๗
ท่านรองสบายดี เด็กฝึกงานคนนี้ก็สบายใจ
“ต้นน้ำจำได้หรือเปล่าครับว่าร้านอยู่ตรงไหน” นทีธัชช์เอ่ยถามเด็กชายที่นั่งอยู่ในคาร์ซีต
“อืม...” เด็กชายสมุทรเอียงหน้าครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้า “อยู่ใกล้ที่ทำงานครับ”
วนาลีหัวเราะชอบใจ รอบๆ อาคารสำนักงานลักษมีเมธี กรุ๊ป มีคาเฟ่รายล้อมมากกว่าห้าแห่ง เห็นทีคนที่ตั้งใจแน่แน่วว่าจะไปจับผิดพี่ชายคงจะคว้าน้ำเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเสียแล้ว “เอาไงต่อดีคะ เราต้องแวะทุกที่เลยหรือเปล่า”
นทีธัชช์หลุบตามองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัลเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่หมั้นสาวผ่านกระจกมองหลัง “พี่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก”
“พี่นทีจะทำยังไงคะ” วนาลีถามเสียงกลั้วหัวเราะ
นทีธัชช์ยักคิ้วแทนคำตอบ ก่อนจะกดเชื่อมต่อสัญญาณมือถือเข้ากับระบบไร้สายในรถ จากนั้นจึงต่อสายไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของพี่ชาย รอเพียงไม่นานฝั่งนั้นก็กดรับสาย
“ว่าไงตี๋น้อย”
นทีธัชช์โคลงศีรษะ “ผมไม่น้อยแล้วเฮีย”
“เหรอ”
“ครับ เฮียควรเรียกผมว่าตี๋ใหญ่ อ้อ ไม่ได้ใหญ่ธรรมดานะ เรียกว่าใหญ่โคตรๆ จะดีกว่า”
“ใหญ่โคตรๆ” เจ้าของเสียงใสดังแทรกขึ้นกลางบทสนทนา “หมายถึงใหญ่มากๆ ใช่ไหมครับซิ่ม เพื่อนต้นน้ำชอบพูดกัน แต่คุณครูบอกว่าไม่น่ารัก”
“ใช่ครับ เจ็กสาธิตการพูดที่ไม่เพราะให้ต้นน้ำดู ต้นน้ำก็คิดว่าพูดแบบนั้นไม่เพราะใช่ไหม” วนาลียืดตัวขึ้นมองกระจกมองหลังตาขวาง คนขับรถกิตติมศักดิ์จึงได้แต่ยิ้มแหย รีบเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะคุยกับพี่ชาย
“น้ำรินกับต้นน้ำอยากไปกินขนมร้านที่เฮียซื้อมาเมื่อวาน”
“เลยไฟแดงหน้าบริษัท ร้านสีขาวซ้ายมือ”
“เฮียเสร็จงานหรือยัง ผมอยากจะขอความช่วยเหลือเรื่องงานแต่งหน่อย” คนเป็นน้องว่า
“คุณแม่จัดการเรียบร้อยหมดแล้วนี่” ชลชาติแย้ง ตั้งแต่ได้ฤกษ์แต่งงานมา มารดาของเขาก็เรียกออร์แกไนเซอร์งานแต่งมาประชุมเตรียมงาน ทั้งยังมีการติดตามผลความคืบหน้าทุกเดือนอีกด้วย
“ก็...”
“ป๊า...”
