8

บทที่ ๘ น้ำผึ้งหอมหวาน มีหรือหมีจะอดใจอยู่


บทที่ ๘ น้ำผึ้งหอมหวาน มีหรือหมีจะอดใจอยู่
พิมพ์ภิดาประหลาดใจกับท่าทางปั้นปึ่งของเพื่อนร่วมห้องตลอดทั้งบ่าย สิ่งที่สังเกตเห็นก็คือ ชายหนุ่มมักจะเลี่ยงไม่อยากอยู่ห้องเดียวกัน ตอนแรกหญิงสาวคิดว่า เป็นความบังเอิญที่หล่อนเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น แต่แล้วชายหนุ่มก็เดินไปเปิดโทรทัศน์ในห้องนอนแทน ครั้นพอหญิงสาวกระเถิบไปใกล้ประตู ชายหนุ่มก็หยิบเอาโน๊ตบุ๊คของตนออกไปนั่งทำงานที่ศาลา ทั้งที่พระอาทิตย์ยังจัดจ้าเกินกว่าจะนั่งรับลม
หญิงสาวเปลี่ยนใจเข้าไปนั่งในครัวและหยิบผลไม้ในถาดขึ้นมาปอก ตั้งใจว่า จะใส่จานมาให้แต่พอเดินยังไม่ทันถึง เจ้าของห้องก็รีบถอดเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงสระว่ายน้ำแทน ท่าทางที่ทำเหมือนเลี่ยงไม่อยากเจอทำให้หญิงสาวเจ็บแปลบ
ความรู้สึกน้อยใจผุดขึ้นเมื่อคิดว่า เขาคงรำคาญที่มีหล่อนมาอยู่ร่วมห้องแบบนี้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น แต่กลับไม่มีกะจิตกะใจอยากดู สู่ขวัญส่งข้อความมาหลายครั้งว่า สบายดีไหม พิมพ์ภิดาก็พิมพ์ตอบไปอย่างแกนๆ ความอึดอัดทำให้อยากออกไปสูดอากาศที่นอกระเบียงบ้างแต่ชายหนุ่มก็ผลักประตูเข้ามาในจังหวะเดียวกันพอดี เขาชะงัก รีบเบือนหน้าไปทางอื่น สีหน้าเย็นๆ ชา จนพิมพ์ภิดาทนสงสัยไม่ไหว
“นี่คุณ..โกรธอะไรฉันหรือเปล่า”
หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป หล่อนคงอกแตกตายแน่ๆ หากไม่ได้รับคำตอบ ชายหนุ่มกลับโต้มาในทันที
“เปล่า”
“แน่ใจนะ แล้วทำไมต้องคอยหลบกันด้วย”
“นี่หนู ว่างมากนักหรือไง ถึงได้มีเวลามาจับผิดคนอื่น มีอะไรก็ไปทำเถอะ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ยี่หระ แล้วเดินเลี่ยง แต่มีหรือพิมพ์ภิดาจะยอม หล่อนถลันเข้าไปขวางเมื่อเขาทำท่าจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ
“เมื่อไหร่คุณจะสอนฉัน”
“สอน” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“ก็ที่คุณบอกว่า มีวิธีที่ให้แม่ยอมฟังฉันไม่ใช่หรือ”
“อ๋อเรื่องนั้น”
“เอาไว้วันหลังเถอะ วันนี้คงไม่ค่อยเหมาะ”
“ทำไมถึงไม่เหมาะหรือว่า คุณมีนัดกับแฟนชุดเหลืองนั่น”
หญิงสาวไม่รู้ว่า ตนอยู่ในอารมณ์ไหน ถึงได้กล้าไปพูดถึงผู้หญิงในชุดบิกินี่สีเหลืองมะนาว ผลก็คือ ชายหนุ่มหน้าบึ้งทันที
“นี่เธอแอบดูฉันหรือ”
“เปล่า” พิมพ์ภิดายักไหล่
“ถ้างั้นรู้ได้ยังไงว่า ฉันไปกับใคร อย่ามาทำเนียนโกหกนะ ฉันไม่ชอบ”
“ก็มันบังเอิญเห็นนี่นา ช่วยไม่ได้ ก็แฟนนายเล่นใส่ชุดว่ายน้ำสีแปร๋นขนาดนั้น แถมหุ่นยังเชฟบ๊ะซะจนใครๆ ก็ต้องสะดุด”
หญิงสาวแอบดูเขาจากบนห้องและเห็นธณริศกับสาวชุดเหลืองนัวเนียกัน ยิ่งตอนที่ฝ่ายหญิงพยายามทาโลชั่นไปบนแผงอกยิ่งดูน่าหมั่นไส้
