บทที่ 4
เกิดเรื่องราวเพียงไม่กี่นาทีแต่ดูเหมือนเยาวลักษณ์จะดูแก่ลงในชั่วข้ามคืน เธอนั่งอยู่ในห้องรับแขกแววตาอมทุกข์เสียใจไม่ต่างจากลูกสาว ครอบครัวอรรถพิพัฒน์ก็อยู่ด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะแม่เยาว์ เรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ เอาไว้หนูปีบพร้อมที่จะคุยก็บอกฉันแล้วกัน”
สุทินกล่าวขึ้นหลังจากประมวลเรื่องราวทั้งหมดด้วยน้ำเสียงทั้งอ่อนโยนแต่ก็จริงจังอยู่ในที แล้วหันมาทางลูกชาย
“ไปศาส กลับบ้าน แกกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน”
อมรรัตน์อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า เพราะเห็นอาหารบึ้งตึงของสามีที่มีต่อลูกชายบอกชัดว่าโกรธจัด
“ฉันกลับก่อนนะแม่เยาว์ มีอะไรก็โทร.มาได้นะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะคุณอิม คุณสุทินด้วย”
เยาวลักษณ์พนมมือไหว้คนทั้งสอง อมรรัตน์กุมมือและมาโอบไหล่อีกฝ่ายไว้ ในฐานะคนเป็นแม่ย่อมรักและเป็นเรื่องลูก เมื่อเห็นลูกทุกข์ย่อมเป็นทุกข์กว่าหลายเท่า
“จ้ะ”
ที่บ้านครอบครัวอรรถพิพัฒน์ สมาชิกสนทนากันด้วยความมึนตึงขัดกับบรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น สีหน้าของสุทินเคร่งเครียด ความที่เอ็นดูสองแม่ลูกและอุปการะมาตลอดและทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตถูกทำนองคลองธรรมมาตลอดทำให้เขายิ่งหัวเสีย โกรธที่คนก่อเรื่องเป็นลูกชายที่เป็นความหวัง แถมยังไปยั่วยุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกับแฟนของเธออีก ตอนนี้ภรรยาก็ทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว
เห็นทิพารักษ์ร้องไห้เสียขวัญ ในฐานะเคยเป็นนายจ้างของบิดาเธอซึ่งเคยช่วยชีวิตเขาไว้สุทินอยากจะตบหน้าศาสนะสักฉาดเรียกสติ แต่เขาต้องระงับใจไว้จนต้องกำมือแน่นตลอดเวลา
ในที่สุดสุทินก็พูดออกมา “แกต้องแต่งงานกับหนูปีบเป็นการรับผิดชอบ”
“ฮะ!” ศาสนะที่กำลังลุ้นกับความเห็นของพ่อตกใจจนลุกพรวด “อะไรกันพ่อ ต้องแต่งเลยเหรอ”
“ยังจะมาถามอีกเหรอ ทำอะไรลงไปไม่คิดจะรับผิดชอบใช่ไหม พ่อแม่กับไม่เคยสอนให้แกเป็นคนแบบนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมแค่...” ศาสนะคิดคำพูด “มันเป็นเรื่องหยอกเล่น”
“นี่แกยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ แกล่วงเกินผู้หญิงแล้วบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นนี่นะ ไอ้ศาส!”
สุทินตะโกนลั่น อมรรัตน์ไม่เคยเห็นสามีเป็นแบบนี้มาก่อน เธอยกมือเสียงสั่น
“คุณคะ”
“แม่ได้ยินไหม มันพูดว่าเรื่องที่ทำลงไปล้อเล่น นี่แกเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า”
”พ่อลองฟังลูกก่อน”
“ทุเรศ!”
ศาสนะหน้าเจื่อน เห็นสายตาแม่ที่มองมาส่งสัญญาณให้รีบพูด
“ผมแค่พาปีบไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“แต่เขาเป็นผู้หญิง แกพาเขาไปต่างจังหวัดสองต่อสองกลางค่ำกลางคืน แล้วเขาก็ไม่เต็มใจด้วย เขาเสียหาย เข้าใจไหม”
“ทำอย่างกับเขาไม่เคยไปไหนสองต่อสองกับคนอื่น”
“ไอ้ศาส!”
