2

บทที่ 2

บทที่ 2

 

                การแข่งขันบาสเกตบอลรอบชิงชนะเลิศประจำคณะบริหารธุรกิจเป็นการเจอกันระหว่างสาขาการตลาดทีมแชมป์เก่ากับม้ามืดทีมสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ตอนนี้ทีมการตลาดนำอยู่เจ็ดสิบห้าต่อหกสิบ ทีมสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจเสียตัวเก่งอย่างอัษฎาไปตอนปลายควอเตอร์ที่สามจากอุบัติเหตุเท้าพลิก ชายหนุ่มเป็นผู้เล่นทำแต้มสูงสุดประจำทีม ทำให้แต้มตามอยู่ถึงสิบห้าแต้ม เหลือเวลาอีกสามนาที

ศาสนะเหลือบมองอัษฎาที่นั่งอยู่ข้างสนามโดยมีสต๊าฟทีมนวดให้ด้วยความกระหยิ่มใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปทีมของเขาชนะแน่

ปรี๊ด!

“คอมพิวเตอร์ธุรกิจขอเปลี่ยนตัวเบอร์แปด”

 อัษฎากลับลงสนามอีกครั้ง เขาวิ่งเหยาะๆ ทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจตัดลูกไปได้ส่งให้อัษฏาที่ยืนอยู่วงนอกทันที เขาตั้งลูกแล้วชูตลงไปได้สามแต้ม แต้มห่างเหลือสิบสอง ทีมการตลาดได้โต้กลับแต่ชูตไม่ลง คอมพิวเตอร์ธุรกิจตัดลูกมาได้ส่งให้อัษฎาทำสามแต้มอีกลูก ทีมการตลาดบุกบ้างชูตสองแต้มลง ตอนนี้ห่างสิบเอ็ดแต้ม เหลือเวลาสองนาที

ทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจตัดลูกได้อีกครั้ง ส่งให้อัษฎาทำสามแต้มสองครั้งได้เพิ่มหกคะแนน คะแนนจี้ติดเหลือแค่ห้า ทีมการตลาดต้องขอเวลานอก

ไอ้อัษฎามันวิ่งไม่ไหว แต่มันยืนรอวงนอกยัดสามแต้มอย่างเดียวเลย

ศาสนะพูดอย่างหัวเสีย โค้ชสั่งให้ลูกทีมอย่าบุ่มบ่ามบุก ให้ครองบอลแล้วตั้งรับแน่นๆ แต่ช่วงท้ายของเวลาชอตคล็อกทีมการตลาดยิงไม่ลง คอมพิวเตอร์ธุรกิจสวนกลับส่งบอลให้อัษฎา เขาทำท่าจะยิงสามแต้มเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนใจส่งให้เพื่อนในตำแหน่งด้านในที่หลุดตัวประกบแล้วชูตลงไปจนได้ เหลืออีกสามแต้มเท่านั้น เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม 

เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ต่างฝ่ายต่างชิงกันครอบครองลูก ทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจพยายามตัดบอล แต่ทีมการตลาดก็ส่งไปมาเพื่อซื้อเวลา ทั้งสองตัดบอลกันไปได้ทีมละครั้ง จังหวะสุดท้ายทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจได้บุก

“ปี๊ด!

ศาสนะเข้ามาตัดลูกในจังหวะที่คู่แข่งกำลังจะชูตสองแต้ม เขาหันไปโวยวายกับกรรมการว่าไม่ผิด กัปตันทีมรีบมาดึงไว้

มันชูตลูกโทษลงหมดเราก็ชนะอยู่ดี

คนหัวร้อนหายใจหอบ เพราะขณะนั้นเหลือเวลาอีกสองวินาทีเท่านั้น มีคะแนนให้เพิ่มสองแต่แต้มห่างสามแต้ม

ผู้เล่นทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจโยนบอลให้ให้อัษฎา แต่ชายหนุ่มเดินมาส่งคืน ศาสนะเห็นเขากระซิบอะไรบางอย่าง ใจเต้นโครมครามที่ไม่ได้เกิดจากความเหนื่อย

ลูกโทษลูกแรกลง เหลือสองคะแนน

ให้ที่เหลือชูตลงยังไงก็ไม่ทัน ไม่มีทาง เพราะฝ่ายเขาต้องได้ส่งบอล ศาสนะคิด 

ปัง!

