บทที่ ๔
“วันนี้พฤกษ์ดูเครียดๆ นะ เป็นเพราะเรื่องที่ดินหรือเปล่า ถ้าไม่อยากขาย ปฏิเสธเขาไปเลยเถอะ”
เนตรนพินเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ พฤกษ์รู้ว่าความนิ่งเฉยของเขาทำให้หญิงสาวอึดอัด แต่เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากพูดคุยเรื่องนี้นัก
“ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย แค่กำลังคิดว่าจะไปร่วมงานแฟร์ที่ขอนแก่นปีนี้ดีไหม ช่วงนี้ไม้ขาดตลาด สั่งมาจากจีนก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า”
“ถ้าสั่งจากจีนไม่ได้ก็ยังมีอีกหลายแหล่งนี่นา อย่าโกหกเนตรเลย พฤกษ์ต้องมีเรื่องกังวลอยู่แน่ๆ”
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ถึงคอนโดแล้ว เนตรรีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้มีสอนเวิร์กชอปแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” พฤกษ์ไล่อีกฝ่ายลงจากรถด้วยเสียงนุ่มๆ
“เนตรยังไม่ง่วงเลย แล้วก็ชักหิวๆ ด้วยสิ ข้างๆ คอนโดมีข้าวต้มโต้รุ่งเจ้าอร่อย พฤกษ์ไปกินเป็นเพื่อนเนตรหน่อยได้ไหม” หญิงสาวอ้อนวอนเขา แม้ชายหนุ่มอยากปฏิเสธ แต่ก็อดใจอ่อนไม่ได้
พฤกษ์จอดรถที่คอนโดของหญิงสาว แล้วเดินข้ามถนนไปยังร้านข้าวต้มฝั่งตรงข้ามซึ่งมีลูกค้านักท่องราตรีนั่งกินกันอยู่หลายโต๊ะ เนตรนพินสั่งข้าวต้มและกับข้าวมาหลายอย่าง หญิงสาวดูจะหิวจริงๆ เพราะตักอาหารเข้าปากไม่หยุด โดยเฉพาะยำปูดองที่หญิงสาวกินไปสูดปากไปอย่างเอร็ดอร่อย
“ช้าๆ หน่อยเนตร เดี๋ยวก็จุกหรอก อาหารฝรั่งเศสที่โรงแรมไม่อร่อยเหรอ เฮียหมีอุตส่าห์พาไปเลี้ยงห้องอาหารหรูเลยนะ”
“เนตรไม่ชอบอาหารฝรั่ง มันเลี่ยนๆ ยังไงไม่รู้ สู้อาหารไทยก็ไม่ได้ ทั้งหมดที่สั่งมากินยังถูกกว่าอาหารหนึ่งจานที่ร้านนั้นเลย”
“ถ้าเฮียได้ยินคงเสียใจแย่ ผมว่านานๆ ครั้งเปลี่ยนบรรยากาศไปกินอาหารฝรั่งเศสก็ไม่เลวหรอกนะ อีกอย่างร้านนี้ก็อร่อยสมราคาจริงๆ” พฤกษ์เอ่ยตามความเป็นจริง
“เนตรไม่อยากให้เฮียหมีต้องมาเสียเงินแพงเกินกว่าเหตุแบบนี้เลย แต่ก็รู้ว่าเฮียคงอยากเอาใจเจ๊เป้ ถึงบรรยากาศมันจะดีก็เถอะ แต่ก็ไม่เหมาะกับคนอย่างเราๆ”
พฤกษ์พยักหน้ายอมรับในข้อนี้ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องแต่งตัวให้ดูดีเป็นพิเศษเพื่อไปนั่งในที่หรูๆ แวดล้อมไปด้วยคนที่อยู่คนละสังคมกับเขา
“เนตรไม่ชอบแก๊งผู้หญิงไฮโซพวกนั้นเลย พยายามทำตัวเด่น แถมยังไม่มีมารยาท คุยกันโหวกเหวกเสียงดัง เนตรไม่มีวันฟอลโลว์ไอจีผู้หญิงพวกนี้แน่ โดยเฉพาะยายคนที่ใส่เสื้อซีทรูปักเลื่อมคริสตัล แต่งตัวเหมือนอยากให้เป็นจุดเด่น” เนตรนพินเอ่ยอย่างใส่อารมณ์ แสดงออกว่าหมั่นไส้พิชชาภาและแก๊งเพื่อนสาวอย่างเต็มที่
