บทที่ ๓

บทที่ ๓

               หญิงสาวผู้ที่ถือกระเป๋าเบอร์กินสีแดงชื่อฐิติกา เธอเดินยิ้มกว้างตรงเข้ามารับแก้วแชมเปญที่นริสายื่นให้ หญิงสาวตัดพ้อที่ทุกคนจะชนแก้วโดยไม่รอเธอก่อน เพื่อนๆ ต่างพากันชื่นชมเดรสของฐิติกาซึ่งเป็นชุดที่สวยโดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ แน่นอนว่ากระเป๋าเบอร์กินหนังจระเข้สีแดงคือสิ่งที่ทุกคนหมายตา จึงผลัดกันขอลองถือและชื่นชมให้เป็นบุญตา รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าสวยเฉี่ยวของหญิงสาวอย่างปิดไว้ไม่อยู่

               ในบรรดาสาวๆ ในกลุ่ม ฐิติกาคือคนที่สวยเด่นที่สุดทั้งหน้าตาและรูปร่าง แต่หากวัดกันเรื่องฐานะหรือชาติตระกูลก็นับว่าเป็นรองคนอื่นหลายขุม หญิงสาวเป็นดาราสาวชื่อดังอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ทว่าอดีตเคยเป็นพนักงานขายอาหารฟาสต์ฟูดในห้างมาก่อน ด้วยหน้าตาที่สะสวย ทำให้ผู้จัดการดาราชื่อดังสะดุดตา ฐิติกาจึงมีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิงโดยเริ่มจากบทดาราตัวประกอบ แต่เพราะพรสวรรค์ในการแสดงและบุคลิกที่ดูสวยเฉี่ยว จึงทำให้ฐิติกาโด่งดังในเวลารวดเร็ว มีชายหนุ่มมาติดพันหญิงสาวมากมาย แต่ฐิติกาก็ยังไม่เปิดตัวว่าคบกับใครแบบจริงจัง

               ด้วยความที่ฐิติกาเป็นดาราสาวที่สไตล์การแต่งตัวโดดเด่น หญิงสาวจึงได้รับเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ ทั้งยังได้ร่วมงานอีเวนต์มากมาย ดังนั้นรายได้ของฐิติกาก็ย่อมสูงลิบและเชิดหน้าอยู่ในสังคมอันเลิศหรูได้อย่างไม่อายใคร แต่ลึกๆ แล้วฐิติกาก็รู้ดีว่าเธอยังด้อยกว่าสาวๆ ในกลุ่มมาก ดังนั้นเธอจึงต้องพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร

พิชชาภาสนิทใจที่จะพูดคุยกับฐิติกามากกว่าใคร เพราะหญิงสาวเป็นคนพูดจาอ่อนหวาน และเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยพูดจาถากถางในทำนองว่าหล่อนเป็นคุณหนูไม่เอาถ่าน ดังนั้นแม้วันนี้ฐิติกาจะแย่งซีนหล่อนไปบ้าง พิชชาภาก็พอให้อภัยได้ แต่ที่ทำใจไม่ได้จริงๆ ก็เรื่องกระเป๋าแอร์เมสสีแดงใบนี้นี่แหละ หล่อนจำได้ว่าเคยบอกฐิติกาว่าหมายตากระเป๋านี้ใบนี้ไว้ บังเอิญเกินไปไหมที่หญิงสาวอยากได้กระเป๋าใบเดียวกัน

“เจนเก่งนะที่ได้กระเป๋าใบนี้มา ให้ร้านไหนหามาให้ล่ะ เผื่อเราจะได้ไปพรีออร์เดอร์บ้าง” พิชชาภาพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ เก็บสีหน้าไม่ให้ดูออกว่าอิจฉาจนแทบคลั่ง

“เราจ้างให้คนช่วยประมูลในเพจของมาดามแอร์เมสน่ะ ไม่มีเวลามาเฝ้าหน้าจอ เพราะตอนนี้เรามีคิวถ่ายละครแน่นมากเลย” ฐิติกาเอ่ยยิ้มๆ

“คนที่เจนจ้างให้ช่วยประมูลกระเป๋าให้ใช้แอกเคานต์ชื่อ ‘venus’ หรือเปล่า” พิชชาภาตัดสินใจถามตรงๆ ให้หายค้างคาใจ

“ทำไมรู้ล่ะ สงสัยเพิร์ลต้องประมูลกระเป๋าใบนี้ด้วยแน่เลย...เราขอโทษนะ เราไม่รู้ว่าเพิร์ลอยากได้กระเป๋าใบนี้ ไม่งั้นเราคงไม่ประมูลแข่ง” ฐิติกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสลดพอๆ กับสีหน้า ทำให้พิชชาภาถึงกับพูดไม่ออก อยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง จากที่คิดจะต่อว่าก็เปลี่ยนใจ

“เราคงไม่มีดวงจะได้กระเป๋านี้ แล้วอีกอย่างกระเป๋าใบนี้ก็เหมาะกับคนบุคลิกปราดเปรียวอย่างเจนมากกว่า”

“เพิร์ลไม่ต้องเสียดายหรอกน่า คนอย่างเพิร์ลซื้อรุ่นที่แพงกว่านี้ได้ ให้คนอื่นเขาได้ใช้กระเป๋ารุ่นหายากบ้าง ” นริสาเอ่ยอย่างล้อเลียน พิชชาภาเหลือบเห็นสีหน้าของฐิติกาเผือดลงหน่อย

