บทที่ ๕

บทที่ ๕

 

พิชชาภานั่งจิบกาแฟไปหาวไปเมื่อเปิดดูคลิปเกี่ยวกับการเลี้ยงกระบองเพชร ครั้งสุดท้ายที่หล่อนต้องศึกษาอะไรอย่างจริงจังก็คือช่วงเรียนปริญญาโทนี่แหละ หัวสมองของหล่อนไม่ได้ทำงานหนักมานาน แถมยังต้องมานั่งอ่านเรื่องที่หล่อนไม่สนใจเลยสักนิดก็ยิ่งทำให้ทั้งเบื่อและเครียดกว่าเดิม 

“มานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะเพิร์ล” 

พิชชาภาหันไปมองมารดาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยความประหลาดใจ

“เพิร์ลต้องถามแม่มากกว่าว่าทำไมวันนี้แม่กลับบ้านเร็วจัง ไม่มีนัดไปสังสรรค์ที่ไหนเหรอคะ” 

พรรณีทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ หล่อน ไม่ว่าวันไหนแม่ก็ดูสวยพริ้งทั้งหน้าและการแต่งกายเสมอ คำกล่าวที่ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็เป็นคำที่ใช้ได้กับหล่อนเช่นกัน ถึงแม่จะไม่ได้เลี้ยงดูหล่อนมากนักเหมือนแม่คนอื่น แต่พิชชาภากลับมีอะไรหลายอย่างคล้ายท่าน ไม่ว่าจะเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตและการแต่งตัวที่ต้องดูสวยสะดุดตาเสมอ ทว่าความเหมือนแม่นี่เองที่ทำให้ภิมุขค่อนข้างวิตก เพราะพิชชาภาไม่ได้ซึมซับความเอาการเอางานจากท่านมาสักนิดเดียว แต่มันก็ไม่สายเกินไปที่จะพิสูจน์ให้คุณปู่เห็นว่าคนอย่างหล่อนได้เรียนรู้อะไรดีๆ จากท่านมาบ้าง

“ก็พวกป้าๆ เขาเบี้ยวนัดกันน่ะสิ แม่เลยต้องกลับมานั่งหง่าวอยู่คนเดียว แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวแม่นั่งเปิดไวน์ชิลๆ ดื่มที่บ้านก็ได้ เพิร์ลจะดื่มกับแม่ด้วยไหม” 

“วันนี้ขอผ่านแล้วกันค่ะ นี่กำลังพยายามศึกษาเรื่องกระบองเพชรอยู่ เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปทำงานที่นั่น” 

“คุณปู่ให้เพิร์ลรับผิดชอบโพรเจกต์ห้างสาขาใหม่ไม่ใช่เหรอ แล้วกระบองเพชรมาเกี่ยวอะไรด้วย” พรรณีทำหน้างงจัด พิชชาภาเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง 

“ตายแล้ว ลูกจะไปทำงานที่สวนกระบองเพชรได้ยังไง คุณปู่รู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ท่านยังไม่ทราบค่ะ แต่ถึงทราบก็คงปล่อยให้เพิร์ลไปทำงานที่นั่น เพราะท่านหวังไว้มากว่าเพิร์ลจะต้องซื้อที่ดินผืนนี้ได้สำเร็จ อีกอย่างตอนที่ท่านเรียกเพิร์ลไปคุย พี่ๆ น้องๆ คนอื่นก็อยู่ด้วย เพิร์ลไม่อยากเสียหน้าค่ะแม่”

“คุณปู่นี่ร้ายจริงๆ ทำแบบนี้เท่ากับมัดมือชกชัดๆ แต่ที่เพิร์ลต้องทำงานที่สวนกระบองเพชรนี่แม่ไม่เห็นด้วย แม่จะไปคุยกับคุณปู่เดี๋ยวนี้ละ” 