“แล้วเนตรไม่เคยอยากใส่ชุดสวยๆ แพงๆ บ้างเลยเหรอ” พฤกษ์ถามเพราะอยากรู้จริงๆ แต่เนตรนพินกลับมองหน้าเขาโกรธๆ
“พฤกษ์หาว่าเนตรอิจฉายายนี่เหรอ หรือว่าจริงๆ แล้วพฤกษ์ชอบผู้หญิงแบบนี้”
“ผมถามเพราะอยากรู้เฉยๆ อย่าโกรธสิ”
พฤกษ์มองหน้าหญิงสาวอย่างเพลียๆ เขาไม่เข้าใจเนตรนพินเลยว่าทำไมต้องแสดงท่าทางต่อต้านเกลียดชังพิชชาภาและเพื่อนๆ ขนาดนี้ สีหน้าของเขาคงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจนัก เนตรนพินถึงได้แก้ตัวเสียงอ่อย
“เนตรขอโทษที่ใส่อารมณ์มากไปหน่อย แค่ไม่ถูกชะตากับผู้หญิงแก๊งนี้ อีกอย่าง เนตรเห็นนะว่าพฤกษ์แอบมองยายผู้หญิงใส่ชุดซีทรูตลอด”
พฤกษ์พยายามสะกดอารมณ์อย่างมาก ถึงเขาจะรู้ว่าเนตรนพินชอบเขามากแค่ไหน แต่เขากับเธอก็เป็นแค่เพื่อนกัน เธอไม่มีสิทธิ์แสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาแบบนี้
“ผมว่าถ้าเนตรอิ่มแล้วก็กลับกันเถอะ”
การเปลี่ยนเรื่องของเขาเป็นสัญญาณเตือนให้เนตรนพินรู้ว่าเธอกำลังล้ำเส้น หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงอ่อน
“เนตรขอโทษ เนตรรู้ตัวว่าไม่ควรหึงหวงพฤกษ์แบบนี้ แต่มันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะเนตรชอบพฤกษ์มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพฤกษ์ยังไม่ชัดเจนกับเนตร ก็ทำให้ยิ่งกลัวว่าพฤกษ์จะไปชอบคนอื่น”
พอได้ยินเนตรนพินพูดแบบนี้ พฤกษ์ก็พูดไม่ออก จะให้เขาพูดว่ารู้สึกแบบเดียวกับเธอก็พูดได้ไม่เต็มปาก เขาผิดเองที่ทำให้ทุกอย่างค้างคาไม่ชัดเจนแบบนี้
“ผมขอโทษ ผมเห็นแก่ตัวที่ไม่ชัดเจนกับเนตร ตอนนี้ผมพูดได้อย่างเดียวว่าเนตรคือเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาความรู้สึกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ไหม ถ้าเนตรไม่อยากเสี่ยง ไม่อยากรอ ก็ตัดใจจากผมเถอะ” พฤกษ์คิดว่าการพูดตรงๆ จะเป็นผลดีกับหญิงสาวมากที่สุด
“ไม่มีวันที่เนตรจะตัดใจจากพฤกษ์ได้ง่ายๆ หรอก ถ้าที่ผ่านมาเนตรทำให้พฤกษ์รู้สึกพิเศษด้วยไม่ได้ ต่อจากนี้เนตรจะทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นเอง”
สีหน้าและน้ำเสียงของเนตรนพินบ่งบอกความมุ่งมั่นจนทำให้พฤกษ์เริ่มอยากถอยห่าง
พิชชาภาตื่นมาอย่างไม่สดใสนัก หล่อนไม่พร้อมลุกจากเตียงเลยจริงๆ หากป้าแม่บ้านไม่มาปลุกและแจ้งว่าภิมุขให้ไปพบที่ตึกใหญ่เพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน หล่อนก็คงนอนต่อไปเรื่อยๆ
พิชชาภาใจคอไม่ดีนัก แม้คุณปู่จะรักและใจดีกับหล่อนมากกว่าหลานทุกคน แต่หล่อนก็ไม่เคยรับมือคุณปู่ในโหมดเฮี้ยบจัด พิชชาภาได้แต่หวังว่ารอยยิ้มหวานๆ ของหล่อนจะทำให้ภิมุขใจอ่อนกับหล่อนเหมือนที่ผ่านมา