“พูดอะไรแบบนั้นแนต เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้ซื้อกระเป๋าแพงๆ ซะหน่อย...คืนนี้เรายังไม่ได้ถ่ายรูปรวมกันเลยนะ จะได้ลงโฆษณาบาร์ให้แนตด้วย” 

พอพิชชาภาเปลี่ยนเรื่อง สีหน้าของฐิติกาก็ดูดีขึ้น และพออยู่หน้ากล้องก็ไม่มีใครสนใจใครอีก

หลังจากนั่งดื่มกันไปได้พักหนึ่ง ฐิติกาก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ท่าทางหญิงสาวจะมึนไม่น้อย เพราะนริสาเล่นจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายขนานมาให้ พิชชาภาเองก็เริ่มมึนๆ แต่พยายามครองสติเอาไว้ เพราะหากลุกไปเข้าห้องน้ำ หล่อนอาจตกเป็นเหยื่อในการนินทาลับหลังเหมือนที่ฐิติกากำลังโดนอยู่ในเวลานี้

“ฉันว่าต้องมีผู้ชายสักคนซื้อกระเป๋าใบนี้ให้เจนแน่ ถึงเจนจะมีงานละครชุกช่วงนี้ แต่ไม่มีเงินสดมากพอมาซื้อกระเป๋ารุ่นนี้หรอก เพิร์ลว่ามั้ย” ญานินหันมาเปิดประเด็นกับพิชชาภาผู้ไม่อยากออกความเห็นเรื่องนี้

“ไม่รู้สิ ถ้านุ่นอยากรู้ก็ถามเจนตรงๆ เลยสิ” พิชชาภาเอ่ยอย่างรำคาญ

“แหม ใครจะกล้าถาม ที่พูดก็เพราะรู้สึกว่าเจนพยายามทำตัวเด่นแย่งซีนเพิร์ลตลอด ทำเป็นยิ้มๆ แต่จริงๆ ยายนี่ร้ายลึกนะ ที่ตีหน้าเศร้าก็เล่นละครชัดๆ” ญานินเอ่ยฉุนๆ ที่หล่อนไม่เออออด้วย

“นั่นสิ ฉันก็คิดเหมือนกัน มีแต่เพิร์ลที่ดูไม่ออกแล้วก็คอยออกรับแทนเจนตลอด คอยดูแล้วกันว่ายายนี่ไม่ได้อ่อนหวานแสนดีอย่างที่แสดงออก ฉันจะต้องสืบรู้ให้ได้ว่าตอนนี้ยายนี่กิ๊กกับใครอยู่ เรื่องนี้สืบไม่ยากหรอก” แพรวา ลูกสาวเจ้าของโรงเรียนนานาชาติชื่อดังเสริมอย่างออกรส

“เท่าที่ฉันรู้มา เจนน่าจะคบอยู่กับนักธุรกิจหลายคน ดีไม่ดีอาจเป็นบ้านเล็กของผู้มีอิทธิพลสักคน ระวังคุณเท็ดไว้ดีๆ นะเพิร์ล แฟนเธอนี่ครบเครื่องอย่างที่เจนชอบ ช่วงนี้ก็ไม่เห็นเพิร์ลไปไหนกับคุณเท็ดเลย อย่าหาว่าเสี้ยมให้ระแวงเลยนะ ผู้ชายที่ชอบอ้างว่างานยุ่งส่วนใหญ่จะแอบมีกิ๊ก” 

ญานินยังคงใส่ไฟต่อ แต่พิชชาภาบอกตัวเองให้ทำใจร่มๆ ไว้ อย่าไปใส่ใจคำพูดที่มีแต่บั่นทอนจิตใจ ทว่าการดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมากพอสมควรก็ทำให้ใจที่เคยเข้มแข็งเริ่มสั่นคลอน

“แนตว่าคนอย่างคุณเท็ดเขาไม่สนใจดาราอย่างเจนหรอก ในเมื่อเพิร์ลเหนือกว่าทุกอย่าง อีกอย่างนักธุรกิจไฟแรงก็ต้องงานยุ่งเป็นธรรมดา อย่าพูดให้เพิร์ลไม่สบายใจสิ...ไม่เอาแล้ว มาดื่มต่อกันดีกว่า” นริสาปรามญานินเสียงอ่อน พิชชาภามองนริสาด้วยสายตาขอบคุณ 

ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงเมื่อฐิติกาเดินกลับเข้ามา หญิงสาวดูสดชื่นขึ้นมาก อาจเพราะเพิ่งไปเติมหน้ามา พิชชาภามองหญิงสาวแสนสวยเบื้องหน้าด้วยความเห็นใจ ฐิติกาจะรู้ไหมว่าลับหลังเธอถูกนินทาเสียหายอย่างไรบ้าง หล่อนคิดว่าฐิติกาน่าจะรู้ เพราะหญิงสาวคงเคยได้ยินเรื่องร้ายๆ จากปากสาวๆ เหล่านี้เช่นกัน 

แล้วอยู่ดีๆ คำพูดของผู้ชายมาดเซอร์ปากร้ายที่สวนกระบองเพชรก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิด

