11
บทที่ ๑๑ หมีไม่อยากกินของหวาน
บทที่ ๑๑ หมีไม่อยากกินของหวาน
ธณริศรีบเลื่อนกระจกขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวสองคนเดินผ่านรถที่จอดเข้าไปในโรงเรียน ตลอดสองวันมานี้เขาไม่ได้ปล่อยมือจากหญิงสาวอย่างที่ตั้งใจ ชายหนุ่มทำตัวเหมือนคนโรคจิตด้วยการมาดักซุ่มหน้าโรงเรียนทุกวัน
เขานำชุดไปคืนอลงกตที่โฮสต์บาร์และด้วยความบังเอิญที่มีคนเก็บถุงกระดาษใส่ชุดของหล่อนได้ ธณริศอ้างว่า เป็นของหลานสาวและจะนำมาคืน เจ้าของบาร์ประหลาดใจแต่เลือกที่จะไม่ซักอะไรต่อ เขาใช้ชื่อของโรงเรียนค้นหาที่ตั้ง ตอนแรกชายหนุ่มตั้งใจแค่จะแวะมาดูว่า พิมพ์ภิดาโดดเรียนหรือเปล่า แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มมักจะขับรถมาซุ่มดู ทุกเช้าก่อนโรงเรียนเข้า รถคันเดิมแล่นเข้ามาจอดตรงเวลาแทบทุกวัน บิดาของสู่ขวัญเป็นผู้มาส่ง ยามเห็นพิมพ์ภิดาอยู่ในชุดนักเรียน หัวใจก็พองโต หญิงสาวแทบไม่แต่งหน้า ปล่อยผมยาวคลอเคลียแผ่นหลัง เมื่อวานหล่อนก็รวบผมเป็นหางม้าต่ำ พวงแก้มเนียนใสแดงระเรื่อยามโดดแดดยามเช้า
เขาเฝ้ารอจนหล่อนและสู่ขวัญหายเข้าไปในโรงเรียนแล้วจึงออกรถ หลังจากวันนั้นชายหนุ่มก็รีบทำงาน เขาติดต่อทีมเพื่อเทคโอเวอร์โรงแรมเซ้าท์เฮเว่น การเจรจาทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแม้ตอนแรก เขมริกาจะพยายามโก่งราคา แต่เมื่อธณริศหยิบข้อมูลเบื้องลึกเกี่ยวกับการขาดทุน และเรื่องที่ทำผิดขึ้นมาขู่ หญิงสาวก็ยอมแต่โดยดี การเซ็นสัญญาเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ นับเป็นการปิดจ็อบงานที่เร็วที่สุดงานหนึ่งเลยทีเดียว เขาส่งข้อมูลให้เดลที่อยู่ต่างประเทศ พ่อบุญธรรมพอใจมากและเร่งให้ชายหนุ่มรีบกลับ
ธณริศยังอิดออด เขาแสร้งบอกว่า ต้องตามเก็บรายละเอียดอื่นๆ ให้ทีมที่เข้ามาปรับระบบการบริหาร ยังมีหลายอย่างในเซ้าท์เฮเว่นที่ต้องการดูแล แต่ลึกๆ ลงไปแล้วเพราะเป็นห่วงเด็กสาวมากกว่า เขาใช้เวลายามว่าง ค้นข้อมูลของรฐกร แต่ไม่เจออะไรเพิ่ม
เขาดีใจที่พิมพ์ภิดาไม่ประชดชีวิตเหมือนเคย หล่อนมาโรงเรียนและกลับตามเวลา เขายอมรับว่า ยังไม่อาจปล่อยมือจากพิมพ์ภิดาไปได้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะใกล้ชิดหญิงสาวเหมือนเคย หล่อนเหมือนไฟที่ยิ่งแตะก็มีแต่จะลามเลีย
ธณริศรู้ว่า ตนไม่ใช่ผู้ชายที่ดีนัก ชายหนุ่มเปลี่ยนคู่นอนแทบทุกเดือน คู่ขาแต่ละคนล้วนแต่เป็นผู้หญิงรักสนุกที่ไม่ชอบการผูกมัดแต่กับพิมพ์ภิดาไม่ใช่ หล่อนยังบริสุทธิ์ ชายหนุ่มรู้สึกได้
คุณธรรมในใจทำงานอย่างนัก เขาไม่ควรทำให้หล่อนแปดเปื้อน แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อน เขาเลือกที่จะอยู่ห่างๆ หญิงสาวมากกว่าการเก็บเจ้าหล่อนไว้ข้างตัว