‘แผงอกอย่างนี้นี่เองผู้หญิง ถึงชอบลูบไล้กันนัก’ สมองที่เต็มไปด้วยอคติค่อน
พิมพ์ภิดาไม่รู้ตัวเลยว่า เผลอจ้องไปยังเรือนร่างล่ำสันตรงหน้าซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราว เขาเพิ่งขึ้นจากน้ำ และยังเช็ดตัวไม่แห้งดีด้วยซ้ำ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าริอ่านมองผู้ชายแบบนี้ รู้ไหม”
หญิงสาวหน้าชาเมื่อโดนตำหนิ ทิฐิทำให้โต้ไปว่า
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก แสดงว่า คนที่มีสิทธิ์จะมองคุณได้ต้องหุ่นเอ็กซ์ๆ หรือไง”
“เธอนี่มันเด็กเหลือขอจริงๆ นะ ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่า ไม่ให้พูดจาแบบนี้”
พิมพ์ภิดาเม้มปากแน่นเมื่อจี้ใจดำ ขอบตาร้อนผ่าว โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ถ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่า คุณเป็นใบ้หรอกนะ ถึงฉันจะมาขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะต้องทนถูกคุณโขกสับด้วยคำพูดหรอกนะ ถ้าไม่พอใจฉันก็จะไป”
ธณริศอึ้ง มองเด็กสาวตรงหน้า หยดน้ำตาเม็ดเป้งๆ รื้นออกมาตรงขอบตา เขารู้สึกผิด
“เออ..ฉันขอโทษ ก็เธออยากมาแขวะฉันก่อน ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว เอาเป็นว่า ฉันจำได้ที่ว่าจะสอน”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ นี่ก็เกือบจะหมดวันอยู่แล้ว คุณบอกว่า จองห้องไว้แค่สองคืนไม่ใช่หรือ”
“ก็กำลังจะสอนอยู่นี่ไง ใจร้อนจริงๆ แต่ขอไปเปลี่ยนเสื้อก่อน ขืนสอนชุดนี้มีหวังหนาวตาย”
พิมพ์ภิดายอมรามือด้วยการเดินไปนั่งรอที่โซฟาแทน สิบห้านาทีต่อมาชายหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นดูสบายๆ เขาก็มานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“แม่เธอเป็นผู้บริหารบลูเวฟใช่ไหม”
“อื่ม..คนเรียกแม่ว่า มาดามอุ๊” พิมพ์ภิดาพยักหน้า การที่คนอื่นรู้จักอรุณาไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะท่านเป็นสาวสังคมแถมยังเป็นนักธุรกิจที่เก่งอีกด้วย หนังสือหลายฉบับตีพิมพ์รูปมารดานับครั้งไม่ถ้วน
“แม่เธอป็นผู้บริหารที่เก่งมากรู้ไหม ทำงานเก่ง สามารถกู้บริษัทที่จวนจะล้มมิล้มแหล่ให้กลับมาผงาดได้อีกครั้ง”
“บริษัทของคุณตาเนี่ยนะจะล้ม”
พิมพ์ภิดาประหลาดใจ หลายปีที่ผ่านมาหล่อนรู้เพียงว่า บริษัทนี้ตากับยายสาร้างมาก หลังจากท่านเสียชีวิต
“ใช่ บริษัทนี้เดิมขาดทุกอย่างหนัก แต่พอแม่เธอเข้ามาสถานการณ์ก็พลิก”
ข้อความที่รับรู้จากชายหนุ่มทำให้พิมพ์ภิดาชะงัก หล่อนไม่เคยรู้ว่า ก่อนหน้าที่มารดาจะเข้ามาบริหาร คุณตาของหล่อนเตรียมจะปลดพนักออกเป็นร้อยๆ คนๆ มารดาต้องเข้มาแบกภาระที่หนักอึ้ง
“แม่ไม่เคยบอก”