‘เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้หรอกคุณ’

ใช่...เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้จริง ที่แน่ๆ คือซื้อเพื่อนดีๆ ไม่ได้ พิชชาภาปลอบใจตัวเองว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่อย่างน้อยก็ยังมีคนให้คบหาใช้เวลาด้วยในเวลาเบื่อๆ เหงาๆ ชีวิตหล่อนดีพร้อมขนาดนี้จะคาดหวังอะไรมากไปกว่านี้ หญิงสาวในกลุ่มคนอื่นๆ ก็คงคิดเหมือนกัน พิชชาภาจึงชนแก้วกับบรรดาสาวๆ อย่างสบายใจมากขึ้น 

ทว่าคำถามที่ยังเป็นเหมือนตะกอนขุ่นในใจ ต่อให้ดื่มแอลกอฮอล์ไปกี่แก้วก็หยุดคิดไม่ได้จริงๆ ก็คือ ธัชนันท์หายไปไหน...หล่อนชักจะระแวงเขาขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว

เสียงหัวเราะเฮฮาจากกลุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่บริเวณมุมด้านในสุดของบาร์ทำให้ชายหนุ่มหน้าคมเข้ม ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสแล็กสีดำหันไปมองเป็นระยะ พฤกษ์ไม่คิดว่าเขาจะได้เจอผู้หญิงคนนี้ที่นี่อีก...ยิ่งไม่อยากเจอก็ยิ่งได้เจอ จากอารมณ์ดีๆ ที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศมาพบกลุ่มเพื่อนในแวดวงกระบองเพชร กลับกลายเป็นหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทว่าอาการเหลียวมองบ่อยๆ ของเขากลับทำให้เพื่อนรุ่นพี่เข้าใจผิด

“พี่เห็นพฤกษ์เหลือบมองสาวทางนั้นหลายรอบแล้ว สนใจคนไหนล่ะ สาวๆ พวกนี้ระดับทอปทั้งนั้น คิดจะเด็ดดอกฟ้าเลยเหรอ” เฮียหมี เจ้าของสวนกระบองเพชรเจ้าใหญ่แซว

“แหม เฮียก็พูดจาน่าเกลียด พฤกษ์เขาเป็นหมาวัดซะเมื่อไหร่ ทั้งหล่อ เก่ง ใจบุญ รักธรรมชาติแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก จะพูดอะไรก็หัดเกรงใจเนตรด้วย” เจ๊เป้ สาวใหญ่ผู้เป็นภรรยาปรามสามี ส่วนเนตรนพินนั่งหน้าแดงก่ำแบบเขินๆ

“ผมแค่รำคาญผู้หญิงพวกนี้ เมาแล้วเสียงดังไม่เกรงใจใครเลย ผู้หญิงเวลากินเหล้าเมาแล้วดูไม่ดีด้วย”

“ต้องเป็นผู้หญิงแบบเนตรใช่ไหม ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ตรงตามตำรับกุลสตรีไทย” เจ๊เป้ได้ทีลองหยั่งเชิง

“เนตรก็ไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ดื่มเหล้าไม่ได้เพราะแพ้แอลกอฮอล์ ส่วนบุหรี่นี่ไม่คิดจะสูบเพราะไม่ดีต่อสุขภาพ” เนตรนพินเอ่ยยิ้มๆ

“สาวๆ กลุ่มนั้นเขาจะเสียงดังยังไงก็ได้ หนึ่งในนั้นก็นริสา ลูกสาวเจ้าของโรงแรมไงล่ะ” 

เฮียหมีเอ่ยพลางมองไปทางหญิงสาวที่แต่งตัวทะมัดทะแมงเรียบง่ายที่สุดในกลุ่ม ส่วนคนอื่นๆ แต่งตัวมาเหมือนจะเล่นงิ้ว สีแดงที่นัดกันใส่มาก็สะดุดตาพอแล้ว ยังใส่ชุดเดรสรุ่มร่ามอีก โดยเฉพาะชุดที่พิชชาภาใส่ แม้จะยอมรับว่าดูเด่น แต่พฤกษ์ก็คิดว่ามันเว่อร์จนเกินกว่าคำว่าสวยไปมาก

“ช่างเขาเถอะเฮีย เราก็ดื่มของเราไป...จะว่าไปแล้วเจ๊เองก็เคยฝันอยากแต่งตัวสวยๆ แบบนี้สักครั้งกับเขาเหมือนกัน เฮียซื้อชุดสวยๆ แพงๆ ให้บ้างสิ” เจ๊เป้ทำเสียงออดอ้อน ชม้อยชม้ายชายตากอดแขนสามีอย่างประจบ

“แค่ขาข้างเดียวจะยัดใส่ชุดได้หรือเปล่า แถมหน้าก็ไม่ให้ เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดว่าแต่งตัวไปรำแก้บนที่ศาลเจ้า” เฮียหมีหยอกภรรยาที่ค้อนขวับ

“ใช่ซี้ เจ๊มันไม่ได้สวยหุ่นดีเหมือนสาวๆ พวกนั้น งั้นเจ๊จะกลับละ ไม่อยู่ให้รกหูรกตาเฮีย” เจ๊เป้ทำท่าสะบัดสะบิ้ง เฮียหมีเลยยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่อย่างง้องอน