พิชชาภาแต่งกายด้วยชุดทำงานที่เลือกแล้วว่าดูเรียบร้อยเป็นงานเป็นการที่สุด อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของหล่อนให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ชุดทำงานเรียบๆดาษดื่น เพราะมันเป็นชุดสูทแบรนด์เนมหรูดูสวยสง่าสมฐานะหัวหน้าโพรเจกต์
เมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารของตึกใหญ่ก็เห็นว่าผู้ร่วมโต๊ะวันนี้ไม่ได้มีแค่ภิมุข แต่ยังมีลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคนมาร่วมโต๊ะด้วย พิชชาภาฉีกยิ้มให้ทุกคนทั้งที่ภายในใจแฟบเล็กนิดเดียว ลำพังต้องตอบคำถามภิมุขเกี่ยวกับความคืบหน้าในการซื้อขายที่ดินก็เครียดพอแล้ว นี่ยังต้องรับมือลูกพี่ลูกน้องที่พร้อมจะเหยียบย่ำซ้ำเติมหล่อนอีก งานเข้าแต่เช้าเลยจริงๆ
“นั่งก่อนสิเพิร์ล จะกินอะไรก็บอกเขม” ภิมุขเอ่ยขณะที่พิชชาภากำลังเดินมานั่งเก้าอี้ประจำของหล่อนซึ่งอยู่ทางซ้ายของหัวโต๊ะ
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เพิร์ลกินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ ขอแค่กาแฟดำก็พอค่ะป้าเขม” พิชชาภาหันไปสั่งแม่บ้านใหญ่
“อาหารเช้าสำคัญนะเพิร์ล สมองของเราต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์นะจ๊ะ ยิ่งตอนนี้เพิร์ลต้องรับผิดชอบโพรเจกต์สำคัญ ก็ยิ่งต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ จะได้เพิ่มรอยหยักสมอง” ชญานีได้ทีแขวะหล่อน
“พูดแบบนี้เหมือนพี่หญิงว่าคุณปู่เลยนะคะ เพราะคุณปู่ก็ดื่มแค่กาแฟดำตอนเช้าเหมือนกัน” พิชชาภาสวนกลับอย่างไม่ยอม ทำให้อีกฝ่ายเม้มปากแน่นที่ถูกย้อน
“ใครจะกินหรือไม่กินอะไรก็ตามใจเถอะ เอาสมองมาคิดเรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์ดีกว่า เช้านี้มีใครจะรายงานความคืบหน้าเรื่องงานบ้าง”
เมื่อผู้เป็นประมุขปรามเสียงเข้ม ทุกคนก็รู้ว่าควรจะสงบปากสงบคำ ลำพังเรื่องงานก็หนักหนามากพอแล้ว พิชชาภานั่งฟังลูกพี่ลูกน้องแต่ละคนนำเสนอความคืบหน้าของแต่ละโพรเจกต์อย่างทึ่งๆ หล่อนไม่เคยรู้ว่าพวกเขาเก่งกันขนาดนี้ ถึงบางโพรเจกต์จะยังไม่สำเร็จเต็มร้อย แต่ก็มองเห็นแผนงานที่ชัดเจน ทำให้หล่อนชักจะอายหน่อยๆ เพราะโพรเจกต์ที่หล่อนได้รับมอบหมายนั้นง่ายเสียจนเทียบอะไรไม่ได้กับโพรเจกต์อื่นๆ ซ้ำหล่อนยังทำไม่สำเร็จอีก พิชชาภาอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เลยจริงๆ
“เพิร์ลล่ะ มีอะไรจะรายงานปู่เกี่ยวกับโพรเจกต์ห้างเพรสทีจสาขาใหม่ไหม ได้ยินมาว่าเมื่อวานเพิร์ลไปพบเจ้าของสวนกระบองเพชรแล้ว”
“ก็ตามที่มีคนรายงานเลยค่ะ คุณพฤกษ์พูดชัดเจนว่าไม่ต้องการขายที่ ตอนแรกเราเลยเสนอราคาให้เขาหกล้าน เพิร์ลว่าถ้าเพิ่มเงินให้อีกสองสามล้าน เขาอาจจะใจอ่อนก็ได้นะคะ” พิชชาภาพยายามเสนอทางแก้ปัญหา