“ยังมีอีกนะ ตอนที่แม่เธอเข้ามาบริหาร ท่านกู้เงินจากธนาคารมาเพิ่ม เพื่อแก้สถานการณ์”
ยอดเงินที่ได้ยินทำให้พิมพ์ภิดาตกใจยิ่งกว่าเดิม หล่อนจำได้ลางๆ ว่า แม่กับพ่อเคยเถียงกันเรื่องเงินกู้ แต่ไม่เคยรู้รายละเอียด เพราะเหตุนี้เองตอนที่กิจการของบิดากำลังจะปิดตัวลง มารดาถึงไม่ได้ยื่นมือมาช่วย พิมพ์ภิดาเคยโทษมาตลอดว่า ใจดำไม่ยอมช่วย แต่แท้จริงแล้วเพราะว่า ท่านเองก็มีภาระหนักไม่ต่างกัน
“ทำไมคุณถึงรู้”
“ฉันก็ต้องสืบข่าวบ้างสิ ในเมื่อรับปากว่าช่วย ฉันก็ต้องหาข้อมูล ว่าเพราะอะไรแม่เธอถึงได้วางใจผู้ชายคนนั้น เธอก็เหมือนกัน ถ้าเธออยากจะให้แม่ฟัง ก็ต้องหัดเข้าใจมุมของท่านบ้าง”
“นี่คุณคิดจะเกลี้ยกล่อมให้ฉันยอมรับไอ้ฐากรหรือไง” หญิงสาวโต้อย่างลืมตัว ยอมรับว่า ตนไม่ค่อยมีเหตุผล ทุกครั้งที่พูดถึงชายหนุ่มคนนั้นก็เหมือนไปจุดต่อมระเบิดทุกครั้ง
“เปล่า...แค่ชี้ให้มองเห็นจุดที่เธอไม่เคยเห็น เธอเอาแต่คิดว่า ตัวเองต้องการอะไรและพอคนอื่นไม่ยอมรับเธอก็โวยวาย”
“คุณด่าฉันหรือ”
“ฉันเปล่า ฉันกำลังอธิบายต่างหาก จุดอ่อนของเธอก็คือ เอาแต่อารมณ์ นี่คือ นิสัยของเด็ก”
พิมพ์ภิดากอดอก หน้างอง้ำโต้ไปว่า
“เอาล่ะ ฉันพอเข้าใจแล้วว่า แม่ต้องแบกภาระบริษัทแต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แม่จะทำแต่งานโดยไม่สนใจสามี ไม่สนใจลูกนี่น่า” ปมในใจของพิมพ์ภิดาก็คือ มารดาสนใจแต่บริษัท ขณะที่ลูกกับสามีกลายเป็นเรื่องรอง สมัยเด็กหล่อนอยู่กับป้าชื่นมากกว่าแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ จุดแตกหักของสองแม่ลูกคือ อุบัติเหตุที่พรากชีวิตบิดาไป พิมพ์ภิดาฟังข้อความในโทรศัพท์ที่บิดาฝากเอาไว้ซ้ำไปซ้ำมา ถ้าหากวันนั้นมารดาของหล่อนจะโทรศัพท์กลับไปสักนิด ทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้
“เธอยังไม่เข้าใจ แม่เธอก็เหมือนคนลงเรือแล้วเรือกำลังจะจม ก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงฝั่ง ดังนั้นการที่เธอจะโทษแม่ทุกอย่างก็ไม่ถูกเสียทีเดียว”
“ฉันไม่เห็นเข้าใจ คุณยกเรื่องนี้มาพูดทำไม มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่แม่จะฟังฉันหรือเปล่าล่ะ”
“เกี่ยวสิ อย่าแรก เธอต้องทำตัวให้มีวุฒิภาวะให้มากกว่านี้”
“แบบไหนหรือ”
“ก็เด็กวัยรุ่นที่มีเหตุผล ตั้งใจเรียน ไม่ใช่ประชดชีวิตทำตัวเป็นเด็กเหลวไหลสิ”
“ด่าฉันอีกแล้วนะ”
ร่างบางผุดขึ้น ธณริศโบกมือ พร้อมกับสั่นศีรษะ
“ใจเย็นๆ นั่งลงก่อน เห็นไหมฉันพูดนิดเดียวเธอก็โวยวายแล้ว”
“ก็คุณอยากว่าฉันก่อนนี่ จู่ๆ ก็มาหาเรื่องด่ากัน ฉันทนได้ก็แปลกแล้ว”
“ที่ฉันพูดเพราะไม่อยากให้เธอประชดแม่ด้วยการแต่งตัวโป๊ๆ ทำอะไรแผลงๆ อย่างในบาร์โฮสต์วันนั้น ไม่เห็นหรือว่า แผนการเธอนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ท่านยังทำตัวเหินห่างกว่าเดิมอีกด้วย”