ลูกโทษลูกที่สองกระแทกแป้นอย่างแรง บอลกระเด้งออกไป ศาสนาฉีกยิ้ม แต่แล้วก็เบิกตาโตเพราะทิศทางที่บอลพุ่งไปคือจุดที่อัษฎายืนอยู่พอดี

บ้าแล้ว

ดาวเด่นประจำสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจบรรจงยกลูกบาสขึ้นเหนือศีรษะแล้วค่อยๆ ปล่อยออกไปในจังหวะที่ตัวสกัดกั้นของทีมการตลาดพุ่งเข้ามาพอดี มันลอยข้ามศีรษะผู้เล่นทุกคนดั่งภาพสโลว์โมชั่น 

สวบ!

ลูกบาสลอดห่วงผ่านตาข่ายลงมา เวลาหยุดหมุนในวินาทีนั้น ก่อนที่เสียงเชียร์จะดังกระหึ่ม

ผู้เล่นทีมการตลาดรีบส่งบอลจากข้างสนาม

ปึ้น!!

สัญญาณเสียงหมดเวลาดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรี๊ดกับเสียงโห่ร้องของกองเชียร์แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ขณะที่เสียงก่นด่าด้วยความเสียดายเป็นของแผนกการตลาด ผู้เล่นหลายคนทรุดลงกับพื้น ตัวสำรองกุมศีรษะอย่างเจ็บใจ

ทีมแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจสามารถล้มแชมป์เก่า สร้างตำนานแชมป์หน้าใหม่จากการเอาชนะทีมที่ได้ชื่อว่าเก่งและแกร่งที่สุดในมหาวิทยาลัย 

ศาสนะรู้สึกเหมือนถูกน็อก เขายืนนิ่งอยู่กลางสนาม มองภาพอัษฎาที่เพื่อนกำลังประคองให้ลุก คู่แข่งทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บ ในสมองศาสนะประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

ตอนที่อัษฎาส่งบอลคืนเพื่อนได้กระซิบอะไรบางอย่าง คำตอบก็คือการให้เพื่อนยิงบอลไปกระแทกแป้นเพื่อให้กระดอนออกมาวงนอก เพราะต่อให้ชูตลูกโทษลงคะแนนก็ไม่ทัน เวลาก็ไม่พอจะตั้งเกมบุกได้ จึงเลือกเดิมพันด้วยวิธีนี้ 

ต่อให้โชคไม่ดีบอลไม่เข้าทางก็ไม่มีอะไรต้องเสีย แต่มันได้ผล

ผู้เล่นตัวเก่งทีมคอมพิวเตอร์ธุรกิจกัดฟันเล่นในสามนาทีที่เหลือเพื่อให้ทำแต้มได้ทันด้วยการยิงสามแต้มติดต่อกัน จนบางจังหวะสามารถดึงตัวประกบแล้วส่งต่อให้วงในทำแต้มได้ด้วย เป็นทีมการตลาดเองที่ลนลานจนตั้งรับไม่อยู่

ศาสนะกำหมัดแน่น เดินออกไปโดยไม่จับมือกับคู่แข่ง ต้องทนมองอัษฎาขึ้นไปรับถ้วยทั้งที่ขากะเผลกด้วยความเจ็บใจ การเดิมพันนี้เป็นที่กล่าวขานจนจบปีการศึกษานั้น

แต่ความพ่ายแพ้นั้นไม่ใช่หนเดียว

 

“คุณศาสครับ”

ศาสนะหลุดจากภวังค์ เขามองภาพกระเป๋าที่แผนกออกแบบกำลังโชว์ กระเป๋าสะพายข้างโทนสีพาสเทลมีดอกปีบจับช่ออยู่มุมกระเป๋า อีกแบบเป็นลวดลายเฉพาะดอก เขาขยับตัว

“เอาแค่ดอกเดียวแล้วใช้ลายเส้นแบบที่สอง ทำให้เหมือนภาพวาดง่ายๆ เส้นไม่จำเป็นต้องสีดำ แค่นี้”

จ๊อบหันไปมองแบบทั้งหมดที่โชว์อยู่ ลูกชายเจ้าของบริษัทเลือกใช้จุดเด่นของแต่ละแบบมารวมกัน

“ผมจะแก้ให้เลย ขอเวลาสักครู่ครับ”

แล้วนักออกแบบก็ลงมือทำตามนั้น ไม่นานภาพตามแบบที่ศาสนะพูดออกไปก็โชว์บนจอ เสียงพึมพำทำนองพอใจมาจากสมาชิกที่เข้าประชุม 

“ผมเปลี่ยนคำว่า Zassy ให้เป็นแบบลายมือด้วย”