ช่างน่าละอายเหลือเกินที่เขาฝันถึงจูบในวันนั้นทุกคืนแถมยังจินตนาการไปไกลมากขึ้นอีก เขาฝันว่าผู้มอบสวรรค์ลงตรงหน้า ชายหนุ่มสั่นศีรษะเมื่อความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมอีกครั้ง
เขาต้องปรับทุกข์กับใครสักคน ใครก็ได้ที่จะเข้าใจความรู้สึกของเขาในยามนี้ ธณริศหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์พร้อมกับกรอกเสียงลงไปว่า
“ไอ้มิล เย็นนี้ว่างไหม ออกมาเจอกันหน่อย ฉันนะรอ”
รฐกรเคาะประตูหน้าห้อง รอฟังเสียงอนุญาตจากด้านใน เขาไม่ได้พบหน้าอรุณานับตั้งแต่วันที่กลับจากภูเก็ต ผู้บริหารสาวบินกลับกรุงเทพฯ ก่อน แถมยังปิดมือถือ ชายหนุ่มเพียรส่งข้อความหาแต่หล่อนก็ไม่ตอบ เขาเดาว่า อรุณาคงอายที่ถูกบุตรสาวฉีกหน้าในห้องประชุม ครั้นพอเขาจะพยายามเข้าพบ หล่อนก็อ้างกับเลขาว่า ติดประชุม แต่สิ่งที่ชายหนุ่มกลัวคือ แผนการที่สู้อุตส่าห์วางไว้จะล้มไม่เป็นท่าต่างหาก กว่าเขาจะฝ่าด่านความไว้ใจของอรุณาช่างยากแสนยาก หล่อนไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น
อรุณาจริงจังกับงาน รฐกรต้องทำการบ้านอย่างหนัก สาเหตุที่เขาต้องรีบรวบรัดก็เพราะอรุณาไม่ยอมมีสัมพันธ์ด้วย ร่างบางที่คุ้นตากำลังนั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียด รฐกรยิ้มหวานแทนใบเบิกทาง เขาจ้างมอเตอร์ไซค์ไปซื้อกาแฟร้านโปรดของหล่อนติดมือมาด้วย
“กาแฟครับพี่อุ๊ มาทำงานแต่เช้าพี่อุ๊คงเหนื่อยหน่อย”
เขายิ้มแบบที่เคยยิ้ม แต่วันนี้กลับรู้สึกถึงกำแพงสูงตระหง่าน วิมลเองก็อิดออดไม่ยอมให้เข้ามาคงเป็นคำสั่งจากอรุณานั่นเอง
“ขอบใจฐา แต่พี่เรียบร้อยมาแล้ว วิเพิ่งชงให้ ฐาเก็บไว้ดื่มเองเถอะ” สีหน้าเย็นชาทำเอารฐกรห่อเหี่ยว เขาพยายามโทรหาหล่อนแต่อีกฝ่ายปิดเครื่อง ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปนับจากวันนั้น
“งั้นขนมละครับ ชูครีมร้านโปรดของพี่อุ๊เลยนะครับ” เขาส่งขนมที่ซื้อมาจากร้านใกล้ๆ กัน รฐกรต้องคิดหัวแทบจะแตกว่า จะเอาใจแฟนสาวรุ่นพี่ยังไง
“ไม่ล่ะ วันนี้พี่รู้สึกตื้อๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฐาเอาไปฝากคนอื่นก็แล้วกัน พี่ขอบาย”
ชายหนุ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ เขาไม่รู้ว่า อรุณาคิดอะไร ทุกอย่างเกือบจะลงตัวอยู่แล้วถ้าไม่มีพิมพ์ภิดาเข้ามาขวาง ลึกๆ ลงไปชายหนุ่มอยากจะให้เด็กสาวฆ่าตัวตายไปเสียด้วยซ้ำ การที่ลูกสาวมาอาละวาดทำให้อรุณาเริ่มลังเล
เขาทำใจดีสู้เสือด้วยการอ้อมไปด้านหลังพร้อมกับวางมือลงบนโต๊ะ ท่าทางแบบนี้เสมือนการกักอรุณาเอาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าคมพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นฟุ้งยื่นเข้ามาใกล้ ปกติอรุณาจะยิ้มอายๆ และเบี่ยงตัวหลบ แต่ตอนนี้กลับทำเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลก หล่อนตัวแข็งทื่อเพ่งมองเอกสารตรงหน้า
“พี่อุ๊ยังโกรธผมอยู่หรือครับ”
