9

บทที่ ๙ หมีกับน้ำผึ้งหยดแรก


บทที่ ๙ หมีกับน้ำผึ้งหยดแรก
“นี่คุณจะจ้องอีกนานไหม”
พิมพ์ภิดาแหวใส่ หลังจากออกจากร้านเสื้อชายหนุ่มก็พาหล่อนมากินไอศกรีมที่ร้านซึ่งอยู่ชั้นถัดไป ตอนแรกเด็กสาวไม่ยอมแต่สุดท้ายก็เจอกับผู้ชายจอมเผด็จการบังคับจนไม่มีทางเลือก เขาเลือกสั่งไอศกรีมช็อกโกแลตซันเดย์ขนาดใหญ่ที่สุดในร้านแถมเพิ่มไอศกรีมมาเป็นห้าลูก ขณะที่หญิงสาวเลือกสั่งเป็นบานาน่าโบ๊ท แต่พอไอศกรีมมาเสิร์ฟ คนตรงหน้ากลับยังอมยิ้มและมองจ้อง
“เธอก็กินไปสิ ทำไมต้องสนใจด้วย”
“ถ้าฉันกินลงก็แปลกแล้ว คุณเล่นจ้องเอาจ้องเอาแบบนี้ ก็ไหนคุณบอกว่า ชุดนี้ดีแล้วทำไมถึงมองฉันเป็นตัวประหลาดล่ะ”
พิมพ์ภิดาแทบจะหมดตัวในร้านเสื้อ เงินสดที่กดออกมาจากเอทีเอ็มก่อนเดินทางมาภูเก็ตละลายหายไปกับชุดใหม่มากกว่าครึ่ง แต่สุดท้ายหญิงสาวก็กัดฟันซื้อเพียงเพราะเชื่อว่า น่าจะทำให้อะไรดีขึ้น หล่อนเองก็เบื่อหน่ายการไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกครั้งที่ใส่เสื้อผ้าโป๊ๆ เพื่อประชดก็รู้สึกผิดอยู่เรื่อย
“ที่ฉันมองก็เพราะว่า เธอน่ารักมากยังไงล่ะ ทีหน้าทีหลังเลิกใส่เสียนะ ชุดโป๊ๆ ไม่เข้ากับเธอเลย เด็กวัยรุ่นอย่างเธอเหมาะกับชุดแบบนี้มากกว่า”
ชุดที่พิมพ์ภิดาเลือกคือ เสื้อแขนกระดิ่งสีขาวแซมด้วยลายดอกไม้ ส่วนชิ้นกลางเป็นเสื้อเกาะอกลายเดียวกันแต่พอสวมทับลงไปทำให้ไม่โป๊จนเกินไป ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้านิ่มสีเนื้อ แต่งลวดลายด้วยกระเป๋าด้านหน้า หลังออกจากห้องลองชุด หญิงสาวก็ปล่อยผมที่รวบเป็นหางม้าลงและเปลี่ยนเป็นเกล้าผมเฉพาะครึ่งบนแทน ไรผมที่ระข้างแก้มทำให้หล่อนดูเป็นสาวหน้าหวานขึ้นมาในทันที
“รู้แล้วย่ะ ฉันเกือบจะหมดตัวก็เพราะคุณคนเดียว”
“อ้าวก็ไหนคุยว่า รวยไม่ใช่หรือ แค่เงินไม่กี่พันเอง”
“ไม่รู้ล่ะ โทษฐานที่คุณทำฉันเสียเงิน ยังไงไอติมวันนี้คุณต้องเป็นคนเลี้ยง”
“ได้เลยไม่มีปัญหา รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะละลายหมด”
พิมพ์ภิดาพยักหน้า หล่อนตักไอศรีมเข้าปากระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตชายหนุ่มไปด้วย
‘ผู้ชายอะไรกินไอติม ตัวโต แถมยังมีหนวดแต่ดันชอบของหวาน แถมกินเยอะเสียด้วย’
“นินทาอะไรในใจอีกล่ะ” เหมือนชายหนุ่มจะรู้ทันว่า โดนค่อนในใจถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ร่างบางรีบหลุบตาทำไม่รู้ไม่ชี้
หล่อนเพิ่งสังเกตว่า พนักงานสาวๆ ที่ผ่านไปมาต่างส่งสายตามาให้ธณริศด้วยกันทั้งนั้น ไม่แปลกหรอกเมื่อเขาดูเด่นสะดุดตาขนาดนี้ ไหนจะรูปร่างที่สูงเกินกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วๆ ไป แล้วยังใบหน้าคมสันนั่นอีก แต่สิ่งที่พิมพ์ภิดาไม่เข้าใจก็คือ เพราะอะไรเขาต้องไว้หนวดไว้เคราด้วย หญิงสาวลองจินตนาการถึงใบหน้าของชายหนุ่มหากไร้หนวด...เขาคงจะเป็นคนหน้าตาดีไม่น้อย ริมฝีปากหยักลึกสีแดงจัดยามโดนความเย็นของไอศกรีม
“สอนไม่รู้จักจำ ว่าอย่ามองผู้ชายแบบนี้”
“มองแบบไหน”
พิมพ์ภิดายักไหล่ ไม่เข้าใจว่า ทำไมหนุ่มบาร์โฮสต์อย่างเขาถึงได้คร่ำเคร่งนัก นับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มตำหนิเรื่องการแต่งตัว รวมถึงการมองนี่อีก
“มองแล้วมันผิดตรงไหน”
“ผิดสิ เพราะมันทำให้ผู้ชายคิดว่า เธอเชิญชวน”
“เฮ้ย... ฉันเปล่านะ ใครจะไปเชิญหมีอย่างนาย”
หญิงสาวหลุบตาลง แก้มสองข้างแดงก่ำ สมองพลันผุดถึงภาพความใกล้ชิดเมื่อตอนบ่าย หล่อนยอมรับว่า รู้สึกกลัวชายหนุ่มขึ้นมาจริงๆ ยิ่งตอนที่ริมฝีปากเลื่อนเข้ามาใกล้และทำท่าเหมือนจะจูบ มือบางเผลอยกขึ้นมาปิดที่ริมฝีปากโดยอัตโนมัติ
