10

บทที่ ๑๐ ลงโทษตัวเอง


บทที่ ๑๐ ลงโทษตัวเอง
ธณริศมองประตูที่ปิดลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาสั่งให้หญิงสาวเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อและลงกลอนประตู อันที่จริงกลอนประตูแค่นั้นไม่อาจต้านทานแรงเขาได้หรอก ชายหนุ่มเป็นคนตัวโต รูปร่างสูงถึงร้อยแปดสิบห้า กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่ที่เขาต้องให้หล่อนเข้าไปอยู่ในห้องเพียงเพื่อกั้นหล่อนไว้จากสายตาต่างหาก
ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเสียศูนย์มากเท่านี้มาก่อน เขาไม่ควรสบตาคู่นั้น สมองคิดเข้าข้างตัวเองว่า หล่อนมองเขาด้วยความปรารถนา...
ไม่!”
คนที่ปรารถนาหล่อนคือ เขาต่างหาก ชายหนุ่มสาบานกับตัวเองว่า จะไม่หลงรักใครอีก บรรยากาศในงานออกออกร้านซ้อนทับกับเรื่องราวในอดีตและทำให้เขาอ่อนแอ ตอนนั้นเขายังเด็กมาก..
ธณริศบินตามแฟนสาวมาจากอเมริกา และตั้งใจจะขอหล่อนแต่งงาน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นตามฝัน เขายังจำตัวเองในสภาพโง่งม สวมชุดมาคอตหมี สำหรับคนอื่นอาจคิดว่า คือ ฉากสุดแสนโรแมนติก แต่เปล่าเลย สำหรับเมลานี เขาก็แค่ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่ง
ธณริศจำภาพที่หล่อนกุมมือผู้ชายอีกคนไว้แน่น ตะโกนใส่หน้าว่า ไม่ต้องการมีเขาในชีวิตอีกต่อไปแล้ว เขาเดินหมดหวัง รู้สึกเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า รอบกายมีแต่คนแปลกหน้า เดินไปมาควักไขว่า เขาเหนื่อย หมดแรง ท้อถอย จนคิดว่า อยากจะตายๆ ไปเสีย แต่สุดท้ายธณริศก็นั่งร้องไห้ภายใต้ชุดมาสคอตอยู่ตรงทางเข้างานวัด จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเดินมา และมอบบางอย่างให้เขา...
ความทรงจำของชายหนุ่มไม่เหมือนกับพิมพ์ภิดา เขาไม่เคยรู้จักพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แต่พอฟังจากหญิงสาว ธณริศกลับรู้สึกตื้นตัน เขาไม่รู้ว่า ควรจะปลอบเด็กสาวยังไง แต่วิธีที่เลือกเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่...
จูบปลอบ แต่กลับได้ปลุกซาตานในตัวให้ตื่นขึ้น ชายหนุ่มก่นด่าตัวเองที่ปล้นจูบจากเด็กสาว เขาเกือบปล้นความบริสุทธิ์จากหล่อน ที่แย่ก็คือ เขาไม่รู้สึกว่า อยากหยุดเลยสักนิดจนกระทั่งเงยหน้ามาแล้วเห็นเงาตนในดวงตาคู่นั้น
เด็กสาวเคยมองเขาอย่างชื่นชม แต่ตอนนี้เขาได้ทำลายทุกอย่างไปเสียสิ้น เขาเงี่ยหูฟังเสียงน้ำจากดังต่อเนื่อง หลังจากสงบสติอารมณ์อยู่นานจึงตัดสินใจไปพาหล่อนออกมา เขาไม่มั่นใจตัวเองว่า จะเก็บมือเก็บไม้ได้ดีหรือไม่ ทางเดียวก็คือ ให้หล่อนล็อกห้อง..
