12

บทที่ ๑๒ ถลำลึก


บทที่ ๑๒ ถลำลึก
เสียงเชียร์ที่ดังอยู่รอบๆ ตัวทำให้พิมพ์ภิดาเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง หล่อนรับปากไทก้าว่า จะมาชมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของเขากับทีมโรงเรียนฝั่งตรงข้าม การแข่งเริ่มต้นตอนหกโมง ขณะที่ทีมของไทก้าเป็นฝ่ายนำ ด้วยการยิงประตูของชายหนุ่มในห้านาทีแรก และอีกสิบห้านาทีต่อมาเขาก็ยิงนำให้ทีมไปอีกลูก
อีกทีมดูจะเป็นรองเป็นอย่างมาก ทั้งขนาดตัว ทักษะการเล่นของทุกคนในทีม เสียงกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับซึ่งมีตั้งแต่ รุ่นพี่ รุ่นน้อง แต่แน่ๆ ป้ายไฟที่มีชื่อ ไทก้า มีอยู่นับสิบป้าย บอกถึงความป๊อบปูลาร์ได้เป็นอย่างดี สู่ขวัญนั่งชมการแข่งขันอยู่ได้เพียงครึ่งเดียวก็ขอกลับก่อน อ้างว่า ไม่อยากกลับบ้านค่ำเพราะเกรงใจพ่อ พิมพ์ภิดาไม่กล้าลุก เพราะรับปากไทก้าไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน หล่อนตั้งใจจะกลับแท็กซี่หลังการแข่งขันจนบ
หญิงสาวยอมรับว่า ไม่มีสมาธิ ไม่ใช่เพราะเสียงโห่ร้องเป่าปาก แต่เพราะภาพของใครบางคนที่ผุดขึ้นมากวนอยู่เรื่อย พิมพ์ภิดาเผลอมองเห็นผู้เล่นคนหนึ่งเป็นนายหน้าหนวด จนกระทั่งบรรดาผู้ชมต่างลุกขึ้นและแยกย้ายกันกลับ หล่อนก็ตัดสินใจลุกบ้าง
พิมพ์ภิดาไม่รู้ว่า ไทก้าเห็นหล่อนหรือไม่ เพราะตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในวงล้อมของบรรดาสาวๆ ไม่ต่ำกว่าสิบคนที่รุมขอลายเซ็น พร้อมทั้งขอเซลฟี่ ไทก้าคือ หนุ่มเนื้อหอม นักบอลตัวเต็งของโรงเรียน เขาสูง ร่างกายกำยำ กล้ามแขนเป็นมัดๆ งานอดิเรกของเขาคือ การเป็นนายแบบ เรื่องเรียนชายหนุ่มก็เรียนเก่งกว่าคนอื่นๆ หลายคนบอกว่า เขาเป็นอัจริยะ ไม่ว่า จะเรียน หรือเล่นกีฬาก็ทำได้ดีเยี่ยม ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ไทก้าจะอยู่เมืองไทย เขาวางแผนจะเรียนต่อบริหารที่ต่างประเทศ
ครอบครัวของไทก้าฐานะดีมาก พ่อเป็นนักธุรกิจอเมริกาแม้จะเลิกกับแม่แต่ยังคอยส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ ทุกปิดเทอมไทก้าจะไปอยู่อเมริกา ครั้งหนึ่งพิมพ์ภิดาก็เคยปรับทุกข์เรื่องปัญหาทางบ้านกับเพื่อนหนุ่ม หญิงสาวเดินเรื่อยๆ จากสนามฟุตบอลของโรงเรียนมาตามทางเดิน โชคดีที่ยังมีไฟเปิดเอาไว้ แถมยังมีคนซึ่งไปเชียร์บอลทยอยออกมาแต่แล้วกลับได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมา มือที่แตะตรงบ่าทำให้พิมพ์ภิดาสะดุ้ง
“เฮ้..รอก่อนสิเพลิน จะรีบไปไหน”
ไทก้าหอบ แต่ยังส่งยิ้มหวานชวนใจละลายมาให้ เขาถอดเสื้อทีมออกแล้ว สวมเสื้ออีกตัวทับลงไป ผมเผ้าที่เปียกจากการเล่นกีฬาแต่ก็ทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่าบอกใคร พิมพ์ภิดาสังเกตว่า รุ่นน้องหลายคนมองตามตาละห้อย
“ฉันคิดว่า นายต้องคุยกับเพื่อนก่อน”
“ไม่มีใครสำคัญเท่าเพลิน”
ไทก้าก็เป็นเสียแบบนี้ เขามักจะพูดอะไรที่หล่อนคาดไม่ถึง คำพูดเรียบๆ แต่เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ ในโรงเรียนแห่งนี้ก็มีเพียงแค่สู่ขวัญและไทก้าเท่านั้นที่พิมพ์ภิดานับว่า เป็นเพื่อนสนิท
สังคมในโรงเรียนอินเตอร์ก็ไม่ต่างจากสังคมตะวันตก มีการจับเป็นกลุ่ม เพื่อนใครเพื่อนมัน ตอนเที่ยงก็แยกย้ายกินข้าว ตกเย็นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน นับตั้งแต่พิมพ์ภิดาเสียพ่อไป หล่อนก็หมกหมุ่นอยู่ในโซนของตัวเอง เพื่อนหลายคนคิดว่า หล่อนหยิ่ง เพราะแทบไม่คุยเล่นหัวกับใคร แต่แท้จริงแล้วเพราะหญิงสาวกำลังกลุ้มใจกับปัญหาของตัวเองต่างหาก
