บทที่ ๖

ความจริงแล้วเขาคือ...รองประธานบริษัท

แม้ว่าทำงานตั้งแต่เช้าจนกระทั่งดึกดื่น เข้านอนหลังเที่ยงคืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ศศิมาก็ยิ้มรับเช้าวันใหม่ด้วยความสดใส หญิงสาวหมุนคอคลายความเมื่อยล้า หลังจากพับผ้าห่มเก็บที่นอนแล้วจึงล้างหน้าล้างตา เดินออกจากห้องนอน ก้าวขาลงบันไดอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินไปถึงหลังบ้านก็พบกับใครอีกคนที่ตื่นเช้ากว่า ฮัมเพลงพร้อมกับโยกตัวซ้ายขวายืดเส้นยืดสายอยู่ในห้องครัว

“ทำอะไรไปกินดีอะวันนี้” ดุจตะวันถามพลางตวงข้าวสารใส่หม้อหุงข้าวไปพลาง

“ผัดผักบุ้งกับไข่ต้มก็แล้วกัน” ศศิมาตอบ ก่อนจะเดินออกไปเก็บยอดผักบุ้งที่เธอปลูกไว้หลังห้องครัว

“งั้นฉันต้มไข่เลยนะ” ดุจตะวันตะโกนถาม

“ต้มสี่ฟองนะไอ” ศศิมาตะโกนตอบ

“จัดไป” หลังจากเสียบปลั๊ก กดปุ่มสั่งให้หม้อหุงข้าวทำงานแล้ว ดุจตะวันจึงนำไข่ออกมาจากตู้เย็น ล้างจนสะอาดแล้วนำไปต้ม

“มีแต่ยอดสวยๆ ทั้งนั้น” ศศิมายิ้มแต้ เด็ดยอดผักบุ้งที่ปลูกเองกับมืออย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว เมื่อได้ปริมาณที่เพียงพอแล้ว จึงนำไปล้างน้ำให้สะอาด โขลกพริกกับกระเทียมตักราดลงบนผักบุ้ง ตามด้วยเต้าเจี้ยว ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาล และน้ำเปล่าเล็กน้อย เปิดเตาแก๊สใช้ไฟแรง เทน้ำมันลงบนกระทะ รอจนกระทะร้อนจัดแล้วจึงเทผักบุ้งที่ปรุงไว้ลงไปผัด รอจนผักบุ้งสลดแล้วจึงปิดแก๊ส 

“น้ำย่อยเดินมากแก กลิ่นหอมไปถึงปากซอย” ดุจตะวันว่าขณะตักข้าวใส่จานสองใบ และใส่กล่องสำหรับนำไปรับประทานตอนกลางวันอีกสองกล่อง จากนั้นจึงปอกไข่วางลงในจานและกล่องข้าวอย่างละหนึ่งใบ

“ผัดผักบุ้งที่ว่าหอม ยังหอมไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคนทำ” ศศิมาว่าขณะตักผัดผักบุ้งใส่ลงไปในหลุมกล่องข้าวที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะตักราดบนจานข้าวทั้งสองใบ 

“จ้ะ แม่สาวเนื้อหอม” 

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะท่านคณะกรรมการ” ศศิมาหนีบขากางเกงนอนก่อนจะย่อขาลงรับคำชม จากนั้นจึงยกจานผัดผักบุ้งไปนั่งรับประทานบนโต๊ะรับประทานอาหาร 

“แกไม่คิดจะถ่อมตัวบ้างเหรอเวลามีคนชม” ดุจตะวันถาม หลังจากยกจานข้าวของตัวเองตามมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ไม่อะ” ศศิมาส่ายหน้าหวือ “แกก็สวยนะไอ มองฝั่งซ้ายก็นางฟ้า มองทางขวาก็นางสวรรค์ มองมุมเสยก็เทพีพระจันทร์ มองตรงๆ อ้าวไอ้บ้า...นั่นตัวอะไร”

“รีบกิน จะได้มีแรงไปทำงาน” ดุจตะวันใช้ส้อมจิ้มไข่ต้มยัดใส่ปากคนฝั่งตรงข้าม ก่อนจะใช้ส้อมคันเดิมจิ้มไข่ต้มในจานของศศิมามาวางบนจานของตัวเอง