พิมพ์ภิดาเหมือนผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนที่ทั้งหอมและหวาน เชิญชวนให้ลิ้มลอง เขารับรู้ถึงเรือนร่างอวบอิ่มยามแนบชิด สมองผุดภาพยามที่เขาฟอนเฟ้นอกคู่งามด้วยมือเปล่า และส่งหล่อนไปยังดินแดนสวรรค์ที่เด็กสาวไม่เคยมาก่อน
หล่อนช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน แค่จูบยังเงอะงะ ตอนนี้เขาก็รู้ความจริงแล้วว่า พิมพ์ภิดาไม่ใช่เด็กสาวใจแตก
‘นายต้องอยู่ห่างๆ เธอเข้าใจไหม ไอ้หมี เก็บมือเก็บไม้ของแกเสีย’
ธณริศต้องอาศัยน้ำเย็นดับความร้อนรุ่มเช่นเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายทุกอนูกำลังจะปริแตก สมองก่นด่าตัวเองที่กล้าคิดไม่ดีกับเด็กสาวที่อายุต่างกันถึงสิบเจ็ดปี พิมพ์ภิดาช่างงดงามราวกับนางฟ้า ความไร้เดียงสาทำให้รู้สึกผิดมากกว่าเดิม ชายหนุ่มตัดสินใจกระโดดลงน้ำ ใช้ความเย็นของน้ำในสระดับความร้อนรุ่ม เห็นทีคืนนี้เขาคงจะต้องว่ายน้ำตลอดทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ...
พิมพ์ภิดามองชายหนุ่มข้างกาย นับตั้งแต่เช็คอินออกจากโรงแรมเขาก็เงียบไม่ยอมพูดอะไร ธณริศไม่เสียดายค่าจองห้องพักที่จ่ายล่วงหน้า เพราะต้องการพาหล่อนกลับกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด และพอมาถึงสนามบินชายหนุ่มก็เดินหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาเข้าไปเช็คอิน
เขาทำทุกอย่างด้วยความเงียบ เย็นชา สีหน้าที่ไม่มีรอยยิ้ม กรามที่กัดแน่น แววตาเจือความรู้สึกผิด ท่าทางของเขาทำให้พิมพ์ภิดานึกถึง นักโทษคดีพรากผู้เยาว์ที่ถูกศาลตัดสินลงโทษ ระหว่างอยู่บนเครื่องบิน ชายหนุ่มเอาแต่นั่งหลับตา นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวได้นั่งชั้นเฟิร์สคลาส แม้จะไม่กว้างมากเท่ากับสายการบินต่างประเทศ แต่เก้าอี้ที่มีขนาดใหญ่กว่า เบาะกว้างกว่าก็ทำให้รู้สึกปลอดภัย อย่างน้อยผิวกายของทั้งสองก็ไม่ต้องสัมผัสกัน
ธณริศยังคงมึนตึงตอนที่ก้าวขึ้นรถที่มารับ คนขับเป็นชายหนุ่มผมทอง ทั้งสองพูดกันด้วยภาษาอังกฤษ ขณะที่พิมพ์ภิดาไม่มีปัญหาเรื่องการฟัง หล่อนเป็นลูกครึ่งแถมยังเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ ยามพูดกับอาจารย์ที่โรงเรียนหรือแม้แต่เพื่อนก็ใช้ภาษาอังกฤษบ่อยกว่า ยกเว้นตอนคุยกับสู่ขวัญเท่านั้นที่จะพูดไทย
“บ้านเธออยู่ที่ไหน ฉันจะไปส่ง”
“คุณปล่อยฉันลงที่สถานีรถไฟฟ้าที่ไหนก็ได้” หญิงสาวหน้าบึ้ง ยกมือกอดอก พร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทางกระชับกระเป๋าในมือแน่น กระเป๋าเดินทางวางข้างตัวราวกับจะเป็นกำแพงป้องกัน
“ไม่..บอกที่อยู่มา ฉันจะไปส่ง”
“เอ๊ะคุณ ฉันบอกแล้วไงว่า กลับเองได้ ทำไมต้องบังคับ”
“นี่หนู เธอรู้จักฉันดี เมื่อฉันพูดคำไหนก็คำนั้น ถ้าเธอไม่ยอมบอกว่า อยู่ที่ไหน ฉันก็จะค้นเอาเอง แต่ยังไงวันนี้ฉันก็จะไปส่งเธอที่บ้านให้ได้”