พรรณีเดือดดาล ทำท่าจะลุกไปที่ตึกใหญ่ แต่หล่อนรั้งแขนมารดาไว้แล้วเอ่ยเสียงอ่อน

“แม่ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ เพิร์ลว่าถ้าแม่ไปพบคุณปู่ ทุกอย่างจะยิ่งแย่กว่าเดิม แค่ไปทำงานที่สวนกระบองเพชรไม่กี่วัน มันจะลำบากสักแค่ไหนกันเชียว”

“ยังไงแม่ก็รับไม่ได้ เลิกทำโพรเจกต์บ้าๆ นี่เถอะ เพิร์ลไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับใคร คนอื่นเขากระแนะกระแหนเราเพราะเขาอิจฉาที่เพิร์ลเป็นหลานคนโปรด”

“เพิร์ลว่าถึงเวลาแล้วละค่ะที่เราต้องเลิกคิดเข้าข้างตัวเอง คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่ได้อิจฉาเรา แต่อาจจะดูถูกเราจริงๆ ก็ได้ เพิร์ลอยากทำให้พวกเขาเห็นว่าเราไม่ได้ดีแต่ใช้เงินอย่างที่พวกเขาพูด”

“ก็ตามใจ แต่ถ้าเพิร์ลเกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมา บอกไว้ก่อนว่าแม่จะไม่ไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลหรอกนะ เพราะแม่ไม่ชอบบรรยากาศโรงพยาบาล” พรรณีรีบออกตัว

“เพิร์ลยังไม่ทันไปทำงานแม่ก็แช่งเพิร์ลซะแล้ว ไม่คุยกับแม่แล้วดีกว่า เชิญแม่นั่งจิบไวน์เพลินๆ ก็แล้วกัน” 

พิชชาภาเก็บข้าวของเตรียมหนีมารดาที่คงจะหาเรื่องมาบ่นหล่อนไม่เลิก ทว่าก็หนีไปไหนไม่พ้น เพราะแม่บ้านยกไวน์และแก้วสองใบมาตั้งไว้ตรงหน้า

“นานๆ ทีแม่จะอยู่บ้าน ยังไงเพิร์ลก็ต้องดื่มเป็นเพื่อนแม่ก่อน ดื่มแก้วสองแก้วไม่แฮงก์หรอกน่า นี่ไวน์ปีสองพันสิบเลยนะ” พรรณีเอ่ยพลางรินไวน์แดงใส่แก้วส่งให้หล่อน พิชชาภารับมาจิบอย่างเสียไม่ได้

“ช่วงนี้เพิร์ลได้เจอเท็ดบ้างหรือเปล่า จริงๆ แม่ว่าถ้าเพิร์ลแต่งงานกับเท็ดก็ไม่จำเป็นต้องทำงานอะไรให้เหนื่อย เป็นแม่บ้านคอยดูแลสามีและรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน แค่นี้ก็ไม่มีใครว่าอะไรเพิร์ลได้อีก”

พรรณียังคงเสนอทางออกที่ตัดปัญหาความเหนื่อยยากให้หล่อน จริงอยู่ว่ามีผู้หญิงมีฐานะหลายคนเลือกที่จะออกจากงานเพื่อใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการเลี้ยงดูลูก รับ-ส่งไปโรงเรียนด้วยตัวเอง แต่พิชชาภาจินตนาการภาพนี้ไม่ออกจริงๆ 

“พี่เท็ดไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานเลยค่ะ ช่วงนี้เขาดูงานยุ่งมาก บางทีก็หายไปหลายวัน ไม่โทร. มาหาเพิร์ลเลย เพิร์ลชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเขายังรักเพิร์ลอยู่หรือเปล่า”

“ก็ถ้าพี่เขาไม่โทร. มา เพิร์ลก็โทร. ไปหาเขาสิ”

“เพิร์ลเคยโทร. ไปแล้ว แต่เขาก็ตัดบทคุยสั้นๆ เลยไม่อยากโทร. ไปอีกแล้ว”