สุทินตวาด ลูกชายสะดุ้งนิดหนึ่ง “ฉันไม่เคยสอนให้แกพูดจาดูถูกผู้หญิงแบบนี้”
“ครับๆ ผมถอนคำพูดก็ได้” ชายหนุ่มยกมือ
“แค่ถอนคำพูดไม่ได้ แกต้องรับผิดชอบ แกต้องแต่งงานกับหนูปีบ!”
“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเธอจริงๆ ไปเชื่อไปถามปีบดูสิ”
“แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แกทำให้หนูปีบเสียหาย รับผิดชอบแค่นี้ยังน้อยไป”
“แต่...”
“ศาส” เสียงแม่แทรกเข้าในบทสนทนา สีหน้าเธอเสียใจ แววตาฉ่ำน้ำ “แม่ไม่เคยยุ่งชีวิตส่วนตัวศาส แต่แม่บอกอยู่เสมอใช่ไหมว่าต้องให้เกียรติผู้หญิง แม่เห็นด้วยกับพ่อนะ อยากให้ศาสรับผิดชอบหนูปีบ”
ศาสนะพูดไม่ออก เขาอยากอธิบายอีกว่าทั้งหมดเป็นแค่การแกล้งกัน ถึงจะทำให้หญิงสาวเสียขวัญแต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไป ไม่เห็นจะต้องจบเรื่องที่การแต่งงาน แต่สถานการณ์ไม่เอื้อแล้ว ยิ่งพูดยิ่งมัดตัว พ่อหัวเสียมาก แม่ก็ดูผิดหวังกับเขามากเช่นกันจนไม่กล้าแย้งพ่อทั้งที่ปกติแม่จะเข้าข้างเขาเสมอ
“วันอาทิตย์ฉันจะไปที่บ้านหนูปีบ ไปคุยเรื่องนี้กับแม่เยาว์ แกต้องไปด้วย”
สุทินกระแทกเสียงทิ้งท้ายแล้วเดินปึงปังออกไป
“คุณคะ” อมรรัตน์เรียกสามี แล้วหันมาทางลูกชาย “เดี๋ยวแม่ไปคุยกับพ่อก่อนนะ ศาสเองก็ทำตามที่พ่อบอกเถอะนะ” เธอพูดกับลูกชายแล้วรีบเดินตามสามีไป
ศาสนะทิ้งตัวลงนั่งแล้วขยี้ศีรษะ ทั้งหงุดหงิดและไม่เข้าใจ
“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ”
เหตุการณ์เมื่อวานนี้เริ่มขึ้นตอนหนึ่งทุ่ม
เขากำลังจะเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านเยาวลักษณ์ แต่มีรถมอเตอร์ไซค์สวนออกมาจึงมองตาม คนซ้อนท้ายคือทิพารักษ์ไม่ผิดแน่ ถึงจะเป็นเวลาค่ำและเธอสวมหมวกกันน็อคเขาก็จำได้
คนขับก็คืออัษฎา
โมโหขึ้นมาติดหมัด น้อยครั้งจะเจอทิพารักษ์อยู่คนเดียว แต่แปลกใจมากกว่าว่าเวลาแบบนี้เธอจะออกไปไหน
ศาสนะคิดพลางหมุนพวงมาลัยวนรถกลับเพื่อขับตาม ที่จริงคนเป็นแฟนกันไปด้วยกันก็ไม่แปลก แต่ไม่รู้เพราะอะไรดลใจให้เขารับรถตามไป รถมาจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันกระหนุงกระหนิงทำให้ศาสนะเบะปากอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่มีเพียงทิพารักษ์ที่เดินเข้าไปในร้านอาหาร ดูเหมือนจะมีห้องคาราโอเกะด้วย ศาสนะเคาะนิ้วกับพวงมาลัย แผนการผุดขึ้น
เขาต้องการให้ทิพารักษ์มีประเด็นไปค้างต่างจังหวัดกับผู้ชายสักคืน แล้วเขาก็จะเอาเรื่องนี้ไปบอกอัษฎา สร้างความหวาดระแวงให้เลวร้ายที่สุดจนไปนำสู่การยกเลิกงานแต่ง แล้วถ้าเป็นไปตามแผน เขานี่แหละจะเป็นคนเลือกผู้ชายดีๆ มาให้ยายดอกปีบเอง
แต่ที่คาดไม่ถึงคือไอ้อัษฎาจะรออยู่ที่บ้านเธอเวลานั้น หน้ำซ้ำพ่อกับแม่ของเขาก็รู้เรื่องและแห่กันมาด้วยอีกต่างหาก ทุกอย่างดูผิดแผนไปหมดกลายเป็นว่ามาเขาต้องมาแต่งงานกับเธอเองเสียอย่างนั้น