“แต่ฉันไม่อยากกลับบ้าน”
“ได้ไง..ไหนเราสัญญากันแล้วว่า จะเป็นคนใหม่ยังไงล่ะ”
ชายหนุ่มตำหนิ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดราวกับว่า พิมพ์ภิดาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนอย่างนั้น เขาคงคิดว่า หล่อนจะไปเที่ยวบาร์โฮสต์อีกละมั้ง แต่แท้จริงไม่ใช่ หญิงสาวแค่ต้องการไปหาสู่ขวัญก่อน หล่อนต้องการปรึกษากับเพื่อนสาวหลายเรื่อง
“ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่กลับบ้าน ฉันจะไปค้างกับเพื่อน”
“ผู้ชายหรือผู้หญิง”
พิมพ์ภิดาจ้องชายหนุ่มกลับ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เขาคงคิดว่า หล่อนเป็นเด็กใจแตกอีกตามเคย แต่แท้จริงแล้วพิมพ์ภิดาไม่ใช่ หล่อนเพิ่งจะเสียจูบแรกไปให้แถมยังเกือบจะเสียความบริสุทธิ์ไปเสียอีก ความน้อยใจผุดขึ้นเป็นริ้วๆ
“ถ้าคุณเป็นห่วงว่า ฉันจะไปนอนกับผู้ชายละก็ บอกเอาไว้เลยว่า ไม่”
พอตะโกนใส่หน้าชายหนุ่ม หญิงสาวก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวต่อไปอีก ธณริศอึ้ง จ้องหน้าหล่อน เอื้อมมือมาแตะบ่าแต่แล้วกลับรีบหดกลับไปราวกับโดนของร้อน ท่าทางเหมือนหล่อนเป็นคนน่ารังเกียจทำให้เด็กสาวเจ็บแปลบ
“ฉันอยากไปส่งเธอที่บ้าน จะได้แน่ใจว่า ปลอดภัย”
“ฉันจะไปค้างกับสู่ขวัญ ส่งข้อความบอกไว้แล้ว เขาเป็นเพื่อนสนิท ที่บ้านอยู่กันหลายคน คุณไม่ต้องห่วง”
หญิงสาวบอกทางไปบ้านสู่ขวัญ ธณริศจึงค้นหาที่อยู่นั้นจากกูเกิ้ลแมบแล้วส่งให้กับคนขับรถ หลังจากรู้จุดหมายเรียบร้อย เขาก็เอนกายพิงพนัก กอดอกหันไปอีกทาง พิมพ์ภิดาเหลือบมอง ภายในใจวูบ เมื่อคิดว่า อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
น้ำตาร้อนๆ ไหลรินอาบแก้ม ชนิดที่หญิงสาวเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องร้องไห้ให้กับผู้ชายคนนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง หญิงสาวเบือนหน้าไปอีกทาง ซ่อนน้ำตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็น หัวใจราวกับถูกฉีกทึ้ง ภายในรถมีแต่ความเงียบ เสียงเดียวที่ได้ยินคือ เสียงเครื่องปรับอากาศ
รถแล่นฝ่าการจราจรในตอนสาย ไปจนถึงบ้านของสู่ขวัญ คนขับรถลงไปกดกริ่ง เพียงไม่นานสู่ขวัญก็เดินออกมารับ พิมพ์ภิดาก้าวลง
“คุณจะรักษาสัญญาใช่ไหม ที่บอกว่า จะสอน”
หญิงสาวหมายถึง เรื่องที่เขาสัญญาว่า จะช่วยเรื่องมารดา ชายหนุ่มพยักหน้าส่งกระเป๋าใส่มือหล่อน มือที่บังเอิญสัมผัสกันอุ่นจนร้อน
“แน่นอน ฉันขอเวลาเคลียร์งานสักหนึ่งอาทิตย์ แล้วฉันจะติดต่อมา”
ชายหนุ่มพูดแค่นั้นและเดินกลับไปนั่งรถตามเดิม พิมพ์ภิดามองรถที่ค่อยๆ แล่นออกไป ทำไมกันนะหล่อนถึงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชากออกไปด้วย...
