6

บทที่ 6

บทที่ 6

หลังจากสวมแหวนหมั้นก็เป็นพิธีรับไหว้ เสร็จแล้วก็เป็นการกินข้าวร่วมกัน ทิพารักษ์เดินมองซ้ายขวา ไม่เห็นปิยะดาก็หันไปถามแม่

“เอ ไม่เห็นนะ” เยาวลักษณ์หันไปรอบๆ “ปีบไปกินข้าวก่อนไหม”

“ปีบยังไม่หิวค่ะ” 

ทิพารักษ์เดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อโทร.หาเพื่อน เธอเดินหลบไปในบ้านตรงครัว แต่เห็นศาสนะยืนคุยโทรศัพท์ ใบหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบใจมาก”

เขาหันมาในจังหวะที่เธอเดินไปถึงพอดี รอยยิ้มหายวับ รีบตัดบทวางสายแล้วเดินออกไป

โทรศัพท์...ทิพารักษ์อดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มต้นจากวันนั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มคุยโทรศัพท์ก็ปวดแปลบในใจ

“เบ๊นซ์ ไปไหนมาลูก”

ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมาจากหน้าบ้าน ทิพารักษ์รีบเดินกลับไป

ปิยะดากำลังตอบเยาวลักษณ์ว่าพอดีมีสายจากที่บ้านเลยไปคุยอยู่ตรงมุมโน้น

“เบ๊นซ์ ไปไหนมา กินข้าวหรือยัง” ทิพารักษ์ถามเพื่อน

“ไม่มีอะไร กินข้าวเถอะ”

ปิยะดาตอบโดยไม่สบตา ทิพารักษ์เองก็สังเกตว่าอีกเพื่อนรักหน้าแดง มีเหงื่อซึมที่ขมับประหนึ่งเพิ่งไปออกกำลังกายมา สีหน้ายังดูตระหนกกับอะไรบางอย่าง ซ้ำบนแขนเสื้อสีขาวยังมีรอยเปื้อนสีแดงอยู่อีกด้วย 

 

พิธีจบลงแล้ว เหลือแค่การจดทะเบียน ประธานและแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับไป เหลือแค่ครอบครัวเจ้าของงาน และเพื่อนเจ้าสาว ที่เป็นพยานระหว่างที่นายทะเบียนที่สุทินเชิญมายื่นใบสำคัญทะเบียนสมรสที่มีชื่อคนทั้งสองพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว

ศาสนะทำหน้าบอกบุญไม่รับตอนรับปากกามาลงชื่อ คิดถึงบทสนทนาก่อนหน้าที่พ่อบอกว่าจะให้มีการจดทะเบียนด้วย ตอนนั้นเขาโวยลั่นห้อง คัดค้านอย่างถึงที่สุด แต่พ่อก็ไม่ฟัง ให้เหตุผลว่านี่คือการรับผิดชอบอย่างถึงที่สุดตามที่เขาได้สัญญาได้ เถียงกันไปมาอยู่พักใหญ่ แม่ก็เสียงสั่นทำตัวไม่ถูก สุดท้ายก็ต้องยอม

เขาลงชื่อเรียบร้อย วางปากกาโดยไม่หันไปมองหญิงสาว

ทิพารักษ์ค่อยๆ รับปากกา แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการจดทะเบียนสมรสครั้งนี้ แต่เรื่องก็ดำเนินมาเกินกว่าจะถอยหลังกลับ เอ่ยปากกับแม่ไปว่าตนได้ตัดสินใจแล้วแต่ก็ยังอดใจหายไม่ได้ เมื่อจะต้องมีชีวิตที่ผูกพันธะอยู่กับผู้ชายคนนี้จริงๆ 

รู้สึกได้ถึงสายตาคาดหวังและรอคอย ทิพารักษ์เขียนชื่อตนเองลงกระดาษ

 