พิมพ์ภิดาชะงัก ชายหนุ่มพูดถูกมารดาไม่แม้แต่จะคุยปรับความเข้าใจกับหล่อน ยิ่งพยศ หล่อนกับแม่ก็ยิ่งห่างกันออกไป แม้จะยอมรับแต่ทิฐิทำให้โต้ไปว่า
“ฉันชอบแต่งตัวแบบนี้ต่างหาก คุณแก่แล้วไม่เข้าใจหรอก”
ร่างสูงส่ายหน้า ขยับจากที่นั่งตัวเองมาที่หญิงสาวก่อนจะช้อนอุ้มหญิงสาวมานั่งบนตัก พิมพ์ภิดาตกใจตัวแข็งทื่อ
“เฮ้ย...คุณจะทำอะไร”
“ก็เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่า เป็นคนแบบนี้รู้บ้างไหมว่า ผู้หญิงที่แต่งตัวโป๊ ก็แสดงว่า อยากโชว์ ถ้าริอ่านอยากโชว์ รู้ไหมว่า จะต้องเจอกับอะไร”
ใบหน้าคมสันที่โน้มลงมาใกล้ ขณะที่ท่อนแขนแข็งแรงเสมือนกักหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมกอด พิมพ์ภิดารับรู้ถึงการคุกคาม ลมหายใจร้อนๆ รินรดตรงหน้าผากก่อนต่ำลงมา หญิงสาวร้องโวยวายผลักออก
“ปล่อยฉันนะ คุณจะบ้าหรือ” วูบหนึ่งที่หล่อนไม่รู้ว่า ชายหนุ่มทำจริงหรือแกล้งกันแน่แต่ขนาดของร่างกายที่ต่างกันเกือบเท่าตัวทำให้หญิงสาวเริ่มกลัว
“ไม่บ้า ฉันรู้ตัวดี นี่คือ สิ่งที่ฉันจะสอนเธอเป็นอย่างแรก จำเอาไว้นะหนู”
พิมพ์ภิดาตกใจเบิกตากว้าง หล่อนแทบจะหยุดหายใจเมื่อถูกกอดแน่นขึ้น จมูกโด่งโน้มต่ำลงมา ริมฝีปากหยักลึกยื่นเข้ามาใกล้ มันใกล้มากจนเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ความตกใจดทำให้ดิ้นโวยวาย
“พะ...พอแล้ว ไม่เอาแล้ว ฉันกลัว”
ธณริศยิ้มอย่างเป็นต่อ เขายอมคลายแขนออกและอุ้มหญิงสาวไปนั่งบนโซฟาตามเดิม สายตาทอดมองใบหน้าแดงก่ำของเด็กสาวตรงหน้า หล่อนไม่ได้ก๋ากั่นอย่างที่แสดงออก ลึกๆ ลงไปแล้วพิมพ์ภิดาไม่ใช่เด็กเกเร หล่อนแค่แสร้งประชดแม่เท่านั้น
“เอาล่ะ ทีนี้เราก็เข้าใจตรงกันแล้ว จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย อย่างแรกนะถ้าเธออยากจะให้แม่หันมาฟังก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ เริ่มอย่างแรกที่เสื้อผ้า”
“เสื้อผ้ามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“เกี่ยวสิ ก็ฉันเพิ่งพูดเรื่องวุฒิภาวะไป เธอต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเด็กวัยรุ่นสมวัย ไม่ใช่แต่งตัวเหมือนเด็กสก๊อยแบบนี้”
“ปากจัด ทีแฟนคุณยังใส่บิกินี่โชว์นมโตๆ ได้เลย”
ธณริศขึงตาดุ เงื้อมือขู่
“ยังอีก บอกแล้วไงว่า คุณเข็มไม่ใช่แฟน”
“อ๋อ ชื่อเข็มหรือ แต่อะไรๆ ก็ไม่ได้เล็กไปด้วยเลยนี่ นายคงชอบอะไรๆ แบบนี้สินะ” พิมพ์ภิดาพูดอย่างคะนองปาก ผลก็คือ ธณริศผุดลุกขึ้น สีหน้าบึ้งตึง หญิงสาวรีบลุกขึ้นตาม
“เฮ้ย...ฉันล้อเล่นน่า ก็ได้ ฉันจะไม่แหย่คุณแล้ว แซวนิดแซวหน่อย ชอบทำหน้าดุเหมือนหมีอยู่เรื่อย”
“ถ้าขืนเธอยังยุ่งเรื่องส่วนตัวฉันอีก ฉันจะไม่สอน”
