บทที่ 8
“พรุ่งนี้ปีบขออนุญาตไปข้างนอกนะคะ”
ทิพารักษ์พูดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร เป็นการบอกทั้งสุทินและอมรรัตน์ไปพร้อมๆ กัน
“ไปบ้านโน้นเหรอ ไปกี่โมงล่ะ เดี๋ยวให้เกษมไปส่ง” สุทินเสนอ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวปีบไปเอง พอดีปีบไม่ได้ไปหาแม่”
“แล้วไปไหนล่ะ” อมรรัตน์ถามบ้าง
ทิพารักษ์นิ่ง ลืมตัวไปหน่อยที่ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกถามจึงต้องตอบตามตรง “ปีบ...จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ”
“แกร๊ง”
เสียงวางช้อนดังมาจากทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นที่นั่งของศาสนะ เขาพูดทันที
“สะใภ้บ้านนี้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่น ฉันไม่อนุญาต”
“ฉันแค่ไปสัมภาษณ์ค่ะ”
“สัมภาษณ์ก็ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ฉันอยู่บ้านเฉยๆ เหรอคะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน” สุทินกล่าวขึ้นบ้าง “ถ้าหนูปีบอยากทำงานก็ไปทำที่บริษัทเราสิ เดี๋ยวให้ศาสหาตำแหน่งให้”
“ตอนนี้ที่บริษัทไม่มีตำแหน่งว่างเลยครับ” ศาสนะรีบกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว
ทิพารักษ์มองศาสนะ ในสมองเธอไม่เคยคิดจะไปทำงานกับเขาเลยสักนิด แต่เรื่องอะไรจะพูดให้เสียคะแนน เธอมีวิธีที่ดีกว่านั้น เธอหันไปทางสุทิน
“ในเมื่อคุณศาสไม่ชอบใจที่ปีบจะไปเป็นลูกจ้างคนอื่น และที่บริษัทก็ไม่มีตำแหน่งว่างด้วย ถ้าอย่างนั้นปีบขอไปเปิดร้านขายขนมกับแม่ได้ไหมคะ”
“อื้ม เอาสิ ดีเหมือนกันปีบจะได้ทำงานและอยู่ใกล้ๆ แม่ด้วย เดี๋ยวพ่อหาสถานที่ให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปีบหาเองก็ได้”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อหาให้ ถือเป็นของขวัญต้อนรับลูกสะใภ้แล้วกัน”
หัวหน้าครอบครัวอรรถพิพัฒน์กล่าวอย่างยินดี ลูกสะใภ้ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
ศาสนะมองทิพารักษ์พลางคิดในใจว่าเห็นเงียบๆ ติ๋มๆ แท้จริงฉลาดเป็นกรด พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ทุกรอบสิน่า ยายดอกปีบ
ทิพารักษ์เข้ามาหยิบสมุดกับปากกาในห้องนอนเพื่อจะไปจดแผนงานรวมทั้งออกแบบร้านรอเวลา สุทินคงใช้เวลาไม่นานที่จะหาที่ทางให้ เธอต้องเตรียมข้อมูลไว้ให้พร้อม
ได้ของครบก็เตรียมตัวจะลงไปข้างล่าง แต่เจอกับศาสนะที่ยืนอยู่ตรงประตู สีหน้าบอกบุญไม่รับ ทิพารักษ์ไม่สนใจเดินผ่าน แต่ศาสนะคว้าต้นแขนเธอ
“อุ๊ย!” ทิพารักษ์ตัวปลิวไปตามแรง “คุณศาสปล่อยนะ”
“ทำไมเธอขยันสร้างปัญหานัก อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง”
“สร้างปัญหาอะไร ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ก็ปัญหาเรื่องทำงาน พอไม่ได้ก็ไปขอพ่อเปิดร้านขนม ทำเอาวุ่นวายไปหมด”
ทิพารักษ์จ้องหน้าเขา “คุณนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ฉันจะไปทำงานข้างนอกคุณก็ไม่อนุญาต จะไปขายขนมก็ไม่พอใจ”
“แต่เธอเป็นเมียฉัน ควรจะต้องทำตามคำสั่งของฉัน”
“ก็แค่ในนาม!” เธอสะบัดแขนออกมาจนได้ ทำท่าจะเดินหนี
ศาสนะกระตุกยิ้ม “แน่ใจเหรอ จะให้ฉันบรรยายไหมว่าเธอมีไฝฝีขี้แมลงวันตรงไหนบ้าง เริ่มจากตรง...”