สุทินกับอมรรัตน์เดินมาหาเยาวลักษณ์กับทิพารักษ์ 

“แม่เยาว์ เดี๋ยวฉันขอตัวกลับก่อนนะ จะได้ไปดูงานทางโน้นว่าเรียบร้อยดีเปล่า”

“เดี๋ยวสักสี่โมงให้ศาสมารับนะหนูปีบ” สุทินบอก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปีบไปเอง”

อมรรัตน์โบกมือ “จะไปเองให้ลำบากทำไม ให้ศาสมารับแหละดีแล้ว จริงไหมคะคุณ” 

“ใช่ เอาตามที่คุณอิมเขาว่านั่นแหละ”

“งั้นเดี๋ยวเย็นๆ เจอกันนะแม่เยาว์” อมรรัตน์บอกอย่างยิ้มแย้ม

“ค่ะ”

ทิพารักษ์กับเยาวลักษณ์ยกมือไหว้ ถ้าจะมีอะไรที่ชื่นชโลมใจได้ก็เป็นความเมตตาของผู้ใหญ่ทั้งสอง ขณะที่ศาสนะทำท่าเหมือนจะแย้งแต่ก็ไม่พูดอะไร 

เยาวลักษณ์เปลี่ยนเสื้อผ้ามาช่วยคนเก็บกวาดส่วนที่เหลือเล็กๆ น้อย 

“ปีบขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะแม่”

“ไปเถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็พักผ่อนเลย ไม่ต้องลงมาหรอก เหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

“แม่ก็เหนื่อยเหมือนกันแหละ” ทิพารักษ์บอกกับมารดาทื่มือยังเช็ดนั่นเช็ดนี่อยู่ตลอดเวลา “เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วปีบจะมาช่วยแม่ก่อน จะได้เสร็จไวๆ”

เธอพูดแล้วรีบขึ้นไปบนห้องกับปิยะดา ก่อนจะกลับลงมาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตผ้ายีนกับกางเกงขาสั้นและช่วยกันเก็บล้างทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่นาน

สองสาวกลับเข้ามานั่งในห้องอีกครั้ง

“ง่วงก็นอนได้นะเบ๊นซ์ อีกตั้งเกือบสามชั่วโมง”

“แกสิควรต้องนอน ตื่นมาตั้งแต่ตีสามตีสี่” เพื่อนรักตอบ 

ทิพารักษ์ดึงหมอนมาเอนหลัง เพื่อนสนิทก็เปลี่ยนมาสวมชุดธรรมดาเพื่อรอไปงานอีกทีตอนกลางคืน เธอทำท่าจะนอนเช่นกัน

“สรุปว่าเมื่อเช้าแกหายไปไหนมา”

“เมื่อเช้า...ก็ไปคุยโทรศัพท์ไง”

“แกมีอะไรปิดบังอยู่ใช่ไหม”

“ไม่มี ฉันคุยนานไปหน่อย พอดีข้างนอกมันร้อนด้วย”

ทิพารักษ์ขยับมานั่งตัวตรง “เบ๊นซ์ แกก็รู้นะว่าเป็นคนโกหกไม่เก่ง แกออกไปข้างนอกแน่ๆ แต่ไม่ใช่หน้าบ้าน เสื้อก็เปื้อนอะไรมาไม่รู้ บอกฉันมาดีๆ แกไปไหนมา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

ปิยะดาที่กำลังจะคว้าโทรศัพท์มาเห็นแววตาจริงจังของเพื่อน บวกกับข้อความที่ตรงใจจึงปฏิเสธไม่ออก

“คือ...เอางี้ได้ไหม” เธอขยับตัว “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง แต่ให้งานจบก่อน”

“ทำไมต้องงานจบก่อน”

“เอาเถอะน่า หน้าที่ของแกตอนนี้ก็คือทำพิธีให้เสร็จ เดี๋ยวจบงานแล้วฉันเล่าให้ฟัง”

