บทที่ ๒

บทที่ ๒

พิชชาภานั่งหาวแล้วหาวอีกในที่ประชุม หากถามว่าหล่อนจับสาระสำคัญอะไรได้ไหม ก็ได้บ้างแต่ช่างน้อยนิดเหลือเกิน อาจเพราะเรื่องงานเป็นเรื่องจริงจังเกินกว่าสมองน้อยๆ ของหล่อนจะนำไปขบคิดประมวลผลได้ทุกเรื่อง เท่าที่จับความได้ งานหลักๆ จะเป็นความรับผิดชอบของพนักงานที่มีประสบการณ์ซึ่งภิมุขไว้วางใจ ส่วนตัวหล่อนก็แค่นั่งแท่นผู้บริหารคอยรับฟังรายงานและส่งยิ้มหวานให้กำลังใจพนักงานเท่านั้น

‘งานที่ปู่ให้เพิร์ลทำก็ไม่มีอะไรยาก เขาบอกให้เพิร์ลช่วยทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน ไม่เกินความสามารถของเพิร์ลแน่’

               ภิมุขยืนกรานหนักแน่นว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่มาพร้อมกับภาระนี้ง่ายเหมือนกดแอปสั่งชาไข่มุกอย่างไรอย่างนั้น หล่อนจึงคร้านที่จะเถียงกับปู่แล้ว ก็ดีเหมือนกัน ใครๆ จะได้เลิกว่าหล่อนว่าเป็นพวกคุณหนูสมองกลวงเสียที

               บ่ายสองโมงแล้ว...พิชชาภาเริ่มกระสับกระส่าย ถึงเวลาสำคัญที่หล่อนรอคอยมาหลายวัน นั่นก็คือการประมูลกระเป๋าแอร์เมสที่หล่อนหมายตาไว้ในเพจมาดามแอร์เมส เป็นที่รู้ว่าแม่ค้าเจ้าของเพจมักจะสรรหาแอร์เมสรุ่นพิเศษหายากมาเปิดประมูลในไลฟ์ ขืนช้าแค่วินาทีเดียวก็อาจจะมีมือดีฉกไป แต่วันนี้จะต้องมีสมาธิมากเป็นพิเศษเพราะอยู่ในที่ประชุม หล่อนจะเปิดเสียงไม่ได้ 

               แม่ค้าทยอยขายกระเป๋าและปิดประมูลแต่ละใบในเวลาไม่ถึงห้านาที จนกระทั่งมาถึงกระเป๋าเบอร์กินหนังจระเข้สีแดงรุ่นพิเศษ มีเพียงไม่กี่ใบในโลก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหล่อนก็ต้องได้เป็นผู้ครอบครองกระเป๋าใบนี้ แม่ค้าเริ่มเปิดประมูลกระเป๋ารุ่นนี้ที่หกล้านบาท ในเวลาไม่ถึงนาทีตัวเลขประมูลพุ่งทะยานสู่หกล้านห้าแสนบาทแล้ว พิชชาภารอจังหวะเหมาะๆ เพื่อพิมพ์ตัวเลขแปดล้านบาทลงไป รับรองว่าไม่มีใครหน้าไหนกล้าให้เท่ากับหล่อน

               พอแม่ค้าเริ่มนับถอยหลังว่าอีกห้าวินาทีจะปิดการประมูล พิชชาภาจึงรีบพิมพ์ตัวเลขจำนวนสูงนี้เพื่อปิดดีลการประมูล แต่กลับมีแอกเคานต์ชื่อแปลกๆ ว่า ‘venus’ พิมพ์ตัวเลขที่หล่อนจะประมูลไปในวินาทีสุดท้าย พิชชาภาถึงกับโพล่งขึ้นมาอย่างลืมตัว

               “ยังจะมีใครกล้าจ่ายแปดล้านบาทอีก”

               “คุณพิชชาภาคิดว่าที่ดินตรงนั้นไม่ควรมีมูลค่าสูงถึงแปดล้านบาทใช่ไหมครับ ผมว่าคุณภิมุขเลือกคนถูกแล้วจริงๆ ที่จะไปเจรจาเรื่องซื้อขายที่ดินให้เรา”

               พิชชาภายิ้มเจื่อนๆ ให้กษมา ผู้จัดการโพรเจกต์นี้ และต้องเล่นตามบทเออออตามน้ำไป เดี๋ยวคนอื่นจะจับได้ว่าหล่อนไม่ใส่ใจการประชุม จึงตีหน้าขรึมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาการเอางาน

               “ที่ดินชานเมืองเล็กซะยิ่งกว่ารังกระรอกไม่ควรจะราคาสูงขนาดนั้น ดิฉันว่าเราควรเสนอราคาให้ไม่เกินหกล้านบาท”

               “ผมดีใจนะครับที่คุณพิชชาภาคิดเห็นตรงกับผมและทีมงานคนอื่นๆ ถ้าอย่างนั้นผมอยากขอความกรุณาให้คุณพิชชาภาเป็นผู้เจรจาซื้อขายที่ดินผืนนี้นะครับ คุณภิมุขท่านสั่งมาว่าอยากให้คุณพิชชาภารับผิดชอบงานนี้”