“เจ๊จะหุ่นแบบไหน ตาไม่มีชั้น เฮียก็รัก อย่างอนนะคนสวย” 

พฤกษ์อมยิ้มให้คู่รักที่ไม่ว่าเจอเมื่อไรก็ประทับใจในความรักอันอบอุ่นของทั้งคู่ หากเขาจะมีครอบครัวก็อยากมีคู่ชีวิตที่เป็นเพื่อนคู่คิดแบบนี้แหละ จิกกัดกันบ้าง อ้อนกันบ้างพอให้ชีวิตมีสีสัน 

“หวานไม่เกรงใจกันเลยนะ ผมกับเนตรกลับก่อนดีกว่า ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอแล้ว” พฤกษ์แกล้งแหย่ แต่เจ๊เป้กลับแซวกลับแรงกว่า

“อยากหาข้ออ้างไปสวีตกันสองคนกับเนตรก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องมาอ้างเฮียกับเจ๊เลย นี่เจ๊เตรียมตัดชุดรอไปงานแต่งของทั้งคู่อยู่นะ”

พฤกษ์ยิ้มแห้ง เฮียหมีคงเห็นว่าเขาอึดอัดจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

“เจ๊อย่าเพิ่งไปกดดันสองคนนี้เขานักเลย เฮียว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมก็คงได้ยินข่าวดี” เฮียหมียิ้มให้เขาอย่างรู้ดีว่าคิดอย่างไรกับเนตรนพินที่อยู่ในสถานะเพื่อนสนิทที่ยังไม่ได้ขยับออกจากเฟรนด์โซน

“เจ๊เลิกแซวแล้วก็ได้...จริงสิ เจ๊ได้ข่าวมาว่าที่ดินแถวสวนของพฤกษ์ถูกกว้านซื้อไปทำห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ พฤกษ์จะขายที่หรือเปล่า”

“ใจจริงผมไม่อยากขายที่ แต่คุณตาน่ะสิครับที่บ่นๆ อยากย้ายกลับไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ อ้างว่าอยากกลับไปช่วยพ่อแม่ผมทำสวน”

“ถ้าพฤกษ์ขายที่ก็คงมีคนใจหายหลายคน โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ในชุมชนแออัดคงเสียใจกันแย่”

“นั่นแหละครับที่ผมคิดหนัก เพราะผมไม่ได้ทำสวนกระบองเพชรเพื่อค้าขายอย่างเดียว แต่มันยังเป็นสถานที่ที่สร้างความสุขให้แก่ผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย”

“พี่เข้าใจพฤกษ์นะและสนับสนุนความคิดนี้ แต่พฤกษ์ก็ต้องคิดถึงคุณตาด้วย ท่านก็แก่แล้ว คงอยากใช้บั้นปลายชีวิตอย่างสงบ ถ้าย้ายไปอยู่เพชรบูรณ์ พฤกษ์เองก็จะมีพื้นที่ทำสวนกระบองเพชรใหญ่ๆ อย่างที่ฝันไว้ ส่วนกิจกรรมเพื่อเด็กผู้ด้อยโอกาสก็ยังสานต่อได้”

“ผมก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ครับ แต่อีกเรื่องที่ทำให้ผมเริ่มเอนเอียงไม่อยากขายที่ เพราะผมหมั่นไส้ที่ยายคุณหนูเอสพีกรุ๊ปเอาเงินมาฟาดหัวผม ผมก็เลยอยากแกล้งให้เดือดร้อนเล่น” พฤกษ์เอ่ยพลางเหลือบมองไปทางพิชชาภาที่ตอนนี้คงเริ่มเมาได้ที่แล้ว เพราะเริ่มพูดคุยหัวเราะเสียงดังลั่น

“มีคนจากเอสพีกรุ๊ปมาติดต่อพฤกษ์แล้วจริงๆ เหรอ” เนตรนพินถามเสียงแผ่ว สีหน้าบ่งบอกว่าน้อยใจที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ ทั้งที่ปกติเนตรนพินจะเป็นคนแรกๆ ที่รู้เรื่องของเขา

“ก็เพิ่งวันนี้เองแหละ และยายคุณหนูคนนั้นก็ผู้หญิงที่ใส่เสื้อซีทรูกระโปรงแดงนั่นแหละ อีกนิดเดียวก็เชิดสิงโตได้แล้ว”

เจ๊เป้หัวเราะคำพูดของเขา

“ปากคอเราะรายนะเรา พี่ว่าจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ก็สวยออก เดี๋ยวนะ พี่จำได้ ชื่อเพิร์ล พิชชาภาใช่ไหม พี่ฟอลโลว์ไอจีเขาด้วย เสื้อผ้าเขาซ้วยสวย มีรถหรูขับ ใช้ชีวิตเหนือระดับ นี่เป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนเลยละที่จะใช้ชีวิตแบบนี้บ้าง”

“ตื่นเถอะเจ๊ เจ๊คงต้องใช้ชีวิตอยู่กับรถกระบะขนกระบองเพชรไปจนแก่นั่นแหละ”

ทุกคนขำที่เฮียหมีเบรกภรรยาจนหน้าคว่ำ บทสนทนาดำเนินไปอย่างรื่นรมย์ พฤกษ์ดื่มไปเยอะเหมือนกัน มารู้ตัวอีกทีก็ชักมึนๆ เลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