หลังจากรับประทานอาหารเช้าและช่วยกันเก็บห้องครัวเรียบร้อยแล้ว จึงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินออกไปรอรถโดยสารประจำทาง

“คุณก้องประชุมทั้งวันเลยนะคะ” ศศิมาเอ่ยกับปรางค์ทิพย์ ระหว่างที่ช่วยกันหอบเอกสารประกอบการประชุม ไปจัดเรียงในห้องประชุมใหญ่ 

“เรียกว่าโตในห้องประชุมเลยดีกว่า” ปรางค์ทิพย์ระบายยิ้มบางๆ ไม่ใช่แค่เพียงเจ้านายของพวกเธอเท่านั้นที่มีตารางการประชุมตลอดทั้งวัน เพราะผู้บริหารของที่นี่ต่างก็มีตารางงานที่รัดตัว รับประทานอาหารในห้องประชุมเกินสี่วันต่อสัปดาห์ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘โตในห้องประชุม’

“พี่ปรางค์ต้องรอคุณก้องทุกวันเลยหรือคะ” นักศึกษาฝึกงานถาม 

“จ้ะ แต่ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวหรอกนะ เลขาฯ ผู้บริหารท่านอื่นก็เหมือนกัน” 

“สุดยอดเลยค่ะ” ศศิมาเอ่ยชม ทุกเย็นเมื่อถึงเวลาเลิกงานเธอจะเป็นคนแรกๆ ที่ลงไปสแกนบัตรออกจากงาน เพราะต้องเร่งเดินทางไปทำงานที่คาเฟ่ต่อ ในขณะที่รุ่นพี่ในแผนกจะนั่งทำงานกันต่อจนมืด แม้จะรู้สึกเกรงใจที่ไม่ได้อยู่ช่วยงาน แต่ด้วยความจำเป็นเธอก็จึงต้องละทิ้งความไม่สบายใจเอาไว้เบื้องหลัง และใช้เวลาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเลิกงานอย่างคุ้มค่า ไม่มีแอบอู้ระหว่างวันให้เสียชื่อเสียงสถาบัน 

“อิงรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้อยู่ช่วยงานต่อ อิงต้องรีบไปทำงานอีกที่”

“ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก พวกพี่อยู่กันแบบนี้จนชินแล้ว” ปรางค์ทิพย์ว่า ขณะหมุนตัวใช้หลังดันเปิดประตูห้องประชุม 

“ให้คุณมุกเลื่อนนัดกับเจมส์เป็นพรุ่งนี้เที่ยง ส่วนนัดเดิมให้เลื่อนเป็นช่วงเย็น แต่ถ้าฝั่งนั้นไม่ได้ก็ให้ทำนัดมาใหม่” ชลชาติเอ่ยกับธีร์ เดิมทีเย็นวันนี้เขามีนัดรับประทานอาหารกับเพื่อนที่เคยเรียนที่อังกฤษด้วยกัน แต่ฝ่ายนั้นเพิ่งส่งข้อความมาแจ้งว่าติดงานด่วนขอเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้ เขาจึงต้องให้เลขานุการเลื่อนนัดเดิมของวันพรุ่งนี้ออกไปก่อน

“ครับนาย” ธีร์รับคำ แล้วจึงโทรศัพท์แจ้งมุกภาตาตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

“แล้วนัดของเจ้าสัวชัยโรจน์ล่ะครับ” พัฒน์เอ่ยถาม เขาได้รับข้อความจากผู้ช่วยของเจ้าสัวอรรณพ เรื่องนัดรับประทานอาหารเย็นกับเจ้าสัวชัยโรจน์ในวันพรุ่งนี้

“ถ้าคุณมุกเลื่อนนัดได้ก็ไม่ไป” ชลชาติตอบ ขณะที่ก้าวขาฉับๆ เพื่อให้ทันเวลาประชุมกับผู้บริหารกลุ่มประกันและการเงิน ทว่าเดินออกจากลิฟต์มาได้ไม่กี่ก้าว สายตาก็สบเข้ากับการเคลื่อนไหวของใครบางคน 

...