กษมาอ้างชื่อคุณปู่ แล้วทีนี้หล่อนจะปฏิเสธได้อย่างไร

               พิชชาภาถอนใจอย่างหนักหน่วง จริงอยู่ว่าหล่อนเก่งกาจเรื่องการประมูลซื้อขาย แต่ไม่ใช่เรื่องการซื้อขายที่ดิน นอกจากหล่อนจะไม่มีความสนใจแล้ว เท่าที่รู้มาการซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องจุกจิกยุ่งยาก แค่คิดก็มีริ้วรอยจางๆ ขึ้นที่หน้าผาก สงสัยสิ้นเดือนนี้ต้องให้หมอจัดโบทอกซ์ให้อีกสักร้อยยูนิต

               “ดิฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องซื้อขายที่ดินเลย มันมีเรื่องเอกสารแล้วก็สัญญาอะไรตั้งมากมาย กลัวทำพลาดจัง” พิชชาภาบ่นอย่างออกตัว

               “คุณพิชชาภาไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะให้ชุติมากับเด่นภูมิไปช่วยคุณเอง เรื่องซื้อขายที่ดินหากเจ้าของโพรเจกต์เป็นคนไปเจรจาด้วยเอง เจ้าของที่ก็จะมีความมั่นใจและยอมขายให้ง่ายขึ้นครับ”

               พิชชาภาพยายามจะหาข้ออ้างมาต่อรอง แต่กษมาไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้โต้แย้งอีก ซ้ำยังให้แฟ้มข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับที่ดินที่หล่อนต้องไปเจรจาซื้อขาย แล้วปิดประชุมดื้อๆ ปล่อยให้หล่อนนั่งอึ้งที่ถูกมัดมือชก ทั้งยังให้ลูกน้องอีกสองคนมารายงานตัวกับหล่อน 

               “สวัสดีค่ะคุณพิชชาภา ดิฉันชื่อชุติมา เรียกง่ายๆ ว่าชาช่าก็ได้ค่ะ ฉายาคือ ‘ช่านักล่าปิดดีล’ ”

               พิชชาภาชอบความกระตือรือร้นและเป็นมิตรของชุติมามากทีเดียว หญิงสาวเป็นคนร่างเล็ก ใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าถึงเวลาจริงๆ จะเก่งเหมือนปากหรือเปล่า

               “ส่วนผมชื่อเด่นภูมิครับ เรียกผมว่าเด่นก็ได้ครับ เรื่องปิดดีลผมอาจจะไม่เก่ง แต่งานเล็กๆ น้อยๆ ที่จุกจิกกวนใจ ผมจัดการให้ได้หมดนะครับ” ชายหนุ่มร่างอ้วนหน้าตี๋ยิ้มกว้างจนตาหรี่เป็นเส้นตรง

               “พูดง่ายๆ ก็คือพี่เด่นเขาเป็นเจเนอรัลเบ๊น่ะค่ะ” ชุติมาสวนขึ้นมาทันที ชายหนุ่มร่างอ้วนหุบยิ้มแล้วหันมามองอีกฝ่ายตาขวาง

               “อวดว่าเก่ง จริงๆ ปิดดีลได้ก็แค่งานเล็กๆ คุณพิชชาภาอย่าไปฟังยายนี่มากนะครับ”

               พิชชาภาถอนใจเฮือกใหญ่ กษมาคิดอย่างไรถึงได้ส่งพนักงานสองคนนี้มาเป็นลูกน้องของหล่อน ขนาดยังไม่เริ่มงานยังวางมวยกันขนาดนี้ สงสัยจะได้ตัวป่วนมาแทนผู้ช่วยเสียแล้ว

               ช่วงบ่ายพิชชาภาและลูกน้องทั้งสองก็เริ่มปฏิบัติงาน เพราะกษมาอ้างว่าภิมุขอยากให้เจรจาซื้อขายที่ดินให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พิชชาภาก็อยากให้งานนี้เสร็จเร็วๆ เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะการประชุมบ้าๆ เมื่อเช้า หล่อนคงไม่พลาดกระเป๋าใบงามที่หมายตาเอาไว้ 

               พิชชาภานั่งไถโทรศัพท์ดูอินสตาแกรมฆ่าเวลาเผื่อมีแม่ค้าคนไหนปล่อยไอเทมเด็ดๆ มาชอปให้หายแค้น จนกระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังคาใจไม่หายว่าคนที่ประมูลกระเป๋าใบงามนี้ด้วยราคาแปดล้านบาทคือใคร ชื่อในแอกเคานต์ที่ประมูลก็ไม่ใช่ชื่อคนที่รู้จักหรือคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ยากเกินกว่าจะสืบ

               “ช่าบอกแล้วให้เลี้ยวขวา พี่เด่นอ่านจีพีเอสเป็นหรือเปล่า บอกมั่วแบบนี้ถึงไปไม่ถึงซะที”