แต่พอเดินเข้าไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอาเจียนโอ้กอ้ากในห้องน้ำ อันที่จริงเขาก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยหรอกนะหากนั่นไม่ใช่เสียงผู้หญิง พฤกษ์ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเมามากจนเข้าห้องน้ำผิดหรือเปล่า แต่เมื่อเหลือบมองดูป้ายก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาควรจะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ดี ปล่อยเลยตามเลยหรือควรช่วยเหลือในฐานะสุภาพบุรุษ

แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าควรพาผู้หญิงคนนี้ออกจากห้องน้ำให้เร็วที่สุดก่อนจะมีลูกค้าชายคนอื่นเข้ามา 

พฤกษ์เคาะประตูห้องน้ำที่หญิงสาวผู้นั้นอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็เงียบไปแล้วและไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เคราะห์ดีที่หญิงสาวไม่ได้ล็อกประตู เมื่อผลักประตูก็ชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะหญิงสาวที่กำลังนั่งกอดโถส้วมคือพิชชาภาซึ่งหมดสภาพนางพญา พฤกษ์ถอนใจ ถ้าเขารู้ว่าจะเจอยายนี่ คงจะปล่อยให้นอนอยู่ในห้องน้ำชายแบบนี้นี่แหละ 

ทว่าเขาก็เป็นคนดีเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนั้น จึงสะกิดหญิงสาวเพื่อปลุก แต่พิชชาภาก็ยังหมดสติอยู่ พฤกษ์จึงตัดสินใจลากเธอออกมาจากห้องน้ำ แล้วเอากระดาษทิชชูชุบน้ำมาเช็ดหน้าและลำคอให้ เมื่อได้พินิจใบหน้าของหญิงสาวใกล้ๆ พฤกษ์ก็ยอมรับว่าพิชชาภาเป็นคนสวยมาก แม้กระทั่งตอนนี้ที่เครื่องสำอางเปรอะใบหน้าไปหมดก็เถอะ พฤกษ์ค่อยๆ บรรจงใช้ทิชชูซับมาสคาราที่เลอะเปรอะใต้ตาออก แล้วเช็ดคราบลิปสติกสีแดงที่เลอะมุมปาก ยิ่งสีสันบนใบหน้าของหญิงสาวเบาบางลงเท่าไร ความงามอันผุดผาดก็ยิ่งปรากฏ แก้มใสนวลมีสีแดงเรื่อๆ อย่างคนสุขภาพดี ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่เธอจะแต่งแต้มบลัชออนให้เข้มเกินความจำเป็น 

น่าเสียดายที่พิชชาภาไม่รู้ตัวว่ายามที่เธอดูเป็นธรรมชาติ...เธอดูสวยตราตรึงใจแค่ไหน

พฤกษ์มองใบหน้างามนี้ด้วยความเผลอไผลและเสียดาย หากนิสัยใจคอของเธอดีได้สักครึ่งหนึ่งของหน้าตาก็คงจะดี และบางทีเขาอาจจะตกหลุมรักเธอก็เป็นได้ 

ทว่าขณะที่กำลังคิดเพลินๆ ใบหน้าของเขาก็ถูกดึงเข้ามาใกล้ใบหน้างามอย่างไม่ทันตั้งตัว และวินาทีถัดมาริมฝีปากของเขาก็ประทับเข้ากับริมฝีปากของหญิงสาว

คล้ายมีแรงดึงดูดให้ริมฝีปากของเขากับพิชชาภาแนบชิดสนิทแน่นยิ่งขึ้น และเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนอารมณ์เริ่มเตลิดไปไกล บางทีอาจจะเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เขาขาดสติยับยั้งตัวเองก็เป็นได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกไปมากกว่านี้ พิชชาภากลับเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากที่ร้อนผ่าวนั้นออกก่อนพร้อมกับพึมพำ

“เพิร์ลนึกว่าพี่เท็ดจะไม่มาหาเพิร์ลซาแล้ว...วันนี้ซวยจริงๆ ซวยทุกอย่างเลย โดยเฉพาะผู้ชายหยิ่งยโสที่สวนกระบองเพชรคนนั้น เขาด่าเพิร์ล”

คำตัดพ้อของพิชชาภาทำให้สติของพฤกษ์คืนกลับมา นี่เจ้าหล่อนเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือแฟนหนุ่มอย่างนั้นหรือ ซ้ำเขายังกลายเป็นบุคคลที่ทำลายวันดีๆ ของเธออีก 

“คุณ...ผมว่าคุณออกจากห้องน้ำชายแล้วไปหาน้ำเปล่าดื่มหน่อยเถอะ” พฤกษ์พยายามเขย่าตัวหญิงสาวเผื่อว่าสติสตังจะเริ่มเข้าที่ แต่พิชชาภากลับหัวเราะลั่น

“นี่มันห้องน้ำชายที่หนาย นี่มันล็อบบีต่างหาก...แล้วคุณคือคราย...แฟนฉันหายไปหนาย”

“ตั้งสติหน่อยนะคุณแล้วฟังดีๆ คุณเมามากจนเข้าห้องน้ำผิด แล้วแฟนคุณก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย”