“สวย” ศาสนะพูด ก่อนที่จะหันไปมองสุทินที่เหลือบมองมา “สวยก็คือสวย ไม่มีแต่แล้ว”

สุทินอมยิ้มก่อนจะหันไปทางจ๊อบ “ขอบคุณมากคุณจ๊อบ”

“ครับ” จ๊อบผงกศีรษะแล้วนั่งลง ก่อนที่การประชุมจะดำเนินไปต่อ

                

ศาสนะขับรถมาตามทาง แค่ครั้งเดียวก็จำได้ บ้านหลังนั้นปลูกดอกปีบไว้ตามชื่อลูกสาวเจ้าของ เขาลงจากรถพร้อมกับถุงของฝากแล้วมองหากริ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี คราวก่อนใช้วิธีบีบแตรเรียกคนในบ้าน แต่ตอนนี้มองเห็นว่ารั้วไม่ได้ล็อกเลยถือวิสาสะเดินเข้าไป 

ก่อนจะก้าวเข้าประตูบ้าน เขาได้ยินการสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคน

 

“ฉันเห็นว่าดากับหนูปีบคบหากันมาสักพักแล้ว ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่จะมาเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว”

โสภากล่าวจุดประสงค์ของการมาเยือนในวันนี้ ถึงจะเป็นการสู่ขอ แต่ด้วยความที่เป็นแม่คนเหมือนกันจึงเป็นไปในลักษณะเพื่อนสองคนนัดกินข้าวในบรรยากาศเป็นมิตรมากกว่า 

“ฉันน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันก็เอ็นดูตาดาเหมือนลูกคนหนึ่ง คงต้องแล้วแต่ปีบเขา ว่ายังไงล่ะปีบ” เยาวลักษณ์หันไปทางลูกสาว 

ทิพารักษ์หน้าแดงมองอัษฎาแบบเขินๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มได้แต่กุมมือเข้าหากันด้วยหัวใจที่เต้นแรง

“ปีบไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”

โสภายิ้ม “ดีจริง ถ้างั้นป้าจะรีบไปหาฤกษ์นะ แล้วเรื่องสินสอดทองหมั้นล่ะ แม่เยาว์จะเรียกสักเท่าไร”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ สำหรับฉันขอแค่ให้เด็กสองคนรักกันจริงก็พอ ฉันคงไม่ขอเรียกอะไร เอาเป็นว่าแล้วแต่ทางพี่โสภาจะเห็นเหมาะสมเถอะจ้ะ”

“เอาแบบนั้นก็ได้จ้ะ ขอบใจแม่เยาว์มากนะที่เอ็นดูตาดา”

“ตาดาเป็นเด็กดี ใครๆ ก็ย่อมเอ็นดูอยู่แล้ว”

“ยังไงก็ต้องขอบใจแม่เยาว์จริงๆ นะ ที่ไว้ใจยอมมอบลูกสาวที่น่ารักอย่างหนูปีบให้ตาดาดูแล”

“ฉันเองก็ต้องขอบคุณพี่โสภาเหมือนกันที่รักและเอ็นดูปีบ ฝากดากับพี่โสภาดูแลด้วยแล้วกันนะคะ” เยาวลักษณ์กล่าวอย่างถ่อมตัว “เดี๋ยวพี่โสภากับตาดาอยู่ทานข้าวด้วยกันนะ ปีบทำกับข้าวไว้หลายอย่างเลยวันนี้” 

เจ้าของบ้านชวน ผู้มาเยือนทั้งสองพยักหน้าด้วยความยินดี แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัว 

ทิพารักษ์เดินนำ แต่ยังไม่ทันจะไปที่ครัวก็พบกับผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝันอยู่ตรงประตูหน้า

“อุ๊ย!

คนทั้งสามมองตามเสียงเป็นตาเดียว

“คุณศาส”

“เอ๊ะ” เยาวลักษณ์ส่งเสียงเบาๆ โสภามองตาม

“สวัสดีครับน้าเยาว์” ชายหนุ่มยกมือไหว้แล้วมองไปยังผู้ใหญ่อีกคน ไหว้โดยไม่กล่าวคำทักทาย “ขอโทษครับ ไม่รู้ว่าน้าเยาวน์มีแขก” เขาตวัดสายตามองชายคนเดียวในที่นั่น วินาทีเดียวเท่านั้น

“เอ่อ...”