               “ใครกันแน่ที่สับสนซ้ายขวา ดูแผนที่ใหม่เลย...เรามาถูกทางแล้ว” เด่นภูมิเถียงอย่างไม่ยอม 

               พิชชาภากลอกตา แค่ดูจีพีเอสยังดูไม่รู้เรื่องเลย

               “ทำไมไม่ให้พี่สมยศเขาดูแผนที่ล่ะคะ พี่เขาชำนาญทาง” พิชชาภาทำเสียงเพลียและเหลือบมองคนขับรถที่นั่งเงียบเหมือนไม่มีตัวตน

               “ช่าไม่อยากกวนพี่เขา อยากให้มีสมาธิกับการขับรถ อีกอย่างมีช่าอยู่ด้วยซะอย่าง ไปไหนทำอะไรก็ง่ายกว่ามีจีพีเอสหรือกูเกิลรวมกันซะอีก” ชุติมายังคงยกยอตัวเองด้วยความมั่นหน้า

               “ถ้าเก่งจริงก็หาทางไปที่สวนไอเลิฟแคคตัสให้เจอสิ” เด่นภูมิเอ่ยอย่างเหลืออด

               “เอางี้ เดี๋ยวเพิร์ลช่วยดูให้” 

ครั้นหล่อนเอ่ยปาก แม่สาวสารพัดประโยชน์ก็รีบยื่นโทรศัพท์มือถือที่แสดงแผนที่ให้ดู เส้นทางก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรขนาดนั้น แต่ลูกน้องของหล่อนทำราวกับกำลังค้นหาเส้นทางไปยังดินแดนลึกลับกลางหุบเขา

               “วกกลับไปทางเดิม แล้วเลี้ยวซ้าย สวนอะไรนั่นอยู่ลึกสุดในซอย” พิชชาภาเอ่ยด้วยสีหน้าของผู้ที่มั่นใจว่าฉันนี่แหละฉลาดสุด และยื่นโทรศัพท์คืนให้ชุติมาที่ทำหน้าชื่นชมราวกับหล่อนมีองค์ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ประทับอยู่

               เพียงไม่ถึงห้านาทีรถก็เลี้ยวมาถึงบ้านไม้สองชั้นที่ด้านหน้ามีป้ายไม้สลักเป็นรูปการ์ตูนกระบองเพชรทัดดอกไม้ตาโตยิ้มหวาน และชื่อสวนที่เขียนว่า ‘ไอเลิฟแคคตัส’ ด้านในมีรถยนต์จอดอยู่สามสี่คัน คาดว่าน่าจะเป็นลูกค้าที่แวะมาซื้อและเยี่ยมชมกระบองเพชร 

               จากข้อมูลที่ได้มา สวนนี้มีเนื้อที่ราวไร่กว่าๆ แต่พอมีสิ่งปลูกสร้างเต็มเนื้อที่ก็ทำให้พื้นที่ดูไม่ใหญ่นัก บ้านไม้สองชั้นน่าจะเป็นบ้านของพฤกษ์ และมีป้ายเล็กๆ ชี้ทางไปยังเรือนกระบองเพชรด้านใน ตั้งแต่เกิดมาพิชชาภาไม่เคยเฉียดใกล้สวนต้นไม้ ตลาดนัด หรือฟาร์มอะไรเลย ยิ่งสวนกระบองเพชรยิ่งไม่เคยอยู่ในความคิด ทั้งๆ ที่ช่วงนี้การปลูกต้นไม้กำลังอยู่ในกระแส แต่พิชชาภาก็คิดว่าคนอย่างหล่อนไม่จำเป็นต้องทำตามใคร คนอื่นต่างหากที่ควรจะทำตามหล่อนซึ่งเป็นผู้นำเทรนด์ในหลายๆ เรื่อง

               ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงเรือน ชุติมาและเด่นภูมิก็ดูตื่นเต้นตามประสาคนบ้าต้นไม้ จนลืมไปว่ามาที่นี่เพื่ออะไร พิชชาภาต้องกระแอมเบาๆ ลูกน้องสองคนถึงได้สติและหันมายิ้มแหยๆ

               “เดี๋ยวช่าจะไปถามคนงานแถวนี้ว่าคุณพฤกษ์อยู่ที่ไหน คุณเพิร์ลรอตรงนี้ก่อนนะคะ” 

ชุติมาอาสาเดินไปเข้าไปถามคุณตาคนงานที่กำลังรดน้ำกระบองเพชรอยู่ ส่วนพิชชาภายืนรออยู่กับเด่นภูมิ เริ่มร้อนและเหงื่อแตก ใครจะคิดว่าภายในโรงเรือนจะร้อนอบอ้าวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าคนที่มาแวะชมหรือเลือกซื้อกระบองเพชรทนกันได้อย่างไร 