“ปู่ต้องการให้การเจรจาจบที่หกล้านเท่านั้น และขอให้จัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ยิ่งช้าเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มเป็นเงาตามตัว”
“แค่ซื้อที่ยังซื้อไม่ได้ จะไว้ใจให้เพิร์ลบริหารโพรเจกต์นี้ได้จริงๆ เหรอครับ ผมว่าคุณปู่น่าจะให้เพิร์ลไปทำพวกแผนกจัดซื้อสินค้าแบรนด์เนมน่าจะเหมาะกว่า” เจตน์ ลูกชายคนโตของลุงคนรองแสดงความคิดเห็น
“เจตน์เป็นประธานบริหารเหรอถึงได้คิดแทนปู่ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะทำอะไรสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก เจตน์เองก็เคยเซ็นอนุมัติวัสดุก่อสร้างพลาดไม่ใช่เหรอ แต่ความผิดพลาดก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ และปู่ว่าเพิร์ลก็คงได้เรียนรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” ภิมุขสบตาพิชชาภานิ่ง ทำให้หล่อนอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
ไม่ใช่ว่าอึ้งเพราะกลัวคุณปู่หรอกนะ แต่เป็นเพราะหล่อนยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการกับพฤกษ์อย่างไรต่างหาก ให้หล่อนทำงานยากๆ อย่างทำบัญชีหรือพิมพ์รายงานทั้งคืนยังดูจะสำเร็จได้ง่ายกว่าการไปเจรจากับคนปากร้ายแบบนั้น
“เพิร์ลว่าจริงๆ เรื่องซื้อขายที่มันเป็นเรื่องเล็กๆ นะคะ คงไม่จำเป็นถึงขนาดให้ผู้บริหารอย่างเพิร์ลจัดการเองหรอกค่ะ ให้ชุติมากับเด่นภูมิจัดการน่าจะดีกว่านะคะ เพิร์ลขอดูภาพรวมของโพรเจกต์แทน”
“ก่อนจะดูภาพรวมได้ก็ต้องโฟกัสที่รายละเอียดย่อยให้ได้ก่อน เช่นเริ่มจากทำเรื่องง่ายๆ อย่างซื้อที่ให้สำเร็จ อีกอย่างคำสั่งของปู่ถือว่าเป็นคำขาด ไม่ว่ายังไงเพิร์ลก็ต้องซื้อที่ผืนนี้มาให้ได้”
พิชชาภาทำหน้าเพลีย ก็คนเขาไม่อยากขาย จะไปบังคับเขาได้อย่างไร แต่พอเห็นสีหน้าดูถูกจากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ พิชชาภาก็รู้สึกว่าหล่อนจะเสียหน้าไม่ได้
“เพิร์ลรับปากค่ะว่าจะซื้อที่ดินผืนนี้มาให้ได้ในราคาหกล้านบาทถ้วนอย่างที่คุณปู่ต้องการ”
แววตาของภิมุขที่มองหล่อนฉายแววพอใจและภูมิใจ ต่างจากลูกพี่ลูกน้องหล่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าคนอย่างหล่อนจะทำอะไรสำเร็จได้ พิชชาภาก็เป็นคนจริงเหมือนกัน ลงว่าหล่อนตั้งใจทำอะไรแล้ว...ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ทุกคนจะได้เห็นว่าหล่อนไม่ได้เป็นคนไม่เอาไหนอย่างที่ใครๆ เคยดูถูก
พอพิชชาภาไปถึงออฟฟิศก็เรียกชุติมากับเด่นภูมิมาประชุมงานเพื่อวางแผนเรื่องการเจรจาซื้อขายที่ดิน ซึ่งทั้งสองคนก็ดูกระตือรือร้นช่วยกันเสนอความคิดเห็น
“ผมว่าคนที่ชอบเลี้ยงกระบองเพชรคงจะปลื้มคนที่ชอบกระบองเพชรเหมือนกัน คุณเพิร์ลลองไปอุดหนุนเขาดูสิครับ คุณพฤกษ์อาจยอมคุยกับคุณดีๆ”