ศาสนะหันไปทางทิพารักษ์ ยื่นถุงสองใบ “แม่ฝากมาให้”

“ค่ะ” ทิพารักษ์รับถุงอย่างงงๆ “ขอบคุณค่ะ”

“ไปละ”

แล้วชายหนุ่มก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่มีการมาเยือนของเขามาก่อน 

“ศาสนะ ลูกชายของคุณอมรรัตน์กับคุณสุทิน เจ้านายเก่าพ่อปีบเขาน่ะค่ะ”

เยาวลักษณ์อธิบายให้โสภาฟังสั้นๆ ผู้มาเยือนพยักหน้ารับรู้ ประวัติของเขาไม่ใช่เรื่องที่เธอติดใจนัก ทิพารักษ์มองอัษฎาอย่างไม่ตั้งใจ แล้วก็ต้องแปลกใจกับแววตาที่มองตามหลังศาสนะไปนั้นมีความชิงชังฉายอยู่ 

 

ศาสนะกลับมานั่งในรถ นึกถึงบทสนทนา เนื้อหาเป็นเรื่องการสู่ขอทาบทามลูกสาวให้ลูกชาย

ฉันเห็นว่าดากับหนูปีบคบหากันมาสักพักแล้ว ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่จะมาเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว”

กระจกมองหลังสะท้อนสีหน้าของศาสนะที่เหยียดยิ้ม ก่อนรถจะเคลื่อนออกไป

 

 

วันนี้เยาวลักษณ์เริ่มทำขนมเร็วเล็กน้อยเพราะขนมชั้นใช้เวลานึ่งนาน นอกจากนี้ยังมีขนมต้ม รวมทั้งขนมเปียกปูนก็ยังมีเหมือนเดิม ทิพารักษ์เป็นผู้ช่วย ทั้งเตรียมวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงเก็บล้าง

ตอนนี้ขนมต้มเสร็จแล้ว เปียกปูนกำลังนึ่งอยู่บนเตาหนึ่ง อีกเตาเป็นขนมชั้น เยาวลักษณ์คนแป้งขนมชั้นแล้วตักไปเทลงพิมพ์ ขนมของเธอมีทั้งรูปแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ๆ ทำให้ลูกค้าได้สนุกกับการเลือกซื้อ

ปี๊น!

ทิพารักษ์กำลังขูดมะพร้าวเงยหน้า “ใครมาป่านนี้” เธอบ่นแล้ววางมือ เพราะตอนนั้นห้าโมงกว่าแล้ว 

หญิงสาวคิดคำพูดไม่ถูกตอนเห็นศาสนะยืนพิงรถเก๋งสีขาว เขาสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงสแล็ค มีกลิ่นไอเพลย์บอยจางๆ เธอพนมมือไหว้ ศาสนะเอียงศีรษะเล็กน้อย ราวกับให้กิริยานั้นแทนการรับไว้ เขาทำท่าจะเดินเข้าไปในบ้าน ทิพารักษ์มอง

“ฉันมาหาแม่เธอ หรือว่าน้าเยาว์ไม่อยู่”

“อยู่ค่ะ” ลูกสาวเจ้าของบ้านตอบเบาๆ แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน

“อุ๊ย คุณศาส สวัสดีค่ะ”

เพราะศาสนะไหว้ก่อน เยาวรักษ์จึงรับไหว้ขณะที่มือยังถือตะบวยด้วยอาการตกใจปนเงอะงะ เขาชูถุงที่ถือมาค้างไว้ทำนองว่าจะวางไว้ตรงไหนได้ ทิพารักษ์เดินมารับ ดูเหมือนจะไม่ใช่ของกิน แต่เธอยังไม่เปิดดู

“วันก่อนผมยังไม่ได้ทักทายน้าเยาว์เลย วันนี้มีเวลาเลยแวะมาหา รบกวนหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอกค่ะ แต่คุณศาสไปนั่งข้างนอกไหมคะ ในครัวมันร้อน ดื่มน้ำก่อน ปีบพาคุณศาสไปลูก”

ศาสนะมองทิพารักษ์ “เอาน้ำเย็นแก้วหนึ่ง แต่เอามาให้ในนี้นะ”

คนถูกใช้เบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง แต่แล้วก็เดินออกไป ศาสนะเดินไปที่เตา เยาวลักษณ์บอกว่ากำลังทำขนมชั้นกับเปียกปูน

“จริงสิ ขนมเปียกปูนวันก่อนของน้าเยาว์นี่เอง อร่อยดี น้าเยาว์สบายดีไหมครับ”

“ก็ตามประสาคนแก่ค่ะ คุณศาสล่ะคะ กลับมาแล้วทำงานที่บริษัทกับคุณพ่อเลยใช่ไหมคะ”