               พิชชาภาเริ่มหน้าซีด หล่อนไม่ได้สำออย แต่ทนอากาศร้อนๆ อับๆ แบบนี้ไม่ได้จริงๆ ซ้ำช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงโรคโควิดระบาด ต้องใส่หน้ากากคลุมจมูกกับปากไปอีก เลยยิ่งหายใจพะงาบๆ กว่าเดิม เด่นภูมิคงเห็นสีหน้าท่าทางของหล่อนไม่สู้ดีนักเลยช่วยพยุงให้มานั่งที่เก้าอี้สังกะสี ถ้าหล่อนปกติดีคงโวยลั่นเพราะไม่มั่นใจว่าเก้าอี้สะอาดหรือเปล่า แต่ในเมื่อขาแข้งไม่มีแรงก็เลยต้องยอม แต่ก็ไม่วายขอให้เด่นภูมิเอาสเปรย์แอลกอฮอล์มาฉีดเช็ดให้หล่อนก่อนนั่ง ทว่ายังไม่ทันที่หล่อนจะหย่อนก้นลงนั่งดี ก็มีชายหนุ่มผิวคล้ำสวมหมวกแก๊ปและใส่เสื้อยืดที่แถมมาจากน้ำยาล้างจานยี่ห้อหนึ่งกับกางเกงสี่ส่วนยื่นขวดน้ำให้

               “ดื่มน้ำก่อนไหมครับ” 

               พิชชาภาอยากจะบอกเขาว่า หล่อนไม่ดื่มน้ำที่ไม่ใช่น้ำแร่จากแบรนด์นอก แล้วก็ไม่ไว้ใจเขาเลย เด่นภูมิคงเห็นหล่อนนิ่งๆ เลยเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปรับเอง

               “ขอบคุณนะครับ...คุณพอจะรู้จักคุณพฤกษ์ เจ้าของสวนไอเลิฟแคคตัสไหมครับ เรามีธุระจะมาคุยเรื่องที่ดินด้วย”

               “คุณพฤกษ์ไม่อยู่หรอกครับ ไปเยี่ยมญาติที่เพชรบูรณ์ อีกนานเลยกว่าจะกลับ พวกคุณอย่าเสียเวลา เท่าที่ผมทราบคุณพฤกษ์ไม่ขายที่หรอก” น้ำเสียงของชายหนุ่มมาดเซอร์ห้วนสั้น 

               “คุณไม่ใช่คุณพฤกษ์ คุณตอบแทนไม่ได้หรอกค่ะว่าเขาจะไม่ขาย ยิ่งถ้าเขาได้รู้ว่าทางเอสพีกรุ๊ปจะเสนอเงินให้เท่าไหร่ เขาอาจเปลี่ยนใจขายตอนนี้เลย เพราะขายกระบองเพชรจนชั่วชีวิตก็ไม่มีทางได้เงินก้อนโตขนาดนี้แน่” พิชชาภาซึ่งแม้จะยังมึนๆ อยู่อดเดือดกับท่าทางกวนๆ ของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้

               “ผมว่าคุณเก็บเงินของคุณไว้ฟาดหัวคนอื่นเถอะ เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้หรอก”

               “ฉันเอาเงินฟาดหัวคุณซะเมื่อไหร่ ทำไมต้องเดือดร้อนขนาดนี้ ขอเบอร์คุณพฤกษ์ให้ฉันคุยดีกว่า” พิชชาภาพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่ แต่ชายผู้นั้นกลับจ้องหล่อนเขม็งราวกับเคยมีคดีกันมาก่อน 

               “คุณพฤกษ์เขาไม่อยากคุยกับคนอย่างคุณ ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณหรอก อย่ามาแย่งออกซิเจนกระบองเพชรเลย ไปนั่งสูดแอร์ในที่หรูๆ ของคุณเถอะ”

               พูดจบผู้ชายมาดเซอร์คนนั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้พิชชาภาได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยากด่ากลับด้วยความแค้น แต่ก็ด่าไม่ไหวเพราะยังมึนๆ หายใจไม่ออก

               “กลับเถอะ คุณเด่นภูมิ คราวหน้านัดคุณพฤกษ์ได้แล้วค่อยกลับมาเจรจาใหม่” พิชชาภาหันไปเอ่ยกับลูกน้องหนุ่มที่เปิดพัดลมอิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาจ่อหน้าหล่อน 

               “ได้ครับ แต่ชาช่าหายไปไหนก็ไม่รู้...”