“เล่าแน่นะ”

“สัญญา”

เมื่อเพื่อนกล่าวอย่างหนักแน่นเช่นนั้น ทิพารักษ์จึงผ่อนลมหายใจ ไถลตัวเพื่อจะนอนหลับเอาแรงตามความตั้งใจเดิม ปิยะดาถอนใจเฮือก

 

ศาสนะกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอน อยากจะหลับตาแล้วตื่นมาอีกทีพรุ่งนี้ไปเลย ถ้าไม่มองนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วเห็นว่าบ่ายโมงกว่าแล้ว อีกไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องขับรถไปรับยายดอกปีบที่บ้านอีก

พ่อนะพ่อ เกษมก็ว่างอยู่ทำไมต้องให้เขาไปรับด้วย ทั้งที่วันนี้ก็ต้องตื่นตั้งแต่มืดเพื่อไปทำพิธีที่บ้านเธอ ต้องไปยืนกลั้นหาวแทบแย่กว่าจะเสร็จพิธี

แต่ยังพอมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน

เรื่องมันเริ่มตั้งแต่วันที่พ่อกำลังปรึกษากับแม่เรื่องรายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงาน ทั้งงานตอนเช้าและตอนค่ำ รวมแล้วประมาณสามสิบคนซึ่งจัดได้ว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เฉพาะญาติและคนสนิทเท่านั้น โดยที่แม่จะเป็นคนเขียนการ์ดเอง เขาซึ่งไม่คิดจะให้ชื่อเพื่อนคนไหนทั้งสิ้นจำต้องให้ไปเนื่องจากต้องมีเพื่อนเจ้าบ่าว

เดี๋ยวเรื่องการ์ดให้แม่แกจัดการก็แล้วกัน หรือจะเอาไปทำเอง พ่อถาม เขาส่ายหน้า

ตอนแรกแม่เยาว์เขาก็บอกว่าจะทำให้นะ แต่เขาก็งานเยอะอยู่แล้ว ต้องทำขนมมาเลี้ยงแขกทั้งงานเช้างานเย็น ก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า’ แม่อธิบายราวกับรู้ว่าเขากำลังสงสัย

งานนี้ฉันเชิญผู้ใหญ่มาหลายคน ทำตัวดีๆ อย่าทำให้เสียหน้าล่ะ

บิดากล่าวเชิงสั่งขณะที่ศาสนะอ่านรายชื่อที่แม่เขียน เขาไม่ตอบอะไรแต่ขณะที่กำลังจะลุกออกมาคำว่าเสียหน้าก็ทำให้คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาใช้จังหวะที่แม่เผลอแอบดึงการ์ดออกมาหนึ่งใบ

ศาสนะหาที่อยู่ของอัษฏามาได้อย่างง่ายดาย เขาให้คนเอาการ์ดเชิญใส่ซองสีน้ำตาลอีกชั้นไปใส่ตู้ไปรษณีย์ในเช้าวันแต่ง เพื่อปฏิบัติการ ทำให้เสียหน้า

ในมหาวิทยาลัย มีครั้งหนึ่งที่หมอนั่นให้ตำรวจมาจับเขาถึงหน้าอาคารเรียน กระเหี้ยนกระหือรือจะเอาเรื่องให้ได้ ต้องไปให้ปากคำที่โรงพัก กลายเป็นเรื่องทอล์คออฟเดอะทาวน์อยู่หลายวัน ทำให้เขาอับอายขายหน้ามาก

ถึงวันนี้เหตุการณ์จะไม่เป็นไปตามแผน แต่หลังจากที่รับสายจากคนที่ให้ไปดักรอ ก็พอมีเรื่องให้หายเบื่อได้บ้าง

 “จะอะไรก็ช่าง นอนเอาแรงก่อนดีกว่า”

เขาพูดกับตัวเองแล้วตั้งเวลาปลุกที่โทรศัพท์ ขอสักสองชั่วโมง ตื่นมาอาบน้ำอาบท่าไปรับยายดอกปีบก็ยังทัน

