บทที่ ๕

พี่นางฟ้า

“คุณตาทวด สวัสดีครับ” เด็กชายสมุทรวิ่งเข้าไปหาประมุขของบ้านที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เมื่อคนบนเก้าอี้โยกลดหนังสือที่ถืออยู่ในมือลง จึงยืดหลังตั้งตรง เท้าชิด ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นทำท่าวันทยหัตถ์

พลเอกทีปต์ดันตัวลุกขึ้น กวักมือเรียกเหลนชายให้เข้าไปหา เด็กชายหันไปยิ้มให้ผู้เป็นย่าที่เพิ่งเดินตามเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะเดินกระดุกกระดิกเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นทวด

“ต้นน้ำคิดถึงคุณตาทวดครับ”

“ช่างพูดนักนะเรา” พลเอกทีปต์กดจมูกลงบนแก้มยุ้ยของเหลนชาย ออกแรงอุ้มร่างกลมขึ้นมานั่งบนตัก แล้วหันไปทางบุตรสาว “แล้วเขื่อนล่ะ” 

“มีประชุมถึงห้าโมงค่ะ” ทิพย์ประภาตอบบิดา

“อรรณพไม่มาด้วยเหรอ”

“ตอนแรกว่าจะตามมาพร้อมเขื่อนค่ะคุณพ่อ แต่เมื่อกี้โทร. มาบอกว่าเฮียชัยโรจน์จะเข้าไปคุยงานด้วย เลยให้เลขาฯ สั่งอาหารไปกินที่ออฟฟิศแล้ว” 

“นึกว่าจะโกรธจนไม่มองหน้ากันแล้วเสียอีก” พลเอกทีปต์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ

ทิพย์ประภาระบายยิ้มบางๆ เพราะสาธิตา บุตรสาวของชัยโรจน์ถูกนทีธัชช์ บุตรชายคนเล็กของเธอปฏิเสธการหมั้นหมาย จึงทำให้ทางฝั่งนั้นเงียบหายไปพักใหญ่ แต่ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันมานานหลายสิบปี เมื่อธุรกิจของครอบครัวชัยโรจน์ประสบปัญหา ทางนั้นจึงติดต่อมาขอความช่วยเหลือ สามีของเธอก็ยินดีที่จะยื่นมือเข้าช่วยด้วยความเต็มใจ

“ทางนั้นมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ หนูพรีมก้าวพลาดไปนิดเดียว” ทิพย์ประภาถอนหายใจ 

 “อืม เขื่อนเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังอยู่เหมือนกัน” ถึงจะไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจ แต่หลานชายคนโตก็มักจะนำเรื่องราวๆ ต่างๆ มาหารือและขอคำชี้แนะเสมอ จึงทำให้นายทหารวัยเกษียณก้าวทันทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว

“หนูพรีมเก่งก็จริง แต่ยังไงก็เป็นผู้หญิง ประสบการณ์ก็ยังน้อย ส่วนเฮียชัยโรจน์ก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน เจ็บออดๆ แอดๆ เข้าโรง’ บาลเดือนละสองสามครั้ง” 

“ก็ช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้ พ่อหวังว่าสองคนนั้นจะไม่คิดทำอะไรเหมือนครั้งก่อนอีก”

“คุณพ่อหมายถึง...” ทิพย์ประภาเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นบิดา ก่อนจะเบนตามองเจ้าตัวเล็กที่กำลังให้ความสนใจกับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ 

“สู้กับคนมีอำนาจ ก็ต้องหาคนที่ทั้งมีอำนาจและเก่งกว่าไปจัดการ” 

“คงทะเลาะกันบ้านแตก ยิ่งเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกของต้นน้ำด้วยแล้ว เขื่อนไม่มีทางยอม คราวลูกสาวรัฐมนตรีประชาก็ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ฝั่งนั้นถึงได้สาปส่งไม่เผาผี เข้าหน้ากันไม่ติดทั้งหัวหงอกหัวดำ” 

“ก็ฝั่งนั้นเล่นไปให้สัมภาษณ์ว่าเป็นแม่ของต้นน้ำ ใช้ได้ที่ไหนกัน โตแต่ตัวแต่หัวไม่มีวุฒิภาวะ” 

“...”