               ยังไม่ทันขาดคำดี คนที่ถูกพูดถึงก็เดินกรีดกรายมาพร้อมกับถาดกระบองเพชรหลากพันธุ์ แต่พอเห็นหน้าหล่อนเท่านั้นก็รีบปราดเข้ามารายงาน

               “ขอโทษค่ะที่ช่าหายไปนาน พอดีไปถามคุณตาเรื่องคุณพฤกษ์ แต่คุยกันถูกคอ คุณตาเลยให้กระบองเพชรมาลองเลี้ยงเล่นๆ...คุณเพิร์ลคุยกับคุณพฤกษ์แล้วได้เรื่องยังไงบ้างคะ เขายอมขายที่ให้ไหมเอ่ย”

               พิชชาภามองหน้าหญิงสาวงงๆ หล่อนไปคุยกับพฤกษ์ตั้งแต่ตอนไหน ยายนี่ท่าทางจะเพ้อเจ้อ คิดแล้วก็เพลียเหลือเกินที่ได้ลูกน้องขาดๆ เกินๆ มาร่วมงาน

               “เพิร์ลยังไม่ได้เจอคุณพฤกษ์เลยนะคะ”

               “ก็เมื่อกี้คุณเพิร์ลเพิ่งคุยกับคุณพฤกษ์ไปไงคะ ผู้ชายที่ใส่มาสก์เอาน้ำเปล่ามาให้ตะกี้ พอดีคุณตาแกชี้ให้ดู” ชุติมาท้วงเสียงอ่อน แต่พิชชาภาที่ยังมึนหัวตึ้บยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม 

               เดี๋ยวนะ...หล่อนเข้าใจผิดว่าพฤกษ์เป็นคนงานอย่างนั้นหรือ ทำไมเขาถึงไม่แนะนำตัว แถมยังกวนประสาทอีก

               “คนเมื่อกี้น่าจะเป็นคนงานไม่ใช่เหรอ ดูเซอร์สกปรกปากร้ายขนาดนี้ ไม่น่าจะเป็นเจ้าของสวนได้หรอก”

               “แต่เมื่อกี้คือคุณพฤกษ์จริงๆ นะคะ ดูจากรูปก็น่าจะใช่ ถ้าคุณเพิร์ลไม่เชื่อเดี๋ยวช่าเปิดรูปให้ดูก็ได้ค่ะ” แล้วชุติมาก็ค้นหารูปของพฤกษ์จากโทรศัพท์แล้วยื่นให้หล่อนดู

               พิชชาภาหน้าเหลอไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้ชายในรูปกับผู้ชายมาดเซอร์ปากร้ายเมื่อครู่คือคนเดียวกันจริงๆ เลยยิ่งแค้นกว่าเดิม ถ้าไม่อยากขายที่ก็พูดกันดีๆ ก็ได้ 

               “งั้นเพิร์ลก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกับเขาอีกแล้วค่ะ ถ้าคุณปู่ยืนกรานจะซื้อที่ดินผืนนี้จริงๆ เพิร์ลว่าคุณช่าน่าจะเหมาะกับงานเจรจาซื้อที่ดินที่สุด เพราะคุยกับคนที่นี่รู้เรื่อง”

               “ไม่ได้นะคะ คุณภิมุขเจาะจงให้คุณเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้” ชุติมารีบปฏิเสธปากคอสั่น

               “ทำไมจะไม่ได้คะ ในเมื่อคุณก็พูดเองว่าเป็นเจ้าแม่ปิดดีล และที่สำคัญคุณกษมาก็ให้คุณกับคุณเด่นมาช่วยงานเพิร์ล ถ้าเรื่องนี้พวกคุณช่วยเพิร์ลไม่ได้ก็คงต้องพิจารณาตัวเองกันแล้วละค่ะ” พิชชาภาเล่นบทเหี้ยม ลูกน้องทั้งสองเลยหน้าจ๋อย ไม่กล้าพูดอะไรอีก 

               พิชชาภาปลอบใจตัวเอง วันนี้คงเป็นวันกาลกิณีแน่ๆ กระเป๋าใบที่หมายตาก็ยังประมูลไม่ได้ แถมยังซื้อที่ดินไม่ได้อีก แต่ที่รู้สึกว่าซวยซ้ำซากก็คือการตกเป็นเป้านิ่งให้อีตาพฤกษ์ด่านี่แหละ ใครบอกว่าใช้เงินฟาดหัวเขาไม่ได้ หล่อนไม่เชื่อหรอก ลองเพิ่มเงินให้อีกสักล้านสองล้าน เขาจะต้องเปลี่ยนใจและรีบขายที่ดินให้แน่ๆ

               พฤกษ์เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความหงุดหงิด ถึงเขาจะเคยได้รับการติดต่อจากพนักงานของเอสพีกรุ๊ปเพื่อติดต่อขอซื้อที่ดิน แต่ก็เป็นเพียงการพูดคุยสั้นๆ เขายังไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบตกลงแต่อย่างใด แต่ถ้าถามว่าอยากขายหรือเก็บที่ดินผืนนี้ไว้มากกว่ากัน เขาก็พูดได้เต็มปากว่าไม่คิดจะขายตอนนี้

               พฤกษ์คิดว่าการนิ่งเฉยคงจะทำให้ทางเอสพีกรุ๊ปเลิกวุ่นวายกับเขาอีก ที่ไหนได้ กลับส่งคนมาถึงสวนของเขา ท่าทางหยิ่งๆ ของผู้หญิงคนนี้ดูขัดหูขัดตาเขาชะมัด ยิ่งตอนที่เขายื่นน้ำดื่มให้เพราะเห็นว่าเธอดูไม่ค่อยสบาย เธอกลับทำท่าขยะแขยงราวกับว่าเขายื่นน้ำคลองเหม็นเน่าให้ แล้วยังดูถูกเขาอีก