 

“เจ้าสาวยิ้มหน่อยครับ” 

ช่างภาพกล่าวขณะที่ยกกล้อง เจ้าสาวเหยียดยิ้มริมฝีปากเล็กน้อย พอจะกดชัตเตอร์แต่แล้วก็ลดกล้องลงมา “เจ้าบ่าวด้วยครับ ยิ้มหน่อย”

แทนที่จะได้ตามที่ขอกลับเป็นสีหน้าอิดหนาระอาใจ ช่างภาพกะพริบตาปริบ ทั้งที่เขามองว่าทั้งสองสวยหล่อเหมาะสมกัน เจ้าสาวสวยหวานในชุดเบี่ยงไหล่แบบเรียบๆ มีลูกเล่นระบายตรงสะโพส ผมประดับดอกไม้ ขณะที่เจ้าบ่าวเลือกสูทสีเทา ซึ่งพอเหมาะพอดีกับรูปร่างและทรงผมที่เซตมาวันนี้มาก

เสียแต่ว่าทั้งคู่ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

“ขออีกสักนิดได้ไหมครับ แสงกำลังสวยเลย สบตากันสักนิดครับ”

ตั้งแต่รับงานถ่ายรูปงานแต่งมายังไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ยิ่งพูดเชียร์ชวนเท่าไรก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะแสดงสีหน้าบึ้งตึงมากเท่านั้น ดีที่สุดที่ทำให้คือรอยยิ้มบางๆ เหมือนเวลาถ่ายบัตรประชาชน ขณะที่บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานยิ้มแย้มแจ่มใสแถมยังชมไม่ขาดปากว่าทั้งคู่เหมาะสมกันมาก

โมเม้นต์หัวร่อต่อกระซิกกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตากล้องหนุ่มแอบถอนใจกับตัวเอง

                

เยาวลักษณ์น้ำตาคลอตอนส่งตัวทิพารักษ์ นอกจากจุดธูปขอให้คุณงามความดีของสามีคุ้มครองลูกสาว ก็ทำได้แค่กล่าวคำพูดฝากฝังให้คนที่เป็นลูกเขยช่วยดูแลลูกสาวเธอ

“ปีบเป็นเด็กธรรมดา ไม่ได้ดีเลิศอะไร ถ้าทำอะไรผิดไปคุณศาสก็ช่วยบอกกล่าวตักเตือนและให้อภัยปีบด้วยนะคะ”

ศาสนะยกมือไหว้ แววตาเขาไม่ได้ส่องประกายเย่อหยิ่งอย่างเคย มันสงบนิ่ง

“ครับน้าเยาว์”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้บ่าวสาวเขาพักผ่อนเถอะนะ เราไปกันเถอะ” สุทินบอกขณะลุกขึ้น

“ดึกแล้ว แม่เยาวน์ก็พักซะที่นี่นะ ไม่ต้องกลับไปบ้านหรอก เดี๋ยวฉันพาไปที่ห้อง” อมรรัตน์กล่าว เดินมาจับแขน แต่เจ้าตัวยังรีรอ

“ไปเถอะแม่เยาว์ ไม่ต้องห่วงหรอก” สุทินกล่าวสำทับ สีหน้าจริงใจอบอุ่น

ผู้ใหญ่ทั้งสามเดินออกไปจากห้อง

เมื่อประตูปิดลง ศาสนะทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง

“จบซะที เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ทำงานยังไม่เหนื่อยเท่านี้เลย”

ทิพารักษ์ยืนเก้กัง เพราะไม่รู้จะทำอะไรก่อน 

ศาสนะผงกศีรษะขึ้นมา “เธอจะอาบน้ำก่อนหรือเปล่า คงไม่ใช่ไหม ยังต้องเช็ดเครื่องสำอางอะไรอีกตั้งเยอะ ฉันอาบก่อนแล้วกัน”

