทาบอก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหมุนตัว “นางสาวดุจตะวันไม่ได้มีดีแค่หน้าตา รสมือก็ดีด้วยจ้า กราบขอบพระคุณ” 

“โอ๊ย ฉันละปวดหัวกับพวกแกสองคนจริงๆ” พรวิภาถอนหายใจทั้งที่แย้มยิ้มแจ่มใส พลางชะเง้อคอมองคนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัว “อิงมันไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ รุ่นนี้ใส่ถ่านสองก้อน” ดุจตะวันตอบ เพราะเมื่อกลับมาถึงบ้าน ศศิมาก็บอกให้พรวิภานั่งรอ แล้ววิ่งไปตัดกล้วยหลังบ้านมาทำขนมกล้วย ตั้งใจจะฝากไปให้ครอบครัวของสาวรุ่นพี่ แทนคำขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานวันนี้ให้ทั้งหมด

“อิงแต่งตัวทำผมแบบนี้สวยจังเลยเนอะพี่พอลล่า” 

“อือ ถ้าเชื่อกันตั้งแต่แรกแล้วยอมไปแคสต์งาน ป่านนี้น่าจะรวยกันไปแล้ว” พรวิภาจิ้มหน้าฝากของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

ดุจตะวันย่นจมูก ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ทว่าก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ ก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเสียก่อน

“ใครอะ จงใจจอดกีดขวางทางเข้าออกบ้านคนอื่นแบบนี้ ถ่ายรูปประจานในไลน์หมู่บ้านเลยไอ” สาวรุ่นพี่แนะนำ

“ช่างเถอะเจ้ นิดๆ หน่อยๆ น่าจะมาหาบ้านข้างๆ มั้ง” ดุจตะวันตอบอย่างไม่ใส่ใจ บอกตามตรงว่าเธอคร้านจะวุ่นวายกับคนบ้านนั้น รอให้อีตาลุงนั่นกลับไปที่ชอบๆ เมื่อไร ค่อยไปเยี่ยมเยียนดูแลผู้สูงวัยใจดีดังเดิม

“บ้านคุณอิงฟ้าหรือเปล่าครับ”

“...”

พรวิภากับดุจตะวันหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเบนสายตาไปทางผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถยุโรปคันหรูอีกรอบ 

“มิวสิกวิดีโอยังไม่ทันออกสู่ตลาด มีแฟนบอยตามมาถึงบ้านแล้วเหรอ” ดุจตะวันว่าเสียงแผ่ว ก่อนจะลุกขึ้นลากแขนพรวิภาให้เดินตามไปหน้าประตูรั้วพร้อมกัน

“ใช่บ้านคุณอิงฟ้าหรือเปล่าครับ” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยถามอีกรอบ

พรวิภากับดุจตะวันพยักหน้าพร้อมกัน

“ผมพัฒน์ครับ มีธุระจะคุยกับคุณอิงฟ้า”

“เอ่อ...ค่ะ...รอสักครู่นะคะ” ดุจตะวันยิ้มรับ ทว่าจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวไปตามคนที่ขลุกอยู่ในครัวก็คล้ายกับคิดอะไรออก จึงหันไปทางประตูรั้วบ้านอีกรอบ “เราเคยเจอกันที่ร้านกาแฟใช่ไหมคะ”

“ครับ” พัฒน์พยักหน้า

“ค่ะ” ดุจตะวันพยักหน้าแล้วลากพรวิภาให้เดินตาม 

“สรุปคือยังไง ใครอะ” พรวิภาถาม

“ไอเคยเจอที่ร้านกาแฟทีหนึ่ง อิงบอกว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าของบริษัทที่พวกเราฝึกงาน”

“หา...” พรวิภาอ้าปากค้าง

“อิง!” ดุจตะวันตะโกนเรียก

“อีกสามนาทีสุก” เสียงตะโกนตอบรับดังขึ้นจากในห้องครัว

“แกออกมาก่อน มีแฟนบอยตามมาขอลายเซ็น” 

พรวิภาเขกกบาลคนที่ฉุดกระชากลากถูเธอไปทางโน้นทีทางนั้นทีแบบไม่แรงนัก “เอาดีๆ คนยิ่งอยากใส่ใจเรื่องของน้องอยู่” 

ดุจตะวันลูบหน้าผาก เกาะประตูห้องครัวแล้วลดเสียงลง “มีผู้ชายมาหา”

“ไม่ทันแล้วแก เขาได้ยินตั้งแต่แฟนบอย” พรวิภาถอนหายใจ

“จริงเหรอพี่พอลล่า” ศศิมาเอ่ยถามสาวรุ่นพี่เพื่อความมั่นใจ

“อืม” พรวิภาพยักหน้า 

“ใครคะ” ศศิมาเอียงหน้าขึ้นถาม

“คุณผู้ช่วยอะไรที่เคยเจอที่อาซามิ” ดุจตะวันว่า

“คุณพัฒน์เหรอ” ศศิมาถาม

“อืม” ดุจตะวันกับพรวิภาพยักหน้าแรงๆ พร้อมกัน

สารพัดคำถามผุดพรายขึ้นมาในสมอง แต่กระนั้นศศิมาก็รีบไปล้างมือ ฝากดุจตะวันให้ช่วยปิดแก๊ส แล้วรีบวิ่งออกไปทางหน้าบ้าน

“สวัสดีค่ะ” ศศิมากระพุ่มมือไหว้

พัฒน์ยิ้มรับ รอจนอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วจึงเข้าเรื่องสำคัญ “ผมมีเรื่องจะรบกวน”

“ค่ะ” ทั้งที่ตั้งใจจะถามว่ารู้จักบ้านเธอได้อย่างไร แต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับสั้นเพียงคำเดียว

พัฒน์ล้วงสมาร์ตโฟนออกมา กดเชื่อมต่อไปยังหมายเลขของผู้เป็นนายด้วยระบบวิดีโอคอล ทันทีที่อีกฝั่งกดรับการเชื่อมต่อจึงหันหน้าจอไปยังหญิงสาวตรงหน้า

“พี่นางฟ้า!”

“ต้นน้ำ!” 

...

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” พรวิภาหันไปมองหน้าดุจตะวัน

“เพื่อนรักหอบผ้าหอบผ่อน กระโดดขึ้นรถตามผู้ชายไปแล้ว” ดุจตะวันว่า ชะเง้อคอมองตามหลังรถคันงามที่พุ่งทะยานออกไปจากหน้าบ้าน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น