“งอนไม่เข้าเรื่อง ผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่างแบบเท็ดหาได้ยากนะ มีผู้หญิงสนใจเขาเยอะ สงสัยแม่ต้องรีบจัดการเรื่องนี้ซะแล้ว”

พิชชาภารู้ดีว่ามารดาเป็นห่วงเรื่องคู่ครองของหล่อน ถึงจะมีผู้ชายโพรไฟล์ดีหลายคนมาจีบหล่อน แต่ก็ไม่มีใครผ่านมาตรฐานท่านเลยสักคน เพิ่งจะมีธัชนันท์นี่แหละที่ท่านให้ผ่าน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะธนิดา มารดาของชายหนุ่มเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่สนิทสนมกัน ท่านเลยอยากให้หล่อนดองกับครอบครัวที่ท่านรู้จักดีและมั่นใจว่าฐานะสมน้ำสมเนื้อกัน

“อย่านะคะแม่ เพิร์ลก็มีศักดิ์ศรี ถ้าไปเร่งรัดพี่เท็ดเขามากๆ เขาอาจรำคาญจนไม่อยากแต่งงานกับเพิร์ลเลยก็ได้”

“รู้สึกช่วงนี้เพิร์ลจะคิดอะไรมากเกินไปแล้ว คงเป็นเพราะเครียดเรื่องงานแน่ๆ เอาเป็นว่าเพิร์ลอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่จะจัดการทุกอย่างเอง”

“เพิร์ลขอร้องละค่ะแม่ อย่าทำให้ทุกอย่างยุ่งยากไปกว่านี้เลย” พิชชาภาเอ่ยด้วยความอ่อนใจ เพราะรู้ดีว่าหากพรรณีคิดทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้

“เพิร์ลคงมองว่าแม่เป็นคนไม่ได้เรื่องใช่ไหม ใช่ซี้ แม่ไม่ใช่คนเก่ง ทำงานประสบความสำเร็จเหมือนคุณปู่ของเพิร์ล แต่แม่รู้ดีว่าทำยังไงลูกแม่ถึงจะมีความสุข เพิร์ลคอยดูก็แล้วกัน” 

พรรณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้พิชชาภาชักจะขนลุกหน่อยๆ เพราะอะไรก็ตามที่แม่เข้ามาเกี่ยวข้องมักจะตามมาพร้อมความยุ่งยากเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างการทำโพรเจกต์ของคุณปู่ให้สำเร็จกับการรับมือแผนการแต่งงานของแม่ อะไรเป็นเรื่องที่น่าหนักใจกว่ากัน

ไวน์ราคาแพงที่แม่คุยโวว่าดื่มแล้วจะไม่แฮงก์กลับทำให้พิชชาภาปวดหัวจนลุกไม่ขึ้น หล่อนรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่จิบไวน์เมื่อคืนแล้วว่ามันแปลกๆ รสชาติไม่นุ่มกลมกล่อมสมราคาห้าหมื่นบาทเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่อยากพูดให้มารดาเสียอารมณ์ว่าโดนหลอกแล้วแน่ๆ 

ป่านนี้แม่คงจะนอนกุมขมับลุกไม่ขึ้นแน่ เพราะดื่มเยอะกว่าหล่อน แต่ท่านก็มีเวลานอนพักได้ทั้งวัน ต่างจากหล่อนที่ต้องกัดฟันลุกขึ้นมาทั้งที่ปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ซ้ำยังพะอืดพะอมพร้อมจะอาเจียนได้ตลอดเวลา พิชชาภาเดินตรงไปอาบน้ำ หวังว่าน้ำเย็นฉ่ำจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเข้างาน ต่อให้หล่อนต้องคลานไปที่สวนกระบองเพชรนั้น หล่อนก็จะทำ แล้วก็ไม่อยากให้พฤกษ์ตำหนิได้ว่าแค่วันแรกหล่อนก็มาสาย จะว่าโชคดีได้ไหมที่พิชชาภาไม่ต้องเสียเวลาเลือกชุด เพราะชุติมาเตรียมชุดทำสวนมาให้