“ไม่จริง คุณโกหก เมื่อกี้ฉันเพิ่งจูบกับแฟนฉันหยกๆ คุณเอาแฟนฉันไปซ่อนที่หนาย หรือคุณดักปล้นทำร้ายเขา” 

พฤกษ์กลอกตาหน่ายๆ เวลาพิชชาภาสติครบถ้วนก็ดูจะคุยด้วยยากอยู่แล้ว เมาขนาดนี้คงไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องแน่ แถมเจ้าหล่อนยังจินตนาการไปไกลเสียอีกว่าเขาเป็นผู้ร้าย คิดแล้วก็ฉุนไม่น้อย ตอนนี้เขาแต่งตัวโก้เป็นพิเศษ ถึงไม่ได้หล่อเนี้ยบแต่ไม่ได้ดูแย่ขนาดจะเป็นโจรผู้ร้ายได้

“ตอนนี้และที่นี่คือห้องน้ำชาย มีแค่ผมและคุณเท่านั้น” พฤกษ์พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าของหญิงสาวบ่งบอกว่ากำลังคิดตามก่อนจะทำหน้าตกใจ 

“แล้วผู้ชายคนเมื่อกี้ที่จูบกับช้านคือคราย” พิชชาภาจ้องหน้าเขาเขม็ง ถามเสียงสั่น

“คุณคิดว่าเป็นใครล่ะ”

พฤกษ์หรี่ตามองหญิงสาว สะใจอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นหญิงสาวผู้หยิ่งผยองทำท่าเหมือนจะเป็นลมไปอีกรอบ แต่แล้วจู่ๆ เขากลับถูกถีบกระเด็น ไม่รู้ว่าหญิงสาวเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน และดูเหมือนสติจะกลับคืนมาเต็มร้อยเสียด้วย

“ช่วยด้วยค่ะ! ช้านถูกลวนลาม”

“คุณอยากตะโกนให้คนรู้เหรอว่าคุณเมาจนเข้าห้องน้ำชาย กอดโถส้วมอ้วกจนหมดสภาพ แล้วเรื่องนี้คุณก็ไม่ใช่คนเสียหาย ผมต่างหาก...เพราะคุณเป็นคนจูบผมก่อน”

พิชชาภาทำหน้าช็อก เพราะคงรู้แล้วว่าหากมีคนแห่มาและรู้เรื่องนี้ คนที่เสียหายก็คือตัวหล่อนจริงๆ

“ช้านจูบคุณเพราะเข้าใจผิดว่าคุณเป็นแฟนช้าน แต่คุณก็ไม่ควรฉวยโอกาส”

“ผมไม่ได้พิศวาสอยากจูบคุณเลย บอกเลยว่าคุณจูบได้ห่วยมาก ไม่ต้องห่วง ผมไม่มีทางบอกใครว่าเคยจูบกับคุณ เสียประวัติผมเปล่าๆ”

“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าช้านคือใคร...ช้านคือผู้หญิงที่ผู้ชายทั้งประเทศอยากจูบด้วยมากที่สุด”

“คุณนี่มั่นหน้าจริงๆ ผมคนหนึ่งละที่ไม่เคยคิดอยากจูบกับผู้หญิงอย่างคุณ”

พิชชาภากรี๊ดลั่น ทำให้พฤกษ์ยิ่งสะใจ

“อย่าคิดว่าผู้ชายทุกคนจะต้องชอบผู้หญิงที่มีออปชันอย่างคุณ เงินไม่ได้ทำคุณดูสูงส่งหรือเลิศเลอกว่าใคร อีกอย่างอย่าไปจูบใครพร่ำเพรื่อล่ะคุณ สมัยนี้ผู้ชายกับผู้หญิงทัดเทียมกัน คุณอาจจะถูกตั้งข้อหาลวนลามง่ายๆ”

พูดจบพฤกษ์ก็กุมท้องที่ยังจุกเสียดเดินออกไปจากห้องน้ำ โดยไม่สนใจหญิงสาวที่มองตามเขาด้วยสายตาโกรธแค้นอย่างที่สุด 

พิชชาภาล้างหน้าล้างตาและล้างปากไม่รู้กี่รอบจนแสบไปหมด หล่อนอยากจะลบจุมพิตของผู้ชายคนนั้นให้สิ้นซาก ทำไมหล่อนถึงรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยพบผู้ชายคนนั้นที่ไหนมาก่อน แววตาคมกร้าวแบบนั้นและคำพูดถากถางว่าหล่อนคิดว่าตัวเองเหนือกว่าใครเพราะเงินทำให้นึกไปถึงผู้ชายปากร้ายเจ้าของสวนกระบองเพชร

แต่เจ้าของสวนจนๆ จะมีปัญญามาชูคอในบาร์หรูแบบนี้ได้ด้วยหรือ ไม่มีทางหรอก ก็แค่บังเอิญที่หล่อนไปเจอผู้ชายเฮงซวยถึงสองคนในวันเดียวกัน แม้ในใจของพิชชาภาจะขุ่นมัวแค่ไหนหรือเพิ่งทำเรื่องน่าอับอายมา แต่คนอื่นจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะสาวๆ ในกลุ่มที่คงจะเอาหล่อนไปนินทากันให้สนุกปาก