เขากวาดสายตาขึ้นลงที่ตัวเธอ ทิพารักษ์หันขวับหน้าร้อนผ่าว
พลัน กระเป๋าเครื่องเขียนในมือก็ถูกเขวี้ยงออกไปทันที
“เฮ้ย!”
ศาสนะร้องเสียงหลงเพราะไม่ทันระวัง กระเป๋าโดนหน้าผากเขาอย่างจัง
“นี่กล้าทำร้ายฉันเหรอ!”
ชายหนุ่มโวยวาย ทิพารักษ์เองก็เพิ่งรู้ตัวว่ามือไวกว่าใจ เธอรีบหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ศาสนะก้าวตาม แต่ไม่ทัน ได้แต่ฮึ่มฮ่ำตามหลังด้วยความเจ็บใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงตาฉันเอาคืนบ้างนะ !”
สองสัปดาห์ผ่านไป ร้านขนมแม่เยาว์ก็เปิดอย่างเป็นทางการ ที่ตั้งนั้นคือตึกแถวในตลาดที่เคยขายขนมนั่นเอง แต่เดินเข้าซอยไปอีกเล็กน้อย เมื่อมีหน้าร้านและครัวที่กว้างขึ้น เยาวลักษณ์กับทิพารักษ์จึงทำขนมหลายชนิดขึ้น ทิพารักษ์มองหาลู่ทางที่จะขายออนไลน์ซึ่งต้องเป็นขนมชนิดที่เก็บได้หลายวันสักหน่อย แต่ยังอยู่ในช่วงวางแผนเนื่องจากกำลังการผลิตยังมีแค่เธอกับมีสองคน
“วันนี้เปียกปูนหมดแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” หญิงสาวกล่าวกับลูกค้าหนุ่มเสียงอ่อนหวาน
“หมดไวจัง ปกติเวลานี้ยังพอมีอยู่นะ”
“เมื่อกี้มีลูกค้ามาเหมาไปค่ะ รับอย่างอื่นไปลองทานก่อนไหมคะ ขนมต้มก็อร่อยนะ”
“ขนมต้มก็ได้ครับ เอาสองกระทงครับ” ลูกค้าบอกในที่สุด
“พรุ่งนี้มาเอาขนมเปียกปูนนะคะ” แม่ค้าบอกพร้อมรอยยิ้ม ลูกค้าหนุ่มพยักหน้าและเดินยิ้มเขินออกไป
ทิพารักษ์คิดว่าน่าจะทำเปียกปูนเพิ่มอีกสักหน่อย เพราะเป็นขนมขายดีอันดับหนึ่งของร้าน ด้วยรสชาติหอมหวานแบบโบราณผสมกับการนำเสนอแบบใหม่ที่เอาสองรสชาติผสมกันในชิ้นเดียวเป็นจุดขายให้คนรุ่นใหม่ได้มาก
“ซื้อขนมเปียกปูน”
“ขอโทษนะคะ ขนมเปียกปูนหมดแล้ว...อุ๊ย คุณศาส คุณมาทำอะไร”
ท้ายประโยคทิพารักษ์ตวัดเสียงอย่างไม่ค่อยชอบใจนักที่เห็นเขามาปรากฏตัวที่ร้าน เวลาตอนนั้นเพิ่งจะเก้าโมง และเป็นวันเสาร์ ปกติแล้วชายหนุ่มจะนั่งเล่นไอแพดอยู่ในชุดนอน ถ้าไม่ใช่บนห้องก็ที่โต๊ะอาหารในห้องครัว
แต่วันนี้มาถึงที่ร้าน
เขาก้าวเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เชิญ มองไปรอบๆ ถึงจะเป็นแค่ตึกแถวคูหาเดียวแต่ทิพารักษ์จัดไว้เรียบร้อย มีโต๊ะทำงานสีขาวซึ่งตอนนี้มีทั้งใบตองและกระดาษห่อของขวัญ รวมทั้งเครื่องเขียน มีม้านั่งและโต๊ะข้างตัวเล็กๆ สำหรับนั่งเล่น ส่วนด้านหลังเป็นครัวที่ศาสนะไม่ได้เดินไปถึง แต่ได้ยินเสียงเก็บล้างภาชนะ
“ทำไมไม่ใช้เสียงที่คุยกับลูกค้าเมื่อกี้พูดกับฉันล่ะ”
“ก็เพราะคุณไม่ใช่ลูกค้า”
“อ๋อ เพราะเป็นสามีเลยใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างเป็นมะนาวไม่มีน้ำงั้นเหรอ” เขาพูดแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่ง
“คุณ...”