ศาสนะหงุดหงิดและพยายามคิดหาทางออก
อัษฎาพยายามโทร.หาทิพารักษ์แต่เธอไม่รับสาย ส่งข้อความไปหลายครั้งก็ไม่มีการตอบกลับ โทร.หาแม่ของเธอก็ตอบสั้นๆ ว่ากำลังคุยกับลูกสาวอยู่ ขอเวลาสักนิด เพราะเรื่องเพิ่งเกิด เธอไม่พร้อมจะคุยกับใคร
‘ปีบดอกนี้ ทั้งหอมทั้งหวานจริงๆ ว่ะ’
อัษฎากำหมัดแน่น ไอ้ศาสนะ ไอ้สารเลว ศัตรูที่ชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืม มันคือคนที่ทำความฝันของคนๆ หนึ่งพัง อนาคตต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ถึงวันนี้มันก็ยังตามมาคุกคามสร้างฝันร้ายให้อีกครั้ง และไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่เป็นคนที่เขารักสุดหัวใจ
เจ็บปวดแทนหลายเท่าตัว ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอ หัวใจแทบจะแตกเป็นเสี่ยง อยากจะเข้าไปฉีกไอ้คนๆ นั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผีห่าซาตานตนใดพาให้เขามาเจอกับมัน ให้ทิพารักษ์เกี่ยวข้องกับมัน
ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้คุยกับเธอแม้แต่คำเดียว หลับตาทีไรก็เห็นแต่รอยแดงที่คอ
“โธ่เว้ย!”
วันเสาร์
สุทิน อมรรัตน์ และศาสนะไปที่บ้านของเยาวลักษณ์ บอกจุดประสงค์ว่าจะมารับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเสนอเรื่องการแต่งงานเพื่อไม่ให้เธอเสียหาย
“ไม่ต้องห่วงนะแม่เยาว์ ฉันจะจัดงานให้หนูปีบแบบไม่น้อยหน้าใคร เมื่อหนูปีบมาเป็นสะใภ้แล้วก็ขอสัญญาว่าจะดูแลให้ดีที่สุด”
จบคำ เกิดความเงียบชั่วขณะ เยาวลักษณ์ที่กุมมือลูกสาวไว้หันไปมองหน้าเธอ ทิพารักษ์ที่หน้าตาไม่สดชื่นนักสูดลมหายใจลึก
“ปีบไม่แต่งค่ะ”
“เห็นไหม เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนี้หรอก” ศาสนะโพล่งขึ้น
“แกเงียบไปเลยนะ” สุทินกล่าวกึ่งตวาด
“ปีบไม่ต้องการจริงๆ ค่ะ คุณศาส ไม่ได้ทำอะไรปีบ...” แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกหลอก ตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับรอยยิ้มร้ายของเขาก็เจ็บใจจนน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง
ความสุขที่จะได้อยู่กับชายหนุ่มที่เธอไว้ใจจะฝากชีวิตอยู่แค่เอื้อม แต่ทุกอย่างพังทลายลงไปในพริบตา เพียงเพราะความแค้นเคืองในอดีตของเขา
เธอไม่รู้ว่าความขัดแย้งนั้นคืออะไร เพราะอัษฎาก็ไม่เคยเล่า แต่ความโกรธเกลียดนั้นไม่ธรรมดา และเธอคือคนที่ถูกดึงให้มารับผลของความขัดแข้งนั้น ตอนนี้เธอยังทำใจให้พร้อมที่จะพบหน้าอัษฎาไม่ได้เลย
“แต่ลูกชายของลุงทำให้หนูปีบเสียชื่อ ลุงกับป้าจะให้ศาสรับผิดชอบเรื่องนี้ ลุงคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด”
ทิพารักษ์มองไปที่ศาสนะด้วยสายตาที่เหมือนมองขยะ
“แต่ปีบไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไรต้องรักษา เพียงแต่ว่าคุณศาสจะไม่ใช้วิธีแบบนี้ไปทำร้ายผู้หญิงคนอื่นอีก”
ศาสนะฉุนกึก “นี่เธอ!”