ขณะที่นทีธัชช์ใช้ความคิดว่าควรหลอกล่อคนฉลาดอย่างพี่ชายตัวเองอย่างไรอยู่นั้น เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงขึ้นอีกรอบ
“ครับลูก” น้ำเสียงของชลชาตินุ่มนวลลง ต่างกับตอนสนทนากับน้องชายลิบลับ
“ต้นน้ำคิดถึงป๊า” เด็กชายว่าเสียงใส เพราะเมื่อคืนหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ เขาก็ขอนอนกับว่าที่อาสะใภ้ แถมเช้าวันนี้บิดาก็ยังออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ จึงทำให้ไม่ได้เจอกันทั้งวัน
“ป๊าออกมาประชุมข้างนอก รถค่อนข้างติด กว่าจะไปถึงก็น่าจะเป็นชั่วโมง”
“เหมือนกันเฮีย ทางนี้ก็ติด ผมน่าจะถึงเกือบๆ หกโมง” นทีธัชช์ว่า
“งั้นก็น่าจะพอกัน”
“เย้! ป๊ารีบมานะครับ ต้นน้ำหิวมาก” เด็กชายยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง
“ครับลูก”
“แค่นี้นะเฮีย เจอกันที่ร้าน” เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ นทีธัชช์จึงรีบกดวางสายก่อนที่พี่ชายจะมีงานอื่นแทรกเข้ามา
“หลานรักของเจ็ก เจ็กภูมิใจในตัวต้นน้ำที่สุด”
เด็กชายยิ้มรับคำชมจนตาหยี ก่อนจะหันไปจับมือของว่าที่อาสะใภ้ขึ้นมากุม “ต้นน้ำเป็นเด็กดี”
“ใช่ครับ ต้นน้ำของซิ่มเป็นเด็กดีที่สุด” วนาลีว่า ก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มยุ้ยแล้วขยี้อย่างไม่แรงนัก
“จั๊กจี้” เด็กชายส่งเสียงหัวเราะชอบใจ
นทีธัชช์มองสองอาหลานที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากผ่านกระจกมองหลังแล้วระบายยิ้มกว้าง หลายปีที่ผ่านมาเขาเองก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหลานชาย วนาลีคือความอ่อนโยนอ่อนหวานที่เข้ามาเติมเต็มวัยเด็กของเจ้าตัวเล็กให้มีสีสัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นเพียงอาสะใภ้ และหลังแต่งงานเขาก็ตั้งใจจะพาเธอไปอยู่ด้วยที่ค่ายสักระยะ จากนั้นจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านของผู้เป็นตา ดังนั้นเมื่อได้ยินหลานชายพูดถึงพี่นางฟ้า เขาจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่านางฟ้าเดินดินแท้จริงเป็นเช่นไร
“ป๊า” เด็กชายสมุทรวิ่งเข้าไปหาคนที่เพิ่งก้าวขาลงมาจากรถ เมื่อได้ระยะที่พอเหมาะแล้วจึงหยุดยืนให้ปลายเท้าชิดกัน ประนมมือไหว้ พร้อมกับค้อมศีรษะลง
ชลชาติย่อตัวลง อ้าแขนรับผู้ที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจเข้ามากอด “หิวหรือยังหืม”
“ครับ”
“งั้นก็เข้าไปกันเถอะ” ชลชาติเอ่ยกับน้องชาย แล้วจึงจูงมือบุตรชายเข้าไปในร้าน
“พี่นทีว่าคนไหนคะ” วนาลีกวาดตามองพนักงานที่ยืนทักทายอยู่หลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะยืดตัวขึ้นกระซิบถามนทีธัชช์
“ต้นน้ำเดินผ่านไปแบบนี้ไม่น่าจะใช่สักคน” นทีธัชช์กระซิบตอบ ชะเง้อคอมองพนักงานที่เดินนำพี่ชายของตนไปยังโต๊ะว่างก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหลานชายตัวดีก็ไม่มีท่าทีว่ารู้จักพนักงานคนนั้นเช่นกัน
“ถ้าเกิดว่าวันนี้เป็นวันหยุดน้องนางฟ้า...” วนาลีเกริ่นแล้วยกมือขึ้นปิดปากกลั้นขำ
“ก็คงจะฮามาก” นทีธัชช์ถอนหายใจ จูงมือคู่หมั้นที่ยังกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพี่ชาย
“มีเมนูไหนแนะนำซิ่มบ้างครับต้นน้ำ” วนาลีหลบสายตาสงสัยของคนฝั่งตรงข้าม ด้วยการเสถามหลานชายที่กำลังพลิกเปิดเมนูอยู่
“อันนี้ อันนี้ อันนี้ อันนี้ อันนี้...”