“ปากหวานจริงๆ แล้วนี่เอากองเชียร์สาวๆ ของเธอไปเก็บไว้ไหนเสียล่ะ”
“พวกเขาก็แค่มาดู ไม่มีอะไรหรอก”
“ตอนนี้เธอดังใหญ่แล้วนะไทก้า มีคนมาขอลายเซ็นด้วย เหมือนดาราเลย”
นอกจากสาวๆ จะรุมล้อม ไทก้ายังได้รับของขวัญเป็นกองพะเนินไม่เว้นแต่ละวัน ชายหนุ่มเอาแต่อมยิ้ม โบกไม้โบกมือให้กับสาวๆ
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะเพลิน จะให้ปฏิเสธงั้นหรือ มีหวังพวกเขาเสียใจแย่”
“อ้าวแล้วเอาของขวัญที่เขาให้ไปไว้ไหนล่ะ”
“ก็อยู่ข้างสนามนั่นล่ะ ฝากลุงยามเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเอา”
ชีวิตของไทก้าขลุกอยู่ที่สนามบอลพอๆ กับห้องเรียน เขาซี้กับลุงยามพอจะช่วยให้เก็บของให้ ทั้งดอกไม้ การ์ดหรือแม้แต่กล่องของขวัญต่างๆ
“เสน่ห์แรงๆ จริงๆ เพื่อนฉัน”
“แค่เพื่อนเองหรือเพลิน ผมอุตส่าห์ชนะแมทช์เมื่อกี้เพื่อเพลินเลยนะ” ชายหนุ่มเบ้หน้า
“เกินไป เธอเป็นตัวแทนโรงเรียนไม่ใช่หรือ ที่ต้องชนะไม่ใช่เพราะครูที่คุมทีมหรอกหรือ” พิมพ์ภิดาแกล้งถองที่สีข้างชายหนุ่ม เขาหัวเราะร่วน ยกมือลูบผมด้านหลัง แล้วหัวเราะ
“เกลียดคนรู้ทันจริงๆ “
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ มาเถอะ เดี๋ยวเพลินเลี้ยงไอติมเอง”
“แต่ผมยังไม่กินข้าวเลยนะ หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว กะว่าจะมากินข้าวเย็นกับเพลินสักหน่อย” หนุ่มนักกีฬาโอดครวญ
“งั้นแชร์กันนะ ไทก้าเลี้ยงข้าว ส่วนไอติมเพลินจัดการเอง”
ทั้งสองพากันมานั่งที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ร้านนี้เป็นอาหารฝรั่งเปิดถึงเที่ยงคืน ไทก้าสั่งสปาเก็ตตี้ ซุปรวมถึงขนมปังกระเทียม ส่วนพิมพ์ภิดากินแค่ซุปเห็ดถ้วยเดียวเท่านั้น เมื่ออาหารมาเสิร์ฟนักบอลหนุ่มหล่อก็ตักอาหารเข้าปากทันที
“หิวขนาดนั้นเลยหรือ”
“ใช่สิ...ตอนเตะบอลนี่ใช้พลังงานมากๆ เลยนะ เพลินเชื่อไหมว่า บางวันผมกินข้าวได้สามจาน”
พิมพ์ภิดามองเพื่อนที่ผมเปียกชุ่ม แม้จะหวีเป็นทรงเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังเห็นร่องรอยของเหงื่อ สำหรับผู้ชายคนอื่นอาจจะดูมอมแมม แต่สำหรับไทก้าแล้ว กลับยิ่งดูเท่ห์ หญิงสาวเคยเห็นบรรดาแฟนคลับตะโกนขอเสื้อที่เปียกชุ่มไปเป็นที่ระลึกด้วยซ้ำ
“ดูท่ากินก็รู้แล้วว่า หิว เอาของเพลินไปอีกไหมล่ะ”
“ไม่เอา เพลินกินบ้างสิ”
เขาตักซุปในถ้วยหล่อนและป้อนเข้าปาก พิมพ์ภิดาส่ายหน้า
“ไม่ต้องป้อนเพลินหรอก นายกินเถอะ”
“คำเดียวน่าเพลิน ไม่มีใครเห็นหรอก” เขาหัวเราะร่วนแต่ยังคะยั้นคะยอ พิมพ์ภิดาจำต้องอ้าปากรับ หล่อนกลืนซุปลงคอ ไทก้าเผลอจ้อง แต่พอเห็นหล่อนมองก็รีบก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อ
“วันนี้เพลินโทรบอกป้าชื่นหรือยัง นี่ก็สามทุ่มแล้วนะ”
ไทก้าเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวที่บ้านเพราะพิมพ์ภิดาเล่าให้ฟัง เขาเองก็เป็นเด็กบ้านแตก พ่อแม่เลิกกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า ไทก้าไม่ได้เครียดเรื่องครอบครัวอีกต่อไปแล้ว เขาเคยบอกพิมพ์ภิดาว่า การที่พ่อแม่เลิกกันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ส่วนเขาก็ต้องคิดอนาคตของตัวเอง
“วันนี้เพลินไปค้างบ้านขวัญ”
เรื่องราวที่ออกจากปากพิมพ์ภิดาทำให้ไทก้ายิ่งประหลาดใจ
“ผมไม่เห็นด้วยนะ เพลินควรจะกลับบ้าน ไม่ใช่ทำแบบนี้”
หญิงสาวหน้าสลด สู่ขวัญก็เคยพูดแบบนี้กับหล่อน แต่เป็นเพราะพิมพ์ภิดากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับแม่ต่างหาก หล่อนเหมือนคนที่ทำผิดร้ายแรง
“แต่เพลิน...”