แน่ละสิ...ความรวยล้นฟ้าของเธอคงทำให้คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่น จะพูดจาดูถูกกดขี่อย่างไรก็ได้ แต่ไม่ใช่กับเขาคนหนึ่งละ

               เจ้าหล่อนไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ เวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงคนบางคนได้ แต่คงไม่ใช่พิชชาภาที่ความร้ายกาจและหยิ่งยโสยังคงเส้นคงวา หญิงสาวยังคงจำเพื่อนเก่าสมัยประถมอย่างเขาไม่ได้และอาจไม่เคยนับว่าเขาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะในสายตาของหลานสาวมหาเศรษฐี เขาคงต่ำต้อยเกินไป 

               พฤกษ์ยังจำวันแรกที่พิชชาภาย้ายมาเรียนที่โรงเรียนของเขาได้ เธอย้ายเข้ามาช่วงกลางเทอมชั้นประถมปีที่ห้า อาจารย์ประจำชั้นฝากฝังให้เขาซึ่งเป็นหัวหน้าห้องช่วยดูแลเธอ พฤกษ์ทั้งยินดีและเต็มใจ เพราะแอบปลื้มความสวยน่ารักเหมือนตุ๊กตาของเด็กหญิง แล้วเขาก็สงสารที่เธอเพิ่งสูญเสียบิดา จึงผูกมิตรกับเธอด้วยการนำลูกกวาดไปให้ แต่เด็กหญิงกลับมองเขาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าราวกับเขาคือสิ่งสกปรกโสโครก สายตาที่จ้องมองลูกกวาดเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเหมือนเขาเป็นผู้ร้ายที่หยิบยื่นยาพิษให้ พอเธอรับลูกกวาดไป นอกจากจะไม่มีคำขอบคุณใดๆ ยังโยนลูกกวาดของเขาทิ้งถังขยะต่อหน้าต่อตา

               ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่พิชชาภาทำแบบนี้ เธอยังทำตัวร้ายกาจ เชิดหยิ่งกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ทำให้ไม่ค่อยใครมีคบและอยากสนิทสนมด้วย แต่เธอดูจะไม่แคร์ที่ไม่มีใครคบหา พฤกษ์เองก็ไม่อยากสนใจพิชชาภาอีก แต่เขาก็ยังได้ยินได้เห็นเรื่องราวของเธอจากสื่อต่างๆ แทบตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะนำเสนอข่าวประเภทอวดร่ำรวย อย่างเช่นซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาหลายแสน ถอยกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่มีเพียงห้าใบในโลก หรือไม่ก็เจ้าของรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ แต่ไม่มีเคยมีข่าวในแง่ที่ว่าหญิงสาวเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจประสบความสำเร็จเหมือนญาติพี่น้องหรือคนอื่นในตระกูล

               เขายอมรับว่าพิชชาภาเป็นคนสวยสะดุดตา แต่ความสวยคงเป็นข้อดีเพียงอย่างเดียว น่าเสียดายความรู้และโอกาสดีๆ ในชีวิตที่เธอไม่เคยใช้ให้เกิดประโยชน์ พฤกษ์ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอพิชชาภาที่สวนของเขา และแปลกใจที่เธอคือคนที่เอสพีกรุ๊ปส่งมาเจรจาขอซื้อที่ดิน 

               ไม่รู้ว่าเอสพีกรุ๊ปคิดอย่างไรถึงได้ให้คนอย่างหญิงสาวมารับผิดชอบงานนี้ เพราะรับรองได้ว่าถ้าไปเจรจางานกับใครก็คงคว้าน้ำเหลว รวมทั้งตัวเขาด้วยที่ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะไม่ขายที่ดินผืนนี้แน่

               “พฤกษ์ ทำไมไม่เข้าไปดูไม้ในสวน ใจคอจะให้ตาทำงานอยู่คนเดียวเหรอ” บุญชูซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในบ้านเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงตำหนิ

               “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอู้ แค่หลบมาทำให้ใจร่มๆ ขืนคุยกับยายคุณหนูไฮโซต่อต้องมีเรื่องกันแน่”

               “ปกติพฤกษ์ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา ตาว่าค่อยๆ พูดจากันดีๆ ก็ได้”

               “ก็เขาเอาเงินฟาดหัวผม ผมเลยต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าเงินซื้อทุกอย่างไม่ได้”

               “ตาว่าพฤกษ์มีอคติเกินไป เขาอาจไม่ได้หมายความอย่างที่พูดก็ได้”

               “คุณตาพูดเหมือนรู้จักยายนี่ดี ผมไม่เห็นว่าเขาจะมีดีอะไรนอกจากความสวย ส่วนสมองนี่ไม่ต้องพูดถึง คงจะกลวงโบ๋ว่างเปล่า” พฤกษ์เอ่ยอย่างดูถูก