“หมดทั้งหน้าแล้วต้นน้ำ” นทีธัชช์ท้วง เมื่อหลานชายจิ้มรูปเมนูขนมครบทุกรูปในหน้าแรก
“เลือกได้สามชิ้นครับ” ชลชาติใช้สายตาปราม
“ต้นน้ำสามชิ้น ป๊าสามชิ้น ซิ่มสามชิ้น เจ็กสามชิ้น” เด็กชายสมุทรหันไปทางบิดา ทว่าชลชาติกลับส่ายหน้าน้อยๆ
“ว้า...ป๊ากระเพาะเล็กอีกแล้ว” เจ้าตัวเล็กถอนหายใจ
วนาลีกับนทีธัชช์หัวเราะอย่างไม่เก็บอาการ ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับพนักงานที่ยืนรอรับออร์เดอร์อยู่
“ถ้าไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่ม”
“เย้!” เด็กชายยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เมื่อได้ยินบิดาอนุญาตอ้อมๆ เมื่อตกลงจำนวนขนมที่สามารถสั่งได้แล้ว จึงจิ้มรูปที่ชอบพร้อมกับน้ำแบบเดิมที่เคยสั่งครั้งก่อน
“ของผมเอาอันนี้ แล้วก็ชาร้อน” นทีธัชช์ชี้รูปสตรอว์เบอร์รีเครปเค้ก
“เอาสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตสมูทที แล้วก็เครปเค้กค่ะ” วนาลีสั่งขนมและเครื่องดื่มสำหรับตัวเอง
“ชาร้อนครับ” ชลชาติกล่าวเมื่อพนักงานเบนสายตามาทางตน
“ขออนุญาตทวนเมนูนะคะ” พนักงานสาวแย้มยิ้ม ก่อนจะทวนเมนูทีอย่าง จากนั้นจึงเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์
“เฮียมาที่นี่บ่อยเหรอ” นทีธัชช์ถามทั้งที่รู้ว่า พี่ชายไม่มีเวลาว่างมากพอ สำหรับการออกมานั่งชิลตามคาเฟ่อย่างเช่นคนอื่น
“เปล่า” ชลชาติตอบเพียงสั้นๆ ก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่น้องชายเกริ่นค้างไว้ทางโทรศัพท์ “เรื่องงานแต่งยังมีอะไรไม่เรียบร้อย”
“ก็...”
“พี่นางฟ้า!”
“...”
ถ้อยคำที่เตรียมไว้ถูกกลืนลงท้องโดยฉับพลัน นทีธัชช์กับวนาลีหันขวับมองไปตามสายตาของหลานชายอย่างพร้อมเพรียงกัน
สองมือที่ถือประคองถาดสั่นเทา ศศิมาแขนสั่น ขาอ่อนแรงจนไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้
“น่ารักจัง” วนาลีว่า
“เหมือนน้ำรินจริงๆ ด้วย” นทีธัชช์กล่าว
“ก็คล้ายอยู่นะคะ ตัวเท่ากันเลย มิน่าตอนที่เจอกันครั้งแรกต้นน้ำถึงได้คิดว่าเป็นน้ำริน” วนาลีอมยิ้ม ก่อนจะหรี่ตาลง “ว่าแต่น้องเขาเป็นอะไรคะ สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียว”
“นั่นสิ”
ก่อนที่นทีธัชช์กับวนาลีจะได้หาคำตอบ เด็กชายสมุทรก็ดันตัวกระโดดลงจากเก้าอี้ แล้ววิ่งเข้าไปหาคนที่ตัวเองถูกใจ “พี่นางฟ้าเล่นสควิดเกมหรือครับ”
“ต้น...เอ่อ” ศศิมาเบนสายตาไปทางคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้เล็กน้อย ก่อนจะหลุบตามองเจ้าของมือเล็กที่จับชายกระโปรงเธออยู่ “ลูกชายท่านรอง”
“หือ...” นทีธัชช์ วนาลี ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่นั่งหน้านิ่งไม่ยินดียินร้ายต่อการมาของใคร หันไปมองผู้มาใหม่ที่สวมชุดยูนิฟอร์มของคาเฟ่เป็นสายตาเดียว
“ไม่ใช่ พี่นางฟ้าต้องพูดว่า เอ อี ไอ โอ ยู หยุด” ลูกชายท่านรองเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยไปอีกทาง ทั้งยังช่วยแก้คำให้เสร็จสรรพ
“ทำตัวตามปกติ พูดกับต้นน้ำเหมือนเดิม” ชลชาติถอนหายใจ คิดว่าจบเรื่องคุณพ่อน้องต้นไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะไม่ทำอะไรให้ปวดหัวอีก ยังไม่ทันข้ามคืนก็คิดคำเรียกขานขึ้นมาใหม่ให้ปวดหัวเล่นอีกรอบ
“จะดีหรือคะ” นักศึกษาสาวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ฉันบอกว่าได้ก็คือได้”