สู่ขวัญพาเพื่อนสาวเดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับเอากระเป๋าทั้งหมดขึ้นไปเก็บบนห้อง โชคดีที่ตอนนี้สมาชิกต่างออกไปวัดกันหมด เหลือเพียงหล่อนคนเดียว พิมพ์ภิดาโทรมาตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเครื่องว่า จะมาขอค้างด้วย สู่ขวัญจึงรีบโทรบอกป้าชื่นในทันที หญิงสาวไม่เคยเห็นเพื่อนรักในสภาพนี้ ตาลอย ขอบาตาบวมช้ำ ใบหน้าเจือความเศร้า
หล่อนนำนมไปอุ่นและใส่แก้วมาให้ พาพิมพ์ภิดานั่งบนเตียง มือโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้
“แกโอเคไหม”
สิ่งที่สู่ขวัญอยากจะถามก็คือ ผู้ชายคนนั้นทำอะไรพิมพ์ภิดาหรือเปล่า แค่เห็นร่างสูงล่ำสันกับใบหน้ารกรื้นไปด้วยหนวดเครา หล่อนก็รู้สึกไม่วางใจ ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวกับที่พิมพ์ภิดาเล่า แต่เพราะอะไร ทั้งสองถึงมาอยู่ด้วยกัน
“ฉันไหว”
เรื่องราวที่พรั่งพรูออกจากปากเพื่อนทำให้ตกใจ สู่ขวันนึกไม่ถึงว่า รฐกรจะขอแต่งงานกับอรุณาเร็วขนาดนี้ พิมพ์ภิดาคงยังทำใจไม่ได้ที่แม่คบกับชายหนุ่มรุ่นน้อง ยิ่งมาขอแต่งงานด้วยแล้ว คงทำให้เพื่อนสาวแทบจะเป็นบ้าเลยทีเดียว
“แต่สักวันหนึ่งมันก็ต้องเกิดนะ แล้วแม่แกว่า ไงบ้าง ตอบตกลงหรือเปล่า”
“ตอนนั้นแม่พยักหน้า แต่ฉันไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้วแม่จะแต่งงานกับมันไหม”
“เอาน่าเพลิน รฐกรอาจจะไม่แย่อย่างที่แกคิดก็ได้”
“ฉันเป็นห่วงแม่”
สู่ขวัญเลิกคิ้วมองพิมพ์ภิดา บางอย่างในตัวเพื่อนสาวได้เปลี่ยนไป น้ำเสียงและแววตา แต่เดิมพิมพ์ภิดาอาละวาดเพราะคิดว่า แม่ไม่รัก
“แม่แกเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ท่านดูแลตัวเองได้”
สำหรับสู่ขวัญการที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะตัดสินใจแต่งงานย่อมต้องผ่านการคิดไตร่ตรองมาแล้ว อรุณาเป็นผู้หญิงเก่ง และแกร่ง แถมยังเป็นนักธุรกิจที่เก่ง คงไม่โดนหลอกง่ายๆ
“ฉันก็ยังเป็นห่วงแม่อยู่ดี ฉันจะทำยังไงดีขวัญ ฉันต้องหาทางเตือนแม่”
“ถ้างั้นทำไมแกไม่กลับบ้านล่ะ”
“ฉันยังไม่พร้อม ฉันอาละวาดไว้เยอะที่ภูเก็ต”
พิมพ์ภิดาฉีกหน้ามารดาต่อหน้าลูกน้องจำนวนมาก หล่อนเองก็รู้สึกผิด งานคือ ทุกอย่างของแม่ จากที่ป้าชื่นส่งข้อความมา ท่านเก็บตัวอยู่ในห้องและไม่ไปทำงาน อาศัยการสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์แทน หญิงสาวไม่รู้ว่า มารดาคิดยังไง บางทีท่านอาจจะกำลังไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดก็เป็นได้
“เอาน่า ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว อย่างมากก็ไปขอโทษแม่เสีย ยอมรับผิด ฉันว่า แม่แกน่าจะเข้าใจนะ”
“ฉันขอโทษนะขวัญ ที่ผ่านมาฉันเอาแต่ใจตัวเองมาก ชอบสร้างปัญหาอยู่เรื่อย”
สู่ขวัญมองเพื่อนรักอย่างประหลาดใจ
“อะไรทำให้แกคิดอย่างนั้น”
“ไม่รู้สิ เมื่อคืนนี้ฉันคิดอะไรหลายอย่าง ต่อไปนี้ฉันจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แกเอาใจช่วยฉันด้วยนะ”