พอใส่ดูแล้วก็ดูเหมือนชาวสวนขึ้นมาจริงๆ หล่อนเกลียดการใส่เสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนนักเชียว มันเป็นชุดที่สิ้นคิดและไร้สง่าราศี ในเมื่อเลือกไม่ได้ก็แต่งหน้าแบบจัดเต็มไปแล้วกัน อย่างน้อยถ้าวันนี้มีเหตุให้ต้องออกสื่อ หล่อนจะได้ดูไม่โทรมจนเกินไป

พิชชาภาให้คนรถรีบขับพาหล่อนไปที่สวนกระบองเพชร โชคดีวันนี้รถไม่ติดนัก จึงใช้เวลาเดินทางราวยี่สิบห้านาที แต่ก็ยังมาสายกว่าเวลาเข้างานสิบนาทีอยู่ดี พิชชาภารีบเดินเข้าไปรายงานตัวกับพฤกษ์ซึ่งกำลังนั่งง่วนคีบต้นอ่อนกระบองเพชรลงบนถาด 

“ขอโทษค่ะ วันนี้ฉันมาสายนิดหน่อย พอดีรถติด” พิชชาภาแก้ตัวเสียงอ่อย

“ไม่มีข้ออ้างไหนที่จะคลาสสิกเท่ากับรถติดอีกแล้ว...จริงๆ ผมก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าคนอย่างคุณจะมาตรงเวลา” 

“นี่แค่วันแรก คุณจะตัดสินว่าฉันไม่รักษาเวลาก็ไม่ถูก...แล้วคุณจะให้ฉันช่วยงานอะไรบ้างคะ” 

พิชชาภาพยายามทำตัวกระตือรือร้น ทั้งที่สภาพของหล่อนตอนนี้ไม่พร้อมจะทำงานอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่หล่อนคิดในหัวคืออยากอาเจียน นอกจากจะพะอืดพะอมเป็นทุนอยู่แล้ว คนขับรถยังปาดซ้ายปาดขวาเพื่อเร่งให้หล่อนไปทันเวลาเข้างาน

“งั้นคุณมาช่วยผมแยกต้นอ่อนพวกนี้ก็แล้วกัน เรื่องง่ายๆ แค่นี้คุณน่าจะทำได้ ผมจะทำตัวอย่างให้คุณดูก่อน” 

พฤกษ์สาธิตการนำต้นอ่อนจากกระถางที่ขึ้นเป็นกอหนาแยกใส่ถาดเพาะให้ดูอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรยาก เด็กอนุบาลยังทำได้เลย

“ง่ายๆ แค่นี้เอง คุณจะให้ฉันทำสักกี่ถาดดีคะ” พิชชาภาถามยิ้มๆ 

“ถ้าคุณคิดว่าง่ายก็ลองทำสักสิบถาดดูแล้วกัน อย่าคีบแรงจนต้นอ่อนเสียหายหรือทำรากขาดล่ะ แล้วอีกอย่างผมต้องการงานเนี้ยบ คุณต้องเว้นระยะลงดินให้เท่าๆ กันด้วย ถ้าแค่นี้คุณทำไม่ได้ก็คงทำอะไรที่นี่ไม่ได้แล้วละ”

พิชชาภาได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ ไม่ว่าจะพูดหรือถามอะไร พฤกษ์ก็จิกกัดดูถูกหล่อนได้ตลอดสิน่า นึกแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้หล่อนเคยทำอะไรให้เขาเจ็บแค้นหนักหนา

“ฉันว่าแทนที่จะมายืนจ้องฉัน คุณไปทำงานของคุณเถอะ รับรองว่าก่อนเที่ยงทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย”

“ก็ดี” 

พฤกษ์ยักไหล่อย่างยียวน ก่อนจะปล่อยให้พิชชาภานั่งถอนใจกับต้นกระบองเพชรสายพันธุ์แอสโตรหลายสิบกระถาง ซึ่งแต่ละกระถางก็มีกระบองเพชรต้นจิ๋วราวร้อยกว่าต้นขึ้นเบียดกันเป็นกระจุก