“สัญญานะคะว่าถ้าหนูคุยกับลูกชายท่านรองตามเดิม หนูจะไม่โดนไล่ออกก่อนฝึกงานเสร็จ”
ชลชาติถอนหายใจ “ไร้สาระ ฉันไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้นหรอก”
“ต้น...น้ำ” ศศิมายิ้มแต้ให้เจ้าตัวเล็กที่ยังยืนจับชายกระโปรงเธอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปทางเดิมอีกรอบ และเมื่อเห็นคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายการเป็นนักศึกษาฝึกงานยังคงนั่งนิ่งอยู่ดังเดิม จึงผ่อนลมหายใจ
“สุดหล่อของพี่อิง” ศศิมาวางถาดไว้บนโต๊ะที่ว่างอยู่ ก่อนจะย่อตัวลงทักทายเจ้าตัวเล็กที่ยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ตรงหน้า
“พี่นางฟ้าคนสวยของต้นน้ำ” เด็กชายตอบรับ ศศิมาจูงมือเด็กชายพากลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ก่อนจะยกกาต้มชาร้อนพร้อมแก้วชาสองที่ไปวางบนโต๊ะ หญิงสาวยิ้มให้ลูกค้าอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ ก่อนจะถอยออกห่างจากโต๊ะหนึ่งช่วงแขน แล้วค้อมศีรษะลงสามสี่ครั้ง หลับตาพร่ำขอโทษขอโพยเสียงสั่น
“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้จริงๆ ว่าท่านรองคือท่านรอง ถ้าหนูรู้ว่าท่านรองคือท่านรอง หนูก็คงจะเรียกท่านรองว่าท่านรองตั้งแต่แรกแล้ว ท่านรอง...”
ชลชาติยกมือขึ้นห้ามก่อนที่เธอจะได้พูดต่อ เพราะหากได้ยินคำว่า ‘ท่านรอง’ เพิ่มอีกสักครั้งสองครั้ง เขาอาจจะความดันขึ้นจนต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยก็ได้
“ว้าว รองเยอะจัง” เด็กชายที่เอียงหน้าตั้งใจฟังอยู่นานว่าเสียงแผ่ว
“ท่านรอง...”
“พอ” ชลชาติว่าเสียงเข้ม “ผมไม่ได้ติดใจอะไร คุณไม่ได้ทำอะไรผิด”
“หนูมีตาหามีแววไม่”
“ป๊ากับพี่นางฟ้าคุยอะไรกัน ต้นน้ำไม่เห็นเข้าใจ” เด็กชายมองตามเจ้าของบทสนทนาแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอย
“ผมบอกให้คุณทำตัวตามปกติ พูดคุย เล่นกับต้นน้ำได้เหมือนที่เคยทำ”
“ท่านรองอนุญาตให้หนูเล่นกับต้นน้ำได้หรือคะ”
เมื่อชลชาติพยักหน้า ศศิมาจึงย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างเก้าอี้ที่เจ้าของชื่อนั่งอยู่ แล้วระบายยิ้มกว้าง “พี่อิงไปดูขนมให้ต้นน้ำก่อนนะครับ วันนี้อยากให้พี่อิงจัดจานเป็นรูปอะไรดี”
“หัวใจครับ” เด็กชายตอบพลางก้มหน้าลงยิ้มเขิน
“ได้เลยครับ วันนี้พี่อิงจะเหยาะความรักใส่ตรงหัวใจทุกดวงเลย”
“เย้!” เด็กชายชูมือขึ้นด้วยความดีใจ
ศศิมายิ้มให้เจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ “ขอให้ท่านรองอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
“แค็กๆๆ” ชลชาติรีบวางแก้วชาลง ดึงทิชชูขึ้นมาซับปาก ถลึงตามองตามหลังคนที่เพิ่งเดินจากไปแล้วกระแทกลมหายใจ
นทีธัชช์จ้องภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่ไหว เหลือบตามองคู่หมั้นสาวที่กำลังกลั้นขำจนหน้าแดง แล้วทำปากขมุบขมิบเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน “เจอพวกแล้วไงน้ำริน”
“พากลับบ้านเลยได้ไหมคะ” วนาลีกระซิบตอบ รู้จักมักคุ้นกันมาหลายปี เธอก็เพิ่งเห็นพี่ชายของว่าที่สามีเสียอาการหนักที่สุดก็วันนี้ เห็นทีพี่นางฟ้าของหลานชายคงจะมีเวทมนตร์วิเศษ จึงสะกดคนจิตแข็งให้จิตหลุดได้ง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่ทันได้เสกคาถา
ความคิดเห็น |
---|