“เปล่า”
“งั้นพี่ก็น้อยใจ ถึงได้หนีผมกลับก่อน ผมโทรหาพี่หลายครั้งแต่พี่อุ๊ไม่เปิดเครื่องเลย ผมจะแวะไปหาที่บ้านแต่พี่ก็สั่งห้าม”
“พี่ยุ่งฐา พี่มีเรื่องต้องคิด” หล่อนเผลอถอนหายใจ และดันเก้าอี้ออกห่างโต๊ะ ส่งผลให้รฐกรต้องคลายมือออก แต่เขายังไม่ยอมแพ้ เมื่ออรุณาเดินไปที่ชั้นเก็บเอกสารชายหนุ่มก็ตามไป
“เรื่องอะไร พี่อุ๊บอกผมได้ไหม”
“เรื่องงาน”
อรุณามีท่าทีเงียบขรึม รฐกรเกลียดเด็กสาวเหลือเกิน แผนการเซอร์ไพรส์เขาควรจะจบลงด้วยค่ำคืนโรแมนติก เขาวางแผนจะใส่ยาลงในเครื่องดื่มเพื่อให้อรุณายอมเป็นของเขาทั้งกายและใจ แต่ทุกอย่างก็พลาด นอกจากจะไม่ได้ตัวประธานบริษัทบลูเวฟ เขายังถูกทุกคนรุมนินทาเมื่อถูกเรียกว่า แมงดาอีกด้วย ชายหนุ่มแค้นจนแทบกระอักแต่ก็ต้องแสร้งปั้นหน้าเป็นคนดี เขาได้แต่บอกทุกคนว่า ไม่โกรธและพร้อมจะเข้าใจว่า พิมพ์ภิดาคงหวงแม่ แต่แท้จริงแล้วเขาอยากจะบีบคอหล่อนให้ตายคามือเสียด้วยซ้ำ
“มีอะไรให้ผมช่วยได้นะ”
ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ กอดเอวอรุณาเอาไว้ หล่อนผงะแหวใส่
“ทำอะไรน่ะฐา นี่มันห้องทำงานนะ”
มือที่รีบแกะแขนเขาออกราวกับชายหนุ่มหน้ารังเกียจ รฐกรหน้าตึง แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นอ่อนลงในทันที เขาพ้อ
“พี่อุ๊โกรธผม”
“เปล่า แต่พี่ต้องการเวลาคิดทบทวน”
“ทบทวนเรื่องอะไรล่ะครับ หรือว่า พี่จะเปลี่ยนใจไม่ยอมแต่งงานกับผม” รฐกรไม่คิดว่า อรุณาจะผิดคำพูด หล่อนพยักหน้าในห้องประชุม นั่นเท่ากับเป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ แม้ว่า ตอนนี้พนักงานส่วนใหญ่คิดว่า เขากำลังจะตกกระป๋อง การที่รฐกรต้องนั่งเครื่องกลับคนเดียว กลายเป็นเรื่องโจษจันไปทั่วแถมพอกลับมาก็ถูกวิมลกีดกันไม่ให้เข้าพบอีกด้วย
“ฐา อย่าบังคับพี่ได้ไหม”
“ผมเนี่ยนะ พนักงานลูกกระจอกอย่างผมจะทำอะไรได้ละครับ ผมก็แค่น้อยใจว่า พี่ไม่ได้รักผมเลย แค่อุปสรรคนิดเดียวแต่พี่ก็ไม่ยอมสู้”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเจือน้อยใจ เขาสนิทกับอรุณามานานพอที่จะรู้ว่า หล่อนใจอ่อน ทุกครั้งที่ตัดพ้อความสัมพันธ์มักจะคืบไปมากขึ้นทุกครั้ง แต่คราวนี้ทุกอย่างต่างออกไป
“แต่อุปสรรคที่ว่า คือ ลูกสาวของพี่”
“นี่พี่อุ๊จะยอมให้น้องเพลินมาขวางความรักระหว่างเราหรือครับ”
รฐกรคว้ามืออรุณามากุมเอาไว้ เขายอมไม่ได้ ชายหนุ่มลงทุนไปมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ เขายอมทิ้งแฟนสาววัยขบเผาะเพียงเพราะว่า ต้องการเงิน ที่ผ่านมาสิ่งที่รฐกรสนใจก็คือ ทรัพย์สิน ที่เขามีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะผู้หญิงอุปถัมภ์ด้วยกันทั้งนั้น หลายคนบอกว่า เขาปอกลอกแต่แท้จริงแล้วพวกหล่อนให้มาเพราะเสน่หาต่างหาก รฐกรคิดว่า มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่หญิงสูงวัยยอมยกบ้านเก่าพร้อมที่ดิน และเมื่อหล่อนตายลง เขาก็ไม่เสียดายเลยที่จะขายมันไป ทั้งรถ ทั้งคอนโด ก็ได้มาจากวิธีนี้ด้วยกันทั้งนั้น