“ผมรู้ว่า เพลินกลัว แต่ถึงยังไงก็เลี่ยงความจริงไปไม่ได้ แล้วก็เรื่องที่แม่เพลินจะแต่งงานน่ะ เพลินคิดว่า เอาแต่หลบอยู่ที่บ้านเพื่อนอย่างนี้แล้วจะทำให้ท่านเปลี่ยนใจงั้นหรือ”
“แล้วนายคิดว่า ควรทำยังไง”
“กลับไปเผชิญหน้ากับแม่สิ ทำให้แม่รู้ในสิ่งที่เพลินคิด ด้วยสันติวิธี”
ไทก้าพูดติดตลก พิมพ์ภิดาเผลอหัวเราะออกมากับคำพูดของเพื่อนหนุ่ม
“นายทำเหมือนเพลินกำลังรบกับแม่อยู่งั้นแหล่ะ”
“แล้วไม่ใช่หรือ สิ่งที่เพลินทำก็คือ การรบอย่างหนึ่ง แต่เป็นการรบแบบโวยวาย ต่อไปนี้เพลินจะต้องหัดพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป สิ่งที่เพลินกลัว”
พิมพ์ภิดาเล่าให้ไทก้าฟังเรื่องที่หล่อนรู้มาเกี่ยวกับรฐกรปอกลอกคู่ขาในอดีตจนได้ข้าวของต่างๆ มา
“แต่แม่ยังโกรธอยู่”
“เพลินก็ง้อท่านสิ โกรธก็ส่วนโกรธ ส่วนเรื่องเกลี้ยกล่อมไม่ให้แต่งงานนั่นก็อีกเรื่อง”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไทก้าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าหล่อนมาก เพราะเหตุนี้เองคนถึงพูดว่า เขาเป็นอัจริยะที่เก่งในทุกๆ ด้าน
“นายโตกว่าเพลินเยอะเลย”
“หมายถึง รูปร่างงั้นหรือ” ไทก้าแสร้งเอื้อมมือมายีผมพิมพ์ภิดา หล่อนเบี่ยงตัวหลบ ทั้งสองหัวเราะ เมื่อมองอีกทีชายหนุ่มก็จัดการอาหารของตัวเองหมดเกลี้ยง
“เพลินหมายถึงว่า ความคิดอ่านน่ะ”
“เพลินก็ทำได้นะ ถ้าอยู่ใกล้ผมเยอะๆ ผมยินดีช่วย” ชายหนุ่มผายมือโค้ง ทำท่าล้อเลียน
“นี่โชคดีนะที่เพลินไม่ต้องเลี้ยงข้าว ไม่อย่างนั้นเพลินคงหมดตัว นายกินเก่งเหลือเกิน”
“ฮั่นแน่ คิดจะเบี้ยวไอติมงั้นหรือ ผมจำได้แม่นนะว่า เพลินบอกว่า จะเลี้ยงไอติม เผื่อที่ในกระเพาะรอไว้แล้ว” ไทก้าหัวเราะ พิมพ์ภิดาจึงยื่นเมนูไอศกรีมส่งให้ เขาส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ผมคิดเอาไว้ในใจแล้วว่า จะกินวานิลาสองลูก สตอเบอรี่อีกหนึ่ง”
“นี่กะ...ล้มทับกันเลยงั้นหรือ”
“เอาน่าเพลิน แค่นี้เพลินไม่จนหรอก ถือเสียว่า ชดเชยค่าน้ำมันที่ผมจะไปส่งเจ้าหญิงถึงหน้าบ้านยังไงล่ะ”
บ้านหลังเดิมแต่เพิ่มเติมคือ ความเงียบเหงา ไทก้าพาหญิงสาวไปเอาของที่บ้านสู่ขวัญ หลังจากนั้นก็พามาส่งที่บ้าน แต่พอมองขึ้นไปตรงหน้าต่างห้องแม่ก็พบว่า ไฟปิด รถยังไม่เข้ามาจอดในที่จอนั่นแปลว่า อรุณายังไม่กลับบ้าน
“เพลินอยู่ได้ไหม”
ป้าชื่นมายืนรอพอเห็นพิมพ์ภิดาก็โผเข้ามากอดอย่างดีใจ ก่อนจะนำกระเป๋าไปเก็บและปล่อยให้ทั้งสองได้คุยกัน
“ได้สิ เพลินมีป้าชื่น ขอบคุณมากนะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับไอติมเหมือนกัน ผมอิ่มแปล้เลย”
“แหงสิ เล่นกินไปหลายอย่างแบบนั้น ไม่จุกก็แปลก”
“ความจริงยังหิวอยู่เลยนะ อยากจะเข้าไปนั่งกินขนมในบ้านเพลินแต่เกรงใจป้าชื่น”
“ดึกแล้วนายกลับเถอะ”
“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ผมจะแวะมารับไปโรงเรียนนะ”
“โอ๊ย...ไม่ต้องเพลินให้คนรถไปส่งได้ นายจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าแล้วขับรถอ้อม”
“ได้ไง ตอนนี้เรากลับมาซี้กันแล้วนะ ผมก็ต้องดูแลพิทักษ์เจ้าหญิง” ไทก้าพูดติดตลก พิมพ์ภิดาหัวเราะ ใช้มือผลักไหล่ไทก้า
“แกล้งแหย่เพลินอีกแล้ว กลับเถอะ ดึกแล้วเพลินเป็นห่วง”
ไทก้าพยักหน้า เอื้อมมือแตะบ่าพิมพ์ภิดา