พิชชาภาบอกตัวเองว่าให้ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เสีย ใครๆ ก็มีสิทธิ์เมากันได้ แล้วการเข้าห้องน้ำผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในโลกนี้ไม่ได้มีหล่อนคนเดียวเสียเมื่อไรที่เมาแล้วขาดสติเข้าห้องน้ำผิด ส่วนเรื่องจูบ หล่อนจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน โชคดีที่ไม่มีลูกค้าชายมาเข้าห้องน้ำในช่วงเวลานั้น แต่ตอนที่หล่อนกำลังเดินออกจากห้องน้ำก็มีผู้ชายร่างท้วมเดินสวนเข้ามาพอดี พอเห็นว่ามีผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำก็ทำหน้าตื่นๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าหลงเข้าห้องน้ำหญิงหรือเปล่า พิชชาภาจึงต้องแก้สถานการณ์ด้วยการส่งยิ้มให้และทำหน้าเป็นปกติ

“นี่ห้องน้ำชายค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วย พอดีเพื่อนฉันหายไป เขาเมามาก กลัวหมดสติในห้องน้ำก็เลยต้องเข้ามาดูค่ะ” 

“อ่า...ครับ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ” ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มให้พอเป็นมารยาท

พิชชาภากล่าวขอบคุณก่อนจะรีบเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังโต๊ะของกลุ่มเพื่อนสาวที่ยังสรวลเสเฮฮา แต่ละคนดูจะดื่มกันเพลินจนลืมว่าหล่อนหายไปนาน แต่ที่ทำให้หล่อนชะงักไปนิดหนึ่งคือการปรากฏตัวของแฟนหนุ่ม เขาไม่สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าหล่อนยืนอยู่ข้างหลัง เพราะกำลังคุยอย่างออกรสกับฐิติกาอยู่

ยังไม่ทันที่หล่อนจะแตะบ่าคนรัก ฐิติกาก็เหลือบมาเห็นหล่อนพอดี 

“อ้าว เพิร์ล เรานึกว่าเพิร์ลกลับไปแล้วซะอีก เห็นหายไปนานเลย พี่เท็ดถึงกับบ่นว่ามาเซอร์ไพรส์เก้อ”

“บังเอิญมีงานด่วนเข้ามาน่ะ เลยต้องไปนั่งคุยงานเงียบๆ” พิชชาภาตอบอีกฝ่าย ก่อนจะซักแฟนหนุ่มที่ยิ้มกว้างเหมือนดีใจมากที่เห็นหน้าหล่อน

“พี่เท็ดตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เพิร์ลจริงๆ เหรอคะ ทำไมพอไม่เจอเพิร์ลถึงไม่โทร. หา วันนี้ก็เงียบไปทั้งวัน” พิชชาภาอดตัดพ้อไม่ได้ ทั้งที่หล่อนไม่อยากพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะสาวๆ กลุ่มนี้ที่อาจเข้าใจว่าธัชนันท์ไม่ได้สนใจไยดีหล่อนเท่าที่ควร

“พี่ตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์เพิร์ล แล้วพี่ก็เตรียมของขวัญไว้ให้เพิร์ลด้วยนะ”

แล้วธัชนันท์ก็ยื่นกล่องของขวัญขนาดจิ๋วให้หล่อน สาวๆ ในกลุ่มอุทานด้วยความอิจฉา

“ว้าย ตายแล้ว อย่าบอกนะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกันที่นี่”

“ถ้าผมจะขอเพิร์ลแต่งงาน มันจะพิเศษและโรแมนติกกว่านี้เยอะ” 

เสียงร้องแซวดังลั่นทำให้พิชชาภาหน้าแดงหน่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือมารับกล่องของขวัญที่กลางกล่องพิมพ์ตัวอักษรสีทองว่าคาร์เทียร์มาเปิดดู ภายในคือสร้อยพิงก์โกลด์ประดับเพชรรูปหัวใจที่หล่อนเคยเปรยว่าอยากได้

“พี่ขอใส่ให้เพิร์ลนะ อยากให้เพิร์ลใส่ติดตัวเวลาทำงาน จะได้รู้สึกเหมือนมีพี่อยู่ใกล้ๆ ตลอด” 

ธัชนันท์ทำเสียงอ่อนหวาน แต่น่าแปลกที่พิชชาภากลับรู้สึกว่ามันประดิษฐ์อย่างไรไม่รู้ แต่ในเมื่อเขาพยายามทำหน้าที่แฟนที่ดี หล่อนก็ไม่ควรคิดมาก พิชชาภายื่นกล่องสร้อยให้แฟนหนุ่มเพื่อให้เขาสวมสร้อยให้หล่อนท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนรอบข้าง อย่างน้อยคืนนี้หล่อนก็ไม่เสียหน้าและมีรูปคู่ลงอวดในอินสตาแกรมแล้ว

ปาร์ตี้สังสรรค์ในค่ำคืนนี้สิ้นสุดลงราวเที่ยงคืน ธัชนันท์เดินตามไปส่งพิชชาภาที่รถและสวมกอดไว้อย่างง้องอน คงเพราะรู้ว่าหล่อนยังน้อยใจ

“อย่างอนพี่เลยนะเพิร์ล ถึงพี่จะงานยุ่ง แต่พี่ก็ไม่ได้ลืมจริงๆ นะว่าเพิร์ลทำงานวันนี้วันแรก”