“พี่คิดว่า มันเร็วไป พี่ยังไม่พร้อม”
“พี่อุ๊หมายความว่า จะล้มเลิกทุกอย่างหรือครับ ผมไม่ยอม”
รฐกรโพล่งอย่างลืมตัว ชายหนุ่มวาดฝันเอาไว้ว่า หากได้เข้ามาบริหารบลูเวฟ เขาจะมีทุกอย่างในมือ ทั้งรถ ทั้งบ้าน เงินทอง เขาสู้อุตส่าห์วางแผนและคิดว่า อรุณาคงจะดีใจสุดขีดเมื่อถูกขอแต่งงานในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก แต่อรุณาก็ยังคงเป็นคนเดิมอยู่วันยังค่ำ หล่อนไม่เคยแน่ใจตั้งแต่วันแรกจวบจนวันนี้ คงเพราะยังรักฝังใจกับอดีตสามีนั่นเอง
“ไหนฐาบอกว่า พร้อมจะรอพี่ยังไงล่ะ”
รฐกรกัดกรามแน่น เขาต้องวางแผนมานาน ไหนจะเรื่องความเหย่อหยิ่งความเป็นผู้นำ กว่าจะเอาชนะใจอรุณาไม่ง่ายเลย หล่อนมีปัญหามากมายแต่เขาก็สู้อดทนสู้ รฐกรต้องแอบถามข้อมูลจากคนรอบกายกว่ากลายจะมาเป็นใครอีกคนที่ถูกใจหล่อน..
เขาลงทุนปรับปรุง เสื้อผ้า และใบหน้า รวมถึงบุลลิก จุดอ่อนของอรุณาคือ บ้างาน ดังนั้นผู้ชายที่หล่อนจะรู้สึกปลื้มปริ่มด้วยก็คือ คนที่บ้างานพอกัน รฐกรต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะผ่านด่านความไว้เนื้อเชื่อใจของอีกฝ่ายได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับสูญเปล่า
“ผมพร้อมจะรอ ถ้าพี่อุ๊ให้ความมั่นใจกับผมสักนิด ว่า พี่จะไม่ทิ้งผมเหมือนคนอื่นๆ”
เขากุมมือหล่อน อรุณาดึงมือออกช้าๆ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลก
“เราเคยคุยเรื่องนี้หลายครั้งแล้วนะฐา พี่เคยบอกแล้วว่า บางทีมันอาจใช้เวลานานมาก”
อรุณาเคยขอว่า หล่อนยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นสัมพันธ์ แต่คงเป็นเพราะหล่อนเหงา อย่างตอนที่ยอมขึ้นไปคอนโดฯ นั่นก็เพราะอรุณาทะเลาะกับกรรมการคนอื่นๆ หล่อนหัวเสียเพราะหนึ่งในนั้นปรามาศว่า
หล่อนเป็นผู้หญิงและคงบริหารสู้ผู้ชายไม่ได้ รฐกรอยู่เคียงข้างอรุณมาตลอด เขาเป็นคนมีจิตวิทยารู้ว่า ควรจะปลอบตรงไหน
“นานแค่ไหนละครับ ผมต้องรอพี่อีกนานแค่ไหน พี่คงเห็นผมน่ารังเกียจมากสินะที่ผมเอาแต่ขอความรักจากพี่ พี่ถึงคิดจะซุกผมไว้ใต้พรม”
ชายหนุ่มโพล่งออกไปด้วยความน้อยใจ ผลก็คือ อรุณากอดอกนิ่ง หล่อนเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น”
“แต่พี่ก็ทำ พี่อุ๊ทำเหมือนเด็กเล่นขายของ รับปากแต่งงานแต่แล้วกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ทำได้ยังไง”
“แล้วฐาจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ฐาเองก็มัดมือชกพี่เหมือนกัน”
รฐกรอึ้ง เขาจ้องมองอรุณาด้วยความผิดหวัง
“ผมเข้าใจแล้วว่า พี่คิดจะเลี้ยงผมไว้เป็นของเล่น ที่ยกเรื่องลูกขึ้นมาก็แค่ข้ออ้าง แต่พี่ไม่เคยจริงจังกับผมเลย”