อุปกรณ์ที่พฤกษ์ทิ้งไว้ให้หล่อนมีเพียงถาดที่ใช้เปลี่ยนปลูกต้นอ่อน พลั่วตักดิน และคีมคีบ แต่สิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมไว้ให้คือถุงมือซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหล่อน ถ้าเศษดินเกิดติดตามซอกเล็บจะทำอย่างไร แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

พิชชาภาหันไปมองพฤกษ์ซึ่งมองกลับมาเป็นเชิงตั้งคำถามว่าทำไมหล่อนยังไม่ลงมือทำอะไรอีก พิชชาภาจึงเปลี่ยนใจไม่ขอถุงมือเขาและเริ่มลงมือแยกต้นอ่อนปักลงดินในถาด หล่อนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสดินให้มากที่สุด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะในที่สุดหล่อนก็ต้องใช้นิ้วช่วยกดต้นอ่อนลงดินให้แน่นขึ้น

ถาดแรกกว่าจะเสร็จใช้เวลานานกว่าที่คิด หล่อนไม่ได้จับเวลาไว้หรอกว่าใช้เวลาทำนานแค่ไหน แต่เดาๆ ว่าน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง รับรองได้ว่าพฤกษ์จะติหล่อนไม่ได้เลย เพราะต้นอ่อนทุกต้นถูกปักลงดินตามแนวและเว้นช่องว่างเท่ากันเป๊ะ ทว่าพอเริ่มแยกต้นอ่อนลงถาดที่สอง อาการปวดศีรษะก็กำเริบและพะอืดพะอมยิ่งกว่าเดิม 

หล่อนรู้เพียงว่าจะต้องทิ้งงานตรงหน้าและรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ พิชชาภาลุกขึ้นอย่างโงนเงน ยิ่งอยู่ในโรงเรือนอากาศก็ยิ่งร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในห้องอบซาวน่ามากขึ้นทุกที เสื้อยืดเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ พิชชาภาอยากจะร้องไห้ ทำไมคุณหนูอย่างหล่อนต้องมาทนทำอะไรพวกนี้ด้วย

พิชชาภาพยายามกัดฟันเดินออกไป แต่ภาพเบื้องหน้ากลับมืดสนิทพร้อมสติที่ดับวูบ

พฤกษ์เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดร่างของหญิงสาวที่ยังนอนหมดสติแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้ว่าเขาทำกรรมเวรอะไรร่วมกับพิชชาภาในอดีตชาติ ถึงหนีเธอไม่พ้นเสียที พฤกษ์หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมาชุบน้ำแล้วเช็ดใบหน้าของพิชชาภาอย่างเบามือ ยิ่งได้พินิจใบหน้าของเธอก็ยิ่งตอกย้ำให้เขาไม่อาจลืมจุมพิตแสนหวานเมื่อคืนก่อน

ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มของพิชชาภาช่างอ่อนหวานขยับอย่างดูดดื่มแต่อ้อยอิ่ง ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม จนอดจินตนาการต่อไม่ได้ว่าหากเขากับเธอมีอะไรลึกซึ้งไปไกลกว่านี้จะเป็นอย่างไร เขาไม่ใช่ผู้ชายหื่นก็จริง แต่เขาก็เป็นผู้ชายเต็มร้อย มีเลือดเนื้อและความปรารถนา

ถ้าเขาเป็นผู้ชายชั่วๆ สักคน อาจจะฉวยโอกาสนี้สนองความต้องการของตัวเอง แต่สำนึกด้านดีมีมากกว่าด้านชั่ว ทำให้เขายับยั้งใจชั่งใจได้ แม้แต่ในยามนี้ที่ใบหน้าของพิชชาภาซีดเผือด หล่อนก็ยังสวยจับตาจับใจ ผิวของหล่อนเนียนละเอียด ขนตางอนงามเป็นแพ จมูกโด่งสวยเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากช่างยั่วยวนและคล้ายมีแรงดึงดูดให้เขาโน้มใบหน้าลงไปลิ้มรสจุมพิตแสนหวานนี้อีกสักครั้ง