“ครับ”

ทิพารักษ์ไม่อยากเชื่อหูว่าน้ำเสียงสุภาพนั้นมาจากคนๆ เดียวกับที่พูดห้วนๆ แล้วมองเธออย่างเย็นชา เขารับน้ำจากเธอแต่ตายังมองเยาวลักษณ์เทแป้งลงไปทับแป้งเก่าที่นึ่งสุกแล้ว ก่อนจะไล่สายตาไปเรื่อยๆ แล้วหยุดที่ผลไม้สีน้ำตาลเข้มที่กองอยู่ริมผนัง 

“ลูกอะไรครับ” 

“ลูกตาล ที่เอาไปทำขนมตาลค่ะ”

เขาถือแก้วทำท่านึก “ขนมสีเหลืองฟูๆ ทำมาจากลูกไอ้นี่เหรอครับ”

“ค่ะ แต่คงทำวันมะรืน  เพราะพรุ่งนี้ปีบต้องไปสัมภาษณ์งาน น้าทำคนเดียวไม่ไหว” เยาวลักษณ์ตอบอย่างเต็มใจแม้จะเหนื่อย เพราะเข้าใจว่าชายหนุ่มเป็นคนรุ่นใหม่คงอยากรู้อยากเห็นกับการทำขนมไทย

การที่แม่เอ่ยชื่อเธอ ทำให้เขาหันมามอง หญิงสาวกำลังนั่งขูดมะพร้าว 

“ทำไมไม่นั่งขูดแบบนางเอกแม่เบี้ย”

ทิพารักษ์เผลอจ้องเขาเขม็ง เยาวลักษณ์หัวเราะคิก 

“ยังไม่ได้งานอีกเหรอ เห็นแม่บอกจบมาเป็นปีแล้วนี่” เพราะเห็นว่าทิพารักษ์ไม่ยอมตอบคำถามนั้น เลยชวนคุยเรื่องใหม่ หญิงสาวเม้มปากก่อนตอบ

“ค่ะ”

“ค่ะ” ชายหนุ่มพูดทวน ยกคิ้วแทนคำถาม

“อยากได้งานใกล้ๆ บ้านค่ะ แม่จะได้ไม่เป็นห่วง”

ศาสนะพยักหน้าหงึกหงัก

“คุณศาสกินข้าวหรือยัง อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”

คนถูกชวนประสานมือ ใช้นิ้วถูคางเหมือนใช้ความคิด “ผมยังไม่ค่อยหิวครับ เอาไว้วันหลังดีกว่า พรุ่งนี้ไปสัมภาษณ์ที่ไหน” เขาตอบคำถามเยาวลักษณ์ก่อนแล้วถามทิพารักษ์ที่ตอนนี้ขูดมะพร้าวไปจนพูนถาด หญิงสาวบอกสถานที่ 

“อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานฉันเอง ไปด้วยกันไหม”

ทิพารักษ์เงยหน้าทันควัน มองศาสนะที่กล่าวข้อเสนออย่างคาดไม่ถึง ต่อมาก็ส่ายหน้า 

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“ยังไงฉันก็ต้องไปทำงานอยู่แล้ว ทางเดียวกันไปด้วยกันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ”

“ปีบไม่อยากรบกวนให้คุณต้องเสียเวลามารับที่บ้านค่ะ”

ศาสนะเอียงศีรษะ กอดอก ผุดยิ้มมุมปาก “ถ้าเสนอว่าจะมารับ แสดงว่าฉันเต็มใจไม่ได้รู้สึกว่าต้องเสียเวลา” 

ทิพารักษ์เม้มปากนิ่ง พยายามนึกหาคำมาปฏิเสธแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายหันไปพูดกับแม่เธอ 

“น้าเยาว์ ถ้าผมขอไปส่งปีบไปสัมภาษณ์ได้ไหมครับ”

เป็นครั้งแรกที่ทิพารักษ์ได้ยินเขาเรียกชื่อเล่นของเธออย่างสนิทสนม มันให้ความรู้สึกแปลกๆ อย่างไรพิกล

เยาวลักษณ์เช็ดเหงื่อหลังจากวางถาดขนมเปียกปูน “ถ้าคุณศาสไม่ถือว่าเป็นการรบกวนก็ขอบคุณมากค่ะ” เธอบอก ส่งสายตาไปทางลูกสาวกลายๆ ว่าไม่ควรเสียมารยาทกับคนที่มีน้ำใจ โดยเฉพาะคนจากครอบครัวอรรถพิพัฒน์