“เอาน่า ฉันสัญญา นายกับผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอะไรฉันไม่สนหรอก”
“เลิกออกนอกเรื่องได้แล้ว กลับมาที่เรื่องการแต่งตัว ต่อไปนี้ห้ามเธอแต่งตัวโป๊ๆ เพื่อยั่วแม่อีก หน้าก็เหมือนกัน ห้ามแต่งหน้าเหมือนพวกผู้หญิงนั่งบาร์อีกเด็ดขาด”
“นายนี่มันผู้ชายยุคไดโนเสาร์หรือไงนะ แต่งหน้ามันไม่ดีตรงไหน เพื่อนในโรงเรียนฉันก็แต่งหน้ากันทุกคน” พิมพ์ภิดาแกล้งแหย่ ทั้งที่รู้ดีว่า หล่อนอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ก็จริง แต่หล่อนกับสู่ขวัญเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ค่อยชอบแต่งหน้าผิดกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่แต่งหน้าจัดเต็ม
“ก็ถ้าเธอทำตัวเหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป มันก็โอเค จำคำฉันเอาไว้นะคนนอกเขาจะมองเธอก็คือ ภาพที่เห็นครั้งแรก แต่ถ้าเธอทำตัวเหมือนพวกไม่มีความคิด ต่อให้เธอพูดสิ่งที่มีประโยชน์มากแค่ไหน ก็ไม่มีใครฟังหรอก ทุกอย่างมันอยู่ที่ภาพลักษณ์”
“โบราณ”
“ว่าไงนะ” ชายหนุ่มค่อน ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง พิมพ์ภิดาคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ ส่งเสียงอ้อน
“ก็ได้ๆ ฉันรับปากว่า ต่อไปนี้จะทำตัวให้ดีขึ้น จะแต่งตัวให้เรียบร้อย พอใจหรือยังพ่อแก่”
“ยังไม่หยุดอีก”
พิมพ์ภิดายกสามนิ้วเหมือนเป็นการสาบาน หล่อนยักคิ้ว ย่นคอ ยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“ฉันไม่พูดแล้วก็ได้ เอาเป็นว่า ฉันเข้าใจ แต่คงต้องรอให้กลับไปกรุงเทพฯ ก่อนเพราะตอนนี้ในกระเป๋าฉันมีแต่เสื้อผ้าพวกนี้”
หญิงสาวชี้มายังเสื้อยืดผ้าสีขาวเนื้อบางกับกางเกงยีนขาสั้นกุดที่เผยให้เห็นแก้มก้น ธณริศโคลงหัวอย่างระอา
“ทำไมต้องรอกลับกรุงเทพฯ ด้วย”
“อ้าว นี่มันเกาะนะคุณ จะให้ไปหาซื้อเสื้อผ้าจากไหนกันล่ะ”
ชายหนุ่มเบ้หน้าอย่างไม่เห็นด้วย พูดต่อ
“ใครกันแน่ที่โบราณ นี่มันภูเก็ตนะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เธออยากจะหาอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ”
“แต่เราสองคนอยู่ในโรงแรม”
“ไม่ยากนี่ เย็นนี้แทนที่เราจะอุดอู้อยู่แต่ในห้อง สู้ออกไปเดินเล่นในเมืองดีกว่า ฉันแน่ใจว่า ในห้างสรรพสินค้าต้องมีเสื้อผ้าที่เหมาะกับเด็กวัยรุ่นอย่างเธอ”
ธณริศมองหญิงสาวข้างกายที่หน้างอเป็นม้าหมากรุก ในที่สุดเขาก็บังคับให้พิมพ์ภิดานั่งรถเข้ามาในตัวเมืองได้สำเร็จ แต่ก่อนจะออกจากห้อง เขาก็จัดการแปลงโฉมให้ ชายหนุ่มไม่ต้องการให้ผู้จัดการโรงแรมรวมถึงพนักงานคนอื่นๆ รู้ว่า พิมพ์ภิดามาพักห้องเดียวกับเขา
ดังนั้นปฏิบัติการปลอมตัวจึงเกิดขึ้น เขาแกล้งให้เด็กสาวมัดจุกเป็นหางม้า นอกจากนั้นยังนำเสื้อยืดของตนให้หล่อนสวมแทนเสื้อยืดเนื้อบางอีกด้วย แต่เนื่องจากขนาดร่างกายที่ต่างกันเกือบเท่าตัว เสื้อของเขาจึงยาวจนเกือบจะเหมือนกระโปรงเลยด้วยซ้ำ