“อ้าว คุณศาส มานานแล้วเหรอคะ”
เยาวลักษณ์เดินออกมาพอดี ขัดจังหวะที่ทิพารักษ์กำลังจะโวยวาย เธอถอนใจเฮือก หันไปจัดถาดใส่ขนมในตู้แก้เซ็ง
“เพิ่งมาครับ แต่ผมรอน้ำดื่มจากปีบจนคอแห้งแล้ว”
ทิพารักษ์หันขวับ ถลึงตาใส่ เยาวลักษณ์มองหน้าลูกสาว เห็นความไม่พอใจจึงปรามด้วยสายตา คนเป็นลูกเดินฉับๆ ไปเปิดตู้เย็น
“คุณศาสกินขนมไหมคะ เอาอะไรดี”
“ต้องแบบน้าเยาว์นี่สิ อ่อนหวาน จริงใจเสมอ เธอควรเอาอย่างแม่บ้างนะ”
เขาหันไปบอกหญิงสาวที่ถือแก้วมาให้ ทิพารักษ์วางกึ่งกระแทกก่อนจะหมุนตัวทำท่าจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
“อ้าว แล้วขนมล่ะ ขอเป็นขนมต้มกับขนมฟักทองนะ”
ทิพารักษ์นับหนึ่งถึงสิบ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินไปที่หน้าร้าน ตักขนมใส่จานมาวางไว้ให้แล้วเดินไปหลังร้านอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไรอีก
ศาสนะมองตามผุดยิ้มมุมปากแล้วหันมาสนใจกับขนมในจาน
“เป็นยังไงบ้างครับ ขายดีไหม” เขาถามพลางตักขนมต้มเข้าปาก
“พอไปได้ค่ะ โชคดีที่ยังได้ขายในตลาดลูกค้าเก่าๆ ก็ตามกันมาซื้อ ต้องขอบคุณคุณสุทินมากๆ เลย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ มองไปด้านหลัง
“เห็นปีบบอกว่าน้าเยาว์ไม่ได้พักที่นี่เหรอ ทำไมล่ะครับ”
“เป็นห่วงบ้านค่ะ บ้านเคยมีคนอยู่ พอทิ้งไว้แล้วไม่สบายใจเท่าไร”
“แล้วกลับบ้านกี่โมงครับ”
“บ่ายสามบ่ายสี่ก็กลับแล้วค่ะ”
ศาสนะที่กำลังเคี้ยวขนมต้มยกคิ้ว “ปีบก็กลับพร้อมกันใช่ไหมครับ”
“เปล่าค่ะ บางทีปีบยังอยู่ ทำบัญชีบ้างอะไรบ้าง”
เยาวลักษณ์ตอบคำถามของลูกเขยอย่างไม่คิดอะไร มือก็จัดหน้าร้านไปเรื่อย เธอตักขนมชั้นที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นในถาดมารวมกับขนมต้ม
“แล้วเตรียมทำขนมอะไรขายพรุ่งนี้ครับ”
“ทำวุ้นค่ะ ปีบเขาได้พิมพ์ชุดใหม่มา สวยเชียว ว่าจะลองผสมหลายๆ สีในชิ้นเดียว ไม่รู้จะออกมาเป็นยังไง”
ศาสนะเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามา เยาวลักษณ์กล่าวทักทาย แวบแรกเขาคิดว่าเป็นอัษฎาเสียอีกเพราะรูปร่างสูงใกล้เคียงกัน
“ที่ร้านรับทำขนมจัดเลี้ยงไหมครับ”
“รับค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ ปีบ มารับลูกค้าหน่อยจ้ะ”
“จ้า” เสียงตอบกลับตามมาด้วยร่างของหญิงสาว ส่วนคนเป็นแม่ถือถาดเดินไปที่หลังร้านแทน