ศาสนะหันมายักคิ้วและยิ้มให้ทิพารักษ์อย่างผู้มีชัย ส่วนคนแพ้ที่ไม่เต็มใจได้แต่เก็บความหงุดหงิดไว้ เธอหันไปสบตากับแม่ ไม่เห็นอะไรนอกจากความรักและหวังดี จึงวางความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่อศาสนะไว้ชั่วคราว คงแค่หนเดียวเท่านั้นละมั้ง

“ขอบคุณคุณศาสนะมากๆ ค่ะ” ทิพารักษ์อดประชดไม่ได้

“ไม่เป็นไรเลย แค่เรื่องเล็กน้อยเองดอกปีบ”

ศาสนะทอดเสียงตรงคำว่าดอกปีบคล้ายจะล้อเลียนเธออย่างอารมณ์ดี

 

ทิพารักษ์นั่งรถมากับศาสนะ เขาถามเรื่องมื้อเช้าเธอตอบว่ากินมาแล้วสั้นๆ ส่วนใหญ่หญิงสาวจะเลือกเงียบ แม้กระทั่งถามเรื่องฟังเพลง เธอก็นิ่งทำเป็นไม่ได้ยินเสียอีก

เอี๊ยด!

“โอ้ย!

รถเบรกกะทันหันจนทิพารักษ์หน้าคะมำ ถึงคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่แต่ก็ทำเอาศีรษะคลอน รีบหันไปมองคนขับ

“ขอโทษที มดมันตัดหน้าน่ะ”

ศาสนะพูดหน้าตาย ทิพารักษ์หายใจถี่ ใจเต้นโครมคราม อารมณ์ที่นิ่งอยู่เดือดปุดขึ้นมา ยิ่งเห็นแววตาพราวระยับบนท่าทางไม่รู้ไม่ชี้แล้วยิ่งโกรธ เขาแกล้งเธอ

รถมาถึงหน้าอาคารที่เป็นจุดหมายทิพารักษ์ปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูแล้วทำท่าจะลงจากรถไป แต่ศาสนะพูดตามหลัง

“เธอลืมอะไรหรือเปล่า”

ทิพารักษ์หันกลับไปมองข้าวของตัวเอง มั่นใจว่าไม่ลืม กำลังจะอ้าปากศาสนะก็พูดขึ้นก่อน

“เธอลืมมารยาทไว้ในรถฉันน่ะ ขอบคุณคุณศาสนะมากนะคะที่มาส่ง ไหนลองพูดสิ”

ทิพารักษ์หน้าร้อนผ่าว ยิ่งเห็นสีแววตายียวนยิ่งโกรธและอาย แต่คิดแล้วผลเสียจะตกอยู่กับแม่มากกว่า ในที่สุดก็พนมมือไหว้แบบเร็วๆ แล้วลงจากรถไปโดยไม่ยอมพูดตามที่เขาบอก

ศาสนะมองทิพารักษ์ที่เดินเข้าอาคารไปแล้วยิ้มรื่นรมย์ 

 

ทิพารักษ์เป็นลูกที่ดีของแม่มาตลอด หลังจากพ่อจากไปก็ตั้งใจว่าจะไม่มีวันทำให้แม่เสียใจ แต่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกอึดอัดใจเมี่อต้องเอาขนมมาให้ที่บ้านอมรรัตน์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เต็มใจตลอด เป็นฝ่ายเสนอตัวเองด้วยซ้ำ

คุณศาสเขาถามถึงวันก่อน คงนึกอยากกิน อีกอย่างเขาก็อุตส่าห์ไปส่งปีบ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไม่มีน้ำใจ

เหตุผลของแม่ก็ไม่มีอะไรค้านได้ หญิงสาวกดกริ่ง แม่บ้านติ๋วมาเปิดให้เหมือนเดิม ทักทายกันเหมือนเดิม

“วันนี้เอาอะไรมาฝากลูก”

นอกจากอมรรัตน์ สุทินก็อยู่ด้วย ไม่บ่อยนักที่ทิพารักษ์จะเจอหัวหน้าครอบครัว เขาเป็นชายผิวขาวรูปร่างสมส่วนแววตาใจดี ศาสนะเหมือนแม่มากกว่า โดยเฉพาะคิ้วเข้มดำสนิทลากยาวเลยหางตา

“มีไก่อบ แล้วก็ขนมตาลกับขนมกล้วยค่ะ”