สู่ขวัญตบบ่าเพื่อน รั้งไหล่พิมพ์ภิดาเข้าหาตัวพร้อมปลอบ
“แน่นอน เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างแกเอง”
ภายในรถยังคงเงียบเมื่อเดร็กขับรถออกมาจากบ้านของเด็กสาว เขาลอบมองเจ้านายผ่านทางกระจกหลัง สีหน้าของธณริศคร่ำเคร่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“ไปที่ไหนต่อดีครับ”
“กลับคอนโดฯ”
“เซ้าท์เฮเว่นเป็นยังไงบ้างครับ”
“โอเค..ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันคิด อีกสามวันเราจะเจรจาซื้อขายกับคุณเขมริกา ฉันติดต่อผู้ซื้อต่อเอาไว้แล้ว นายแจ้งทีมของเราให้เตรียมตัวเดินทางมาเมืองไทยทันที”
“นี่คุณกริซจะไม่พักก่อนหรือครับ”
“ฉันพักมาเยอะแล้วเดร็ก ตอนนี้อยากทำงานใจจะขาด”
‘ไม่ใช่ว่า อยากทำงานเพราะกลุ้มเรื่องเด็กสาวคนนั้นหรอกนะ’ เดร็กคิดแต่ไม่พูดออกไป เขาทำงานกับธณริศมานานพอดูที่จะรู้ว่า เจ้านายไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ช่วยหนุ่มประหลาดใจคงเป็นเพราะสาวน้อยข้างกายต่างหาก
หล่อนยังเด็กเกินกว่าจะเป็นคู่นอน ใบหน้ารูปไข่ที่แทบจะไร้เครื่องสำอาง เด็กสาวเกล้าผมไว้ด้านหลังปล่อยให้ชายผมระข้างแก้ม ผิวหน้าเนียนอ่อนใส คะเนดูแล้วอายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ แต่
เพราะอะไร ธณริศถึงได้กลับมากับหล่อน ทั้งสองต่างเอาแต่นั่งเงียบ เดร็กลอบจับกริยาของเจ้านายผ่านทางกระจก สิ่งเดียวที่เดาได้คือ ทั้งสองทะเลาะกัน
เด็กสาวคือ ธุระที่ธณริศพูดถึงหรือเปล่า เดร็กได้แต่สงสัย
“งั้นผมจะรีบส่งเมลล์บอกทุกคน ทีมของเราน่าจะมาถึงเร็วสุดก็ปลายอาทิตย์”
“ไม่เป็นไร ยังมีเวลา อ้อนายช่วยติดต่อไบรอันด้วยนะว่า ฉันตัดสินใจซื้อเซ้าท์เฮเว่นแล้ว ภายในสัปดาห์นี้เราทุกคนจะต้องได้รับข่าวดี”
“คุณกริซแน่ใจหรือครับว่า สำเร็จ”
“แน่นอนสิ ฉันไม่เคยแน่ใจอะไรอย่างนี้ นายเตรียมตัวฉลองความสำเร็จก็แล้วกัน”
“เช้านี้คุณผู้หญิงจะรับอะไรดีคะ ดิฉันเตรียมข้าวต้มกุ้งเอาไว้ให้”
แม่บ้านอาวุโสปราดเข้ามาถาม ทันทีที่เห็นอรุณาก้าวลงมาตามบันได สองวันมาแล้วที่ประมุขของบ้านเก็บตัวเงียบ ไม่ยอมออกไปทำงาน
“ไม่ดีกว่า ฉันมีงานค้างที่บริษัท”
“แต่ก็น่าจะกินอะไรรองท้องในรถเสียหน่อยนะคะ แซนวิชกับน้ำผลไม้ดีไหมคะ ดิฉันขอเวลาเตรียมแป๊บเดียว”
ป้าชื่นยังคะยั้นคะยอ ขณะที่อรุณาหน้าบึ้ง
“ไม่ล่ะ”
“แต่คุณผู้หญิงผอมไปมากนะคะ ดิฉันเป็นห่วง” อรุณาซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด สองวันนี้คุณผู้หญิงของบ้านเก็บตัวอยู่แต่ในห้องทั้งที่ผ่านมาอรุณาไม่เคยลางานแม้แต่วันเดียว อาหารที่ถูกยกขึ้นไปให้ พร่องไปเพียงนิดเดียว จากที่รับใช้กันมานานทำให้รู้ว่า อรุณากำลังกลุ้ม
“เอ๊ะป้า วันนี้เป็นอะไรนะ ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่ต้อง”
ป้าชื่นหน้าสลดลง นับตั้งแต่ทำงานที่มา อรุณาแทบไม่เคยดุว่า
“ดิฉันเป็นห่วง กลัวคุณผู้หญิงจะไม่สบาย”