“คิดอะไรเพี้ยนๆ อยู่อีกละสิ”
“ฉันเปล่า รีบกินๆ เข้าเถอะ จะได้กลับโรงแรมกัน นี่ก็มืดแล้ว”
“จะรีบกลับไปทำไม หรือว่า เธออยากเข้าห้องกับฉัน”
“เฮ้ย...จะบ้าหรือ ฉันแค่เกรงใจคนขับรถ เขาอาจจะรอ”
“ยังหรอก เพราะฉันบอกเขาว่า จะกลับค่ำๆ กว่าเขาจะมาก็คงสองทุ่ม ขี้เกียจกลับไปนั่งจ้องตาเธอในห้องพัก เกิดหน้ามืดลุกขึ้นมาปล้ำเด็ก จะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์”
แม้จะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริงแต่หญิงสาวถึงกับช็อกไปเลยทีเดียว จากที่เคยบอกว่า ไม่กลัวตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว ความประหม่าทำให้มือชะงัก
“คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม”
ธณริศยิ้ม รอยยิ้มของเขาทำเอาพิมพ์ภิดาตาพร่าไปเลย ต้องยอมรับว่า คนที่หล่อนปรามาศว่า แก่มีรอยยิ้มละลายใจสาวจริงๆ เจ้าตัวหัวเราะในลำคอ
“ฉันล้อเล่น แค่จะบอกเธอว่า เราสองคนไม่ต้องรีบกลับ เปลี่ยนบรรยากาศออกมาข้างนอกเสียบ้าง อีกอย่างฉันอยากจะกินอาหารพื้นเมืองของภูเก็ตสักหน่อย”
“อาหารพื้นเมือง อะไรหรือ”
“บะหมี่ภูเก็ตยังไงล่ะ ฉันเคยอ่านเจอว่า อาหารที่นี่อร่อยมาก”
จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหาร เพราะได้มาจากการผสมผสานวัฒนธรรม ทั้งไทยและจีน ดังนั้นอาหารจึงมีความเผ็ด รสจัดเหมือนอาหารใต้ ขณะที่บางชนิดก็มีกลิ่นอายของความเป็นจีนผสม แถมย่านเมืองเก่าของภูเก็ตก็มีไฮไลท์คือ สถาปัตยกรรมสไตล์ชิโน- โปรตุกีส อันสวยงามและคลาสสิก ซึ่งปัจจุบันได้ถูกอนุรักษ์เอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชม
“มันเป็นยังไงหรือ”
“บอกตอนนี้ก็ไม่ตื่นเต้นสิ เอาเป็นว่า หลังกินของหวานเสร็จ เราก็เรียกรถให้ไปส่งกัน ฉันอ่านดูในรีวิวแล้ว ร้านที่ขายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ เราแวะกินบะหมี่ ตบท้ายด้วยของหวาน หลังจากนั้นค่อยกลับโรงแรม”
“นี่คุณยังกินไหวหรือ ไอติมตั้งห้าลูกแล้วนะ”
“แค่นี้ยังไม่ถึงเสี้ยวของกระเพาะด้วยซ้ำ กินได้อีกเยอะ หรือถ้าจะให้แถมกินเธอลงท้องไปอีกคนฉันก็ทำได้”
ชายหนุ่มขึงตาขู่ พิมพ์ภิดาอ้าปากค้าง นึกถึงคำว่า กิน ที่มีความหมายเป็นอย่างอื่น หล่อนรีบหลุบตาลง แต่ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างกวนประสาทดังแว่วมา
บะหมี่ฮกเกี้ยนอร่อยสมคำร่ำลือ สาเหตุที่บะหมี่ที่นี่แตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ นั่นก็เพราะภูเก็ตเป็นที่ๆ มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของหลายประเทศ เส้นหมี่ที่นำมาผัดคือ เส้นหมี่เหลือง ผัดกับหมู ผักและใส่ไข่ การใช้เตาถ่านกับกระทะที่ผ่านการเผาทำให้หอมกลิ่นคั่วกระทะ จุดเด่นของเส้นหมี่คือ มีการผสมผสานกันได้หลายเส้น บางครั้งทางร้านจะใส่เส้นหมี่ลงไป ซึ่งจะเรียกว่า บี่หุ้น ส่วนเส้นเหลืองจะเรียกว่า เส้นหมี่ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่า จะใส่อะไร ส่วนผักที่นำมาผัดก็จะเป็นกวางตุ้ง หมูจะถูกหมักจนเนื้อนุ่ม
ร้านต้นตำรับของภูเก็ตนั้นรู้จักกันในนามของบะหมี่ใต้ต้นโพธิ์ ถือเป็นร้านดั้งเดิมของจังหวัดเลยทีเดียว เปิดมาหลายสิบปีแล้ว ตัวร้านมีเพียงไม่กี่โต๊ะอยู่ใต้ต้นโพธิ์อันเป็นที่มาของชื่อ แต่พอได้รับความนิยมก็มีร้านอื่นๆ ทำอาหารชนิดเดียวกันเป็นจำนวนมาก ธณริศเลือกรับประทานอาหารในตลาด ทั้งนี้เพื่อจะมีให้เลือกหลายร้าน อีกทั้งเขายังอยากจะชิมขนมพื้นเมืองอีกหลายชนิดที่เล็งเอาไว้อีกด้วย
“คุณนี่กินเก่งจริงๆ เลยนะ ทำไมไม่ยักอ้วน”
หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเห็นชามบะหมี่เรียงซ้อนกัน เขารับประทานไปถึงห้าชามด้วยกันผิดกับหญิงสาวที่กินแค่เพียงชามเดียว
“ฉันต้องออกกำลังกายทุกวัน ทั้งเล่นเวท แล้วก็ว่ายน้ำ”
ทุกเช้าธณริศจะตื่นมาวิ่งแล้วตามด้วยการเพิ่มกล้ามเนื้อในยิม บางครั้งถ้าหากต้องเดินทางไปต่างประเทศ เขาจะลงว่ายน้ำในสระว่ายน้ำในโรงแรมหรือห้องพักที่เช่าเอาไว้ นอกจากนั้นยามว่างเขายังชอบปั่นจักรยานอีกด้วย
“มิน่า นายถึงได้หุ่นดีขนาดนี้ ลูกค้าคงชอบนายมากสินะ”
พิมพ์ภิดากลั้นใจถามออกไป สิ่งที่หล่อนสงสัยก็คือ เพราะอะไรคนที่ทำงานโฮสต์บาร์อย่างเขาถึงได้มีเวลามาพักผ่อนในโรงแรมหรูๆ ถึงสามวัน ลำพังค่าห้องคะเนดูแล้วคงแพงหูฉี่ ยังไม่นับเสื้อผ้าและเครื่องประดับของชายหนุ่ม หรือว่า เขาจะมีเจ้ามือ
หญิงสาวไม่ใช่คนใจแคบ แม้ว่า ชายหนุ่มจะทำงานในโฮสต์บาร์ แต่หล่อนก็ถือว่า มันเป็นอาชีพ ที่สำคัญตลอดเวลาชายหนุ่มให้เกียรติหล่อนดังนั้นตอนนี้พิมพ์ภิดานับว่า เขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง
“ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันไม่ใช่”
“แต่วันนั้นนายทำไมถึงอยู่ในบาร์นั่นล่ะ”
“เธออย่ารู้เลย อีกหน่อยเราก็ไม่เจอกันแล้ว”
ชายหนุ่มพูดตัดบท พิมพ์ภิดาจึงไม่กล้าพูดต่อ หล่อนเห็นชายหนุ่มควักเงินออกมาจ่ายพร้อมกับ พยักหน้าให้หล่อนลุกขึ้น
“เราจะไปไหนต่อหรือ ฉันอิ่มจนไม่รู้จะอิ่มยังไงแล้วนะ”
“แต่ฉันยังไม่อิ่ม ฉันมักจะคิดอะไรไม่ออกถ้าหิว” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พิมพ์ภิดาจำต้องเดินตาม หล่อนรู้ว่า ทั้งหมดเป็นแค่การกวนประสารทของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เรื่องที่เขายังไม่อิ่มคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะพอออกจากร้านบะหมี่ เขาก็พาหญิงสาวไปยังร้านขายของหวานซึ่งมีขายหลายอย่าง คล้ายกับน้ำแข็งใสที่กรุงเทพฯ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกกลับเป็นลักษณะคล้ายวุ้นใสๆ ใส่ลงในน้ำแข็ง
“นั่นอะไร”
“เขาเรียกว่า โอ้เอ๋ว”
โอ้เอ๋วเป็นขนมหวานทำจากกล้วยน้ำหว้า ขยำกับเมล็ดโอ้เอ๋ว นำมาจากเมืองจีน ใส่น้ำเชื่อมน้ำแข็งใส ถือเป็นของหวานดับร้อนได้เลยทีเดียว นอกจากกินขนมแล้วธณริศยังกินลอดช่องสิงค์โปรอีกด้วย
“คุณนี่กระเพาะครากจริงๆ นะ กินเยอะแบบนี้ไม่ปวดท้องหรือ”
“ไม่ปวด แค่นี้สบายมาก”
“กินเหมือนคนอดอยาก”
พิมพ์ภิดาค่อน ผลก็คือ ชายหนุ่มที่ปั้นหน้ายิ้มละไมมาตลอดกลับชะงัก มีบางอย่างผุดขึ้นในแววตาแต่เพียงครู่เดียวเขาก็ปัดทุกอย่างออกไปจากใจ ก่อนตอบว่า
“สมัยก่อนเคยอดอยาก แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”
“ฉันขอโทษนะที่จี้ใจดำนาย”
“ไม่เป็นไร เอาไว้ฉันค่อยหาทางแก้แค้เธอทีหลัง ตอนนี้ฉันอิ่มแล้วจริงๆ เราเดินกลับไปที่ห้างกันเถอะฉันนัดคนรถไว้ที่นั่น”
ธณริศเดินนำแต่ตอนที่เขาเลี้ยวออกมาจากตลาดนั่นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นพื้นที่ด้านข้างตรงลานจอดรถ มีการออกร้านลักษณะเหมือนกับงานวัด พิมพ์ภิดาหยุดยืนมอง หล่อนจ้องไปที่ซุ้มซึ่งมีการปาลูกดอก บนชั้นวางมีตุ๊กตาวางอยู่ ร่างสูงเดินนำแต่แล้วหล่อนกลับยื้อมือไว้
“เดี๋ยวได้ไหมคุณ ฉันอยากขอเข้าไปในนั้นแป๊บหนึ่ง”
ชายหนุ่มชะงักเหลือบมอง จุดที่หญิงสาวชี้ เจ้าหมีสีน้ำตาลตัวโตในมือเจ้าของร้านซึ่งกำลังโบกมือเรียกลูกค้าช่างเด่นสะดุดตา
“เข้าไปทำไม ปาลูกดอกเป็นหรือ”
“ของกล้วยๆ ฉันอยากได้ตุ๊กตาหมีนั่น มันกวักมือเรียกฉัน”
“ไหนว่า โตแล้วไง ทำไมยังอยากได้ตุ๊กตาอีก”
“ก็อยากได้นี่น่า”