ขนมถูกจัดอยู่ในตะกร้าหวายดูน่ารัก ขนมตาลห่อด้วยใบตาลเป็นทรงสามเหลี่ยม ขนมกล้วยอยู่ในกระทงสี่เหลี่ยม ทั้งสองอย่างขนาดพอดีคำ

“เยอะแยะเลย” สุทินกล่าว

ก็พอดีวันก่อนลูกชายของคุณลุงไปทำท่าอยากกินถึงในครัว หนูเลยต้องเอามาให้ถึงที่เลยนี่ไงคะ แน่นอนว่าประโยคนี้ทิพารักษ์ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่บอกว่าไก่อบมาจากมีคนจ้างทำข้าวกล่อง แม่ทำเผื่อมาให้ด้วย

“เกรงใจจริงๆ อ้อ ศาสมาพอดี หนูปีบเอาขนมตาลมาฝากแน่ะลูก ขนมกล้วยก็มี”

ตรงบันไดที่ทอดลงสู่ห้องโถง ชายหนุ่มสวมชุดนอนเดินลงมา หน้าตามึนตึงผมยุ่งอย่างคนเพิ่งตื่น เขามองทิพารักษ์แวบเดียวแล้วเดินไปที่ครัวซึ่งเป็นมุมเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น

“ไม่มีมารยาทเลย ศาส” สุทินบ่น “ขอโทษด้วยนะหนูปีบ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เวลาปีบเพิ่งตื่นก็งงๆ แบบนี้เหมือนกัน” 

พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแก้ตัวให้ชายหนุ่มไปเสียแล้ว ใจจริงแค่ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องกังวลเท่านั้น

“ขนมขายดีไหม”

สุทินกับอมรรัตน์พูดคุยไถ่ถามทิพารักษ์พอประมาณ ยังมีเรื่องงานมาเป็นหัวข้อสนทนาอีกครั้ง หญิงสาวรับความปรารถนาดีอย่างซาบซึ้ง กระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่เธอก็ขอตัวกลับ เพราะต้องทำขนมอีก

“เดี๋ยวให้เกษมไปส่ง จริงสิ วันนี้เกษมไม่อยู่” อมรรัตน์มองไปที่ครัว 

“ศาส ไปส่งปีบหน่อยได้ไหมลูก”

ศาสนะที่ยังนั่งจ่อมอยู่กับไอแพดและกาแฟมองมา ทิพารักษ์เพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะมีขนมตาลกับขนมกล้วยอยู่ในจานเล็ก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปีบกลับเอง”

“แต่มันไกลนะกว่าจะเดินไปถึงปากซอย แดดกำลังแรงเลย ให้ศาสไปส่งเถอะ”

“ขอบคุณค่ะ แต่ปีบเกรงใจ...คุณศาสน่ะค่ะ”

ประโยคท้ายเธอกล่าวเสียงเบา ศาสนะลุกจากโต๊ะแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ราวกับแสดงออกว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า 

“ตกลงจะไปส่งใช่ไหม เดี๋ยวให้หนูปีบรอนะ” สุทินเป็นคนพูดประโยคนั้น

 

“กินข้าวหรือยัง หาอะไรกินกันไหม เที่ยงกว่าแล้ว”

ศาสนะขับรถออกมาจากบ้าน ทิพารักษ์นั่งตำแหน่งผู้โดยสาร ในรอบหนึ่งสัปดาห์เธอนั่งรถมากับเขาสองหนแล้ว ไม่รู้จะจดจำในแง่ไหนดี  ที่รู้คือกลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาต่างจากกลิ่นของอัษฎา

“ไม่ค่ะ กลับบ้านเลยค่ะ”

“ไม่หิวเหรอ” เขามองป้ายร้านรวงจากตึกที่อยู่ริมถนน “ตรงแยกหน้ามีร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยมาก ใช้ของดีด้วย แซลมอนนี่สดสุดๆ กินไหม”

ทิพารักษ์ส่ายหน้า “ปีบไม่ค่อยชอบค่ะ”

“ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น” เขาบังคับพวงมาลัย “งั้นกินส้มตำไหม ยำแซบ ไก่ย่างอะไรแบบนี้ล่ะ สนไหม”

“ไม่ค่ะ ตอนนี้สนใจอยากกลับบ้านอย่างเดียว”

ศาสนะเม้มปาก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจนทิพารักษ์คิดว่าไม่ต้องตอบอะไรแล้ว แต่เขาเอ่ยขึ้น

“แต่ว่าคราวนี้เธอยอมนั่งรถมากับฉันนะ”