ตอนแรกเด็กสาวพยศ ไม่ยอมใส่และทำท่าจะอาละวาด แต่พอเจอคำขู่ว่า จะไม่ยอมช่วย หล่อนก็รีบสงบคำเสีย ธณริศให้รถของโรงแรมมาส่งที่ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดอีกทั้งยังนัดหมายเวลากลับเอาไว้เรียบร้อย แต่พอก้าวเข้ามาในตัวตึก ใบหน้าที่เคยบึ้งตึงมาตลอดทางก็เปลี่ยนไปในทันที
“ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ”
ไม่เพียงแต่หญิงสาวที่ประหลาดใจ ธณริศเองก็เช่นเดียวกัน เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาภูเก็ต ชายหนุ่มเคยเห็นข่าวการเปิดห้างสรรพสินค้าแต่นึกไม่ถึงว่า จะยิ่งใหญ่อลังการถึงเพียงนี้อาคารสองหลังถูกเชื่อมด้วยทางเดินที่ประดับประดาด้วยต้นไม้ ดอกไม้สีเขียวสด เน้นคอนเซปต์ Luxury Meets Nature แต่สิ่งที่สะดุดตาเมื่อก้าวเข้าไปในห้างฯ กลับเป็น Enchanted Garden ทางผู้สร้างตั้งใจจำลองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นที่ประทับของพระอินทร์ตามตำนาน มาให้เป็นมุมถ่ายรูป ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เดินทางมาถึงล้วนแต่ต้องมาแวะเช็คอินที่นี่
“ถ่ายรูปหน่อยไหม ฉันถ่ายให้”
ธณริศเสนออย่างอารี พิมพ์ภิดาเบ้หน้า
“ให้ถ่ายรูปชุดนี้เนี่ยนะ ไม่เอาล่ะ มีหวังเพื่อนล้อตาย” หญิงสาวค่อย ใบหน้าที่เคยคลี่ยิ้มแสร้งทำเป็นบูดบึ้งเพื่อประท้วง สาเหตุที่หล่อนไม่ถ่ายรูปลงโซเชียลเพราะกลัวมารดากับสู่ขวัญจะรู้ต่างหาก
“ความจริงฉันว่า เธอไม่แต่งหน้าแล้วก็รวบหางม้าแบบนี้ก็น่ารักดีนะ”
“น่ารักตรงไหน ฉันน่ะเลิกรวบหางม้ามาตั้งแต่อนุบาลแล้วย่ะ คุณนี่นอกจากจะแก่แล้ว ยังค่ำครึอีกต่างหาก”
ธณริศหัวเราะเบาๆ แทนคำตอบ เขาไม่ได้โกรธที่โดนปรามาศว่าแก่ ตรงกันข้ามการปะทะคารมกับหล่อนในก็ทำให้รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน มันคงเป็นรสชาติของชีวิต ชายหนุ่มได้แต่ถามตัวเองว่า นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ยิ้มกว้างๆ แบบนี้ ยิ่งมองร่างบางตรงหน้าที่แม้จะบอกว่า ไม่พอใจ แต่กลับมองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นเต้น มองจากมุมนี้พิมพ์ภิดาก็แค่เด็กสาวคนหนึ่ง แต่ที่ต้องเปลี่ยนตัวเอง ก็เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจนั่นเอง
“อย่าลืมสิว่า ถึงยังไงเธอก็ต้องพึ่งคนคร่ำครึอย่างฉัน”
“ไม่ต้องย้ำนักหรอกน่า จะพาไปซื้ออะไรก็ว่า มา”
ร่างสูงเอื้อมมือไปคว้าข้อมือหญิงสาวและดึงไปขึ้นบันไดเลื่อน พิมพ์ภิดาถลึงตาดุพยายามชักมือกลับ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยสิ ฉันเดินเองได้”