“ฉันดูแลตัวเองได้น่า ป้าไม่ต้องคิดมากหรอก”
อรุณาตัดบท เดินไปรอคนขับรถที่หน้ามุก ป้าชื่นรีบเดินตามมา ท่าทางอึกอักอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่า อรุณาไม่ได้ถามถึงบุตรสาวเลยสักนิด ก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
“เย็นนี้คุณผู้หญิงจะกลับมากินข้าวบ้านไหมคะ ดิฉันจะได้ตั้งสำรับรอ”
“ไม่ล่ะ ฉันคงอยู่เคลียร์งาน”
“แต่วันนี้คุณหนูเพลิน อาจจะกลับบ้าน”
อรุณาชะงัก ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางเผือดลงแต่เพียงครู่เดียวแววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเหมือนดังเดิม
“งั้นฉันยิ่งไม่ควรกลับมากินข้าวใหญ่” น้ำเสียงเจือด้วยความเจ็บปวด
“ทำไมละคะคุณผู้หญิง ยังไงเสียคุณหนูก็เป็นลูก ผิดถูกก็สั่งสอนกันไม่ดีกว่าหรือ”
การที่สองแม่ลูกปั้นปึ่งต่อกันสร้างความลำบากใจให้กับป้าชื่นซึ่งเป็นคนกลางอย่างมาก หล่อนไม่อยากเห็นแม่ไปทางลูกไปทาง อรุณาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องบ้างก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ลูกโทรมาก็ไม่ยอมรับ ขณะที่พิมพ์ภิดาก็อ้างว่า ขอไปค้างกับสู่ขวัญ ป่านนี้ทั้งสองยังไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่น้อย นับวันก็ยิ่งห่างกันไปอีก จนป้าชื่นกลัวเหลือเกินว่า วันหนึ่งทั้งสองจะตัดสัมพันธ์กันจริงๆ
“ป้าคิดว่า ฉันควรจะรับเพลินเป็นลูกอีกหรือ ในเมื่อเพลินกล้าฉีกหน้าฉันต่อหน้าคนทั้งบริษัท” ความคับแค้นที่สั่งสมมาตลอดทำให้อรุณาระเบิดออกมา
หล่อนอายเหลือเกิน ทุกครั้งที่นึกถึงสายตาของลูกน้องในห้องประชุม ทุกคนคงกำลังนินทากันอย่างสนุกปากว่า หล่อนควบคุมลูกสาวไม่ได้ หล่อนกลายเป็นตัวตลกให้ทุกคนหัวเราะเพียงเพราะพิมพ์ภิดาเพียงคนเดียว ยังไม่นับการกระทำอันน่าอับอายหลายๆ อย่าง ไลฟ์สดในโฮสต์บาร์ แต่ครั้งนี้อรุณารู้สึกว่า มากไปจริงๆ
“ป้ารู้ไหมว่า ฉันต้องจ่ายค่าเสียหายให้โรงแรมไปตั้งเท่าไหร่ที่ยายเพลินอาละวาดจนห้องพัก”
อรุณาไม่เสียดายเงินแต่หล่อนโกรธที่พิมพ์ภิดาเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่นึกถึงหัวอกคนเป็นแม่ หล่อนเป็นประธานแต่ถูกลูกมาประจานกลางที่ประชุม แล้วอย่างนี้หล่อนจะคุมลูกน้องเป็นพันๆ คนได้ยังไงกัน รฐกรเองก็เช่นกัน เขามัดมือชกด้วยการขอแต่งงาน อรุณายอมรับว่า ถูกใจชายหนุ่มแต่ทุกอย่างเร็วเกินไป หล่อนถึงต้องมานั่งทบทวนว่า ควรจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปดี อรุณาไม่ได้คุยกับรฐกรตั้งแต่เกิดเรื่องเพราะเช้ามืดวันนั้นหล่อนก็เรียกรถมาส่งที่สนามบินและเดินทางกลับ ชายหนุ่มส่งข้อความาแต่หล่อนก็ไม่ตอบ ครั้นจะมาหาที่บ้านหล่อนก็ปัดว่า ไม่สะดวก
“แต่คุณหนูคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ป้าชื่นเลิกแก้ตัวแทนเสียที เพลินไม่ใช่เด็กที่จะรู้ว่า อะไรควรหรือไม่ควร”
“คุณผู้หญิงโกรธคุณหนูจริงๆ หรือคะ”