“อิงปวดสะโพกไปหมดเลยค่ะ ก้าวขาขวาก็สะดุดขาซ้าย ก้าวขาซ้ายก็สะดุดขาขวา ดีที่ยังยกตะกร้าดอกไม้บูชาไว้เหนือหัวทัน” ศศิมาเล่าเรื่องที่เธอล้มหน้าคาเฟ่ให้ปรางค์ทิพย์ฟัง เพราะฝ่ายนั้นสังเกตว่าเธอเดินแปลกกว่าทุกวัน

“ต้องระวังหน่อย ถึงจะอายุยังน้อยแต่ล้มบ่อยๆ ก็ใช่ว่าจะดี” เลขานุการสาวส่ายหน้าพร้อมยิ้ม

“อิงพยายามแล้วนะคะ แต่ไม่รู้เป็นไง ยิ่งพยายามก็ยิ่งระเนระนาดมากกว่าเดิม” ศศิมาหัวเราะร่วนก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเห็นคนสามคนที่มักไปไหนมาไหนด้วยกัน ประหนึ่งบอยแบนด์แดนกิมจิเดินออกมาจากลิฟต์ 

“คุณพะ...”

“สวัสดีค่ะท่านรอง ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ” 

“หือ...” ศศิมาเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว หันขวับไปมองรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกะพริบตา 

“อืม” ชลชาติพยักหน้า เหลือบตามองคนที่ทำหน้าตาตื่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องประชุมที่มีที่ปรึกษา กรรมการ และผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มประกันและการเงินนั่งรอกันอยู่ครบทุกตำแหน่ง

“พี่ปรางค์เรียกคุณ...เอ่อ...คนนั้น...” 

“ท่านรอง” ปรางค์ทิพย์ตอบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามจนจบประโยค

“ท่านรอง” ศศิมาสะบัดหน้าแรงๆ เธอได้ยินคำคำนี้บ่อยที่สุดนับตั้งแต่วันแรกที่มารายงานตัว แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคุณพ่อของน้องต้นน้ำยังดูหนุ่มแน่น ไม่ได้อายุมากเหมือนที่ใครต่อใครพูดถึง

“จ้ะ คุณชลชาติเป็นลูกชายคนโตของท่านประธาน” ปรางค์ทิพย์อธิบายขณะจูงแขนคนที่ไม่ยอมขยับขาให้ตามไปกดลิฟต์เพื่อกลับแผนก

“ลูกชายคนโตหรือคะ” ศศิมายกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นตบขมับตัวเองย้ำๆ เพื่อเรียกสติ “แต่อิงเคยเปิดดูในเว็บไซต์ ลูกชายของผู้ก่อตั้งไม่ใช่คนนี้นี่คะ” 

“เว็บบริษัทเราใช่ไหม” ปรางค์ทิพย์ถาม

ศศิมาพยักหน้าแรงๆ แทนคำตอบ

“ประวัติความเป็นมาในเว็บจะเป็นท่านประธานคนก่อน กับท่านประธานคนปัจจุบัน” 

“งงตั้งแต่ตรงนี้เลยค่ะ” ศศิมายิ้มแหย 

“งั้นพี่เล่าง่ายๆ ก็แล้วกัน ผู้ก่อตั้งบริษัทคือเจ้าสัวเพ้ง เจ้าสัวเพ้งมีลูกชายหนึ่งคนคือเจ้าสัวอรรณพ ตอนนี้เจ้าสัวเพ้งท่านวางมือจากงานบริหารทั้งหมด แล้วยกบริษัทให้เจ้าสัวอรรณพดูแล แต่หลังจากที่คุณชลชาติกลับมาบริหารที่นี่เต็มตัว เจ้าสัวอรรณพก็เริ่มปล่อยงานออกทีละอย่าง จนตอนนี้สิทธิ์ชี้ขาดแทบจะอยู่ที่คุณชลชาติคนเดียว” 

“ในเว็บมีถึงแค่รุ่นลูก แต่ในชีวิตจริงคือถึงรุ่นหลานแล้วใช่ไหมคะ” ศศิมาสูดลมเข้าปอดลึกๆ 

“รุ่นเหลนแล้วต่างหาก อยู่ไปสักพักอิงฟ้าก็น่าจะได้เจอคุณต้นน้ำ ลูกชายของท่านรองวิ่งเข้าวิ่งออกห้องประชุม น่ารักน่าเอ็นดูเชียวล่ะ”