ธณริศส่ายหัว เขาเดินตามหญิงสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไป เมื่อไปถึงร้านหล่อนก็ควักเงินออกมาจ่าย ส่วนชายหนุ่มยืนดู แต่ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ลูกดอกที่หญิงสาวปาก็เฉียดไปเฉียดมา หล่อนควักธนบัตรสุดท้ายออกมาอย่างกลั้นใจ แต่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายห้ามเอาไว้
“เลิกปาได้แล้ว จะหมดตัวเสียก่อน”
“ครั้งสุดท้ายน่าคุณ ฉันมั่นใจว่า ครั้งนี้ได้แน่”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะมองคนตัวเล็กที่หยิบลูกดอกขึ้นมา ท่าทางที่เล็งมองยังไงก็รู้ว่า ไม่มีทางเข้าเป้าแน่ๆ เขาจึงเป็นฝ่ายดึงออกมาจากมือหล่อน พิมพ์ภิดาร้องโวยวาย
“เอาคืนมานะ คุณจะทำอะไร”
“ก็บอกว่า อยากได้ตุ๊กตาหมีไม่ใช่หรือ”
“คุณปาเป็นแน่นะ นั่นมันแบงก์สุดท้ายของฉันแล้วนะ หมดงบ”
“ไม่ลองไม่รู้ เธอคอยเชียร์ดีๆ ก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มมองเด็กสาวข้างกายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาจำสีหน้าของหล่อนตอนกระโดดตัวลอยเมื่อรู้ว่า ได้รางวัลใหญ่มาครอบครองได้ดี พิมพ์ภิดาเหมือนเด็ก พวงแก้มเนียนใสแดงก่ำ ริมฝีปากแย้มออกยามหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ แถมหล่อนยังโผมากอดเพื่อขอบคุณอีกด้วย
ธณริศต้องกลั้นใจยืนนิ่งๆ ไม่กอดตอบ เขามองเจ้าของร้านที่คอตกยามรางวัลใหญ่หลุดมือไปเป็นของลูกค้า แต่ถ้าเทียบกับเงินที่หญิงสาวลงไปแล้วคงไม่ขาดทุนมากนัก หลังออกจากร้านทั้งคู่ก็เดินกลับมาที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า พนักงานพาทั้งคู่เดินทางกลับโรงแรม ภายในรถมืดมีเพียงแสงจากไฟข้างทาง ที่ส่องเข้ามาในกระจก พิมพ์ภิดาพูดในความมืด หล่อนกอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้แน่น
“ขอบคุณมากนะ”
“เรื่องตุ๊กตาเนี่ยนะ”
“อื่อ...คุณทำให้ฉันคิดถึงพ่อ”
ชายหนุ่มคอแห้งผาก เด็กสาวข้างกายทำให้เขาคิดถึงความหลัง ตั้งแต่เล็กจนโตธณริศไม่เคยรู้ว่า ใครเป็น คนที่เลี้ยงเขามาคือ ยาย แต่หลังจากไปอยู่อเมริกาชีวิตเขาก็มีแต่เดล เขาหยุดฟังว่า หล่อนจะพูดอะไรต่อ
“สมัยก่อนพ่อเคยพาฉันมางานแบบนี้บ่อยๆ ที่ใกล้บ้านเราชอบมีงานวัด แล้วพ่อก็ปาลูกดอกเก่งมาก”
หญิงสาวพูดเสียงเจือสะอื้น แม้ในรถจะมืดแต่ธณริศก็มั่นใจว่า หญิงสาวกำลังหลั่งน้ำตา หล่อนหยุดพูดเป็นช่วงๆ เหมือนกำลังต่อสู้กับความทรงจำอันเจ็บปวดที่ผุดขึ้น
“คุณรู้ไหมว่า พ่อฉันเก่งทุกอย่าง ทำกับข้าวเก่ง ทำขนมก็เป็นนะ แล้วพ่อก็เป็นพ่อที่ดีมาก สมัยพ่อยังอยู่เราสองคนคุยกันแทบทุกวัน แม้พ่อจะอยู่ไกลมากแต่พ่อก็ให้เวลากับฉันตลอด ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา ไม่ว่า ฉันจะมีอะไร ฉันสามารถปรึกษาพ่อได้ตลอด”
พิมพ์ภิดาสะอื้น ใช้มือปาดน้ำตาออกไป ธณริศเพ่งมองผ่านความมืดและพบว่า ตาคู่สวยนองไปด้วยน้ำตา เขาอยากจะเอื้อมมือไปกอดปลอบแต่ติดที่คนขับรถซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า
เขาเพิ่งเข้าใจหญิงสาวก็ตอนนี้ หล่อนเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่ต้องสูญเสียบิดาไปจากอุบัติเหตุ ขณะที่มารดาซึ่งควรจะทำหน้าที่ทุกอย่างแทน แต่เปล่าเลย อรุณาเห็นว่า งานสำคัญกว่า ขณะที่คนหนึ่งพยายามประชด ช่องว่างของทั้งคู่ก็เลยยิ่งห่างออกไป ทางที่จะทำให้ทั้งสองได้คุยกันก็คือ ต้องทำให้ต่างฝ่ายต่างยอมลดมุมของตนลงแล้วปรับความเข้าใจกันนั่นเอง
“วันที่พ่อเสีย ฉันไปค่ายกับโรงเรียนที่ต่างจังหวัด เรามีกิจกรรมรอบกองไฟอยู่ ฉันก็เลย...”