“ถ้าพี่เท็ดแคร์เพิร์ลจริงๆ ถึงจะไม่มีเวลาโทร. หา แค่ส่งข้อความมาให้กำลังใจกัน มันคงเสียเวลาไม่กี่นาทีหรอกค่ะ” พิชชาภาอดตัดพ้อไม่ได้

               “พี่สัญญาว่าจะไม่หายไปแบบนี้อีกแล้ว...ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง พี่ว่าเพิร์ลไม่เห็นจำเป็นต้องทำงานให้เหนื่อยเลย”

               “ความจริงงานมันก็ไม่เครียดหรอกค่ะ แค่ต้องรับมือกับคนบ้าๆ เท่านั้นเอง...ถ้าเพิร์ลไม่ทำงาน พี่เท็ดจะเลี้ยงเพิร์ลไหวไหมคะ เพิร์ลใช้เงินเก่งนะ” พิชชาภาแกล้งแหย่คนรักซึ่งไม่เคยพูดถึงการแต่งงานเลย

“ต้องได้สิ ที่พี่พยายามทำงานหนักและพิสูจน์ตัวเองทุกวันนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลเพิร์ลให้ได้ดีเท่ากับคุณปู่ของเพิร์ล ไม่งั้นพี่คงไม่มีหน้าไปขอเพิร์ลจากคุณปู่แน่”

พอธัชนันท์พูดแบบนี้ หล่อนก็นึกถึงเรื่องที่ภิมุขยังขุ่นเคืองเขาอยู่

“พี่เท็ดพอจะว่างวันไหนคะ คุณปู่ถามถึง เพราะวันเกิดท่าน พี่เท็ดก็ไม่ได้ไปร่วมงาน”

“ไว้พี่บอกเพิร์ลอีกทีได้ไหม พอดีอาทิตย์นี้พี่ต้องพาลูกค้าญี่ปุ่นไปเอนเตอร์เทนที่กระบี่”

“เพิร์ลขอไปด้วยได้ไหม ช่วงนี้เบื่อๆ อยากไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ รับรองว่าเพิร์ลจะไม่เป็นภาระให้พี่เท็ดต้องดูแล” พิชชาภาเอ่ยอย่างประจบ แต่ธัชนันท์ทำสีหน้ายุ่งยาก

“พี่ก็อยากให้เพิร์ลไปด้วยนะ แต่ว่าลูกค้าที่พี่ต้องดูแลเป็นลูกค้ารายใหญ่แล้วก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น พี่คงต้องแฮงเอาต์ด้วยจนดึกดื่น เพิร์ลจะเหงาและเบื่อซะเปล่าๆ ไว้เราค่อยไปกันเองดีกว่านะ”

“ที่พี่เท็ดไม่อยากให้เพิร์ลไปเพราะจะแอบไปกับสาวอื่นหรือเปล่า อย่าให้เพิร์ลรู้นะคะ” พิชชาภาหรี่ตามองคนรักอย่างจับผิด ธัชนันท์หัวเราะราวกับว่าหล่อนหลุดคำพูดที่ไร้สาระที่สุดออกมา

“พี่จะไปสนใจผู้หญิงคนอื่นได้ยังไงในเมื่อเพิร์ลสวยกว่า ดีกว่าทุกคน”

“ขอให้จริงอย่างที่พูดก็แล้วกันค่ะ” พิชชาภาแกล้งขู่เสียงดุทั้งที่หล่อนพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน

“ดึกมากแล้ว เพิร์ลรีบกลับบ้านเถอะ ขับรถดีๆ ด้วยล่ะ แต่ก่อนไปขอกูดไนต์คิสหวานๆ สักทีได้ไหม”

พิชชาภาชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่า ‘จูบ’ หล่อนเพิ่งมีจูบที่เร่าร้อนไปหมาดๆ กับผู้ชายแปลกหน้า ความรู้สึกผิดแล่นริ้วเข้ามาในใจ หากธัชนันท์รู้เขาจะโกรธจนเลิกกับหล่อนไหม แต่พิชชาภาก็เข้าข้างตัวเองว่าไม่ได้นอกใจ แค่เมาและขาดสติเท่านั้น ที่สำคัญหล่อนจะไม่มีวันทำผิดซ้ำสอง

พิชชาภาจึงมอบจูบที่แสนหวานและดื่มด่ำที่สุดให้แก่คนรัก ซึ่งเขาก็ตอบสนองด้วยความอ่อนหวานและเร่าร้อนไม่แพ้กัน

“พี่ชักไม่อยากให้เพิร์ลกลับบ้านแล้วสิ” ธัชชานนท์มองพิชชาภาอย่างมีความหมาย

“จูบนี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยค่ะ ถ้าพี่เท็ดอยากได้อะไรมากกว่านั้นก็รอตอนที่เราแต่งงานกันก่อนนะคะ” พิชชาภาเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะผละจากคนรักอย่างนิ่มนวล หล่อนอยากให้การมีความสัมพันธ์กับธัชนันท์เกิดขึ้นในเวลาที่พร้อมจริงๆ อย่างน้อยก็พร้อมในความรู้สึกของหล่อน

ริมฝีปากของหล่อนยังคงร้อนผะผ่าว...แต่ความรู้สึกในใจหล่อนกลับไม่ได้อบอุ่นเหมือนจุมพิตเมื่อครู่นี้เลย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น