“สวัสดีค่ะ ทำขนมจัดเลี้ยงใช่ไหมคะ เชิญค่ะ”
ทิพารักษ์ผายมือเดินเข้ามาในร้าน แต่แล้วก็นึกได้ว่าตรงม้านั่งมีศาสนะจองอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ก็ยังนั่งทำหน้าตึงตาขวางไม่เลิก จึงเลือกให้ลูกค้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานแทน แล้วรีบรวบกระดาษกับใบตองมาซ้อนๆ กัน
“นี่ค่ะ”
เธอยื่นสมุดที่รวบรวมภาพขนมซึ่งจัดเป็นเซตสำหรับเป็นของฝากให้ได้เลือก
“คือ...ผมอยากได้ไปจัดเป็นงานเลี้ยงน่ะครับ”
“อ๋อ เอาไปจัดเสิร์ฟใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
การพูดคุยเป็นไปอย่างไหลลื่น สีหน้าของลูกค้าหนุ่มยิ้มแย้มระคนทึ่งกับขนมหน้าตาน่ากินด้วยสีสันสดใส ส่วนทิพารักษ์ก็จดรายละเอียดเป็นระยะ
“โอเค ตกลงตามนี้ งั้นเดี๋ยวขอเบอร์ติดต่อหน่อยนะคะ”
“ได้ครับ เอ้อ เอาเป็นไลน์ได้ไหมครับ ถ้าผมโอนค่ามัดจำจะแล้วจะได้ส่งสลิปมาให้”
ทิพารักษ์บอกชื่อไลน์
“จริงสิ คุณอะไรนะครับ คุยตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อเลย”
“ปีบค่ะ”
“ผมพอลครับ ขอบคุณมากนะครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
ทิพารักษ์เดินไปส่งเขาที่หน้าร้าน ยิ้มกว้างดีใจที่จะได้ทำขนมลอตใหญ่ แต่พอหันกลับมาเพื่อจะคุยกับแม่ก็เจอสายตาของชายหนุ่มเจ้าปัญหาที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม อารมณ์ปรีดาถูกขัดจังหวะ เธอเลือกไม่สนใจแล้วเดินผ่านไป
“ลูกค้าจะรู้ไหมนะว่าไอ้สายตาหวานๆ ที่ส่งมาให้น่ะแม่ค้าไม่โสดแล้ว”
คนเป็นแม่ค้าฉุนกึก แต่รู้ว่าถูกหาเรื่องจึงพยายามระงับอารมณ์ “ก็คงรู้มั้งคะ มีคนมานั่งตาขวางเหมือนคนบ้างานการไม่ไปทำอยู่แบบนี้”
“นี่เธอว่าฉันบ้าเหรอ!” ศาสนะลุกพรวด “วันนี้เป็นวันหยุด ฉันแค่จะมาดูว่าเมียทำงานจริงหรือแอบมาเจอใครกันแน่”
“นี่คุณพูดเรื่องบ้าอะไรน่ะ!” ทิพารักษ์เสียงดัง
“ปีบ คุณศาส มีอะไรกันคะ” เยาวลักษณ์ถามแทรกเข้ามา
“เธออย่ามาปากกล้าขึ้นเสียงกับฉันนะ!”
ทิพารักษ์จ้องหน้าศาสนะด้วยความโกรธจัด เยาวลักษณ์กลัวว่าสถานการณ์จะเลยเถิด รีบกระตุกแขนลูกสาวให้หยุดกิริยาท้าทายนั้นเสีย
“ผมกลับละครับน้าเยาว์”
ศาสนะยอมเป็นฝ่ายล่าถอย เขาพูดพร้อมยกมือไหว้เร็วๆ ก่อนจะเดินออกไป
ส่วนทิพารักษ์ก็เดินหายใจฮึดฮัดกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เตรียมตัดใบตองเหมือนเดิม