“ผมกลับก่อนนะเพลิน พรุ่งนี้ผมจะรับตอนหกโมงครึ่ง เพลินแต่งตัวรอผมนะ ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เพราะยังไงผมก็จะมารับ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ ถ้าเพลินเกรงใจละก็ ช่วยเตรียมแซนวิชให้ผมสักสี่ชิ้น ก็จะดีมาก เพราะผมจะขับรถได้นุ่มขึ้น”
ร่างสูงยังไม่วายแหย่ เขาเดินไปที่รถของตน เพียงไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกไป พิมพ์ภิดาสูดหายใจเข้าลึกมองบ้านหลังใหญ่ที่ไฟยังปิดมือ ป้าชื่นเดินมาจูงหล่อนและพาเข้าบ้าน หญิงสาวตั้งใจกับตัวเองว่า นับจากนี้หล่อนจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหล่อนจะไม่ยอมแพ้...
รฐกรผละออกจากร่างอวบอัดทันทีที่เสร็จกิจ ทิ้งให้พนักงานสาวที่หิ้วมาจากบ่อนนอนหมดเรี่ยวแรง ร่างเปลือยที่นอนหงายเผยทรวงทรงละลานตาไม่ได้ดึงดูดเขาอีกต่อไปแล้ว ตลอดสองชั่วโมงที่ทั้งคู่ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ รฐกรยอมรับว่า เครียดจึงต้องหาที่ปลดปล่อย
ชายหนุ่มเดินไปหยิบบอกเซอร์ที่ถูกถอดทิ้งอยู่บนพื้นห้องขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ตามองไปรอบห้องที่มีเสื้อผ้าของอีกฝ่ายวางกระจัดกระจายอยู่ มือเสยผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อขึ้น
แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่รฐกรกลับหลับตาไม่ลง ต้นเหตุเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในบ่อน โชคไม่เข้าข้างแบบวันก่อนๆ เพราะแทนที่เขาจะเล่นได้มากกว่าเสียอย่างที่เคย แต่กลับกลายเป็นว่า รฐกรเป็นหนี้เสี่ยโจ้ถึงห้าล้านบาท ตอนแรกเขาคิดว่า แก้มือที่เสียเงินไปแต่กลับถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
เขากระดกเหล้าลงคอ หวังใช้มันดับกลุ้ม นัยน์ตาเบิกโพลงกับปัญหาที่แก้ไม่ตก คำพูดสุดท้ายที่เจ้าของบ่อนทิ้งท้ายเอาไว้
“เครียดทำไมละคุณรฐกร ผมได้ยินมาว่า คุณกับมาดามอุ๊กำลังจะแต่งงานกันไม่ใช่หรือ”
รฐกรลำคอแห้งผาก หากเรื่องจริงเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่กลุ้ม แต่นี่ยังไม่รู้เลยว่า จะลูกผีลูกคน อรุณาคงโกรธที่เขาเข้าไปต่อว่า ในห้องทำงาน จนป่านนี้ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่า จะแก้ตัวยังไงเลยด้วยซ้ำ เขาผิดเองที่ใจร้อนเพราะกลัวว่า หล่อนจะหลุดจากมือไปถึงได้ทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด
ชายหนุ่มจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ พร้อมกับอมควันขาวๆ เข้าไปจนชุ่มปอด เงยหน้าขึ้นปล่อยให้นิโคตินทำงาน เขาอัดควันเข้าปอดซ้ำๆ สมองกำลังวางแผนการไปด้วย เขาขอเสี่ยโจ้ผัดผ่อนหนี้ไปก่อนเพราะตอนนี้เงินสดในธนาคารมีเพียงแค่หนึ่งแสน
เขาพลาดที่คิดว่า อรุณาเป็นลูกไก่ในกำมือ แต่คนอย่างรฐกรไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเผชิญกับความยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มเคยเป็นเด็กต่างจังหวัด อดมื้อกินมื้อ ครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานรับจ้าง ทั้งแบกข้าวสาร ทำนา แม่ทำกับข้าวไปขายที่ตลาดแต่ทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากลูกยังเล็ก รฐกรเป็นพี่คนโต ต้องเลี้ยงน้อง ทำงานสารพัด