“ศาส!” สุทินคำรามเตือน
“ปีบ” เยาวลักษณ์มือลูกสาวเชิงปราม
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้ลุงป้าและศาสมาบอกความตั้งใจเรื่องจะแต่งงาน อยากให้หนูปีบกับแม่เยาว์ลองคิดดู แล้วเอาไว้วันอาทิตย์ลุงจะมาฟังคำตอบอีกครั้ง หวังว่าหนูปีบจะเปลี่ยนใจ” สุทินพูดอย่างอ่อนโยน
“อยากให้หนูปีบรู้ว่าป้ากับลุงหวังดีและจริงใจกับหนูปีบจริงๆ”
เยาวลักษณ์ขยับมือทิพารักษ์ สองแม่ลูกพนมมือไหว้ ทั้งคู่เข้าใจในความปรารถนาดีของอดีตนายจ้าง แต่ลูกชายของเขาเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ยังเอามารวมเป็นเรื่องเดียวไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงหนึ่งชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไป
สุทินจ้องศาสนะ ชายหนุ่มเม้มปากก่อนเอ่ยเบาๆ
“ฉันยอมรับผิดและพร้อมรับผิดชอบเธอทุกอย่าง”
อัษฎาจำได้ว่าวันนั้นเขาตัดสินใจลงสมัครเป็นประธานองค์กรนักศึกษา เป้าหมายก็เพราะแค้นเคืองสิ่งที่ศาสนะทำกับเพื่อนรัก เขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นคู่แข่ง แค่ต้องการให้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการถูกแย่งความฝันและความหวังไป ถึงแม้เขาจะไม่ชนะ แต่ก็ให้ศาสนะรู้ว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่ใช่ได้มาและสำเร็จได้ด้วยเงิน
แต่เขาชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น
แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ คะแนนต่างกันแค่หลักสิบ จนเป็นที่โจษจันของคณาจารย์มากกว่าเป็นการเลือกตั้งประธานนักศึกษาที่คะแนนสูสีที่สุดเท่าที่มีมา
เขาจำสีหน้าของศาสนะได้ วันนั้นการนับคะแนนทำในห้องประชุมใหญ่ หมอนั่นเริ่มกำหมัด และแม้ว่าจะนั่งห่างกันแต่ก็เห็นว่าริมฝีปากเม้มแน่น เมื่อนับคะแนนใบสุดท้ายเสร็จสิ้น และผู้สมัครทั้งหมดต้องมาจับมือแสดงความยินดีกัน เขาสัมผัสได้ถึงรังสีความเจ็บใจที่แผ่ออกมา มือที่จับกันนั้นร้อนดั่งไฟ
นอกจากขอบคุณคะแนนเสียง อัษฎาเลือกกล่าวคำขอบคุณไปถึงคู่แข่ง ทุกคนมีส่วนช่วยให้เขาได้พัฒนาตนเอง และสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
เรื่องสมัยมหาวิทยาลัยจบไปแล้ว แต่เวลาผ่านไปมันก็กลับมาทำลายเขาอีกด้วยการทำร้ายคนที่เขารัก
ยิ่งนานไปทิพารักษ์ไม่ติดต่อกลับ ไม่รับสาย ไม่ตอบข้อความ ทำให้อัษฎายิ่งเครียด เขาพยายามสงบอารมณ์รอคอยตามที่แม่ของเธอบอก แต่ทำยังไงก็ไม่ได้ผล
เพื่อให้ใจสงบและไม่คิดถึงน้ำตากับรอยแดงที่คอของเธอ เขาเลือกดื่มเหล้า
เมื่อวานหลังจากกลับจากทำงานที่ไม่ค่อยมีสมาธิ ขากลับก็ซื้อเครื่องดื่มเข้ามา เทใส่แก้วแล้วสาดลงคอเหมือนน้ำเปล่า ถึงแม้ผู้เป็นแม่จะห้ามแต่ก็ไม่ได้ผล วันนี้เธอต้องไปทำงาน แต่เขาเลือกอยู่บ้าน รอคอยคำตอบจากทิพารักษ์
ขวดแล้วขวดเล่าที่หมดไปแต่ไม่อาจดับความปวดร้าวเสียใจที่เกิดขึ้น ทิพารักษ์ส่งข้อความกลับมาว่าขอเวลาให้เธอก่อน ยังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้ ชายหนุ่มพยายามจะหลับตาลง คิดหาเหตุผลที่ศาสนะพาทิพารักษ์ไป มันต้องการแกล้งเขาโดยใช้เธอเป็นเครื่องมือ เขาจะไม่มีวันเชื่อ แต่ภาพที่ผุดขึ้นมีแค่น้ำตากับรอยแดงที่คอของเธอ
ไม่แน่ใจว่าไอ้คนพาลคนนั้นมันทำอะไรเธอ แต่ต่อให้มีเรื่องอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ไม่แคร์ เขารักเธอ
เขาสาดเหล้าลงคอไปอีก
“โธ่เว้ย!”