พิชชาภาคิดตาม มันก็มีความเป็นไปได้ถ้าเจ้าสวนคือคนอื่น ขืนหล่อนทำตามที่เด่นภูมิเสนอ พฤกษ์อาจเกลียดขี้หน้าหล่อนกว่าเดิม ดีไม่ดีจะหาว่าหล่อนเอาเงินฟาดหัวเขาอีก
“เพิร์ลว่าไอเดียนี้มันพื้นไป ลองคิดแผนอะไรที่มันดูแยบยลและจริงใจกว่านี้ได้ไหมคะ” พิชชาภามองหน้าเจ้าแม่ปิดดีลอย่างชุติมาที่เริ่มหมดมุกและดูดชาไข่มุกอึกใหญ่
“ถ้าเราต้องการแสดงความจริงใจ เราก็ต้องเอาใจเข้าแลกค่ะ แต่แผนการนี้คุณเพิร์ลอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย ช่าไม่รู้ว่าคุณเพิร์ลจะทนไหวไหม”
พอชุติมาเกริ่นแบบนี้ พิชชาภาก็ยิ่งอยากรู้ แล้วก็ยอมไม่ได้ถ้าถูกท้า
“ก็ลองพูดมาสิคะ ตอนนี้เพิร์ลพร้อมเดินหน้าชนสู้ทุกทางเพื่อให้ซื้อที่ผืนนี้ให้ได้”
“ช่าคิดว่าคุณพฤกษ์ดูจะไม่ชอบคุณเพิร์ลเท่าไหร่ เพราะคุณเพิร์ลไปพูดดูถูกเขา นอกจากคุณเพิร์ลจะต้องไปขอโทษเขาแล้ว คุณเพิร์ลน่าจะเสนอตัวไปช่วยงานเขาแล้วค่อยๆ กล่อมว่าสิ่งที่คุณเพิร์ลเสนอจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”
“จะให้เพิร์ลไปขอโทษเขาเนี่ยนะ ไม่มีทางหรอก เพิร์ลไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย” พิชชาภาโวยทันที เรื่องอะไรหล่อนจะต้องทำแบบนั้น พฤกษ์ต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษที่พูดไม่ดีกับหล่อน
“คนเราแพ้อยู่สองคำนะคะ คือคำว่า ‘ขอบคุณ’ กับ ‘ขอโทษ’ คุณเพิร์ลก็ลองชั่งใจดูนะคะ”
ครั้งนี้ชุติมาดูจะจริงจังกว่าทุกครั้ง ที่หญิงสาวพูดมาก็ไม่ผิด ถ้าหล่อนลดศักดิ์ศรีลงสักนิดและกล่าวคำขอโทษ สถานการณ์อาจจะพลิกก็ได้
“ตกลง เพิร์ลจะไปขอโทษเขา แต่ว่าเรื่องที่เพิร์ลจะต้องไปช่วยงานเขามันดูจะมากไปหน่อย อีกอย่างอีตาพฤกษ์จะยอมให้เพิร์ลไปช่วยงานจริงๆ เหรอ ในสายตาเขาเพิร์ลดูแย่กว่าวัชพืชซะอีก”
“สวยๆ อย่างคุณเพิร์ลจะเป็นวัชพืชได้ยังไงกันคะ ยังไงผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็ชอบผู้หญิงสวยกันทั้งนั้น เผลอๆ คุณพฤกษ์อาจจะยอมใจอ่อนกับคุณเพิร์ลเพราะความสวยน่ารักก็ได้นะคะ” ชุติมาเอ่ยยิ้มๆ
“ถ้าเขาจะมองว่าเพิร์ลสวย ให้เขามองเพิร์ลเป็นวัชพืชไปเถอะ เพิร์ลไม่อินกับผู้ชายพรรค์นี้จริงๆ ว่าแต่เราจะไปหาเขาที่สวนเลยดีไหม เพิร์ลใจร้อน อยากให้เรื่องนี้จบไวๆ” พิชชาภาเอ่ยเสียงเซ็งจัด
“ผมว่าเราบุกไปเลยอาจจะเสียเที่ยว เพราะถ้าคุณพฤกษ์รู้ว่าพวกเราจะมาพบ เขาต้องไม่ยอมมาเจอแน่ๆ หรือไม่ก็อาจหลบหน้าอ้างว่าไม่อยู่ งั้นเดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง” เด่นภูมิพูดจบก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายไปที่สวนกระบองเพชรทันที
“สวัสดีครับ ผมอยากเข้าไปชมกระบองเพชรวันนี้ ไม่ทราบว่าวันนี้สวนเปิดหรือเปล่าครับ ผมอยากจะแวะเข้าไปดูไม้หน่อยครับ แล้วก็อยากพบคุณพฤกษ์ด้วยครับ”