ชายหนุ่มเคยอยากให้น้องๆ ตายไปเสียให้หมด เขาจะได้ไม่ต้องคอยไกวเปลด้วยมือหนึ่งพร้อมเห่อุ้มไอ้คนที่ร้องแหกปากตลอดเวลาเอาไว้ แต่แล้วในวันหนึ่งฟ้าก็เข้าข้างเมื่อแม่อยากให้ชายหนุ่มเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำงาน ตอนนั้นรฐกรอายุแค่สิบสี่ต้องไปทำงานในโรงงานแต่ทางครอบครัวคงไม่รู้ว่า เขาตั้งใจว่า จะไม่กลับไปที่บ้านอีกเลยตลอดชีวิต
รฐกรส่งเงินให้ทางบ้านในช่วงแรก หลังจากนั้นเขาก็หนีออกจากโรงงาน และตัดการติดต่อทุกอย่าง เขาเรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ต้องปากกัดตีนถีบ เขาทำงานหนักเพื่อเก็บเงินส่งเสียตัวเองให้เรียนนอกระบบ รฐกรไม่เคยบอกใครว่า เขายังมีครอบครัวเหลืออยู่ที่ต่างจังหวัด
เขาตั้งใจตัดขาดจากทุกคนแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ เขาได้พบกับสาวใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ในบริษัท หล่อนเพิ่งจะหย่ากับสามี เลยเหงา ตอนแรกรฐกรรู้สึกสะอิดสะเอียน เรือนร่างที่มีแต่เซลลูไลท์ของอีกฝ่าย แถมหล่อนอายุมากกว่าเกือบยี่สิบปี ทุกอย่างที่เคยเต่งตึงพลันหย่อนยานไปเสียหมด แต่พอเห็นเครื่องเพชรที่อีกฝ่ายประโคมใส่มาทำงาน ความคิดก็เปลี่ยนไป เขาปรับตัวเป็นคนใหม่ เป็นรุ่นน้องที่คอยเอาอกเอาใจรุ่นพี่ทุกอย่าง
ชายหนุ่มได้เงินและเครื่องประดับจากรุ่นพี่คนนี้ จนถึงกับต้องยอมมอบกายให้ เขาพร่ำชมว่า หล่อนทั้งสวย ทั้งเซ็กซี่ทั้งที่ในใจสะอิดสะเอียน ฟ้าเข้าข้างเมื่อจู่ๆ หล่อนก็ป่วยเป็นมะเร็ง รฐกรค่อยๆ ตีจากอย่างเงียบๆ เขารู้ข่าวว่า หนึ่งเดือนหลังจากนั้นรุ่นพี่ก็เสียชีวิต รฐกรเริ่มมองหาลู่ทางทำเงินใหม่ๆ การเข้าหาผู้หญิงอารมณ์เปลี่ยว เขาได้ทุกอย่างมาเป็นของตน ทั้งรถและคอนโดแห่งนี้ เมื่อได้สมใจเขาก็รีบตีจากและย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แม้ผู้หญิงเหล่านั้นจะตีโพยตีพายในช่วงแรกแต่รฐกรก็มีวิธีรับมือ
เขาไม่เคยต้องใช้ความพยายามในการตีสนิทกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะเสน่ห์ที่มีเหลือล้น ใบหน้าคมสันหล่อเหลา ผิวขาวทำให้เขาเหมือนพระเอกเกาหลี เขาโชคดีกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เพราะผิวไม่คล้ำเหมือนพ่อ
อรุณาเป็นคนแรกที่ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายาม หล่อนเย่อหยิ่ง เล่นตัว และมองเขาเป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็ใกล้ชิดหล่อนได้สำเร็จ
ชายหนุ่มกัดกรามแน่น มองตัวเลขในใบแจ้งหนี้ซึ่งเสี่ยโจ้บังคับให้เซ็น พร้อมกับพิมพ์ลายนิ้วมือเอาไว้เป็นหลักฐานด้วย ชายหนุ่มบอกตัวเองว่า เขาต้องรีบหาทางใช้หนี้ก้อนนี้ให้เร็วที่สุด
รฐกรนึกถึงบางอย่าง เขาเปิดลิ้นชักและหยิบมันออกมา ยาเม็ดสีขาวที่เขาเพิ่งได้มาจากเพื่อนและตั้งใจว่า จะใช้กับอรุณาในวันนั้น แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ล้มเหลว ชายหนุ่มแค่นยิ้มกระดกเหล้าลงคอ เขาพึมพำกับตัวเอง
“พี่อุ๊ อย่าโทษผมเลยนะ ต้องโทษพี่ที่เล่นตัวมาก แต่อีกไม่นาน พี่จะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอน และขอแต่งงานกับผม”
นอกจากยาแล้วรฐกรยังมีไม้ตายอีกอย่างเพื่อบีบบังคับให้ประธานบริษัทบลูเวฟยอมสยบในที่สุด...