อัษฎาพยายามคิดภาพในอดีต วันที่เขาได้จูบแรกจากทิพารักษ์คือวันที่พาเธอไปเที่ยวฉลองวันเกิด หญิงสาวเกิดช่วงสิ้นปีจึงตรงกับเทศกาลประดับไฟตามห้างใจกลางเมือง เขาถ่ายรูปให้เธอ เดินดูของขวัญและของลดราคา เป็นวันที่ทั้งสองคนมีความสุข
เขาพาเธอกลับมาส่งที่บ้านตอนสี่ทุ่ม เวลาตอนนั้นในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบ อัษฎาลงจอดรถมอเตอร์ไซค์แล้วยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงรั้ว
‘กลับไปได้แล้วค่ะพี่ดา’
อัษฎาส่งยิ้ม แล้วจู่ๆ เขาก็ยกคิ้วแล้วมองไปข้างใน ทิพารักษ์มองตาม จังหวะนั้นเขาก็หอมแก้มเธอ
‘อุ๊ย’
ทิพารักษ์ส่งเสียงแต่อัษฎายกนิ้วชี้แตะปากเธอให้เบาเสียง สายตาทั้งคู่สบกัน แสงไฟถนนสะท้อนอยู่ในดวงตาสดใสระคนตื่นกลัวนิดๆ ของหญิงสาวจุดไฟปรารถนาให้ลุกโชน
อัษฎาค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากของเธอ ทิพารักษ์ไม่ถอย แต่หลับตาลงรับการสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ
อากาศหนาว ริมฝีปากเธอเย็นและสั่นเล็กน้อย ช่วงเวลาหลายวินาทีที่ทำให้ลมหายใจเธออุ่นขึ้น เมื่อเขาขยับจูบเหมือนผีเสื้อขยับปีก เธอก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถอนริมฝีปากออก
หญิงสาวก้มหน้าเขิน ก่อนจะหันหลังเปิดประตูรั้ววิ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนจะถึงตัวบ้านเธอพูดพอให้ได้ยิน
‘ขอบคุณค่ะ’
จวบจนกลับถึงบ้าน อัษฎาหยุดยิ้มไม่ได้เลย
“ดา ดาลูก”
โสภาเข้ามาในห้อง เห็นสภาพลูกชายแล้วตกใจ ตั้งแต่เมื่อวานหลังกลับจากทำงานเขายังจมจ่อมกับขวดเหล้า เธอพยายามเรียกเขาตั้งแต่เช้า แต่ตัวเองต้องไปทำงานจึงคิดว่าลูกชายคงจะดื่มไม่มาก แต่วันนี้กลับหนักเข้าไปอีก
“ดา”
คนเป็นแม่พยายามเรียกลูกชายที่นอนอยู่บนพื้น สภาพน้ำไม่ได้อาบ ข้าวคงไม่กิน เพราะทั้งตัวมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์
“โธ่เอ้ย ทำไมเมาขนาดนี้นะ”
โสภาถอดเสื้อเชิ้ตของเขา ตกใจที่เห็นรอยเลือดบนผ้าสีขาว พยายามตรวจดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือมีแผลตรงไหนแต่ก็ไม่เจอ เธอหยุดความสงสัยไว้แค่นั้นแล้วรีบเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวเขา วันที่อัษฎากลับมาจากบ้านของทิพารักษ์พร้อมสีหน้าฉุนเฉียว เธอถามแล้วเขาก็อธิบายด้วยอารมณ์โกรธ จับเนื้อหาได้ว่าหญิงสาวหายไปกับศาสนะ ลูกชายอดีตนายจ้างของเยาวลักษณ์ที่เธอเองก็เคยเจอครั้งหนึ่ง
อัษฎาก็สรุปเองในช่วงเวลาที่หัวเสียว่าแฟนสาวไม่เต็มใจที่จะไปกับผู้ชายคนนั้น บางทีหมอนั่นอาจจะทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอต้องยอมจำนนไปกับเขา แต่การที่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากทิพารักษ์ทำให้เขาผิดหวังรุนแรง