“แม่ของต้นน้ำ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่กำลังสนทนากันด้วยเรื่องใด แต่เมื่อได้ยินชื่อของตนในบทสนทนา เด็กชายก็ละสายตาจากหน้าหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้น “พี่นางฟ้าหรือครับ”

“หือ...” พลเอกทีปต์จับจ้องใบหน้าไร้เดียงสาบนตัก ก่อนจะเบนสายตาไปทางบุตรสาว

“ใครกันลูก ต้นน้ำพูดถึงหลายรอบแล้ววันนี้” ทิพย์ประภาถาม

“พี่นางฟ้าคนสวย แม่ต้นน้ำ”

“แม่ต้นน้ำ!” พลเอกทีปต์กับทิพย์ประภาร้องขึ้นพร้อมกัน

“พี่นางฟ้าทำขนมอร่อยด้วย ต้นน้ำชอบมาก” เด็กชายลากเสียงยาวในท้ายประโยค

“เขื่อนได้เล่าอะไรให้คุณพ่อฟังบ้างหรือเปล่าคะ” ทิพย์ประภาถาม 

พลเอกทีปต์ส่ายหน้า แม้ว่าหลานชายจะแวะเวียนมาหาเป็นประจำ พูดคุยกันทุกเรื่อง แต่ก็ไม่เคยหลุดเรื่องนี้ให้ได้ยินมาก่อน ผู้อาวุโสของบ้านหลุบตาลง “แล้วพี่นางฟ้าของต้นน้ำอยู่ที่ไหน”

“ที่ทำงานครับ” 

“อืม แบบนี้นี่เอง” พลเอกทีปต์ระบายยิ้มบางๆ 

“คุณย่าชักจะอยากเห็นพี่นางฟ้าของต้นน้ำแล้วสิ” ทิพย์ประภาว่า

“พี่นางฟ้าสวย สวยเหมือนซิ่มเลย” เด็กชายยิ้มกว้าง “ตอนแรกต้นน้ำก็คิดว่าซิ่มไปทำงานที่บริษัท แต่มองดีๆ แล้วไม่ใช่”

“เหมือนซิ่มน้ำรินขนาดนั้นเลยหรือ” ทิพย์ประภาถามด้วยความสนใจ เพราะหาก ‘พี่นางฟ้า’ ที่ว่าเหมือนกับวนาลีคู่หมั้นของบุตรชายคนเล็ก ก็นับว่าบุตรชายคนโตตาถึงช่างเลือกไม่ต่างกัน

“ครับ ใส่ชุดเหมือนกันด้วย”

“...”

“ใส่ชุดเหมือนกัน” พลเอกทีปต์ขมวดคิ้ว ก่อนจะคลายออกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรสาว “นักศึกษางั้นเหรอ”

“ถ้าใส่ชุดเหมือนน้ำริน ก็คงจะนักศึกษาฝึกงานค่ะ” 

“ให้มันได้แบบนี้สิ” พลเอกทีปต์ส่ายหน้าพร้อมยิ้ม ทว่ายังไม่ทันได้ซักถามต่อ เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“เจ็ก ซิ่ม” เมื่อประตูเปิดออก เด็กชายก็กระถดลงจากตักของตาทวด วิ่งพรวดเข้าไปหาสองหนุ่มสาวที่มาใหม่

“สวัสดีค่ะคุณตา คุณแม่” วนาลีประนมมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสอง ก่อนจะอ้าแขนรับเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดต่อจากคู่หมั้นของตน “สุดหล่อของซิ่มกอดอุ่นที่สุดในโลก” 

“ตัวเล็กแค่นั้นจะอุ่นสู้พี่ได้ยังไง” นทีธัชช์ท้วงหลังจากประนมมือไหว้ผู้เป็นตาและมารดาเรียบร้อยแล้ว