“วันนี้ไทก้าจะมาไหม” สู่ขวัญถามขึ้น
“เห็นว่า จะมาช่วยติวแคลคูลัสนะ ขวัญถามทำไม หรือว่าไม่อยากให้ไทก้ามา ฉันจะได้บอกเขา”
“โอ๊ยเปล่านะ มาก็ดีสิ ฉันยิ่งอ่อนๆ อยู่ด้วย ได้ไทก้ามาช่วยติวก็ดีขึ้นเยอะ เดือนหน้าก็จะถึงช่วงสอบวัดระดับแล้ว ฉันอยากได้คะแนนดีๆ จะได้ยื่นมหาวิทยาลัยได้สบาย”
การสอบวัดระดับความรู้เรียกชื่อย่อว่า SATเป็นที่รู้จักกันในชื่อ SAT reasoning test ซึ่งเป็นข้อสอบมาตราฐานสำหรับรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบของสหรัฐอเมริกา เอสเอทีได้รับการพัฒนาโดยองค์กรซึ่งไม่แสวงผลกำไรเพื่อจัดการสอบ วิชาที่เด็กสมัครล้วนแต่แตกต่างกันไปขึ้นกับคณะที่จะยื่น หากต้องการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มักจะต้องสอบฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นักเรียนเกรดสิบสิบสองหรือเทียบเท่ากับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกในประเทศไทย ถ้าหากต้องการจะเข้ามหาวิทยาลัยจำเป็นต้องมีผลการสอบวัดระดับในวิชาต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยร้องขอ
สำหรับสู่ขวัญแล้วหล่อนต้องการเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จึงต้องสอบคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และเคมี ส่วนภาษาอังกฤษนั้นบางมหาวิทยาลัยก็ต้องการคะแนน สอบ ทั้ง IELTS หรือ TOFEL ดังนั้นสำหรับเด็กเกรดสิบสองอย่างพิมพ์ภิดาและสู่ขวัญการเตรียมตัวเรื่องนี้จึงสำคัญมาก คะแนนที่ดีมีผลต่อการรับของมหาวิทยาลัย เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะถึงการสอบ ทั้งสองได้สมัครสอบในศูนย์สอบในกรุงเทพฯ โดยการชำระเงินล่วงหน้าทางเวบไซต์เรียบร้อยแล้ว วิชาที่ทั้งคู่ไม่ถนัดก็คือ คณิตศาสตร์นั่นเอง
“แต่เราสองคนอาจจะกลับดึก”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันโทรบอกพ่อแล้ว พ่อไม่ว่า ถ้ามีเพลินอยู่ด้วย”
ครอบครัวของสู่ขวัญค่อนข้างหวงลูกสาว ผิดกับพิมพ์ภิดาที่เกือบจะอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ได้เจอกับมารดาสักครั้ง เหมือนท่านจงใจหลบหน้า แม้ตอนเช้าจะบังเอิญได้เห็นกัน แต่มารดาก็ไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว พิมพ์ภิดาพอเห็นท่าทางปั่นปึ่งก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปคุย
“ฉันอยากมีคนโทรหาบ้างจัง”
“นี่แม่ยังไม่ยอมคุยกับแกอีกหรือ”
“ยังเลย แม่กลับดึกทุกวัน ฉันรอจนหลับคาเก้าอี้ด้วยซ้ำ”
“เอาน่าเพลิน อย่างน้อยตอนนี้แกก็อยู่บ้าน ไม่แน่วันเสาร์อาทิตย์นี้แม่แกอาจจะไม่ติดงานก็ได้นะ แกลองทำขนมไปง้อสิ แม่ชอบกินเค้กกล้วยหอมไม่ใช่หรือ”
“ฉันจะลองดูนะ แต่เดี๋ยวต้องถามวิธีทำจากป้าชื่นก่อน ไม่ได้ทำนานแล้ว”
สมัยก่อนตอนเครียดๆ พิมพ์ภิดาก็จะเข้าครัว บ้างก็ทำเบเกอรี่กับป้าชื่น ตอนที่จอร์ชยังอยู่เคยชมว่า หล่อนทำขนมอร่อย เค้กกล้วยหอมคือ ของโปรดของมารดาเลยทีเดียว