พิชชาภาลุ้นไปด้วย อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร แต่เด่นภูมิก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจาก ‘ครับ’ คำเดียว พอวางสายก็ทำหน้าจ๋อยๆ ทำให้พิชชาภารู้คำตอบว่าพฤกษ์คงไม่อยู่แน่
“ผมคุยกับคุณพฤกษ์แล้วนะครับ เขาบอกว่าวันนี้สวนเปิด แต่ปกติวันนี้คุณพฤกษ์ไม่เข้าสวนครับ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร”
“แต่ว่าถ้าเราอยากพบจริงๆ เขาจะมาพบครับ”
“แหม เยอะสิ่ง พอลูกค้ามาก็รีบมาขายของเลยนะ ทำเป็นพูดว่าเงินซื้อไม่ได้” พิชชาภาทำปากเบ้
“ไม่เอาค่ะคุณเพิร์ล ทำแบบนี้ไม่สวยเลย ซ้อมยิ้มสวยๆ ไว้ค่ะ เราไปสงบศึก ไม่ได้ไปสร้างศัตรู” ชุติมาปรามเสียงอ่อน
พิชชาภาอยากแยกเขี้ยวใส่ชุติมาจริงๆ บ่นอะไรก็ขัดไปเสียหมด ตกลงไม่รู้ว่าภิมุขส่งสองคนนี้มาเป็นลูกน้องหรือหัวหน้าหล่อนกันแน่ แต่เอาเป็นว่าถ้าแผนการของสองคนนี้ได้ผล หล่อนก็พร้อมจะทำตาม
การไปพบพฤกษ์ในวันนี้ นอกจากพิชชาภาจะต้องเตรียมซ้อมพูดขอโทษให้ดูจริงใจ หล่อนยังต้องปรับการแต่งตัวให้ดูลำลองกว่าเดิม พิชชาภามองเสื้อผ้าที่ชุติมาเตรียมไว้ให้แล้วเบือนหน้า แต่ก็ขัดลูกน้องทั้งสองไม่ได้ เลยยอมเปลี่ยนชุดเพื่อตัดรำคาญ
“เพิร์ลไม่เห็นว่าเราจำเป็นต้องแต่งตัวโทรมแบบนี้เลย” พิชชาภาก้มลงมองเสื้อยืดแขนยาวสี่ส่วนและกางเกงผ้าสีเทาที่ใส่อยู่อย่างไม่ชอบใจนัก ขนาดอยู่บ้านหล่อนยังแต่งตัวสวยกว่านี้เลย
“โทรมตรงไหนคะ ชุดที่ช่าเลือกให้คุณเพิร์ลเป็นคอลเลกชันใหม่ล่าสุดเลยนะคะ เรียบๆ ดูดีแบบไม่มากไม่น้อยจนเกินไป” ชุติมาเอ่ยราวกับเป็นสไตลิสต์มือฉมัง
“เอาเถอะ เพิร์ลเหนื่อยที่จะเถียงด้วยแล้ว” พิชชาภาตัดรำคาญ อีกอย่างหล่อนก็เชื่อมั่นในความสวยดูดีของตัวเอง ไม่ว่าหล่อนจะใส่ชุดแสนธรรมดาก็ดูแพงได้ แล้วหล่อนก็ไม่อยากยอมรับนักว่าแบรนด์ธรรมดาๆ แบบนี้ใส่แล้วสบายอย่างไม่น่าเชื่อ
ในเมื่อหล่อนลงทุนขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปิดดีลได้สำเร็จ
วันนี้ที่สวนไอเลิฟแคคตัสมีลูกค้าไม่มากนัก พิชชาภายืนรออยู่หน้าโรงเรือนและปล่อยให้ลูกน้องเป็นฝ่ายเจรจาถามหาพฤกษ์ที่บอกว่าจะมาพบ ทว่าขณะที่หล่อนกำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ คุณตาคนสวนก็เดินมาทักทาย
“หนูมาดูกระบองเพชรหรือเปล่า เข้ามาดูข้างในสิ วันนี้มีไม้ใหม่ๆ มาลง เดี๋ยวตาช่วยแนะนำให้ว่ามีพันธุ์ไหนน่าเลี้ยง”
พิชชาภาอยากปฏิเสธ แต่ก็เกรงใจผู้อาวุโสที่ดูหน้าตาใจดีและกุลีกุจอให้บริการ เลยเดินตามเข้าไปดู กระบองเพชรละลานตาเต็มไปหมด ทำให้หล่อนสนใจและประหลาดใจไม่น้อย เพราะความทรงจำของหล่อนเกี่ยวกับกระบองเพชรคือต้นไม้สีเขียวๆ ที่มีหนามแหลมคม แต่กระบองเพชรหลากหลายสายพันธุ์ที่อยู่ตรงหน้ากลับมีสีสันสวยงาม บางต้นไม่มีหนามเสียด้วย