หญิงสาวสะอื้น ธณริศแตะตรงบ่าของหญิงสาว เขารู้ว่า หล่อนกำลังร้องไห้ ไหล่บางสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด เขาเห็นภาพข่าวของอุบัติเหตุในหน้าหนังสือพิมพ์ แม้จะเป็นกรอบเล็กๆ แต่รายละเอียดที่เขียนก็พอทำให้เข้าใจได้ พิมพ์ภิดาคงช็อก สำหรับหล่อนพ่อคือ ทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งเหตุการณ์ยังเกิดที่ต่างประเทศ
“ฉันไม่มีโอกาส แม้แต่จะบอกลาพ่อด้วยซ้ำ...”
สิ่งที่หล่อนเล่าว่า บิดาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ตอนที่ตำรวจโทรมาแจ้งข่าวร้ายกับครอบครัว พิมพ์ภิดาเป็นคนรับโทรศัพท์ หล่อนเป็นลมล้มพับไปในตอนนั้น
“ฉันรีบบินไปหาพ่อทันที แต่คุณรู้ไหมว่า แม่ฉันบอกว่า ลางานไม่ได้ ท่านต้องเข้าประชุมอะไรสักอย่าง ฉันยอมรับว่า เป็นลูกที่เลวมาก เพราะหลายครั้งที่ฉันแช่งอยากให้บริษัทบ้านั่นมันเจ้งๆ ไปซะ อย่างน้อยฉันก็จะได้แม่คืนมา”
พิมพ์ภิดาสะอื้น หล่อนใช้มือปิดปาก ธรณิศดึงร่างบางมาซบไหล่ หญิงสาวโผเข้ากอดชายหนุ่มแล้วร้องไห้ออกมา เขาลูบผมหล่อนซ้ำๆ เสียงร้องไห้ของเด็กสาวช่างปวดร้าว และทรมานใจ ธณริศก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงรู้สึกสงสารหล่อนจับใจ ยิ่งเขากอดพิมพ์ภิดาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“อย่าคิดถึงมันอีกเลย มันจะทำให้เธอเจ็บปวด”
“ไม่เลย ฉันไม่ได้เจ็บปวด ฉันชินแล้วต่างหาก ฉันเคยเหงามาก รู้สึกว่า ฉันไม่มีใครเลย ฉันอยากตายตามพ่อไป”
“เธอไม่ควรคิดแบบนั้น”
“ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลดไปเกือบสิบกิโล แต่สุดท้ายฉันก็ผ่านมาได้”
“แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกอยากฆ่าตัวตายเหมือนเดิมแล้ว เพราะฉันมีความหวัง”
ร่างบางพูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น ความจริงที่ได้รับรู้จากหล่อนทำให้ชายหนุ่มตัวชาวาบ เขาลองจินตนาการถึงเด็กสาวที่รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อพ่อตายเท่ากับทุกอย่างในชีวิตพังลง แม้จะมีคนรอบกายอยู่แต่กลับไม่อาจแทนที่ช่องว่างที่เกิดขึ้นได้เลย พิมพ์ภิดาคงเสียสูญ
พ่อคือ ทุกอย่างของหล่อน พิมพ์ภิดาเงยหน้าขึ้น ธณริศมองเด็กสาวในอ้อมกอด เขาเห็นนัยน์ตาคู่หวานเต็มไปด้วยน้ำตา บางส่วนไหลลงมาอาบสองแก้ม
“ไม่คิดก็ดีแล้ว จำเอาไว้นะว่า ชีวิตคนเรามีค่า พ่อเธอคงเสียใจมากหากรู้ว่า เธอทำร้ายตัวเอง”
พิมพ์ภิดาพยักหน้า หล่อนกอดชายหนุ่มเอาไว้ น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด
“คุณคิดว่า พ่อจะรู้ไหมว่า ฉันคิดถึง”
“รู้สิ คนอยู่ในสวรรค์รู้ทุกอย่างนั่นล่ะ”
“งั้นพ่อก็ต้องรู้ว่า ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนใหม่ ฉันจะเป็นคนมีวุฒิภาวะอย่างที่คุณบอก”
ธณริศยิ้มในความมืด รถจอดหน้าที่พักให้ทั้งคู่ลง ธรณิศใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปในห้อง ขณะที่มืออีกข้างยังจูงมือหญิงสาวเอาไว้ พิมพ์ภิดายังคงร้องไห้ไม่หยุด หล่อนโผเข้ากอดแผ่นหลังซบหน้าสะอื้น น้ำตาที่เปียกตรงแผ่นหลัง ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจทำบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึง...