               “อย่างน้อยก็ยังมีดีอยู่ละคือสวย” บุญชูเอ่ยยิ้มๆ 

               “สงสัยคุณตาแอบปิ๊งสาวรุ่นคราวหลาน”

               สิ้นคำ หมัดหนักก็เคาะกลางหัวเขาอย่างแรง 

               “ไอ้หลานบ้า ยังไงแกก็ยังเห็นข้อดีของสาวน้อยคนนี้อยู่ ถึงแม้จะเป็นข้อเดียวก็ยังถือว่าเป็นข้อดี พฤกษ์จำสมัยที่เริ่มช่วยตาเลี้ยงกระบองเพชรได้ไหม ตอนนั้นพฤกษ์เคยถามตาว่ากระบองเพชรมีอะไรดีกว่าความสวย แล้วตาตอบเราว่ายังไง”

               “ต้องลองเลี้ยงดูเองถึงจะรู้” พฤกษ์ตอบเสียงอ่อน

               “ตาว่าพฤกษ์ก็ควรให้โอกาสผู้หญิงคนนั้นดูนะ ที่พฤกษ์คิดว่ารู้จักเขาดีแล้ว พฤกษ์ตัดสินเขาจากแค่ภายนอกหรือเปล่า ลองไปคิดดูให้ดีๆ ส่วนเรื่องจะขายที่ดินให้ไหม เรื่องนั้นพฤกษ์ค่อยตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

               พฤกษ์พยักหน้ารับน้อยๆ แต่ยังมีคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวว่าเขาควรให้โอกาสพิชชาภาจริงๆ หรือ ถึงคนกับต้นไม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงาม การเห็นแง่มุมที่ดีในด้านอื่นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มนุษย์ไม่เหมือนต้นไม้ เพราะมีทั้งดีและเลวปะปนกัน เขาเลยนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนอย่างพิชชาภาจะมีแง่มุมดีๆ ด้านอื่นรอให้เขาได้รู้จักอีก

               

‘วันนี้นัดเจอกันที่แบล็กสกาย ธีมวันนี้คือสีแดงเลือดนก เจอกันทุ่มตรงนะจ๊ะ

               พิชชาภาอ่านข้อความในกลุ่มไลน์แล้วตอบตกลงว่าจะไปทันที ทั้งที่ตามปกติหล่อนมักลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ เพราะบางครั้งก็เหนื่อยที่ต้องแต่งตัวประชันให้สวยเด่นทัดเทียมกับสาวๆ ในกลุ่ม แต่วันนี้หล่อนอยากไปนั่งดื่มเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานวันแรก แล้วก็อยากรู้ว่ามือดีที่คว้ากระเป๋าหรูใบที่หล่อนหมายตาไว้คือใคร ดีไม่ดีอาจเป็นคนในกลุ่มเองนี่แหละ

               แบล็กสกายคือบาร์ที่ตั้งอยู่บนชั้นห้าสิบห้าของโรงแรมพรีม่า ใจกลางสาทร ทายาทเจ้าของโรงแรมแห่งนี้คือนริสา เซเลบริตีเชฟสาวชื่อดังซึ่งเป็นสปอนเซอร์ในการนัดหมายครั้งนี้ สาวๆ ที่อยู่ในกลุ่มนี้ล้วนเป็นสาวสวยที่เด่นดังระดับทอปในแวดวงสังคม ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา ทรัพย์สินและยอดเงินในบัญชีของสาวๆ เหล่านี้ยังทำให้ทุกคนอิจฉาในวาสนาที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด

               แน่นอนว่าทุกอย่างที่สาวๆ กลุ่มนี้เลือกใช้ล้วนผ่านการเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดีและมีราคาสูงลิบ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ใส่นั้นล้วนเป็นแบรนด์หรูระดับโลกซึ่งเพิ่งผ่านการเดินรันเวย์มาสดๆ ร้อนๆ บางตัวสั่งตรงกับแบรนด์และไม่มีวางขายที่ร้านในเมืองไทยด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ คือถ้าแต่งตัวพลาดก็จะถูกเพื่อนร่วมกลุ่มฆ่าด้วยชุดที่สวยเริดกว่า

               พิชชาภาจึงต้องเฟ้นเลือกชุดที่สวยเด่นเป็นพิเศษ โชคดีที่สามวันก่อนหล่อนเพิ่งได้เดรสสีแดงเลือดนกจากแบรนด์หรูคอลเลกชันล่าสุดมา ท่อนบนเป็นผ้าซีทรูแขนยาวแนบลำตัวซึ่งปักเลื่อมด้วยคริสตัล ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงทรงสอบ ผ่าแหวกด้านข้างเผยให้เห็นต้นขาเนียนสวย รับรองได้เลยว่านับตั้งแต่ก้าวแรกที่หล่อนลงจากรถ ทุกสายตาจะจ้องมองมาที่หล่อนคนเดียว น่าเสียดาย...หากหล่อนได้กระเป๋าหนังจระเข้สีแดงที่หมายตามาถือ ก็จะให้ทำให้ลุคในวันนี้ดูปังปุริเย่ยิ่งขึ้นไปอีก