อรุณาเม้มปากแน่น สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าฐาตีค่าความรู้สึกของพี่ไปแบบนั้น พี่ก็เสียใจ”
หล่อนเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง เปิดเอกสารขึ้นมาอ่านอีกครั้ง รฐกรน็อตหลุด เขาเดินไปกระชากแฟ้มออกจากมือ
“เลิกสนใจงานก่อนได้ไหม นี่เรากำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่นะครับ เรื่องระหว่างผมกับพี่”
“ฐา...คืนแฟ้มพี่มานะ วันนี้ฐาเป็นอะไร”
รฐกรชะงักมองอรุณาอย่างตัดพ้อ สีหน้าหล่อนไม่เหลือเยื่อใยอีก ทั้งสองราวกับคนแปลกหน้า
“พี่อุ๊”
เขาจำต้องปล่อยแฟ้มเอกสารนั้นไป ชายหนุ่มกัดกรามแน่น สมองกำลังคิดหาทางแก้ที่เมื่อกี้ตัวเองพลาดระเบิดอารมณ์
“พี่จะทิ้งผมจริงๆ หรือครับ แต่ผมรักพี่”
เขากอดหล่อนไว้จากด้านหลังแต่อรุณาสะบัดออก พร้อมกับกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน
“ฐา พี่บอกแล้วไงว่า อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า”
อรุณาแกะมืออก รฐกรส่ายหน้าอย่างไม่ยอม สุดท้ายหญิงสาวก็ผลักอกชายหนุมอย่างแรง
“พี่บอกให้ปล่อยยังละ”
รฐกรมองอรุณาอย่างตัดพ้อ เขาโพล่งคำสุดท้ายออกมา
“ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะพี่อุ๊ ผมรักพี่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่เปลี่ยนใจ คอยดู”
ยามกลุ้มใจคนอื่นๆ มักจะหาที่นั่งดื่มเพื่อคลายเครียด แต่สำหรับรฐกรแล้วสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์นั่นคือ การขลุกอยู่บนโต๊ะพนัน กองเหรียญที่วางอยู่ตรงหน้าซึ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ บ่งถึงชัยชนะ เขาไม่รู้ว่า ตนเริ่มตกเป็นทาสมันตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นตอนที่เขาตามอดีตแฟนคนหนึ่งซึ่งเป็นสาวสังคมมาเล่น หลังจากนั้นรฐกรก็กลายเป็นขาประจำ เขาแวะมาเล่นแทบทุกอาทิตย์ แต่พอคิดจะคบอรุณา ก็ตัดสินใจเลิก อรุณาคือ ปลาตัวโตที่เขาวางแผนจะตก หล่อนจะรู้ว่า เขาติดการพนันไม่ได้อย่างเด็ดขาด ร่างสูงผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นหน้า พนักงานต้อนรับก็ปราดเข้ามาหาทันที
“หายไปนานเลยนะครับคุณฐา”
“เออ...แต่วันนี้เบื่อ”
“วันนี้ว่างหรือครับ”
“พูดมากทำไมวะ หรือว่าไม่อยากได้ลูกค้า”
“เปล่าครับเปล่า เรายินดีต้อนรับคุณฐาอยู่แล้ว คราวนี้จะมากวาดเงินสักกี่แสนดีล่ะ”
พนักงานต้อนรับปะเหลาะอย่างเอาใจ พร้อมกับพารฐกรเข้ามาที่ห้องชั้นใน ด้านนอกดูแล้วคล้ายโกดังแต่ด้านในถูกแบ่งเป็นห้องๆ สำหรับเล่นพนัน ลูกค้าของที่นี่ล้วนแต่มือหนัก เจ้าของบ่อนรู้จักกับรฐกรมาหลายปีแล้ว ทุกครั้งที่มามักเล่นเขาได้มากกว่าเสีย
“วันนี้อยากเล่นอะไรดีครับ ไฮโล โป๊กเกอร์ ผมจะได้หาโต๊ะให้”
“อะไรก็ได้”
เขาควักเงินสดออกมาหนึ่งปึกส่งให้ พนักงานรับหน้าที่ไปแลกชิพมาให้ รฐกรนั่งบนโซฟาด้านหน้า เพียงไม่นานสาวน้อยหน้าแฉล้มนุ่งกระโปรงสั้นกุดก็นำเบียร์เย็นๆ เข้ามาเสิร์ฟ รฐกรป้อ