ถามเองตอบเองแล้วก็ลุกจากเตียง เพราะนั่นเป็นห้องของเขาจึงคุ้นชินทุกอย่าง ชายหนุ่มเปิดตู้ทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำแต่แล้วก็หันมาพูดต่อ

“ระหว่างรอก็เก็บกวาดเตียงด้วย ฉันจะไม่นอนท่ามกลางกลีบกุหลาบนะ”

ทิพารักษ์หันไปมองบนเตียงที่โปรยดอกไม้ไว้จากพิธีปูเตียง อาการเงอะงะแทนที่ด้วยความโมโห นอกจากเอาแต่ใจ ขี้พาล ยังชอบออกคำสั่ง เธอคิดอย่างฉุนเฉียวขณะจัดการปัดกวาดเอากลีบดอกไม้และเก็บพานของมงคลไปวางที่โต๊ะข้างเตียง เสร็จแล้วก็เดินหามุมที่จะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูเหมือนเขาจะเดินไปทางนั้น

ช่องประตูเชื่อมกับห้องแต่งตัว ทิพารักษ์อึ้งตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไป เพราะพื้นที่ที่เป็นแค่ห้องแต่งตัวนั้นกว้างกว่าห้องนอนของเธอเสียอีก

ผนังด้านหนึ่งเป็นตู้แบบบิ้วท์อิน เสื้อทุกตัวแขวนไว้โดยแยกหมวดหมู่ชัดเจน อีกตู้เป็นกางเกง มีทั้งแบบแขวนและพับไว้ ตู้หลังหนึ่งใช้กระจกสูงเป็นบานประตูก็น่าจะเก็บอะไรไว้อีกที่เธอไม่กล้าเปิด นอกจากนั้นตรงกลางห้องยังมีเก้าอี้สตูลตัวยาวแบบในร้านเสื้อผ้า ไม่สิ นี่มันร้านขายเสื้อผ้าชัดๆ

หญิงสาวยืนงง ถึงเข้ามาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรตรงไหน ไม่เคยใช้ห้องแต่งตัวกว้างขวางแบบนี้มาก่อน ที่บ้านมีแค่โต๊ะเครื่องแป้งติดกระจกเก่าๆ ที่ใช้มาสิบกว่าปีตัวเดียว

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

ทิพารักษ์สะดุ้ง หันไปเห็นศาสนะที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนู เธอรีบหันหน้าหนี ภาพนั้นทำให้จุดเริ่มต้นที่น่าอายย้อนกลับมา ต่างกันตรงที่วันนี้มีผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดศีรษะมาด้วย

“มายืนงงอะไรอยู่ตรงนี้” เขาหยิบเสื้อยืดคอกลมมาสวม “อะไรกัน ยังไม่ได้ลบเครื่องสำอางอีก หรือว่าจะเมคอัพนอนแบบนางเอกละคร ก็ได้นะ ไม่ว่ากัน แต่มันจะเปื้อนหมอนรึเปล่าเนี่ย”

ชายหนุ่มพูดแล้วทำท่ากังวลเกินเหตุ ทิพารักษ์หน้าบึ้ง เดินเร็วๆ ออกไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามานั่งตรงสตูลกลาง หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมาแล้วก็จัดการตัวเอง ศาสนะมองยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไป

หญิงสาวมองตามทั้งหงุดหงิดและหมั่นไส้

 

ทิพารักษ์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เธอเลือกชุดนอนเป็นเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขายาว ซึ่งดีใจที่คิดถูกเพราะในห้องเปิดแอร์ ส่วนเจ้าของห้องนอนเอกเขนกเหยียดขาดูทีวีอย่างสบายอารมณ์ ไม่มีท่าทางง่วงหงาวหาวนอนเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด

เธอมองเตียง ขนาดกว้างแทบจะเป็นสองเท่าของที่ห้องนอนเธอ ฟูกนอนที่ดูด้วยตายังสัมผัสได้ถึงความนุ่ม แต่ที่ตรงนั้นไม่น่าพิศมัยในเวลานี้

ศาสนะมองมา “จะไม่นอนเตียงเดียวกันก็ได้นะ แต่ฉันไม่รับบทพระเอกนอนโซฟา เธออยากจะนอนก็ไปนอน หมอนกับผ้าห่มอยู่ในตู้ หยิบได้ตามใจชอบเลย”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในห้องนี้ไม่มีโซฟา มีแต่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ตรงมุมห้องติดหน้าต่างที่นอนไม่ได้ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสน่หาอะไร แต่เมื่อพูดออกมาชัดเจนขนาดนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ต่างคนต่างอยู่อย่างสบายใจ 

หญิงสาวมองพื้นที่ในห้องนอน คิดเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว เปิดตู้หาเครื่องนอน ได้ผ้านวมผืนหนา หมอน และผ้าห่มอีกหนึ่งผืน เธอหอบเข้ามาในห้องนอน จัดการปูที่ลงตรงพื้นที่ข้างเตียง

ศาสนะขยับตัว “ทำอะไรน่ะ”

ทิพารักษ์หันไป ตอบเรียบ “นอนค่ะ”

“ทำไมไปนอนตรงนั้น ไม่ขึ้นมานอนบนเตียง”

“คุณบอกเองว่าจะไม่นอนก็ได้นี่คะ พอดีในห้องนี้ไม่มีโซฟา ฉันก็เลยเลือกตรงนี้” เธอพูดแล้วทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้ามาห่ม 

“เธอนี่มัน...”

ชายหนุ่มอยากจะพูดต่อ แต่เธอพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เสียแล้ว จึงทำได้แค่เม้มปากแน่นอย่างหงุดหงิด

ก่อนหน้านั้นยังทำเป็นตาแดงเสียงเครือ นึกว่าหัวอ่อน ที่ไหนได้ พยศกว่าที่คิด กล้าปฏิเสธเขา

แล้วจะได้เห็นดีกัน ยายดอกปีบ

 

ถึงจะแปลกที่จนนอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นานแต่ในที่สุดด้วยความอ่อนเพลียทิพารักษ์ก็เผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าตรู่อีกวันแล้ว เวลาตอนนั้นอีกสิบห้านาทีเจ็ดโมง ถือว่าเป็นเวลาสายมากสำหรับเธอ

ทิพารักษ์จัดการพับเก็บที่นอน กำลังจะไปล้างหน้าล้างตาก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ วางทิ้งไว้ในห้องนอนแบบนี้ไม่น่าจะดี เธอจัดการยกขึ้นไปเก็บไว้ในตู้ตามเดิม เจ้าของห้องยังหลับไม่รู้เรื่อง มีโอกาสมองหน้าตาตอนหลับของชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วรีบเข้าห้องน้ำ

ตอนหลับก็ดูเหมือนเจ้าชายผู้อบอุ่นใจดีอยู่หรอก แต่ตอนตื่นขึ้นมานี่สิ กลายเป็นอสูรที่จ้องแต่ฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนไปเสียอย่างนั้น

จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปชั้นล่าง 

“หนูปีบ ตื่นแล้วเหรอ”

อมรรัตน์เป็นคนแรกที่ทักทาย หญิงสูงวัยกำลังจัดโต๊ะอาหารกับแม่บ้าน โดยมีแม่ของเธอคอยช่วยอีกคน ส่วนสุทินกำลังเตรียมตัวจะกินมื้อเช้า

“ขอโทษค่ะ ปีบตื่นสายไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร นี่ป้า...ไม่สิ ต้องเรียกแม่แล้วเนอะ แม่ยังคิดว่าหนูจะตื่นสักแปดโมงเลยนะ เมื่อวานดูเหนื่อยมาก” อมรรัตน์ยิ้มแย้ม “หิวไหม มานั่งนี่มา จะได้กินมื้อเช้าพร้อมกัน”