“ไม่ใช่แค่โกรธนะ แต่ผิดหวังมากๆ บางทีฉันก็คิดนะว่า เพลินใช่ลูกฉันจริงๆ หรือเปล่า ถึงไม่มีอะไรเหมือนฉันเลย”
พิมพ์ภิดาเหมือนจอร์ชที่ทำทุกอย่างตามอารมณ์ เขาเหมือนศิลปินเพราะเป็นพ่อครัว บางวันอารมณ์ไม่ดีนึกจะปิดร้านก็ปิดไม่สนใจลูกค้าที่รออยู่ ขณะที่อรุณาทำทุกอย่างด้วยเหตุและผล หล่อนคิดทบทวนถึงข้อดีข้อเสียทุกอย่างก่อนตัดสินใจอะไร
“ฉันผิดเองที่ตามใจเพลินมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่แกควรจะทบทวนเรื่องทุกอย่าง แต่ถ้ายังคิดไม่ได้อีกละก็ ฉันจะถือเสียว่า ไม่เคยมีลูกคนนี้”
“คุณผู้หญิง” ป้าชื่นพ้อ มือสั่นเทา
“ฉันพูดจริงๆ นะ ในเมื่อเพลินกล้าทำแบบนี้กับฉัน ฉันก็กล้าที่จะตัดลูกคนนี้เช่นเดียวกัน”
“ไม่ได้นะคะคุณผู้หญิง”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะป้า ฝากบอกเพลินด้วยนะว่า ถ้าคิดจะกลับบ้านก็มา แต่ถ้าคิดว่า จะใช้ป้าชื่นมาต่อรองเพื่อให้ฉันยกโทษให้ละก็ ลืมไปได้เลย”
“ครอบครัวแกว่า อะไรหรือเปล่า ที่ฉันมานอนค้างที่นี่”
ครบอาทิตย์แล้วที่พิมพ์ภิดามาค้างบ้านสู่ขวัญ ตอนเช้าบิดาของเพื่อนรักจะมาส่งสองสาวที่โรงเรียน ป้าชื่นโทรมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง หญิงสาวจึงตัดสินใจค้างคืนบ้านเพื่อนต่อ
“ไม่หรอก ปู่ย่า รวมถึงพ่อแม่ฉันเอ็นดูแกจะตาย พวกเขาก็แค่เป็นห่วงว่า แกกับแม่มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
ครอบครัวของสู่ขวัญเต็มไปด้วยความอบอุ่น พ่อแม่อยู่พร้อมหน้าแถมยังมีผู้ใหญ่อย่างปู่กับย่าอยู่ด้วย ทั้งครอบครัวล้วนแต่ธรรมะธรรมโม วันหยุดก็ชวนกันไปทำบุญเข้าวัด ทุกเย็นสมาชิกทั้งหมดจะล้อมวงกันกินอาหารเย็นด้วยกัน พิมพ์ภิดามองความอบอุ่นนั้นด้วยสายตาแกมอิจฉา หลายครั้งที่หล่อนอยากให้ตนมีแบบนี้บ้างแต่คงไม่มีวันเป็นไปได้
“แล้วแกตอบไปว่ายังไงล่ะ”
“ก็บอกว่า แกงอนแม่ ก็เลยมาค้างสักพัก”
“ฉันขอโทษนะ ต้องรบกวนให้แกช่วยโกหกแทนอยู่เรื่อย”
“เฮ้ย ...โกหกที่ไหนกัน ฉันแค่พูดไม่หมดต่างหาก แกกับแม่งอนกันจริงๆ”
พิมพ์ภิดายอมรับว่า ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับมารดา หล่อนผิดที่อาละวาดทำลายของในห้องพัก รวมถึงเรื่งที่ฉีกหน้าในงานประชุม แม่โกรธมาก
“ฉันส่งข้อความไปง้อแล้วนะ แต่แม่ไม่ยอมอ่าน”
ข้อความในไลน์มีอักษรปรากฏแต่อรุณาไม่ยอมเปิดอ่าน พิมพ์ภิดาเดาว่า มารดาคงโกรธ ขณะที่ท่านเงียบพิมพ์ภิดาก็ยิ่งกลัว ทั้งสองเหมือนทำสงครามเย็นต่อกัน
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันว่า แกควรกลับไปขอโทษเองดีกว่าไหม ไปพูดกันแบบเปิดอก มีอะไร ก็เคลียร์ๆ กันเสีย” สู่ขวัญเป็นคนเปิดเผย ในครอบครัวหล่อนหากมีอะไรจะพูดกันตรงๆ”
สองสาวเดินเคียงกันไปที่ประตูโรงเรียน เนื่องจากใกล้เวลาแล้วจึงมีนักเรียนจำนวนมากเดินเข้าไปเช่นเดียวกัน
“แต่ฉันกลัว”
หากหล่อนกลับบ้านแล้วมารดายังยืนยันจะแต่งงานกับรฐกรเรื่องทั้งหมดก็ต้องจบลงในรูปแบบเดิมอีก ความคิดทั้งสองเหมือนเส้นขนาน