“น้องชื่ออะไรจ๊ะ เพิ่งมาใหม่หรือ ทำไมพี่ไม่ยักเคยเห็น”
“หนูชื่อเชอรี่ค่ะ เพิ่งมาอยู่ใหม่ เสี่ยเพิ่งมาเหมือนกันหรือคะ” สาวน้อยตรงหน้าใส่ชุดเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ กระโปรงสั้นกุดยามก้มก็เห็นถึงแก้มก้น คอด้านหน้าเปิดเป็นคอวีเว้าต่ำจนเห็นเนินอกอวบอิ่ม
“เปล่า พี่เป็นขาประจำที่นี่”
รฐกรหยิบธนบัตรหนึ่งร้อยขึ้นมาพร้อมกับยื่นออกมา หญิงสาวยื่นมือมารับแต่ชายหนุ่มส่ายหน้า หล่อนโค้งตัวลงอย่างรู้หน้าที่ แหวกเสื้อคอกว้างให้กว้างกว่าเดิมจนเห็นร่องอกยิ้มรับ เขาเสียบธนบัตรนั้นลงไปตามด้วยจูบหนักๆ ตรงเนินกอกขาวเนียน
“นี่แค่ทิปแรก แต่ถ้าพี่เล่นได้ละก็ รับรองว่า คืนนี้หนูรวยแน่”
“หนูจะคอยเชีย์เสี่ยนะคะ”
ร่างอวบอัดเดินนวยนาดจากไป รฐกรหันมาทางพนักงานที่นำถาดใส่ชิพมาให้ พร้อมกับโค้ง
“เด็กนั่นมีเจ้าของหรือยัง”
“ยังครับ เพิ่งมาใหม่ คุณรฐกรนี่ตาแหลมนะครับ เพิ่งมาทำงานได้อาทิตย์เดียวเอง ยังซิง”
พอได้ยินจบชายหนุ่มก็ตาโต เขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่ชอบเด็ก แต่ที่ต้องแสร้งทำเป็นเปลี่ยนรสนิยมก็เพราะเงินเพียงตัวเดียว
“ซิงแน่หรือ”
“อันนี้ผมไม่รู้นะครับ คุณรฐกรคงต้องพิสูจน์เอาเอง เด็กนั่นเลิกงานเที่ยงคืน”
“พอดีเลย ฉันก็ว่า จะเล่นถึงใกล้ๆ นั้น จะได้รับกลับบ้านพร้อมกันเลย เสี่ยโจคงไม่ว่า อะไรใช่ไหม” จรัสคือ เจ้าของที่รู้จักกับรฐกร เขาเป็นคนกว้างขวางทุกคนมักจะเรียกเขาว่า เสี่ยโจ
“โอ๊ยไม่ว่าหรอกครับ คุณรฐกรเป็นลูกค้าประจำของเรามานาน”
“ฟังแล้วรู้สึกดีจัง ลูกค้าประจำ” พนักงานส่งยิ้มหวานผายมือเป็นการเชิญรฐกรเข้าสู่ห้องชั้นใน เมื่อผลักประตูเข้าไปในห้องแยก รฐกรเดินตามไป
“เชิญทางนี้ครับคุณรฐกร เราเริ่มที่โป๊กเกอร์กันดีกว่า”
“เฮ้ยๆ เพลาๆ หน่อยไอ้หมี เดี๋ยวก็เมาหรอก ฉันขี้เกียจแบกแกกลับบ้าน ตัวโตหยั่งกับตึก”
รามิลมองเพื่อนรักที่ยกเบียร์ขึ้นดื่มอักๆ ราวกับน้ำเปล่า ทั้งสองนัดพบที่ผับประจำของธณริศ ทั้งสามคนได้แก่ ธณริศ รามิลและศรุตเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนเอ็มบีเอ ใครจะนึกว่า วันหนึ่งสามหนุ่มที่มาจากต่างที่กลับต้องมาเจอนักเลงไล่ล่าในตรอกแคบๆ ข้างผับเพียงเพราะความเข้าใจผิด ทั้งสามสู้อย่างสุดเหวี่ยงและเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดในสภาพสะบักสะบอม แต่ตอนเปิดประตูเข้ามาในคลาสและเห็นใบหน้ายับๆ ของอีกสองคนที่เหลือ ก็ระเบิดหัวเราะออกมา