“คุณตาคะ กระบองเพชรสีๆ พวกนี้มีการตัดต่อสายพันธุ์อะไรหรือเปล่าคะ ทำไมลายมันสวยเหมือนมีคนมาเพนต์สีไว้เลย” พิชชาภาอดถามไม่ได้
“ที่เห็นน่ะธรรมชาติระบายสีเองล้วนๆ หนูสนใจอยากลองเลี้ยงไหมล่ะ ตาจะเลือกต้นสวยๆ ให้และให้ราคาพิเศษเลย”
“อุ้ย หนูไม่กล้าเลี้ยงหรอกค่ะ ในชีวิตนี้ไม่เคยเลี้ยงต้นไม้เลย ถ้าซื้อไปรับรองว่าตายแน่นอน” พิชชาภารีบออกตัว ถึงกระบองเพชรพวกนี้จะดูสวย แต่หล่อนก็ไม่ได้ชอบถึงขนาดจะรับไปดูแลและไม่อยากมีภาระ ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลย
“ยังไม่เคยลองเลี้ยงจะรู้ได้ยังไงว่าจะตาย ถ้าไม่กล้าเลี้ยงต้นยากๆ เดี๋ยวตาจะแนะนำต้นที่เหมาะสำหรับมือใหม่ให้เอาไหม ให้ฟรีด้วยเอ้า”
พิชชาภาอ้าปากจะปฏิเสธ แต่กลับมีคนชิงปฏิเสธให้หล่อนเสียก่อน
“คุณตาไม่ต้องคะยั้นคะยอให้เขาซื้อกระบองเพชรหรอกครับ เขาไม่ได้อยากได้ เขาอยากได้ที่ดินของเราต่างหาก”
พิชชาภาหันขวับไปมองเจ้าของเสียงแข็งๆ ที่ใส่มาสก์สีดำทะมึน ถึงเมื่อคืนหล่อนจะมึนๆ งงๆ แต่ความจำไม่ได้เลอะเลือน...เขาคือผู้ชายที่หล่อนจูบด้วยเมื่อคืน!
หล่อนจะเสียอาการไม่ได้เป็นอันขาด พิชชาภาจึงปั้นหน้าให้เหมือนว่าหล่อนจำเขาไม่ได้
“ขอบคุณคุณพฤกษ์มากนะคะที่ยอมพบ ครั้งที่แล้วฉันขอโทษที่ใจร้อนไปหน่อยเลยพูดจาไม่เข้าหูคุณ วันนี้เรามาคุยดีๆ กันเถอะค่ะ”
คำขอโทษของหล่อนทำให้พฤกษ์เหมือนจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แสดงว่าคงได้ผลอย่างที่ชุติมาแนะนำจริงๆ
“ก็ยังดีที่คุณรู้ตัวว่าพูดจาไม่ดี ที่วันนี้ผมยอมมาพบเพราะเข้าใจว่าลูกค้าที่โทร. มานัดตั้งใจจะมาซื้อกระบองเพชรจริงๆ ผมพูดตรงๆ เลยนะว่าไม่ชอบวิธีการของคุณ อยากจะนัดเพื่อพูดคุยเรื่องซื้อที่ ทำไมไม่พูดกันตรงๆ”
พิชชาภาหน้าเจื่อน หันไปมองหน้าเด่นภูมิซึ่งเป็นตัวต้นคิดแผนนี้ให้จัดการอะไรบางอย่าง
“เรื่องนี้คุณเพิร์ลไม่รู้ด้วยเลยครับ ผมเป็นคนวางแผนนี้เอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปตรงๆ ว่าติดต่อมาจากเอสพีกรุ๊ป คุณจะไม่ยอมมาพบ” เด่นภูมิชี้แจงเสียงอ่อย
“แค่วิธีการนัดของคุณมันก็ไม่ถูกต้องแล้ว ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าการซื้อขายที่ดินกับพวกคุณจะโปร่งใส จริงๆ ผมไม่ใช่คนคุยยากเลยนะ ก็แค่ชอบอะไรที่ตรงไปตรงมา”
พิชชาภาแอบทำปากเบ้หน่อยๆ...นี่น่ะหรือง่าย คิดว่าถือเหนือไพ่กว่างั้นสิ ถึงได้พูดเข้าข้างตัวเองอย่างไรก็ได้
“เอาเป็นว่าทางเรารับผิดเรื่องนี้ก็แล้วกันค่ะ ในเมื่อเราขอโทษแล้ว คนโปร่งใสตรงไปตรงมาอย่างคุณจะไม่ให้โอกาสพวกเราหน่อยเหรอคะ” พิชชาภาย้อนด้วยเสียงเนิบๆ ทำให้สีหน้าของพฤกษ์มึนตึงกว่าเดิม
“ตาว่าพฤกษ์ลองคุยกับเขาเถอะ ไหนๆ พวกเขาก็มากันแล้ว ฟังข้อเสนอแล้วจะขายหรือไม่ขายก็ตัดสินใจไปเลย”