“แม่ไม่สบายใจเลย เห็นปีบกับคุณศาสไม่ญาติดีกันสักที กลัวว่าจะทำให้คุณอิมกับคุณสุทินเขาต้องกังวลไปด้วย”
ลูกสาวชะงักมือเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงค่ะ เขาไม่กล้าไปเล่าให้คุณลุงกับคุณป้าฟังหรอก”
“ปีบเองก็เหมือนกัน อยู่บ้านนั้นก็ต้องวางตัวให้ดีนะ ให้สมกับที่คุณสุทินกับคุณอิมเขาเมตตา ส่วนคุณศาส ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหนักหนาอะไร ยอมได้ก็ยอมไปเถอะนะ”
ทิพารักษ์ระบายลมหายใจ “ค่ะแม่”
เยาวลักษณ์เห็นแววตาขมขื่นที่ซ่อนอยู่ก็เข้าใจ เธอกอดลูกสาว อีกฝ่ายกอดตอบ สองแม่ลูกไม่มีคำพูดใดๆ เพราะหัวใจทั้งคู่ต่างสัมผัสซึ่งกันและกันได้
แผนกบุคคลมีลักษะเป็นห้องกว้างชั้นเดียวที่ตั้งเชื่อมระหว่างอาคารบริหารกับโรงงาน ปิยะดากำลังเอาป้ายมาติดที่บอร์ดหน้าสำนักงาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
“เบ๊นซ์ เดี๋ยวจะมีพนักงานใหม่มาทำบัตร” เธอพูดแล้วโบกแฟ้มเอกสารในมือ
ปิยะดากำลังวุ่นอยู่กับการลอกเทปกาวสองหน้าหันมามองเก้กัง ผู้มาเยือนจึงชิงพูดก่อน “งั้นเดี๋ยวพี่เอาไปวางบนโต๊ะให้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะพี่แป้ง”
พนักงานรุ่นพี่เดินเข้าไปในสำนักงาน ครู่หนึ่งก็เดินออกมา “ลืมบอกไป เขามาเริ่มงานพรุ่งนี้นะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำ ก่อนจะจัดการบอร์ดตรงหน้าจนเสร็จเรียบร้อย เธอเดินกลับเข้าไปในห้อง ที่โต๊ะทำงาน หยิบแฟ้มที่รุ่นพี่เอามาวางไว้ให้มาเปิด ตั้งใจจะแค่ดูคร่าวๆ ว่าบริษัทรับตำแหน่งอะไรมาเพิ่ม
“ดิจิตอล มาร์เกตติ้ง สเปเชียลลิสต์ อ้อ น่าจะทีมคุณณัฐวรา ไหนดูสิ อายุเท่าไร ชื่อ... เอ๊ะ!”
นายอัษฏา กาญจนกุล
“พี่ดางั้นเหรอ”
เย็นวันนี้สมาชิกบ้านอรรถพิพัฒน์อยู่กันพร้อมหน้า ทิพารักษ์กำลังช่วยลีซึ่งเป็นแม่บ้านอีกคนเก็บจานไปล้าง
“ไม่เป็นไรหนูปีบ ให้ดาวทำเถอะ มานี่มา แม่มีเรื่องจะพูดด้วย”
อมรรัตน์บอก ทิพารักษ์จึงละมือเดินกลับมานั่งด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะนานครั้งจะได้ยินน้ำเสียงจริงจังจากอีกฝ่าย แต่แล้วศาสนะกลับลุกขึ้น
“จะไปไหนศาส”
“ก็แม่จะคุยกับปีบไม่ใช่เหรอ”
“ก็คุยกับศาสด้วยนี่แหละ นั่งก่อน”
ชายหนุ่มกะพริบตาก่อนจะขยับตัวนั่งเหมือนเดิม
“คืออย่างนี้นะ แม่อยากให้ศาสพาหนูปีบไปฮันนีมูนน่ะ”
“หา!”