มิตรภาพของทั้งสามเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนจะเรียนจบมานานแล้ว ต่างมีงานทำเป็นของตัวเอง รามิลเป็นประธานบริษัทรมย์ เรียลเอสเตส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย และติดหนึ่งในห้าบริษัทที่เติบโตสูงสุดตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโครงการลักซูรี่คอนโดบนที่ดินทำเลทอง โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านตากอากาศระดับไฮเอ็นต์ ล้วนแต่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าผู้มีอันจะกินทั้งหลายจนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วแทบทุกโครงการ ส่วนศรุตก็ทำงานเป็นประธานกรรมการโรงแรม
“แค่นี้ไม่เมาหรอก เอาคืนมา”
ร่างหนากระชากแก้วเบียร์กลับมา เขารู้ลิมิตของตัวเองดี สมัยอยู่ต่างประเทศธณริศดื่มหนักมากว่านี้ แต่ระบบร่างกายของเขาคงเผาผลาญดีเยี่ยมถึงได้ไม่มีอาการเมาเลยสักครั้ง เพื่อนเคยแซวว่า เขาต้องดื่มเป็นถังแอลกอฮอล์ถึงจะซึมเข้ากระแสเลือด
“สรุปว่า แกเรียกฉันมาทำไม จะให้มานั่งดูแกดื่มเนี่ยนะ”
“ดื่มเป็นเพื่อนฉัน”
“ดื่มแล้วโว้ย สองแก้ว พอแค่นี้ พรุ่งนี้ต้องทำงาน”
“เสือซุ่มอย่างแก คออ่อนหรือวะ กระจอก”
“พอเลยไอ้หมี บอกมาสิว่า นัดมาทำไม แล้วนี่หนวดเคราหัดโกนออกบ้างไหม รกตาชะมัด”
รามิลเคยเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเพื่อน สมัยเรียนทั้งสามถือเป็นหนุ่มเอเชียที่ติดท๊อปฟอร์มเลยทีเดียว สาวผมทองต่างส่งสายตามาให้ ธณริศเป็นหมีหัวใจน้ำแข็ง หลังจากอกหักจากเมลลานี เขาก็ไม่ยอมรักใครอีก ส่วนรามิลนั้นเป็นเสือซุ่ม ท่าทางเหมือนสุภาพบุรุษแต่เขี้ยวเล็บไม่ธรรมดา
เขากวาดตามองไปรอบผับที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ผู้หญิงหลายคนชม้ายชายตามาให้สองหนุ่ม
“เอาไว้แบบนี้ดีแล้ว เถื่อนดี”
“สรุปว่า นายกลุ้มใจอะไร บอกมาตรงๆ ดีกว่า”
“ฉันไม่ได้กลุ้ม แค่เครียด แล้วก็เบื่อ”
ธณริศโกหก เขาเครียดเพราะโหยหาแต่พิมพ์ภิดาต่างหาก ความรู้สึกผิดในใจทำให้ไม่กล้าไปเจอหล่อนต่อหน้า จึงได้แต่ทำตัวเหมือนพวกโรคจิตด้วยการขับรถไปแอบมอง
“คนแอคทีฟอย่างนายมีเบื่อเป็นด้วย หรือว่า เทคโอเวอร์บริษัทหมดภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกแล้ว นายก็เปลี่ยนไปทวีปอื่นบ้างสิ”
ทุกคนต่างรู้ว่า งานของธณริศคือ บริษัทดีคิงส์ ซึ่งถนัดเทคโอเวอร์บริษัทอาศัยส่วนต่างทำกำไรกลับคืนแม้จะอยู่ในเกณฑ์สุ่มเสี่ยงที่จะมีศัตรูรอบด้านแต่ชายหนุ่มก็ไม่สน
“ยังหรอก ยังเหลืออีกเยอะ”
“งั้นก็แสดงว่า ไม่ใช่เรื่องงาน ก็ต้องเป็นเรื่องพ่อ”
รามิลเป็นเพียงหนึ่งในสองคนที่รู้ว่า ธณริศไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเดล สมัยพบกันใหม่ๆ ชายหนุ่มเคยเล่าเรื่องเดลให้ฟัง แม้เดลจะใจดีและยอมอุปการะเด็กคนหนึ่งแต่ช่องว่างระหว่างวัยทำให้สองพ่อลูกไม่เข้าใจกัน ธณริศคิดเสมอว่า เดลไม่รัก
“เดลสบายดี”
“นายกลุ้มเรื่องผู้หญิงงั้นสิ”
รามิลเดา เขาไม่เคยเห็นเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาก่อน ธณริศเย็นชา แต่ถ้ามีใครยั่วให้โมโหละก็เหมือนหมีอาละวาดดีๆ นี่เอง