ธณริศไม่คิดว่า แค่การจูบปลอบจะลุกลามเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เขาแค่รู้สึกสงสารหญิงสาวในอ้อมกอด แต่พิมพ์ภิดาเหมือนไฟ ส่วนเขาก็เหมือนน้ำมันที่พร้อมจะลุกโชจน์ช่วงเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟที่แผดเผา ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็หมุนร่างหญิงสาวให้เผชิญหน้า พร้อมดึงหล่อนเข้ามากอด เสียงสะอื้นทำให้ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาแค่ต้องการให้หล่อนหยุดร้องแต่วิธีที่ใช้กลับไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
ชายหนุ่มเผลอจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย ในวินาทีที่หล่อนเงยหน้าสบตา ทั้งคู่ชะงัก สรรพเสียงรอบกายเงียบสงัด ธณริศรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดระหว่างเขากับเด็กสาว เขาไม่รู้ว่า อะไรดลใจให้เชยคางหล่อนขึ้น ยามอยู่แบบนี้พิมพ์ภิดาตัวเล็กมาก หล่อนมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว..
สายตาแบบที่ธณริศเคยห้าม เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนผู้หญิงตรงหน้ากำลังเชิญชวน เด็กสาวเหมือนสมันตัวน้อยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังตกอยู่ในบ่วงแร้วของนายพราน เมื่อเขาลดใบหน้าลงไปหาแล้วมอบจุมพิตให้...
ทุกอย่างเริ่มจากจูบ สัมผัสแรกแผ่วเบาเพราะกลัวหล่อนจะตื่นกลัว เมื่อเห็นว่า คนตรงหน้าไม่ขัดขืนธณริศก็จูบหล่อนลึกซึ้งขึ้น ริมฝีปากหยักลึกและเล็มราวกับจะทดสอบความนุ่มหยุ่นของเรียวปากที่ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำครั้งก่อน
พิมพ์ภิดามีริมฝีปากที่หวานมาก เมื่อผสมผสานกับน้ำแข็งใสก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มอดใจไว้ไม่ได้ เขารู้ว่า ตนเองเจ้าเล่ห์ที่ใช้ชั้นเชิงล่อหลอกให้เด็กสาวสนองตอบ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนจะเรียนรู้ได้ไวหรือไม่..
พระเจ้าช่วย!
พิมพ์ภิดาจูบตอบ หล่อนเผยอเรียวปากเล็กๆ ด้วยท่าทางอันแสนเงอะงะ ธณริศสอดลิ้นเข้าไปแตะพัวพันอยู่ภายใน หญิงสาวในอ้อมกอดเรียนรู้ด้วยการแตะลิ้นกับเขาบ้าง หล่อนทำทุกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยิ่งเห็นหล่อนจูบตอบ ชายหนุ่มก็ยิ่งฮึกเหิม เขารัดร่างบางจนแทบจะจมลงไปในอก ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนขึ้นสูงเกาะกุมทรวงอกอิ่มที่เคยเขาอยากรู้ว่า มันจะพอดิบพอดีมือหรือไม่
ปลายยอดผลิบานตอบรับการเร้า เขารู้ตั้งแต่หล่อนสวมชุดนี้แล้วว่า ผ้าเนื้อบางพริ้วช่างเหมาะกับรูปร่างกลมกลึงของพิมพ์ภิดาเหลือเกิน และตอนนี้ผ้าเนื้อบางก็แนบเสมือนผิวหนังชั้นที่สองอยู่ใต้ฝ่ามือ ธณริศครางอย่างขัดใจเมื่อคิดว่า ภายใต้เสื้อยังมีบราที่คอยกางกั้น มือเล้าโลมหนักๆ ยิ่งเคล้นคลึงร่างบางก็ตัวอ่อนปวกเปียก ธณริศต้องกอดเอวเอาไว้ไม่ให้ล้อม เสียงหอบหายใจรัวเมื่อทั้งคู่จุมพิตอย่างดูดื่มมากยิ่งขึ้น
ร่างสูงตึงเขม็ง เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เผลอปลดกระดุมเสื้อหล่อนออกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อลดสายตาลงอีกที ทรวงงามที่มีเพียงบราตัวสวยปกปิดอยู่ก็อวดท้าสายตาอยู่ตรงหน้า พิมพ์ภิดาเป็นผู้หญิงซ่อนรูป หล่อนมีเอวที่เล็กมาก แต่ทรวงอกอวบอิ่มเกินตัว หล่อนสวยราวกับนางฟ้าลงมาจุติ
ชายหนุ่มซุกหน้าเข้าหา สูดกลิ่นหอมของกายสาวซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาสอดมือเข้าไปใต้บราตัวสวยและปลดตะขอหน้าออกอย่างชำนาญ ยอดอกชูชันตอบรับการเร้าเมื่อชายหนุ่มไล้มันด้วยปลายลิ้น หญิงสาวหลับตาเมื่อเขาช้อนอุ้มหล่อนไปที่โซฟาตัวเดียวกับเมื่อคืน
ทุกอย่างควรจะจบลงอย่างที่มันควรจะเป็นแต่แล้ว...เสียงโทรศัพท์ซึ่งเป็นระบบสั่นได้ปลุกชายหนุ่มขึ้น เขาสะดุ้ง ได้สติและมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขากำลังนอนคร่อมหญิงสาวเอาไว้
การสั่นไม่เพียงปลุกธณริศให้ตื่น แต่หญิงสาวก็สะดุ้งเช่นเดียวกัน นัยน์ตาของหล่อนเบิกกว้างก้มมองตัวเอง ก่อนเจ้าตัวจะหวีดร้องลนลานดึงเสื้อผ้ามาปกปิดเนื้อตัวสั่น หญิงสาววิ่งออกไปตรงระเบียงและผลักออกไปก่อนจะขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำนับจากนั้น...