“ชุดแบบที่ซิ่มใส่ตอนนี้เลยใช่ไหมต้นน้ำ” ทิพย์ประภาถาม

“ค้าบ” เด็กชายขานตอบหลังจากหอมแก้มว่าที่อาสะใภ้ทั้งสองข้างเรียบร้อยแล้ว

บัณฑิตสาวที่เพิ่งไปทำเรื่องจบการศึกษามาหมาดๆ เอียงหน้าขึ้นมองนายทหารที่ใส่ชุดเต็มยศข้างๆ คล้ายถาม ทว่าคนที่เพิ่งเสร็จภารกิจสำคัญที่ชายแดนและเพิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมกัน ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่มารดาถามหลานชายเช่นกัน

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” นทีธัชช์ถาม

“มี” พลเอกทีปต์ว่า

“เรื่องใหญ่เลยละ” คุณหญิงทิพย์ประภากล่าว ก่อนจะพยักพเยิดไปทางหลานชาย “อยากรู้อะไรก็ลองถามต้นน้ำดู เฮียของเราเหมือนจะมีนางฟ้าปกปักรักษาอยู่ตอนนี้” 

“นางฟ้า!” นทีธัชช์กับวนาลีร้องขึ้นพร้อมกัน และเมื่อได้ฟังสิ่งที่หลานชายเล่า คนเป็นน้องก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ 

“ประชุมผู้ถือหุ้นรอบนี้เมื่อไหร่นะครับคุณแม่” คนที่ไม่เคยสนใจงานของบริษัทเลยแม้แต่น้อยเอ่ยถาม

“จันทร์หน้า” 

“ผมยังอยู่ช่วงพักพอดี คุณแม่ให้คนเตรียมเก้าอี้เผื่อผมด้วยนะครับ” 

“มองอะไร” คนที่มาถึงช้าที่สุดมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตาขวาง

“แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” นทีธัชช์ว่าเสียงทะเล้น 

“ว่าแต่ขนมที่เฮียซื้อมาอร่อยจัง ซื้อมาจากไหนหรือคะ” เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นกำลังจะโดนพี่ชายสวดคาถาอวยพรใส่ วนาลีจึงถามขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปตักเลมอนเมอแรงก์ชีสเค้กมารับประทาน

“น้ำรินชอบเหรอ” ถึงจะหมั่นไส้น้องชาย แต่ชลชาติกลับเอ็นดูว่าที่น้องสะใภ้อย่างออกหน้าออกตา ด้วยวนาลีชื่นชอบในการทำอาหารจนถึงขั้นลงเรียนเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่พอจะสนับสนุนได้ เขาย่อมยินดี 

“ค่ะ ละลายในปากทุกอย่างเลย” 

“ใจของต้นน้ำก็ละลาย” เด็กชายที่นั่งอยู่กึ่งกลางระหว่างผู้เป็นย่ากับบิดาว่า พลางตักช็อกโกแลตหน้านิ่มที่มีดอกไม้สีม่วงอ่อนวางประดับอยู่ขึ้นรับประทาน

“เฮีย ถามจริง อันนี้ก็สอนลูกเหรอ” นทีธัชช์หัวเราะร่วน เพราะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านพักในหน่วยงานที่สังกัดเป็นส่วนใหญ่ และลงพื้นที่ตรวจตราชายแดนแทบจะทุกเดือน กลับมาบ้านรอบนี้หลานชายที่เคยถอดบุคลิกบิดามาทุกกระเบียด กลับมีคำพูดคำจาที่แปลกออกไป 

“ฉันก็จะถามนายอยู่เนี่ยว่าได้สอนต้นน้ำพูดหรือเปล่า” ชลชาติว่า 

นทีธัชช์ส่ายหน้าแรงๆ แล้วเอ่ยเรียกหลานชาย “ต้นน้ำครับ” 

“ค้าบ” เด็กชายกลืนขนม ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบก่อนตอบ

“ใจละลายเนี่ยไปได้ยินใครพูดมาหืม” 

เด็กชายคาบช้อนที่เพิ่งตักเค้กคำใหญ่เข้าปากเอียงหน้ามองคนหัวโต๊ะเป็นอันดับแรก พลเอกทีปต์ก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ไปทางหลานชายทั้งสอง เด็กชายสมุทรเลื่อนสายตามองผู้เป็นย่าเล็กน้อย ก่อนจะวางช้อนลงแล้วชี้ไปฝั่งตรงข้าม

“ซิ่ม”

“...”