“ฉันจะเอาใจช่วยนะ อย่าเครียด อีกหน่อยแม่ก็ใจอ่อน”
พิมพ์ภิดาพยักหน้า ตอนนั้นเองที่มือของใครอีกคนเอื้อมมาแตะบ่า พร้อมรอยยิ้มอันสดใส วันนี้ไทก้าสวมชุดเครื่องแบบโรงเรียน ด้านหลังสะพายเป้ที่ใส่ลูกบอลมาด้วย เขาคงแวะไปเตะบอลก่อนแล้วค่อยมา เสื้อที่เปียกด้านหลังเป็นวงทำให้สองสาวอมยิ้ม
“ไฮ!รอผมนานไหมสาวๆ”
“นานมาก” สู่ขวัญแกล้งแซวและหัวเราะ
“ใช่ นานจนรากจะงอก”
“ไหนดูสิ รากอยู่ไหน” ไทก้าแสร้งทำหน้าทะเล้นแล้วก้มไปดูกระโปรงของพิมพ์ภิดา หล่อนหยิกหัวไหล่ชายหนุ่มอย่างแรง
"จะบ้าหรือ ไทก้าทะลึ่งนะนาย”
“อ้าวก็เพลินบอกว่า รากงอก ผมก็เลยต้องดู จะได้ค่อยแคะขึ้นจากพื้นให้ยังไงล่ะ” เขาหัวเราะจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ก่อนยื่นหน้ามาเฉียดพวงแก้มของพิมพ์ภิดาไปเพียงนิดเดียว
“หอมจัง”
“อุ๊ย ไทก้าทำอะไรน่ะ” หญิงสาวบ่น ส่งค้อนให้ สู่ขวัญแอบอมยิ้มเมื่อเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่ แม้จะติวหนังสือเป็นกลุ่มแต่หล่อนก็มองออกว่า หนุ่มนักฟุตบอลนั้นชอบพิมพ์ภิดาไม่น้อย
“ได้กลิ่นอะไรตุ๊ๆ ก็เลยดมดู เอ๋ มาจากไหนนะ” เขาแสร้งทำจมูกฟุดฟิต พิมพ์ภิดาเบี่ยงตัวหลบวิ่งหนี ชายหนุ่มก็วิ่งตามมา ทั้งสองคนแหย่และหัวเราะ สู่ขวัญเดินนำออกมาทางประตู โรงเรียนเลิกแล้ว ทั้งสามวางแผนจะไปติวหนังสือที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งใกล้โรงเรียน
“ไม่เอานะไทก้า เพลินไม่เล่นแบบนี้นะ”
“แหมเพลินก่อน แกล้งแหย่นิดเดียว เพลินตัวหอมออก”
เขาแสร้งใช้ปลายนิ้วแตะตรงหัวเราะ พิมพ์ภิดาทำหน้าบึ้งกอดอก สู่ขวัญหัวเราะ
“ไม่เล่นนะ เพลินโกรธจริงๆ ด้วย”
“เอ้าไม่เล่นก็ได้ แกล้งขวัญบ้างดีกว่า” ไทก้าแกล้งยื่นหน้าไปหา สู่ขวัญยกหมัดตั้งการ์ด อีกฝ่ายจึงแสร้งถอย แล้วหัวเราะ
“ดุกันจริงๆ เลยสองสาว มีลูกของสักตัวนะ”
“ยังไม่หยุดอีก เดี๋ยวไม่ให้ติวแคลคูลัสให้เสียเลย”
ไทก้ายกมือกุมอก ทำท่าเหมือนคนอกหัก ก่อนเอียงตัวแล้วหัวเราะ
“โอ๊ย ถ้าไม่ได้ติวสาวๆ ผมคงขาดใจตายแน่ คืนนี้คงนอนไม่หลับ”
“พอเลย ไทก้าชอบยั่วอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่ที่เจอเพลินนี่ล่ะ ผมไม่แหย่แล้ว เรารีบไปติวหนังสือกันดีกว่า เราแข่งกันนะว่า ใครจะไปถึงก่อน เดี๋ยวช้าร้านจะเต็ม”
เขาวิ่งไปล็อกคอพิมพ์ภิดาหล่อนพยายามยื้อตัวออก แต่ชายหนุ่มกลับล็อกแล้วโอบบ่าหญิงสาวเอาไว้ หล่อนพยายามแกะมือเขาออก แต่ชายหนุ่มไม่ยอม ทั้งสองเหมือนกำลังยั่วแหย่และหัวเราะ โดยมีสู่ขวัญเดินตาม ทั้งสามคนคงไม่รู้หรอกว่า การกระทำทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้สายตาของใครคนหนึ่ง ...
ใบหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียด เขาค่อยๆ เลื่อนกระจกขึ้นเพื่อบดบังภาพบาดตาที่เห็นตรงหน้า สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนรถเคลื่อนตัวออกไป คือ พิมพ์ภิดายิ้มด้วยรอยยิ้มอันสดใส..