ทิพารักษ์ซาบซึ้งในความเมตตานั้น “ขอบคุณค่ะ คือ...”เพราะคำว่าพร้อมกันทำให้เธอปรายตาขึ้นข้างบน

“ศาสเหรอ ไม่ต้องรอหรอก เดี๋ยวก็มากินเอง เรากินก่อนได้เลย” สุทินเป็นคนกล่าวประโยคนี้ 

ทิพารักษ์หันไปคุยกับเยาวลักษณ์ที่นั่งข้างๆ “แม่เป็นไงบ้าง เมื่อคืนผิดที่ นอนหลับหรือเปล่า” 

“หลับสนิทเลยจ้ะ คงเพราะเหนื่อยน่ะ ปีบล่ะ” 

“ปีบก็เหมือนกันค่ะ”

หญิงสาวเห็นสีหน้าของแม่ก็เป็นไปในทางเดียวกับคำพูดก็สบายใจ 

“ถ้าอยากกินอะไรก็บอกติ๋วเขาได้เลยนะ”

“ขอบคุณค่ะ” ทิพารักษ์ตักข้าวต้ม 

 

“เดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อนนะ ตามสบายนะแม่เยาว์”

สุทินที่จัดการมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้น ทิพารักษ์กับเยาวลักษณ์พนมมือไหว้

ลับหลังสุทิน แม่บ้านติ๋วเดินเข้ามา 

“น้องปีบเอาข้าวต้มอีกไหมคะ”

“ไม่ค่ะ อิ่มแล้ว”

“อ้าว ศาส มาพอดี มากินข้าวเร็วลูก”

ศาสนะที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปทำงานแล้วเดินมาที่ครัว เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมเทาเนกไทสีน้ำเงินลายริ้วสีเทาและกางเกงสแล็คสีดำ หวีผมเรียบร้อย

“ไม่เป็นไรครับแม่ วันนี้ผมเข้าออฟฟิศบ่าย จะไปหาลูกค้าแล้วไปกินข้างนอกเลย”

“แล้ววันนี้จะกลับมืดไหม” อมรรัตน์ถาม

“ก็กลับตามปกตินี่แหละครับ” เขาตอบ กำลังจะเดินไปหน้าบ้านเพื่อสวมรองเท้า แต่หูยังได้ยินการสนทนาของคนสามคน 

“เดี๋ยวยังไง ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนด้วยนะคะ จะไปทำขนมต่อน่ะค่ะ”  เยาวลักษณ์บอกพร้อมให้เหตุผล

“งั้นเดี๋ยวให้เด็กไปเรียกแท็กซี่นะ” อมรรัตน์บอก ทำท่าจะเรียกแม่บ้าน

“แม่รอปีบด้วยนะ ปีบไปเก็บของก่อน” ทิพารักษ์รีบพูด ทำท่าจะลุกจากโต๊ะแต่ก็หันไปหาอมรรัตน์ “ปีบขอกลับไปอยู่กับแม่ที่บ้านนะคะ ไม่อยากให้แม่ลูกคนเดียว ปีบเป็นห่วงแม่”  

อมรรัตน์ทำหน้าเหลอหลา เพราะที่คุยกับสุทินไว้ก็คือไม่ต้องการให้ทิพารักษ์กับศาสนะแยกกันอยู่ พอหญิงสาวแสดงความต้องการแบบนั้นขึ้นมาก็นึกคำพูดไม่ทัน

ศาสนะชะงักเท้าที่กำลังจะสวมรองเท้าอีกข้าง เปลี่ยนใจเดินกลับไปที่วงสนทนา

“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ”

สีหน้าชายหนุ่มขึงขัง ทิพารักษ์ ไม่สนใจ ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสองนั้นอึกอัก