สายตาสี่คู่ตวัดขวับไปที่วนาลีอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนคนที่ถูกชี้ตัวนั้นก็ได้แต่ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความมึนงง

“น้ำรินไม่ได้สอนต้นน้ำให้พูดอะไรแบบนั้นนะคะ” วนาลีโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ ยืดลำตัวออกไปตรงหน้า “ต้นน้ำครับ”

เด็กชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงวางช้อนลงบนจาน วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วยืดลำตัวออกมา “ค้าบ”

“ซิ่มสอนต้นน้ำตอนไหนครับ”

เด็กชายหลับตา เอียงหน้าซ้ายขวาคล้ายใช้ความคิดชั่วขณะ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วส่ายหน้า

“อ้าว” วนาลีครวญ นทีธัชช์หลุบตามองคู่หมั้นสาวกับหลานชายที่ทำท่าทางเหมือนกันราวโคลนนิ่งแล้วกลั้นขำ 

“ต้นน้ำได้ยินซิ่มคุยโทรศัพท์กับเจ็ก” 

“หือ...” คนที่ถูกพาดพิงอีกคนเบิกตาขึ้น

“ซิ่มพูดว่าอะไรนะ...” เด็กชายสมุทรเอานิ้วชี้จิ้มแก้มตัวเอง เคาะสองสามครั้งแล้วทำตาวาว “คิดออกแล้ว น้ำรินคิดถึงพี่นทีใจจะขาด”

“...”

“บอกรักกันแบบนี้ ใจของน้ำรินก็เหลวไปหมด”

“...”

“แค่ได้ยินเสียงพี่นที ใจของน้ำรินก็ละลายไปหมดแล้ว”

“ต้นน้ำแอบฟังซิ่มคุยโทรศัพท์กับเจ็กงั้นเหรอ” นทีธัชช์ถาม

“ต้นน้ำไม่ได้แอบ” เด็กชายปฏิเสธเสียงใส “ต้นน้ำแค่นอนหลับตาแต่ไม่ได้หลับ”

“น้ำรินขอโทษค่ะ น้ำรินไม่ได้ตั้งใจให้ต้นน้ำได้ยินอะไรแบบนี้” วนาลีค้อมศีรษะไปทางชลชาติ เพราะหากไม่มีกิจกรรม หรือไม่ได้กลับไปหาบิดาที่ต่างจังหวัด มารดาของคู่หมั้นก็จะรับเธอไปนอนค้างที่บ้าน และหลานชายของเขาก็จะมานอนกับเธอแทบทุกครั้ง 

“เฮียไม่ได้ว่าอะไร ตั้งแต่มีน้ำรินต้นน้ำก็เข้ากับคนง่าย สดใสขึ้นกว่าแต่ก่อน” ชลชาติแย้มมุมปากเป็นรอยยิ้มบางๆ ตั้งแต่น้องชายหมั้นหมายกับวนาลี ลูกชายของเขาก็ติดว่าที่อาสะใภ้แจ จากเด็กที่ชอบเก็บตัว พูดจาเหมือนผู้ใหญ่ ก็กลายเป็นเด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างถาม

“ขอบคุณค่ะ” วนาลีกระพุ่มมือขึ้นระหว่างอกแล้วค้อมศีรษะลง

ชลชาติยิ้มรับ ก่อนจะเบนสายตาไปทางน้องชาย “เพลาๆ หวานบ้างนะตี๋น้อย หลานกำลังอยู่ในวัยช่างจดช่างจำ” 