“ผมสอนพอใช้ได้ไหมเพลิน”
ไทก้าพูดกับพิมพ์ภิดาระหว่างอยู่ในรถ ทั้งสามคนติวหนังสือจนถึงเกือบทุ่ม ขณะที่สู่ขวัญมีพ่อมารับ ส่วนไทก้าก็อาสามาส่งหญิงสาวที่บ้าน เกือบสองอาทิตย์มาแล้วที่ทั้งสามติวหนังสือด้วยกัน พิมพ์ภิดายอมรับว่า หล่อนเข้าใจบทเรียนขึ้นมาก เมื่อกลับถึงบ้านก็ใช้เวลาทบทวนทำข้อสอบ
“ดีมากเลย เพลินรู้สึกเลยว่า ข้อสอบแคลไม่ได้ยาก”
“แต่เพลินก็ต้องหัดทำข้อสอบเยอะๆ นะ ข้อสอบ Math น่ะปัญหาคือ ทำไม่ทัน ไม่ใช่ความยาก”
“นี่นายเคยสอบแล้วหรือ”
“ใช่ เมื่อรอบที่แล้ว”
พิมพ์ภิดาเงยหน้ามองเพื่อนซึ่งกำลังขับรถด้วยความประหลาดใจ พอเขาบอกคะแนนที่ได้หล่อนก็ยิ่งตกใจยิ่งกว่าเดิม
“อ้าวถ้างั้นนายมาเสียเวลาติวให้เพลินกับขวัญทำไมล่ะ เพลินยังคิดว่า นายยังไม่ได้สอบ”
“ก็ผมอยากให้เพลินได้คะแนนดีๆ ยังไงล่ะ ส่วนขวัญถือเสียว่า เป็นของแถม”
แต่เดิมสู่ขวัญไม่ได้สนิทกับไทก้ามาก่อน หล่อนเคยพูดว่า เขาป๊อบปูลาร์เกินไป สู่ขวัญค่อนข้างเก็บตัวไม่ชอบตกเป็นเป้าความสนใจของเด็กในโรงเรียน
“เพลินเกรงใจ นายเอาเวลาไปทำอย่างอื่นก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะ ผมเต็มใจ”
เขาพูดพร้อมกับเลื่อนมือมากุมมือพิมพ์ภิดาเอาไว้ หล่อนชะงัก เงยหน้ามอง หญิงสาวรู้มานานแล้วว่า ไทก้าชอบหล่อน เขาไม่เคยพูดแต่สิ่งที่ทำก็พอรู้ได้ หล่อนค่อยๆ ดึงมือออกช้าๆ
“นายทำให้เพลินรู้สึกผิด”
“ทำไมล่ะ ก็ไหนเพลินบอกว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่”
“แล้วเกรงใจทำไม หรือว่า รังเกียจผม”
ใครจะกล้ารังเกียจนักฟุตบอลสุดฮอตของโรงเรียน พิมพ์ภิดามองเพื่อน เขาช่างหล่อเหลา แถมยังขี้เล่น ฐานะก็ร่ำรวยมีรถขับ นิสัยดี แต่ไม่รู้เพราะอะไรหล่อนถึงไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างชายและหญิง พิมพ์ภิดารู้สึกเหมือนเขาเป็นเพื่อน คนที่หล่อนวางใจได้ในทุกๆ เรื่อง
“เปล่า เพลินแค่เกรงใจ”
“งั้นก็ไม่ต้องคิดมาก ผมจะไปก็ต่อเมื่อเพลินบอกว่า รังเกียจ อันที่จริงการติวให้เพลินกับขวัญก็ทำให้ผมได้ทบทวนวิชาไปในตัวด้วยนะ จะได้ท๊อปฟอร์มยิ่งกว่าเดิม” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“แค่นี้ยังท๊อปไม่พออีกหรือ คนอื่นเขาว่านายว่า ดึงมีนไม่ใช่หรือ” มีนในที่นี้หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนนนักเรียนทั้งหมดที่ทำการสอบ
“อันนั้นก็ช่วยไม่ได้” ไทก้าพูดพร้อมยักไหล่ รถมาถึงหน้าบ้านพอดี พิมพ์ภิดากดรีโมทให้ประตูเปิด รถแล่นเข้าไปจอดตรงหน้ามุก หญิงสาวหันมาพูด
“ขอบใจมากนะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับเจ้าหญิง”
พิมพ์ภิดาหันไปเปิดล็อกประตู แต่แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มกลับยื่นหน้ามาหอมแก้มเร็วๆ ฟอดใหญ่ หล่อนตกใจ หน้าซีด
“นาย..”
“แค่ค่ารถนะเพลิน อย่าคิดมาก ผมไปล่ะ พรุ่งนี้จะมารับแต่เช้า”
หญิงสาวเดินลงรถอย่างใจลอย พร้อมกับลูบแก้มป้อยๆ ใบหน้าพลันหม่นลง หล่อนไม่ได้รู้สึกอะไรกับการหอมนี้เลยแม้แต่น้อย ทั้งความเสน่ห์หาความเร่าร้อน หญิงสาวเผลอแตะตรงริมฝีปาก คิ้วบางขมวดเข้าหากัน เมื่อไหร่กันนะที่จะมีคนมาลบสัมผัสของนายหน้าหนวดคนนั้นออกไป พิมพ์ภิดากลัวว่า จะไม่มีวันนั้นและหล่อนจะต้องติดตรึงกับสัมผัสนั้นไปตลอดกาล...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น