ศศิมาหัวเราะกลบเกลื่อนไปพร้อมกับคนเล่า ก็เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูนั่นปะไร เธอจึงตกหลุมรัก แล้วดันอยากญาติดีตีซี้กับพ่อของเจ้าตัวเล็กอ้วนกลมนั่นไปอีก จากที่มีความมั่นใจเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้เข้าทำงานที่นี่หลังเรียนจบ ตอนนี้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ในมือกำลังสลายกลายเป็นหมอกควัน เธอคงไม่กล้าหวังไกลถึงขั้นนั้น แค่ลุ้นให้ฝึกงานผ่านก่อนโดนเจ้าของบริษัทไล่ออกก็นับว่ายากมากแล้ว 

ท่านเจ้าที่เจ้าขา หนูรำท่าไหนผิดไปหรือเจ้าคะ ถึงได้ลงโทษหนูแบบนี้

หลังจากได้เรียนรู้ลำดับเครือญาติของผู้ก่อตั้งบริษัท ศศิมาก็เหลือบตามองหน้าปัดนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังเป็นระยะ เมื่อเห็นเข็มสั้นกับเข็มยาวชี้เลขสิบสอง หญิงสาวก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว ดึงแก้วกระดาษกดน้ำสะอาด แล้วออกตัววิ่งไปกดลิฟต์ 

ศศิมาค่อยๆ วางแก้วน้ำสะอาดที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาลงบนโต๊ะถวายของไหว้เบื้องหน้าศาลพระภูมิเทวาอย่างระมัดระวัง หญิงสาวย่อตัวลงนั่งท่าเทพบุตรแล้วกระพุ่มมือขึ้นระหว่างอก

“ท่านพระภูมิเจ้าที่เจ้าขา หนูเอาน้ำสะอาดมาถวาย เมื่อท่านได้รับของถวายจากหนูแล้ว ก็ได้โปรดเมตตาช่วยดลจิตดลใจ อย่าให้คุณพ่อ...เอ๊ย...ท่านรองไล่หนูออกเลยนะเจ้าคะ สาธุ”

เมื่อถวายของและขอพรเรียบร้อยแล้ว จึงกราบลงกับพื้นสามครั้ง แล้วลุกขึ้นเดินกลับไปกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปรับประทานอาหารกลางวัน

“ฮัดชิ้ว!”

“...”

“ฮัดชิ้ว!”

“...”

“ฮัดชิ้ว!”

คนที่นั่งอ่านเอกสารพลางๆ ระหว่างรถติดจามเสียงดังลั่น ชลชาติเอื้อมมือไปดึงทิชชูมาเช็ดปากและมือ ก่อนจะเอ่ยถามผู้ช่วยที่นั่งอยู่บนเบาะฝั่งซ้ายมือ

“ศักดิ์เอารถไปล้างครั้งสุดท้ายวันไหน”

“เมื่อวานครับนาย” พัฒน์ตอบ

คนที่รักความสะอาดเหนือสิ่งอื่นใดขมวดหัวคิ้ว “บ่ายนี้ให้ไปล้าง ดูดฝุ่น แล้วก็อบโอโซนอีกรอบ”

“ครับ” พัฒน์รับคำ วันนี้เขาไม่ต้องไปรับเจ้านายตัวน้อยที่โรงเรียน จึงตามผู้เป็นนายไปออกไปประชุมร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่งที่เชิญเจ้านายของเขาไปหารือทิศทางเศรษฐกิจเป็นการส่วนตัว ส่วนธีร์นั้นแยกตัวออกไปทำธุระเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถให้ใครทำแทนได้

“นทีกับน้ำรินได้บอกหรือเปล่าว่าจะพาต้นน้ำไปไหน” ชลชาติเอ่ยถาม เพราะติดประชุมตลอดช่วงเช้าจึงไม่ได้รับสายนทีธัชช์ เมื่อประชุมเสร็จก็ได้รับรายงานจากผู้ช่วยว่า วันนี้น้องชายจะไปรับลูกชายของเขาที่โรงเรียนเอง 

“ไม่ได้บอกครับนาย” พัฒน์ตอบ 

“ไม่เป็นไร” ชลชาติว่า ก่อนจะหยิบเอกสารที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ ทว่าจดจ่อกับตัวอักษรได้ไม่กี่บรรทัด มุมปากก็ยกขึ้นยามใบหน้าตื่นตกใจของใครบางคนผุดขึ้นมาให้ห้วงความจำ 

แบบนี้ก็ดี เด็กนั่นจะได้เลิกเรียกขานเขาด้วยถ้อยคำไม่สมควรเสียที

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น