พิมพ์ภิดานั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องน้ำมาเกือบชั่วโมงแล้ว ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลจากศีรษะจนตัวเปียก แม้ร่างกายจะเย็นยะเยือกแต่ภายในใจกลับเหมือนมีประจุไฟฟ้านับพันวิ่งอยู่ทั่วร่าง ยอดทรวงที่ผ่านการเร้าบัดนี้ยังแข็งชูชัน
เนื้อตัวร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาไฟ พิมพ์ภิดาร้องไห้ไม่หยุด หล่อนไม่รู้ว่า ทำไมถึงไม่ได้ขัดขืนยามถูกชายหนุ่มเล้าโลม หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทุกครั้งที่คิดถึงพ่อ หล่อนมักจะนั่งร้องไห้ บางครั้งป้าชื่นต้องมานอนเป็นเพื่อน บางครั้งก็เป็นสู่ขวัญ แต่คราวนี้กลับเป็นชายหนุ่มแต่วิธีปลอบของเขาไม่เหมือนคนอื่นๆ
หญิงสาวไม่แน่ใจว่า ควรจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า อะไร การสัมผัสของริมฝีปากและแลกเปลี่ยนลมหายใจและเรียวลิ้น สัมผัสของธณริศไม่ได้จาบจ้วงจนทำให้พิมพ์ภิดากลัว ชายหนุ่มไม่ได้ข่มเหงหล่อนทุกอย่างเกิดจากความสมยอม
ร่างกายหล่อนเหมือนมีชีวิตของตัวเองเพราะมันตอบสนองต่อการปลุกเร้าราวกับมืออาชีพ พิมพ์ภิดาปิดหน้าสะอื้น หล่อนเกลียดตัวเอง ชายหนุ่มพูดถูก หล่อนไม่ควรมองผู้ชายแบบนั้น...
ในวินาทีที่เงยหน้าสบตา หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกดเช่นเดียวกัน ริมฝีปากหยักลึกของผู้ชายต่างจากผู้หญิง พิมพ์ภิดาไม่รู้เลยว่า เผลอตัวเผยอริมฝีปากเพื่อรับจูบ หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเบาๆ ลอยๆ สองขาแทบไม่ติดพื้น พิมพ์ภิดาไม่รู้ว่า ควรจะวางมือไว้ตรงไหน หล่อนเก้ๆ กังๆ แต่แล้วความเร่าร้อนที่ได้รับจากจูบทำให้รับรู้ถึงบางอย่าง
แรงดึงดูดระหว่างชายหญิงที่พิมพ์ภิดาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่แม้แต่กับไทก้า คนนอกมองว่า หล่อนกับชายหนุ่มเป็นแฟนกัน แต่พิมพ์ภิดารู้ดีว่า ไม่ใช่ หล่อนไม่เคยนึกอยากจูบตอบผู้ชายสักคน แต่เมื่อครู่นี้ พิมพ์ภิดามั่นใจว่า ตนไม่ได้ขัดขืน
มือบางแตะตรงแผงอกแข็งแรงรับรู้ถึงผิวกายแน่นตึงและลูบไล้ไปมาด้วยความอยากรู้ เขาไม่หยุดจูบแต่กลับแนบริมฝีปากลงมาซ้ำๆ เสียงครางเมื่อชายหนุ่มรัดร่างหล่อนจนแทบจะจมลงไปในแผ่นอก พิมพ์ภิดาหูอื้อตาลายเพราะสิ่งที่ชายหนุ่มทำ หล่อนเหมือนคนที่ลอยขึ้นสูงแล้วจู่ๆ ก็ตกลงมา
หญิงสาวรู้สึกเหมือนนางฟ้าตกสวรรค์ ถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์บางทีหล่อนกับเขา...