“แล้วหนูปีบอธิบายให้ดาฟังว่ายังไงบ้างล่ะ” ปากถามมือก็เช็ดแขนไปด้วย
“ปีบ...ขอเวลาก่อน ยังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้” อัษฎาพึมพำตอบ
“ในเมื่อดาคิดว่าปีบไม่ได้เต็มใจไปกับผู้ชายคนนั้นแล้วทำไมปีบไม่อธิบายให้ดาหายข้องใจเลยล่ะ ทำไมต้องขอเวลาอีก”
“ผมก็ไม่รู้ ปีบบอกให้ผมรอ ผมก็จะรอ ผมไม่อยากทำให้ปีบผิดหวัง ผมจะรอปีบ ผมรักปีบ ผม...ไอ้บ้าเอ้ย...” เขายังพูดต่อเรื่อยๆ แต่แทบฟังไม่ได้สรรพ โสภาเห็นสภาพลูกชายแล้วขอบตาร้อนผ่าว
อัษฎาเป็นคนตัวสูง เธอภูมิใจมากเวลาที่เขาสวมสูทหรือใส่กางเกงยีน เขาเคยไปต่างประเทศแล้วถ่ายภาพสวมเสื้อโค้ทมาก็ล้วนแล้วแต่ได้รับคำชมจากเพื่อนบ้านว่าลูกชายบุคลิกดี สูงเท่เหมือนพระเอกนิยาย แถมยังเป็นคนเรียนเก่ง หน้าที่การงานก็ดีสมฐานะ
เพราะไม่เคยเห็นอัษฎาเป็นแบบนี้มาก่อนจึงรู้สึกเจ็บปวด เขากำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่ดีเพราะเพิ่งได้รับคำสัญญาจากแฟนสาวว่าจะได้แต่งงานกัน เขานั่งคุยกับเธอเรื่องการจัดงาน จะเชิญใครบ้าง จะจัดที่ไหนอย่างไร ทุกเรื่องล้วนออกมาจากสีหน้าที่เป็นสุข
แต่ต้องกลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
โสภายังเช็ดตัวให้ลูกชายด้วยอารมณ์สงสารและเริ่มจะกลับกลายเป็นความโกรธเคืองฝ่ายหญิง
หลังจากตั้งสติได้และทบทวนอยู่สามวันทิพารักษ์ก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอตัดสินใจจะเผชิญปัญหาและแก้ไข เรื่องทั้งหมดก็ไม่น่าจะต่างอะไรกับการถูกคนเดินมาชนแล้วเธอก็ล้มจนได้แผลเล็กน้อย สิ่งที่ทำก็คือเลิกฟูมฟาย ค่อยๆ ทำความสะอาดแผลใส่ยา แล้วก็เดินหน้าต่อไป
‘ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เธอเป็นคนของครอบครัวฉันล่ะ แล้วฉันก็ไม่ชอบให้คนในปกครองของครอบครัวฉันไปเกี่ยวข้องกับไอ้อัษฎา ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม’
นึกถึงคำพูดของศาสนะ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาทำเรื่องสิ้นคิด ก็แค่คนพาล แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอต้องการจะไปยืนยันกับอัษฏาว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ล่วงเกินเธอ นอกจากรอยที่คอ เขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น
ทิพารักษ์มาที่บ้านของอัษฎา
โสภาเดินมาเปิดประตูบ้าน สีหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ทิพารักษ์รู้สึกเย็นวาบที่หลังคอ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ”
“ปีบมาหาพี่ดา พี่ดาอยู่ไหมคะ”