“ฉับบอกว่าจะกลับไปอยู่กับแม่ที่บ้าน”

“เธอจะไปอยู่ที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่” ศาสนะเสียงดังขึ้น

“ทำไมจะไม่ได้ ฉันเป็นห่วงแม่ ไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว” 

“แต่เธอควรจะรู้ไว้นะว่าพ่อไม่ต้องการให้เธอกับฉันแยกกันอยู แล้วถ้าเธอกลับไปอยู่บ้าน ฉันต้องย้ายตามไปอยู่กันเธอด้วยงั้นสิ”

“ก็คงงั้นมั้งคะ” น้ำเสียงทิพารักษ์ราบเรียบ ไม่แยแส

“ไม่มีทาง! ฉันจะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น และก็ไม่มีสิทธิ์ย้ายออกจากที่นี้ด้วย”  ชายหนุ่มเสียงดังขึ้นไปอีก อารมณ์กรุ่นอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ถูกทิพารักษ์เมินใส่ เช้านี้จึงถูกจุดให้เดือดง่ายดาย

“ศาส ใจเย็นๆ ลูก” อมรรัตน์แตะแขนลูกชาย

“ผมไม่ไปอยู่บ้านนั้นนะแม่ แคบแบบนั้นผมจะไปอยู่ได้ยังไง”

อมรรัตน์พูดไม่ออก เข้าใจลูกชายดี เขาเคยอยู่สุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะต้องไปอยู่ในบ้านหลังเล็ก สิ่งอำนวยความสะดวกไม่พร้อมพรั่งคงอึดอัดทั้งกายและใจ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะยกมาอ้างตอนนี้เพราะเจ้าของบ้านก็ยังยืนอยู่ เท่ากับเป็นการเหยียดฐานะอีกฝ่ายซึ่งไม่ควรจะเป็น เธออดหน้าชาแทนไม่ได้ต้องรีบไกล่เกลี่ย

“ศาส แม่ว่าศาสไปทำงานก่อน เดี๋ยวเย็นๆ กลับมาค่อยคุยกันอีกที นะลูก”

ศาสนะมองทิพารักษ์ หญิงสาวก็จ้องตอบอย่างไม่ลดละโดยมีผู้เป็นแม่จับแขนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็เดินปึงปังออกไปอย่างหงุดหงิด

“ขอโทษค่ะคุณอิม”

“ไม่เป็นไรแม่เยาว์ ฉันเข้าใจ” อมรรัตน์กล่าวอย่างใจกว้างแล้วถอนใจยาว

“ปีบ เดี๋ยวแม่กลับบ้านก่อนนะ” เยาวลักษณ์หันไปคุยกับลูกสาว อีกฝ่ายทำท่าจะแย้งแต่เธอชิงกล่าวก่อน “เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว ปีบแต่งงานแล้ว ต้องอยู่กับสามีถึงจะถูก”

ทิพารักษ์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่ปีบเป็นห่วงแม่ ป้า เอ้อ แม่คะ ขออนุญาตให้ปีบกลับไปอยู่ที่บ้านโน้นกับแม่ได้ไหมคะ ถ้าปีบไม่อยู่ แล้วแม่เจ็บปวดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

อมรรัตน์ก็ลำบากใจ พยายามนึกหาทางออก

“ปีบ แม่บอกว่าไม่เป็นไรไง แม่อยู่ได้”

“เอางี้แล้วกัน วันนี้ให้แม่เยาว์กลับไปก่อน เรื่องหนูปีบเนี่ยเดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที รอคุณสุทินก่อน”

อมรรัตน์จับมือทิพารักษ์ “นะหนูปีบ”

เมื่อผู้มีบุญคุณเอ่ยปากขนาดนั้น บวกกับสายตาของแม่ที่มีเจตนาแน่วแน่ทำให้ทิพารักษ์จำเป็นต้องยอม

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น