“รู้น่า ว่าเดินได้ แต่เธอเดินช้า ขาก็สั้น แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะซื้อของเสร็จ”
“เชอะ ว่าแต่ขาฉันสั้น ใครจะไปมีขายาวๆ แบบนายล่ะ”
“เข้าใจก็ดีแล้ว งั้นก็รีบตามมา เราต้องซื้อของอีกหลายอย่าง”
ธณริศเดินนำหญิงสาวไปยังชั้นสองของห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นโซนแฟชั่น มีทั้งเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆ รวมถึงร้านแบรนด์ก็มีให้เลือกอย่างจุใจ เขาเลือกร้านเสื้อวัยรุ่นซึ่งเป็นที่นิยมก่อนจะลากพิมพ์ภิดาเข้าไปในนั้น
“เข้ามาทำไมร้านนี้”
“ก็ซื้อเสื้อใหม่ให้เธอยังไงล่ะ หรือว่า จะใส่เสื้อยืดฉันไปทุกวัน”
“เสื้อผ้าฉันก็มีทำไมต้องซื้อ” พิมพ์ภิดาเบ้หน้าพร้อมส่ายหัวอย่างดื้อดึง
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า ต่อจากนี้เธอต้องเป็นคนใหม่ เสื้อยืดที่รัดๆ รวมถึงกางเกงสั้นกุดจนเห็นแก้มก้นอย่างที่ใส่เมื่อเช้าน่ะ โยนทิ้งขยะไปได้เลย”
“เรื่องอะไรฉันต้องโยนทิ้งด้วย เสียดาย”
“เสียดายทำไม ก็ไหนอวดว่า รวยนักไม่ใช่หรือ จำที่ตัวเองเคยพูดได้ไหมว่า รวย พร้อมเจรจาธุรกิจน่ะ” ชายหนุ่มยกคำพูดของหญิงสาวขึ้นมาพูด พิมพ์ภิดาหน้าบึ้ง
“เออ...ฉันรวย พอใจหรือยัง อ๋อ ฉันรู้แล้ว ที่นายลากฉันมาที่ห้างนี่ก็เพื่อจะให้ฉันซื้อของให้งั้นสิ นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ เลยนะ”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ฉันให้เธอซื้อให้ที่ไหน ฉันพาเธอมาเลือกชุดต่างๆ ชุดที่ทำให้เธอดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง อย่างเช่นชุดนี้เป็นต้น”
มือเรียวหยิบเสื้อยืดสีหวานพร้อมกับกระโปรงลายสก๊อตส่งให้ พอเห็นพิมพ์ภิดาก็รีบสั่นศีรษะพร้อมเบ้หน้า ชายหนุ่มเปลี่ยนใจแขวนคืนกลับไปแล้วหยิบชุดเอี๊ยมกางยีนสีขาวสั้นเหนือเข่า ใส่คู่กับเสื้อลายทางมาให้อีก เด็กสาวก็ยังส่ายหน้าอีกเช่นเคย
“ยี้...ไม่เอา...จะบ้าหรือ นี่มันชุดเด็ก ม ต้น ฉันไม่ใส่”
“งั้นก็ชุดนี้” เขาหยิบกระโปรงยีนเหนือเข่ากับเสื้อยืดสีเขียวอ่อน รวมถึง เสื้อลูกไม้แขนกุดกับกางเกงผ้าลินินลายทางยัดใส่มือ พิมพ์ภิดากำลังจะเถียงแต่ชายหนุ่มก็หยิบเสื้อเชิ้ตคอบัวสีขาวกับกางเกงยีนขาสีส่วนลงมาสมทบ
“เลือกเอานะว่า จะเข้าไปลอง หรือว่า จะให้ฉันวางใส่แขนเธอไปเรื่อยๆ”
คำขู่ทำให้เด็กสาวหน้างอง้ำ หล่อนเดินกระแทกส้น ทำท่ากระฟัดกระเฟียดแต่สุดท้ายก็ยอมเข้าไปในห้องลอง แต่ไม่วายชะโงกหน้าออกมา พร้อมแค่นเสียง
“ตาหมีจอมเผด็จการ คอยดูนะ ถึงทีฉันบ้างแล้วจะรู้สึก”
ร่างสูงหัวเราะในลำคอ เขามองคนที่รูดม่านห้องลองเสื้ออย่างเสียไม่ได้ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมเข้าไปลองชุด เขากำลังจะแกล้งแหย่หล่อนอีก แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน...