               

โชคดีที่วันนี้รถไม่ติด พิชชาภาจึงมาถึงที่หมายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เป็นไปดังคาด ทันทีที่หล่อนก้าวลงจากรถ พนักงานต้อนรับชายจ้องมองหล่อนด้วยสายตาตะลึงเหมือนเห็นนางฟ้าจุติลงมาตรงหน้า พิชชาภายิ้มอย่างพอใจก่อนจะเดินด้วยมาดนางพญาไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังบาร์

               พนักงานต้อนรับเดินนำหล่อนไปยังโต๊ะที่นริสาจัดเตรียมไว้ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่มาพร้อมกันแล้ว ทุกคนต่างชมชุดที่สวยอลังการของหล่อน แต่สายตาก็ปิดบังไม่มิดว่าไม่พอใจนักที่ถูกแย่งซีน ทว่าพิชชาภาไม่แคร์นักว่าใครจะรู้สึกอย่างไรกับหล่อน เพราะแค่บรรยากาศดีๆ ก็ทำให้หล่อนอารมณ์ดีขึ้นได้แล้ว

               พิชชาภานั่งจิบเครื่องดื่มเพลินๆ ฟังบทสนทนาบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะส่วนใหญ่แล้วหัวข้อที่สนทนากันก็เป็นเรื่องที่นริสาพยายามเอาชนะใจเชฟหนุ่มชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งพิชชาภาคิดว่าชีวิตรักของคนอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวหล่อน จะให้คำปรึกษาก็คงไม่ได้ เพราะตัวหล่อนเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก ถึงหล่อนจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ไม่ได้ตัวติดกัน อย่างวันนี้ธัชนันท์ก็เงียบหายไป ทั้งที่เขาควรจะโทร. มาถามไถ่หล่อนสักนิดว่าทำงานวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง

               ถ้าถามว่าหล่อนน้อยใจไหม ก็มีบ้าง แต่หล่อนก็พยายามเข้าใจว่าการที่ธัชนันท์ละเลยหล่อนเป็นเพราะเขางานยุ่งมาก บางทีหลังเสร็จจากงานคืนนี้เขาอาจโทร. หาหล่อนก็ได้

               “เป็นไงบ้างเพิร์ล วันนี้เห็นนั่งเงียบๆ ดูหน้าเหนื่อยๆ นะ แต่เจ้าหญิงอย่างเพิร์ลจะเหนื่อยได้ยังไงในเมื่อไม่ต้องทำงาน” ญานิน ทายาทเจ้าของโรงงานหลอดไฟถามเหมือนห่วงใยแต่แดกดันนิดๆ อยู่ในที

               “ใครบอกว่าฉันไม่ทำงาน ตอนนี้ฉันรับผิดชอบโพรเจกต์ห้างเพรสทีจสาขารามอินทราอยู่”

               ตอนแรกหล่อนก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องนี้หรอกนะ แต่ชักจะเบื่อๆ ที่ถูกสาวๆ เหล่านี้ถากถางเรื่องงานทุกครั้งที่เจอ 

               “ว้าย ตายแล้ว เคยนั่งๆ นอนๆ ชอปปิงสบายๆ จะทำงานไหวเหรอจ๊ะ งานบริหารห้างสรรพสินค้าไม่ใช่งานง่ายๆ นะ” ทัตพิชา อาจารย์มหาวิทยาลัย ลูกสาวเจ้าของเครือโรงแรมใหญ่ทางใต้อุทาน

               “ฉันโตมากับธุรกิจห้างสรรพสินค้านะ ไม่เห็นมีอะไรยาก ว่าแต่โรงแรมในเครือของเธอเป็นยังไงล่ะ ได้ข่าวว่าช่วงโควิดนักท่องเที่ยวหาย คงลำบากแย่สินะ” พิชชาภาเหน็บกลับ

               นริสาคงเห็นท่าไม่ดี กลัวว่าจะเกิดการวางมวยขึ้น จึงรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการชูแก้วไวน์ขึ้น

               “เรามาชนแก้วฉลองให้เพิร์ลกันดีกว่า ขอให้ทำงานสำเร็จราบรื่นด้วยดีนะจ๊ะ” 

เมื่อเจ้าภาพเป็นคนเชื้อเชิญ สาวๆ ในกลุ่มเลยพร้อมใจกันสงบปากสงบคำแล้วชนแก้วดื่ม แต่แล้วก็ชะงัก เพราะหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในเดรสสีเลือดนกสดแบรนด์ดังจากอังกฤษที่เรียบแต่หรูกลบรัศมีชุดของพิชชาภาให้ดูธรรมดาไปเลย แต่ที่พิชชาภาเจ็บใจและมองจนตาค้าง เพราะในมือของหญิงสาวผู้นั้นมีกระเป๋าเบอร์กินสีแดงที่หล่อนหมายตาเอาไว้ 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น