ทิพารักษ์หันไป ขมวดคิ้วสงสัย รอให้เขาขยายความต่อแต่คราวนี้ชายหนุ่มเลือกเงียบนาน เธอผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งใจ

 

ด้วยความที่แต่งตัวออกมาแล้วก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ศาสนะเลือกห้างสรรพสินค้าเป็นที่กินมื้อกลางวันตัวเอง ต่อด้วยเลือกหนังดูหนึ่งเรื่อง ดื่มกาแฟ เข้าร้านหนังสือต่อด้วยร้านเสื้อผ้า ถูกใจเนคไทด์สองเส้น ดูร้านกระเป๋าแบรนด์เนม กระทั่งดูนาฬิกาอีกทีก็ทุ่มกว่าแล้ว ตั้งใจว่าจะลงไปซูเปอร์มาร์เกตก่อนกลับ เขาเดินผ่านร้านอาหารญี่ปุ่น ลูกค้ากำลังแน่นร้าน

ศาสนะเดินเลยไปแล้วแต่ชะงักฝีเท้า เหมือนเห็นคนที่คุ้นตา เขาเดินถอยกลับมา ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะถัดจากริมกระจกเข้าไปสองแถว

ปีบ เด็กคนโปรดของแม่กับ... ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น อัษฎา 

ภาพที่หมอนั่นขึ้นไปรับถ้วยรางวัลเหมือนเป็นเสี้ยนหนามที่แทงใจ เท่านั้นไม่พอ วันที่รับช่อดอกไม้แสดงความยินดีในฐานะประธานองค์กรนักศึกษาเป็นยิ่งกว่าน้ำกรดที่รดใจเขามาตลอด 

ปีบไม่ค่อยชอบค่ะ

ชายหนุ่มแค่นยิ้ม เข้าใจกระจ่างแล้ว ที่ไม่ค่อยชอบนั่นคือฉันใช่ไหม ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่น 

“แล้วจะได้รู้กัน ดอกปีบคนสวย”

 

ทิพารักษ์กำลังสนุกอยู่ในงานเลี้ยง วันนี้เป็นวันเกิดปิยะดาเพื่อนสนิทของเธอ และเพราะงานฉลองเล็กๆ นี้ขึ้นตอนกลางคืนอัษฎาจึงอาสามาส่งแฟนสาวที่งาน และตกลงกันว่าถ้างานเลี้ยงเลิกให้ทิพารักษ์โทร.บอก แล้วเขาจะมารับกลับเอง สมาชิกในห้องคาราโอเกะมีทั้งหมดหกคน เสียงเพลง เสียงหัวเราะ สลับกับเสียงแซว เล่นมุกกันดังเฮฮาต่อเนื่อง

“ปีบ โทรศัพท์ปีบรึเปล่า”

ปิยะดาทักขึ้นขณะที่ทิพารักษ์ปรบมือให้เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลง เจ้าของโทรศัพท์หยิบกระเป๋ามาเปิด แล้วพบว่ามีสายเข้าจริงๆ

แต่ว่าเบอร์โทร.ไม่คุ้น ใครกัน

“ฮัลโหล ฮัลโหล” ทิพารักษ์ใช้มืออุดหูข้างหนึ่ง “ไม่ได้ยินเลย เดี๋ยวสักครู่นะคะ”

เธอทำสัญญาณส่งให้ปิยะดาว่าจะไปคุยโทรศัพท์ เพื่อนยกมือโอเค 

“สวัสดีค่ะ ปีบค่ะ” ทิพารักษ์ออกมายืนนอกห้องคาราโอเกะแล้วสนทนาต่อ

“ปีบ แม่เธอตกบันได”

“อะ อะไรนะ ใครคะเนี่ย” วินาทีนั้นหญิงสาวยังงงงัน

“ฉันเองศาสนะ แม่เธอตกบันไดสลบไป ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนรีบบอกมาเร็วฉันจะไปรับ”

ทิพารักษ์เข่าอ่อนแทบทรุด แม่ตกบันไดบาดเจ็บ หัวใจเต้นโครมคราม น้ำตาเอ่อทันที ลมหายใจสะดุดเหมือนจะเป็นลม ต้องเอามือยันกำแพงไว้ 

“ละ แล้ว ตอนนี้แม่อยู่ที่ไหนคะ เป็นยังไงบ้าง ปีบจะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” 

“แม่เธออยู่โรงพยาบาล ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย ให้ฉันไปรับจะเร็วกว่า รีบบอกมาว่าอยู่ที่ไหน เร็ว!” 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น