“ผมส่งข้อมูลไปให้แล้วนะครับคุณกริซ ถ้าได้อะไรเพิ่มจะรีบส่งตามไป”เดร็กกรอกเสียงมาตามสาย ธณริศอมยิ้ม เขาเพิ่งจะส่งข้อมูลไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง แต่เดร็กสามารถทำงานได้รวดเร็วทันใจ
“นายนี่มันเสือปืนไวจริงๆ นะ”
“แน่สิครับ ถ้าคุณกริซอยากรู้แสดงว่า หมอนี่ต้องสำคัญ ว่าแต่เขาเป็นอะไรกับโรงแรมเซ้าท์เฮเว่นหรือครับ เพราะเท่าที่ผมสืบทราบมา รฐกรไม่ใช่หุ้นส่วน”
“ไม่ใช่จริงๆ นั่นล่ะ แต่ฉันรับปากคนๆ หนึ่งเอาไว้ว่า จะช่วย”
“หญิงหรือชายครับ” เดร็กดักคอเจ้านายในทันที ธณริศหัวเราะ
“นายอย่ารู้เลย มันไม่สำคัญอะไรหรอก”
“ถ้าให้ผมเดา คุณกริซกำลังจะช่วยประธานบริษัทบลูเวฟหรือครับ”
เดร็กจับทางได้ ธณริศคลิกไฟล์ข้อมูลที่ปรากฏในไลน์ส่วนตัวขึ้นมาอ่าน สิ่งที่ได้จากเลขาคนสนิทยืนยันให้รู้ว่า ข้อสันนิฐานของเขาเป็นความจริง รฐกรเป็นเสือผู้หญิง เขาชอบคบหากับผู้หญิงที่อายุมากกว่า ส่วนใหญ่ก็เพื่อปอกลอก แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจก็คือ ประวัติในวัยเด็กที่ว่างเปล่า ในยุคที่เทคโนโลยีทันสมัยสามารถค้นอะไรก็ได้ในอินเทอร์เน็ต จึงเป็นไปได้น้อยมากกว่า คนๆ หนึ่งจะไม่มีประวัติในวัยเด็ก
“ฉลาดจริงๆ นะ สมแล้วที่เป็นผู้ช่วยฉัน”
“คุณกริซสอนมาดีครับ คุณเคยพูดเสมอว่า เมื่อได้ข้อมูลมาต้องรู้จักวิเคราะห์ เท่าที่ผมเห็นนายรฐกรต้องการจับเสือมือเปล่า ด้วยการเข้ามาจีบคุณอรุณา”
“ก็ทำนองนั้นล่ะ”
“แล้วคุณกริซไปรู้จักคุณอรุณาได้ยังไงครับ อย่าบอกนะว่า ต้องการจะเทคโอเวอร์บริษัทบลูเวฟอีก รายนี้ไม่หมูนะครับ”
“เฮ้ย ...ฉันยังไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย แค่อยากรู้ ฉันบังเอิญเจอรฐกรที่นี่ ก็เลยอยากรู้เบื้องหลังของมันต่างหาก”
“หมอนี่น่ากลัว แต่ผมเห็นด้วยว่า ต้องมีอะไรปิดบังเอาไว้แน่ๆ”
“นายหมายความว่า ยังไงหรือเดร็ก”
“ก็หมายความว่า ผมไม่แน่ใจว่า ชื่อ รฐกรคือ ชื่อจริงหรือเปล่าสิครับ เขาอาจจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่ก็อาจจะเคยเป็นคนอื่นมาก่อน”
ธณริศสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม หากเป็นแบบที่เดร็กตั้งข้อสันนิฐานนั่นก็หมายความว่า การจะเปิดโปงรฐกรนั้นไม่ง่ายเลย แผนการทุกอย่างต้องรัดกุม
“เอาเถอะ ไว้ฉันจะสืบต่อเอง ขอบใจนายมากนะที่ส่งข้อมูลมาทันใจ ถ้าฉันต้องการอะไรอีก ฉันจะติดต่อกลับไปก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันมีธุระ”
เดร็กหัวเราะมาตามสาย น้ำเสียงรู้ทัน
“ถ้าให้ผมเดา ธุระของคุณกริซต้องเป็นผู้หญิงใช่ไหมครับว่า แต่เอจะเป็นคุณเขมริกาหรือว่า คนอื่น”
“อย่ารู้เลยน่า”
“เอาเถอะ ผมไม่แซวแล้วก็ได้ ขอให้พักผ่อนให้สนุกนะครับ พบกันวันมะรืน”
เดร็กวางสายไปแล้ว ธณริศส่ายหัวให้กับโทรศัพท์ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาและเห็นเด็กสาวออกมาจากห้องลองเสื้อ เขาก็มองอย่างตกตะลึง...



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น