ทั้งทิพารักษ์และศาสนะส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ หนุ่มสาวมองหน้ากันแล้วต่างคนต่างหลบ ศาสนะหันไปคุยกับมารดา
“ฮันนีมูน กับ...ปีบเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะให้ไปกับใครล่ะ ศาสนี่ก็พูดชอบกล” อมรรัตน์หัวเราะ ส่วนสุทินยิ้มขำ
“ไม่ละครับ” ศาสนะกล่าวปฏิเสธทันที ไม่ตลกด้วย
“ทำไมล่ะ” คนเป็นพ่อถามบ้าง “นี่ก็แต่งงานกันมาจะสองเดือนกว่าแล้ว แม่เราก็รออยู่ว่าแกจะมาบอกเรื่องไปฮันนีมูนเมื่อไร ไม่เห็นพูดเสียที แม่เขาเลยถามเองนี่แหละ”
“อย่าว่าแต่ฮันนีมูนเลย ไม่เคยเห็นศาสพาหนูปีบไปไหนเลย ซื้อของ เดินห้างก็ไม่เห็นไป”
โดนเข้าไปเป็นชุดศาสนะนึกหาคำมาแก้ตัวแทบไม่ทัน “ก็...ปีบไม่เห็นอยากไปไหนเลย เสาร์อาทิตย์ก็ไปช่วยแม่ทำขนมทุกที”
“ก็เพราะเราไม่พูดไม่ชวนไงล่ะ” สุทินบอก
ศาสนะย่นคิ้ว ทำไมกลายเป็นความผิดของเขาไปได้
“หนูปีบอยากไปเที่ยวบ้างไหมล่ะ ไปพักผ่อนต่างจังหวัด ได้คุยกันสองคนบ้าง เผื่อจะได้ปรับอะไรๆ ให้เข้าที่เข้าทางขึ้น ดีไหม”
อมรรัตน์หันไปถามหญิงสาวที่เงียบตลอดการสนทนา
แน่นอนละว่าการฮันนีมูนไม่ได้อยู่ในสมองของทิพารักษ์แม้แต่น้อย แต่จะตอบปฏิเสธเลยคะแนนในตัวติดลบแน่ๆ
“ปีบ...แล้วแต่คุณศาสค่ะ”
“นั่นไง เห็นไหม หนูปีบเขารอให้ศาสชวน”
ศาสนะได้แต่อ้าปากค้าง เป็นอีกครั้งที่เขาเสียท่าเธอ ยายดอกปีบมักจะใช้มุกนี้เสมอและมันทำให้เขาถูกพ่อกับแม่ตำหนิได้
“เธออยากไปฮันนีมูนที่ไหนล่ะ”
ชายหนุ่มแก้เกมด้วยการถามน้ำเสียงนุ่ม ทิพารักษ์ไม่ทันตั้งตัวหน้าเหวอไปเหมือนกัน ตอบอึกอัก “เอ่อ... ที่ไหนก็ได้ค่ะ”
“ที่จริงผมก็เคยถามปีบบ้างนะครับ แต่ปีบก็ตอบแบบนี้ ก็เลยลืมๆ ไป ยังไม่ได้วางแผนจริงจังซะที” ศาสนะอธิบายแล้วหันมายักคิ้วให้เธอ บอกให้รู้ว่าก็ไม่ได้ด้อยกว่าในเรื่องการทำคะแนนกับผู้ใหญ่ โดยสร้างคำตอบเพื่อให้พ่อกับแม่เข้าใจว่าเป็นเพราะทิพารักษ์เองต่างหากที่ละเลยเรื่องการฮันนีมูน
“งั้นหนูปีบก็บอกศาสเขาไปนะว่าอยากไปที่ไหน เขาจะได้หาจองที่พักทัน เดี๋ยวจะไฮซีซั่น โรงแรมดีๆ จะเต็มซะหมด” สุทินบอก
คราวนี้ศาสนะยิ้มมุมปาก และเป็นทิพารักษ์ที่ขมวดคิ้วบ้าง
“ถ้าไม่รู้จะไปที่ไหนกัน ไปทางใต้ไหม พักที่โรงแรมเพื่อนแม่ก็ได้นะ โรงแรมเขาติดหาดเลย สวยมาก ถ้าแม่บอกว่าศาสกับหนูปีบจะไปพักต้องดีใจกันแน่ๆ เอาไหมศาส หนูปีบ”
อมรรัตน์ยังพยายามเชียร์ให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ได้ไปฮันนีมูนไม่เลิก ขณะที่แววตาหนุ่มสาวทั้งสองไม่สู้ดีนัก
ศาสนะนั่งกอดอกอยู่ที่ห้องรับแขก เขากำลังรอทิพารักษ์ วันนี้เป็นวันไปฮันนีมูน กำหนดการคือสี่วันกับสามคืน ที่ไปแค่ไม่กี่วันเพราะชายหนุ่มให้เหตุผลว่าเขาเป็นห่วงงาน
‘ถ้าอย่างนั้น วันหยุดยาวเมื่อไรศาสพาหนูปีบไปอีกนะ’
วันที่สรุปเรื่องฮันนีมูนนั้นแม่ยังคงเสนอความเห็นอีกยืดยาว ศาสนะเลือกเงียบ “หนูปีบยังไม่ลงมาเหรอ” อมรรัตน์เดินมานั่งที่โซฟาตัวข้างๆ “อ้าว มาพอดี”
ทิพารักษ์เดินลงมาจากชั้นสอง เธอสวมเสื้อยืดแขนกุดสีขาว กระโปรงยีนยาว สวมหมวกทรงฟักทองสีฟ้า สะพายกระเป๋าลายนกฮูกกับเป้หนึ่งใบ ศาสนะนิ่งไปเล็กน้อย เพิ่งเคยเห็นหญิงสาวในสไตล์นี้เป็นครั้งแรก ทุกอย่างดูเหมาะเจาะ โดยเฉพาะแก้มกับปากสีเรื่อดูสดใสตรึงสายตา ทำให้เขาอดคิดถึงสัมผัสในคืนนั้นไม่ได้
“มีอะไรเหรอศาส” คนเป็นแม่ถามเพราะเห็นลูกชายนิ่งไป
“ทำอะไรอยู่นานนัก” ศาสนะรู้สึกตัว แต่เลือกเปิดฉากสนทนาด้วยน้ำเสียงออกเหวี่ยง อมรรัตน์กำลังจะตอบแทนแต่ไม่ทันทิพารักษ์
“เข้าห้องน้ำค่ะ ไม่อยากไปปวดกลางทาง”
“แล้วสัมภาระมีแค่นี้เองนะเหรอ”
ทิพารักษ์ยิ้ม “ถ้าขาดเหลืออะไรก็รบกวนคุณศาสช่วยซื้อให้ด้วยนะคะ”
“เธอนี่มัน...”