“ถึงยังไงมันก็คือ ความจริงนะ เพราะว่า แกทำผิด”
“ฉันรู้หรอกน่า ไม่ต้องย้ำหรอก ที่ผ่านมาเพราะฉันใช้แต่อารมณ์ ใครว่า เอะอะก็อาละวาด” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย สองวันมานี้หล่อนได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง
“รู้ตัวด้วยแฮะ” สู่ขวัญแกล้งแหย่
“มีคนบอกว่า ที่แม่ไปยอมฟังฉัน เพราะว่า ฉันเป็นแบบนี้”
“ผู้ชายคนนั้นนะหรือ”
สองวันที่ผ่านมาสู่ขวัญทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี หล่อนไม่กล้าถามพิมพ์ภิดาว่า เกิดอะไรขึ้นที่ภูเก็ตแต่ก็คอยเลียบๆ เคียงๆ เก็บรายละเอียด
“ใช่”
“แกกับเขาเป็นอะไรกันแน่เพลิน”
“เปล่า...ไม่ได้เป็น” คนมีชนักปฏิเสธเสียงสูง ทั้งที่จริงแล้วสองวันมานี้หล่อนฝันถึงชายหนุ่มทุกคืน ทุกครั้งที่หลับตาจะเห็นใบหน้าคมสันลอยอยู่ในความมืด หลายครั้งที่หล่อนแอบร้องไห้และก็ยังรับรู้ถึงอ้อมกอดที่คอยปลอบ
“แน่ใจนะ ฉันรู้สึกว่า มันยังไงๆ อยู่นะ”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย แกมันคิดมาก เขากับฉันอายุต่างกันตั้งสิบกว่าปี ฉันจะไปคิดอะไรกับอีตาลุงนั่นได้ยังไง”
พิมพ์ภิดาโต้ แต่จูบของเขายังคงติดตรึงแม้จะพยายามใช้น้ำล้างออกก็ยังล้างไม่หมด เช่นเดียวกับผิวกายที่ถูกชายหนุ่มตีตราประทับ รอยแดงจางๆ ตรงยอดอกยังคงเหลือร่องร่อย บอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
“อายุมากแล้วทำไม ความจริงเขาก็หล่อดีนะ” แม้จะเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่สู่ขวัญก็ยอมรับว่า ชายหนุ่มหน้าตาดี
“หน้าอย่างนั้นเนี่ยนะหล่อ เคราเฟิ้มเสียขนาดนั้น”
“แกไม่คิดหรือว่า ถ้าโกนหนวดออก คงหล่อดี แถมดวงตาของเขายังเป็นสีเทาด้วยนะ”
“ถึงยังไงเขาก็เป็นเด็กนั่งบาร์นะขวัญ ฉันไม่มีวันชอบคนพรรณ์นั้นหรอก”
พิมพ์ภิดาโต้ แม้หล่อนจะไม่ได้รังเกียจอาชีพชายหนุ่ม แต่เรื่องที่เขาควงได้ทั้งชายและหญิงต่างหากที่เป็นประเด็น ที่สำคัญเขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างเรื่องวันนั้น หญิงสาวถามตัวเองว่า เพราะอะไรถึงไม่ปกป้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้เขาเชยชม
“แน่ใจนะ” สู่ขวัญคาดคั้น พิมพ์ภิดายักไหล่
“แน่สิ เราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เกิดใครมาได้ยินเข้า จะเก็บไปฟ้องไทก้า ฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด”
“นี่แกกับไทก้ากลับมาคุยกันแล้วหรือ” พิมพ์ภิดาเคยบอกว่า ไม่ได้ชอบไทก้าฉันท์ชู้สาว แถมตอนที่เขาพยายามนัดเดทหล่อน หญิงสาวก็ปฏิเสธ
“ใช่.. เขาชวนฉันให้ไปดูเขาแข่งบอลเย็นนี้ เราสองคนไปด้วยกันนะ”
“แกเอาจริงหรือทีนี้ ไหนบอกว่า ไทก้าไม่ใช่...คนที่ใช่ไง”
“มันก็มีเปลี่ยนใจกันได้นี่ ถ้าเทียบกับผู้ชายแก่ ฉันว่า คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันน่าจะคุยรู้เรื่องกว่า หรือแกว่า ไม่จริง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น