พิมพ์ภิดาอายมาก หล่อนวิ่งออกมาและขังตัวเองอยู่ห้องน้ำที่อยู่ริมสระ ได้ยินเสียงธณริศตะโกนบางอย่างอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาเข้าไปในห้องนอนและกระแทกประตูอย่างแรง หญิงสาวไม่รู้ว่า ควรทำยังไงดี ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ถ้าหล่อนเป็นผีเสื้อ หล่อนก็คือ ดักแด้ทีเพิ่งสยายปีกออกบิน ความรู้สึกของเด็กได้เปลี่ยนไปแล้ว มือแตะตรงริมฝีปากที่เจ่อออกมาเพราะจูบ เนื้อตัวที่แนบสนิทกับชายหนุ่มราวกับมีประจุไฟฟ้าวิ่งอยู่โดยรอบ
จูบแรก...ของหล่อน..กับผู้ชายแปลกหน้า
หญิงสาวกอดตัวเองแน่น หล่อนไม่ควรมาอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าตามลำพัง หล่อนอยู่ในนี้ มาเกือบชั่วโมงแล้วร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำจากฝักบัว เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่เข้ามา ธณริศดึงหล่อนขึ้นจากพื้นและรีบปิดน้ำ นำผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาห่อตัวหญิงสาวเอาไว้ พิมพ์ภิดาดิ้นหนี ชายหนุ่มขึงตาดุ
“อย่าปอดบวมหรือไง อย่าดื้อสิ”
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันไม่ปล้ำเธอหรอกน่า ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน”
ร่างบางส่ายหน้าอย่างไม่ยอม แต่ธณริศไม่รอให้หล่อนปฏิเสธ จับข้อมือแน่นกึ่งลากกึ่งจูงหล่อนกลับเข้ามาในห้องรับแขก พิมพ์ภิดาสะบัดมืออกแหวใส่
“ฉันจะกลับกรุงเทพฯ”
“ตอนนี้เนี่ยนะ”
“ใช่...ฉันจะลงไปที่ล็อบบี้ แล้วเรียกรถไปส่งที่สนามบิน”
พิมพ์ภิดาเดินดุ่มๆ ไปลากกระเป๋าเดินทางและตรงไปที่ประตู ธณริศตามมา เขากระชากข้อมือเธอเอาไว้
“ไปได้ไง นี่มันเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เที่ยวบินก็หมดแล้วด้วย”
“งั้นฉันก็จะไปนั่งรอที่สนามบิน จนกว่ามันจะมีนั่นล่ะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด แต่พิมพ์ภิดาไม่สนอีกต่อไปแล้ว หล่อนทนอยู่ในห้องกับเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ธณริศคือ เสือ ส่วนหล่อนก็คือ กวางตัวน้อยที่ตกอยู่ในกรงเล็บ เขาอาจจะปล้ำหล่อนได้ทุกเมื่อ พิมพ์ภิดารู้ตัวดีว่า ไม่อาจขัดขืนชายหนุ่มได้ เขาไม่ได้ใช้กำลังแต่ใช่เล่ห์เหลี่ยมต่างหาก จนถึงตอนนี้เนื้อตัวก็ยังเต้นเร่าๆ ราวกับมีประจุ
“จะบ้าหรือ เที่ยวบินหมดแล้วเธอจะไปนั่งรอคนเดียวได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ คนอื่นเขานั่งรอตั้งเยอะแยะ”
“เด็กดื้อ”
“ใช่สิ ฉันมันดื้อ เพราะฉันนั้นคุณอย่ามาห้าม ฉันจะไปได้ยินไหม”
ร่างบางที่ผลุนผลันไปที่ประตู ชายหนุ่มตามมา เขากอดเอวหล่อนไว้ หญิงสาวหวีดร้องเมื่อรู้สึกถึงร่างตนที่ลอยเหนือพื้น ธณริศตัวโตกว่าหล่อนมาก เขาทำเหมือนหล่อนตัวเบาราวกับนุ่นโยนหญิงสาวลงบนโซฟา ความทรงจำร้อนผ่าวผุดขึ้น จนหญิงสาวต้องกระเด้งตัวหนี ส่งสายตาขู่ฟ่อๆ
“คะ...คุณจะทำอะไร”
“แล้วเธอคิดว่า ฉันควรจะทำอะไรดีล่ะ” ชายหนุ่มกัดกรามแน่นจนเป็นสันนูน
“อย่านะ ก็ไหนคุณบอกว่า จะไม่รังแกฉันยังไงล่ะ” ธณริศเคยพูดว่า หล่อนมอมเหมือนหมาตกน้ำ แต่เมื่อครู่นี้ เขากับหล่อน..
พิมพ์ภิดายกมือปิดปาก สะอื้น หล่อนกอดตัวเองด้วยความกลัว ธณริศชะงัก มองคนตรงหน้า
“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอที่สนามบินแต่เช้า”
“แต่...”
“ไม่มีแต่พิมพ์ภิดา เธอต้องอยู่ที่นี่ ในห้องนี้แล้วก็เชื่อฟังฉัน”
“แต่เมื่อครู่นี้คุณ...”
ชายหนุ่มกัดกรามแน่นขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกผิดหล่อนรับรู้ได้ พิมพ์ภิดาเงยหน้ารับรู้ถึงอารมณ์หลายหลากในแววตา หล่อนเผลอจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า อย่ามองผู้ชายแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ฟัง”
“ถึงฉันจะมอง แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ฉันยังเด็กอยู่นะ” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูก
“ทีนี้ยอมรับแล้วหรือว่า ตัวเองเด็ก”
หญิงสาวโต้ทั้งน้ำตา พิมพ์ภิดาสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น หล่อนไม่ได้รังเกียจสัมผัสของธณริศ
ตรงกันข้ามกลับมีความอยากรู้ผุดขึ้น เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า ชายหญิงเหมือนน้ำมันกับไฟ ไม่ควรอยู่ตามลำพังสองต่อสอง พิมพ์ภิดาปิดหน้าอย่างรู้สึกผิด หล่อนห่อไหล่
“หยุดร้องไห้ เธอกำลังทำให้ฉันรู้สึกผิดจนแทบคลั่ง ฉันสัญญาว่า คืนนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่า คุณจะไม่ทำ...แบบเมื่อครู่นี้”
“ฉันสาบาน เธอจะปลอดภัยจากฉัน รับรองได้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น