อมรรัตน์เห็นบรรยากาศกำลังจะไม่สดใสรีบบอก “สายแล้ว รีบไปกันเถอะจ้ะ”
เสียงของแม่ทำให้ศาสนะเบรกอารมณ์ตัวเอง “งั้นผมไปก่อนครับ”
“ไปเถอะ เที่ยวให้สนุกนะ ดูแลน้องดีๆ ด้วย”
ศาสนะแอบกลอกตาเบะปากพลางคิด
ยายดอกปีบไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนนะแม่
ศาสนะเลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อแวะเข้าห้องน้ำ ทิพารักษ์จัดการธุระเสร็จแล้วแต่ยังไม่เห็นเขาจึงเดินออกมายืนคอยที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ ร้านสะดวกซื้อ
ตอนนี้นั่งรถมาได้ครึ่งทาง จุดหมายคือบ้านพักตากอากาศของครอบครัวอรรถพิพัฒน์ที่จันทบุรี เป็นที่ดินติดทะเลซึ่งสุทินซื้อไว้นานแล้ว เขาเคยมีความคิดจะทำรีสอร์ตแต่ก็เปลี่ยนใจสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศแทน
“ไป”
ทิพารักษ์เห็นศาสนะเดินออกมาจากร้านกาแฟกำลังตรงไปที่รถ เธอรีบเดินตาม พอเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยเขาก็ส่งแก้วสตรอว์เบอรี่ปั่นมาให้ ส่วนของเขาเป็นกาแฟ
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ทิพารักษ์หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
“ทำไม กลัวถูกวางยาอีกเหรอ”
หญิงสาวหันกลับมา จ้องเขม็ง “คนเคยทำเรื่องร้ายๆ ใครจะวางใจได้ลง”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม หมุนกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์
“สบายใจได้ ฉันไม่ลงทุนทำแบบนั้นให้เปลืองยาอีกแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันมีสิทธิ์ในตัวเธออยู่แล้ว จริงไหม”
หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว กัดฟันข่มความโกรธ ศาสนะยิ้มลอยหน้าลอยตา กำลังจะก้มดูดกาแฟของตัวเอง แต่แล้วจู่ๆ ทิพารักษ์ก็คว้ามันไปหน้าตาเฉย
“เฮ้ย นั่นมันของฉันนะ” ชายหนุ่มโวยวาย
“ไม่รู้ อยากซื้อมาแก้วเดียวทำไม พอดีฉันไม่ชอบกินสตรอว์เบอรี่ปั่นด้วย” หญิงสาวตอบหน้าตายแล้วรีบดูดกาแฟตีตราจองเป็นของตัวเองกันเขาแย่งคืน
“ยายตัวแสบ”
ศาสนะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเข่นเขี้ยวอย่างหงุดหงิด เสียดายกาแฟแต่ก็ขี้เกียจลงไปซื้อใหม่ เขาสตาร์ตรถแล้วขับออกไป แต่ยังปรายตามองคนดูดกาแฟอย่างอารมณ์ดีเป็นระยะ
ความคิดเห็น |
---|