พิชชาภาแทบจะหันไปกราบคุณตา นอกจากท่านจะขายกระบองเพชรเก่งแล้วยังใจดีช่วยหล่อนอีก
“พวกคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมา พูดต่อหน้าต้นกระบองเพชรพวกนี้แหละ” พฤกษ์ทำราวกับกระบองเพชรคือผู้พิพากษาที่จะชี้ชะตาของหล่อน
พิชชาภาเม้มปากแล้วสูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์
“ฉันไม่รบกวนเวลาคุณมากหรอกค่ะ ฉันก็แค่อยากเสนอเงินหกล้านบาทเพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้ ฉันลองเดินดูโรงเรือนแล้วนะคะ กระบองเพชรสวยๆ ของคุณมีเยอะมาก แต่พื้นที่ดูจะแคบไปหน่อย ถ้าคุณไปซื้อที่ใหม่ก็จะมีพื้นที่ทำโรงเรือนเพิ่มอีก”
พิชชาภาพูดอย่างเป็นงานเป็นการ พฤกษ์เองก็ดูรับฟัง ไม่โต้แย้ง แสดงว่าครั้งนี้คำพูดของหล่อนคงโดนใจเขาแน่ๆ
“คุณเพิ่งเดินดูโรงเรือนผมไม่กี่ก้าว เห็นต้นไม้ผมสักกี่ต้น อย่ามาพูดเหมือนคุณรู้จักสวนของผมดีเลย อีกอย่างถ้าผมจะทำโรงเรือนเพิ่ม ก็ไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นจากคนที่ไม่เคยเลี้ยงกระบองเพชรอย่างคุณ”
“แล้วถ้าฉันเลี้ยงกระบองเพชรเป็นและรู้จักสวนของคุณดีพอที่จะเสนอแผนพัฒนาธุรกิจให้คุณได้ คุณจะยอมคุยดีๆ กับฉันบ้างไหม” พิชชาภาชักเริ่มของขึ้น
“ถ้าคุณทำได้อย่างที่พูด ผมก็อาจเอาคำแนะนำของคุณไปคิดดู แต่มันคงไม่มีวันนั้น เพราะคุณคงไม่มีทางรู้จักกระบองเพชรและสวนของผมได้ทุกซอกทุกมุมหรอก”
“ก็ถ้าคุณให้โอกาสฉันช่วยงานที่สวน รับรองว่าเราจะคุยกันเข้าใจมากขึ้นแน่นอนค่ะ”
“คุณจะทนทำงานที่สวนของผมได้เหรอ มันไม่ใช่งานสบายๆ คุณหนูอย่างคุณอาจเป็นลมตั้งแต่สิบห้านาทีแรกที่เข้ามาอยู่ในโรงเรือน บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคุณเป็นอะไรไปผมจะไม่รับผิดชอบ”
“ฉันไม่ได้บอบบางอย่างที่คุณเห็น เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะมาช่วยงานที่สวนของคุณนะคะ” พิชชาภาสรุปเสร็จสรรพ แต่น่าแปลกกว่าที่พฤกษ์เองก็ยอมตกลงง่ายๆ
“งานที่สวนของผมเริ่มตั้งแต่แปดโมง เลิกห้าโมงเย็น หวังว่าคุณจะมาตรงเวลาและอยู่ครบตามเวลางาน ที่สำคัญผมไม่อนุญาตให้คุณพาพี่เลี้ยงมาด้วย”
“ใครคือพี่เลี้ยงฉัน พูดให้มันดีๆ นะ”
“ก็สองคนนี้ไง” พฤกษ์ปรายตามองไปทางชุติมาและเด่นภูมิ
“พวกเขาคือลูกน้องฉันต่างหาก” พิชชาภาปรี๊ดหนักกว่าเดิม
“นั่นแหละ คุณจะเรียกพวกเขาว่ายังไงก็ช่าง เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราเจอกัน เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก็แล้วกัน”
สายตาของพฤกษ์บ่งบอกว่าพร้อมเล่นงานหล่อน แต่คนอย่างพิชชาภากลัวใครที่ไหน ให้กระบองเพชรพวกนี้เป็นพยาน หล่อนจะต้องทำให้พฤกษ์ยอมใจอ่อนขายที่ให้หล่อนให้ได้
ความคิดเห็น |
---|