“อย่าให้ผมได้ยินเฮียพูดบ้างก็แล้วกัน” นทีธัชช์ไหวไหล่

“เหอะ” ชลชาติว่าเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเสตักมัสมั่นไก่ฝีมือวนาลีไปวางบนจานของผู้เป็นตาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“งานฝั่งพลังงานเป็นยังไงบ้าง” พลเอกทีปต์ถาม ด้วยเป็นธุรกิจที่ชลชาติเพิ่งลงทุนได้ไม่ถึงสองปี เขาจึงเป็นห่วงกลุ่มธุรกิจนี้เป็นพิเศษ

“ดีกว่าที่คิดครับคุณตา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเดือนหน้าก็น่าจะปิดดีลเทกโอเวอร์บริษัทที่เวียดนามได้” 

“แล้วพวกประกันล่ะ” พลเอกทีปต์ถามต่อ 

“ผมกำลังให้ทีมพัฒนาธุรกิจทำแผนเกี่ยวกับธุรกิจรถเช่ามาเสนออยู่ครับ” 

“รถเช่า” นทีธัชช์ทวนคำ 

“อืม” ชลชาติพยักหน้า “เรามีนำเข้ารถยุโรปกับรถสปอร์ตอยู่แล้ว เฮียเลยอยากจะลองเปิดบริษัทรถเช่าสำหรับผู้บริหารดู”

“เฮียนี่ช่างคิดช่างทำจริงๆ” นายทหารหนุ่มว่าเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขอบคุณผู้เป็นตาและอากงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่ช่วยกล่อมบิดาจนยอมให้เขาได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหารสมใจ หากบิดาดื้อรั้นให้เขารับช่วงบริหารธุรกิจร่วมกับพี่ชาย เขาอาจจะโดนไล่ออกจากบ้านเพราะทำความเสียหายให้แก่บริษัทก็เป็นได้ 

“ทำงานหนักมันก็ดีนะเขื่อน แต่แม่จะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าเขื่อนได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติบ้าง” ทิพย์ประภากล่าว

“ผมมีความสุขดีครับคุณแม่ แค่มีต้นน้ำคนเดียวก็พอแล้ว” ชลชาติดักคออย่างรู้ทัน เพราะพอมารดาเกริ่นเช่นนี้ทีไร มักจะตามมาด้วยชื่อลูกสาวของคนรู้จักสักคนที่จู่ๆ ก็มีอาการน้ำย่อยเดิน และต้องการให้เขาพาไปรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าคุณหญิงทิพย์ประภาลืมไปหรือไรว่าลูกชายไม่ได้เรียนหมอ ถึงได้ถูกเรียกตัวไปรักษาอาการ ‘หิว’ ของผู้หญิงอยู่ร่ำไป

“เฮียก็ว่าไป อย่าให้รู้นะว่าแอบมีใคร แล้วเอาไปซ่อนไว้นอกบ้าน” ได้ทีนทีธัชช์จึงขี่ม้าไล่

“ผีเจาะปากมาพูดหรือไง” ชลชาติโคลงศีรษะ 

“ดุซะด้วย” เพราะรู้ว่าคนเสียงดุคือคนที่ตามใจตนมากกว่าใคร นทีธัชช์จึงไม่วายเย้าหน้าทะเล้น “ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์มาก่อน ผมอยากจะบอกเฮียว่า...”

“...”

“ผู้ชายปากร้ายไม่ใช่พิมพ์นิยมของเด็กมหา’ลัย ใช่มั้ยจ๊ะน้ำริน” 

วนาลีพยักหน้ารับแรงๆ “ยิ่งปากหวาน ใจดี เปย์เก่ง รับรองได้คะแนนร้อยเต็มสิบไปเลยค่ะ” 

“ให้เฮียใช้ชีวิตสบายๆ เถอะ” ชลชาติถอนหายใจ ให้ตายเถอะ ใจคอทุกคนจะยัดเยียดภาระที่ไร้แก่นสารให้เขาให้ได้เลยหรือไร คอยดูเถอะ หากมารดานัดลูกสาวบ้านไหนมาให้ดูตัวอีก เขาจะจัดการให้หนักกว่าคราวลูกสาวรัฐมนตรีนั่นอีกสักสิบเท่า

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น