“เปล่า”
“พูดอย่างนี้ฉันเดาถูกแหง” รามิลยักไหล่
“ฉันบอกว่า เปล่ายังไงล่ะ” หมีตัวโตโวยวาย
“แกคิดว่า ฉันกินหญ้าหรือไง ถึงได้ไม่รู้ว่า คนอย่างแกจะมีเรื่องกลุ้มได้สักกี่อย่างกัน”
“แกเคยคิดอยากขย้ำใครสักคนไหมวะไอ้มิล” ในที่สุดธณริศก็โพล่งออกมา สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจและเหมือนตราบาปก็คือ ความรู้สึกที่เขามีต่อพิมพ์ภิดานั่นเอง
รามิลชะงัก คิ้วหนาๆ ขมวดมุ่น เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาเคยคิดอยากขย้ำผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนเมาแอ๋แต่ก็เป็นความเมาที่น่ารักน่าใคร่เหลือเกิน
“ก็มีบ้าง”
“แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นยังเด็กล่ะ”
รามิลแทบจะพ่นเบียร์ออกมาพรืดใหญ่ เขาเลิกคิ้วมองหมีกริซลี่ข้างกาย แต่พอเห็นว่า เพื่อนไม่มีทีท่าว่า จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ก็เลยเนียนพูดต่อ
“แกหมายถึงใครวะ”
“ใครก็ช่าง แกตอบมาก่อนว่า การที่อยากขย้ำเด็กมันผิดไหมวะ”
“มันก็ต้องขึ้นกับว่า เด็กคนนั้นพร้อมให้แกขย้ำหรือเปล่า มหาลัยหรือว่า เพิ่งจบ” รามิลเดาว่า ต้องไม่ใช่คู่ขา ไม่อย่างนั้นเพื่อนรักคงไม่กลุ้ม
“มัธยมปลายมั้ง”
รามิลโคลงศีรษะ เอื้อมมือไปตบบ่าธณริศ
“เอาให้มันแน่นะ อายุต่างกันเยอะนะโว้ย ถ้าแกตอบว่า มั้งแสดงว่า ยังไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่กันแน่ ถ้าเด็กเกินคดีพรากผู้เยาว์จะถามหาเอานะ เผลอๆ อาจจะเจอปืนลูกซองของพ่อหล่อนเข้า” รามิลแกล้งแหย่
“พ่อเธอเสียไปแล้ว” สิ่งที่ตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจคือ การละเมอกอดของหญิงสาวในวันนั้น หล่อนเรียกเขาว่า พ่อ ขณะที่ธณริศไม่อยากเป็น’พ่อ’ เขาอยากเป็นอย่างอื่นมากว่า
“งั้นก็แล้วไป ถ้างั้นก็อาจจะเป็นแม่ของหล่อน ที่พาไปแจ้งความ” เขาแสร้งแหย่ ผลก็คือ เพื่อนรักหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม
“เธอทะเลาะกับแม่”
“สรุปว่า เป็นเด็กมีปัญหางั้นสิ”
“ก็ทำนองนั้น ฉันอยากช่วยเธอ”
“จะช่วยค่าเทอมหรือไงไอ้หมี หรือคิดจะเลี้ยงต้อยรอเด็กโต นานอยู่นะ”
ธณริศชกหัวไหล่เพื่อน หน้าหงิกกว่าเดิม
“เลิกแซวเสียทีได้ไหมวะ นี่ฉันถามจริงๆ ซีเรียสโว้ย”
“ฉันก็ตอบความจริง อย่างที่ฉันบอกแกตอนแรกน่ะ ว่า ทุกอย่างขึ้นกับคนกลางว่า คิดยังไง คนนี้นายรักจริงหรือเปล่าล่ะ”
คำว่า รักทำเอาธณริศชะงัก สีหน้าของเพื่อนรักราวเหมือนคนถูกจี้จุดอ่อน รามิลยื้อไหล่เพื่อนเข้ามา
“ฉันเนี่ยนะรักเด็ก”
“อันนี้ฉันคงตอบแทนแกไม่ได้หรอกไอ้หมี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแก แต่ถ้าคิดจะเล่นๆ กับเด็กมัธยมละก็ ฉันว่า นายอย่าทำเลย มันบาป ถึงไม่สงสารแม่ ก็ต้องสงสารเด็ก จะเรียนไม่จบเอา แต่ถ้าแกคิดจริงจังละก็ มันก็อีกเรื่อง”