เป็นเพราะแววตาของเจ้าบ้านหรือบรรยากาศที่ไม่มีแดดหรืออย่างไรที่ทำให้ทิพารักษ์ต้องพูดจาเป็นทางการกับมารดาของคนรักอย่างไม่จำเป็น
“ดาอยู่ข้างบน เข้ามาก่อนสิ”
“พี่ดาไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
ทิพารักษ์ตกใจเมื่อโสภาบอกว่าชายหนุ่มป่วย ตอนนี้หลับอยู่ในห้องนอน ขอไม่ปลุกให้มาเจอ ทิพารักษ์ก็เข้าใจแม้ว่าจะผิดหวังเล็กน้อยเพราะอยากอธิบายให้เขาได้ฟังจากปากเธอมากกว่า และปกติแล้วป้าโสภาจะปลุกลูกชายให้ตื่นมาเจอเธอจนได้
“เขาดื่มเหล้า ไม่ได้นอน ก็เลยเป็นไข้”
ทิพารักษ์อึ้ง ชายหนุ่มดื่มได้ แต่เขาไม่ใช่นักดื่ม สาเหตุนั้นเธอก็รู้ดี นึกเสียใจที่น่าจะตัดสินใจมาหาเขาให้เร็วกว่านี้
“ขอโทษค่ะ”
โสภามองหน้าเด็กรุ่นลูก “ดาเขาบอกว่าปีบหายไปต่างจังหวัดกับผู้ชายชื่อศาสนะ”
หญิงสาวตัวชา ขอบตาร้อนผ่าว ใจเต้นโครมคราม เหงื่อออกมือ
“คือ ปีบไม่ได้เต็มใจค่ะ ปีบจะมาคุยกับพี่ดาเรื่องนี้” เธออธิบายว่าทุกอย่างเป็นแผนของศาสนะที่หลอกเธอว่าแม่ตกบันไดจนต้องไปกับเขา
“แล้วปีบไม่สงสัยจะโทร.เช็กก่อนเลยเหรอ”
ทิพารักษ์ชะงัก คำถามนี้ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ ในเมื่อศาสนะเป็นคนที่เธอไม่ชอบหน้าก็ควรระแวงมากกว่านี้ แม้แต่ตอนที่นั่งรถมากับเขาก็ไม่ควรดื่มน้ำขวดนั้น เธอพลาดเอง
“ตอนนั้นปีบ...ตกใจค่ะ ปีบเป็นห่วงแม่”
“ที่ปีบหายไปแบบนั้น รู้ไหมว่าดาทุกข์มากนะ ไม่เคยเห็นเขากินเหล้าจนเมามายขนาดนี้มาก่อน”
“แต่ปีบไม่ได้มีอะไรกับเขานะคะคุณป้า” ทิพารักษ์หายใจขัด เธอรู้สึกว่าการสนทนาครั้งนี้ไม่ใช่การขี้แจง แต่เธอกำลังถูกตำหนิ
“ป้าไม่รู้หรอกนะว่าความจริงมันคืออะไร คนที่รู้ดีที่สุดคือหนูกับผู้ชายคนนั้น” โสภากล่าวเรียบ “รู้ใช่ไหมถ้าหนูยืนยันแบบนี้ดาก็พร้อมจะเชื่อทุกคำ แต่ถามหน่อยนะ คนข้างนอกเขาจะมองลูกป้ายังไง ที่มาแต่งงานกับผู้หญิงที่หายไปกับผู้ชายอื่นทั้งคืน”
ทิพารักษ์หน้าชา น้ำตาแทบร่วง นี่เธอถูกพิพากษาไปแล้วหรือว่าเป็นคนมีมลทิน
“แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยเหรอ”
“เขาจะรับผิดชอบค่ะ แต่ปีบไม่ต้องการ”
“ขอโทษนะที่ป้าต้องพูดตรงๆ แต่อยากให้หนูไตร่ตรองอีกที ว่าเกิดเรื่องแบบนี้แล้วควรยื้อหรือปล่อยดาไป ป้าว่านะ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว หนูก็ควรปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็นมากกว่า เพราะถ้าหนูยังอยู่แบบนี้ดาก็คงตัดใจไม่ได้แน่ๆ”
คำพูดของโสภาบอกให้ทิพารักษ์รู้แน่ชัดว่าเจตนาที่แท้จริงของโสภาไม่ต้องการให้เธอคบหากับลูกชายอีกต่อไป
หญิงสาวบีบมือแน่น ปล่อยน้ำตารินไหลอย่างเงียบๆ
ความคิดเห็น |
---|