ทว่าก่อนที่เขาจะทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง พิชชาภาก็ลืมตาและผลักเขาอย่างแรง

“คุณจะทำอะไรฉัน”

พฤกษ์ได้สติและนึกละอายตัวเอง แต่เขาจะยอมรับได้อย่างไรว่าเขาเกือบฉวยโอกาสจูบเธอจริงๆ

“ผมแค่ก้มลงไปฟังว่าคุณยังหายใจอยู่หรือเปล่า” พฤกษ์ตอบหน้าตาย แต่ไม่กล้าสบตาหญิงสาวตรงๆ

“โกหก เห็นชัดๆ ว่าคุณจะจูบฉัน ถ้าคุณอยากรู้ว่าฉันหายใจอยู่หรือเปล่า ทำไมไม่เอามือทาบอกฉันดูล่ะ” 

“ถ้าผมเอามือทาบอกคุณ คุณก็จะหาว่าผมลวนลามคุณน่ะสิ ผมน่ะไม่คิดจะทำอะไรคุณหรอก ผู้หญิงอย่างคุณไม่เห็นจะมีเสน่ห์ตรงไหนเลย แล้วจูบของคุณก็จืดชืดสิ้นดี”

พิชชาภากรี๊ดลั่นแล้วเอามือปิดหู

“คุณเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ” พฤกษ์ตกใจกับอาการคลุ้มคลั่งของหญิงสาว

“ถ้าคุณยังพูดเรื่องจูบอีก ฉันจะเผาโรงเรือนคุณให้เหลือแต่เถ้าถ่านเลย” พิชชาภาขู่ตาวาว แต่แล้วจู่ๆ สีหน้ากร้าวของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นเหยเก ดูพะอืดพะอมในชั่วเสี้ยววินาทีจนเขาตามไม่ทัน

“ไม่ไหวแล้ว ฉันอยากอ้วก”

พฤกษ์รีบหยิบถังขยะมาจ่อตรงหน้าหญิงสาวซึ่งโก่งคออาเจียนไม่หยุด สภาพของหญิงสาวดูย่ำแย่อ่อนแรงเต็มที

“เมื่อคืนคุณดื่มเยอะอีกละสิ ผมว่าคุณเพลาๆ เรื่องดื่มบ้างเถอะ”

“ฉันดื่มเยอะแล้วมันหนักหัวคุณตรงไหนไม่ทราบ” ถึงหญิงสาวจะดูไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังมีแรงอาละวาด

“หนักทุกส่วนนั่นแหละ ทั้งปวดหัว เสียเวลา วุ่นวาย แทนที่ผมจะทำงานก็ต้องมาดูแลคุณ ผมว่าคุณทำงานที่สวนของผมไม่ได้หรอก แล้วผมก็ไม่ขายที่ให้ด้วย” พฤกษ์เห็นสภาพหญิงสาวแล้วก็ยิ่งอ่อนใจ ที่สำคัญคือเขาเริ่มไม่ไว้ใจตัวเองว่าถ้าได้อยู่ใกล้พิชชาภาอีก เขาจะหื่นแบบนี้อีกไหม

“ฉันไม่ได้ขอร้องให้คุณช่วยฉันเสียหน่อย ถึงฉันเป็นลมก็คงไม่ถึงตายหรอก ปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวก็ฟื้น” พิชชาภาแย้งกลับหน้าตาเฉย พฤกษ์ถึงกับอึ้งไป

“คุณจะบ้าเหรอ ผมจะปล่อยให้คุณเป็นลมแบบนั้นได้ยังไง ขืนคุณตายก็กลายเป็นผีเฝ้าโรงเรือนผมน่ะสิ”

“ก็ดีน่ะสิ ฉันจะได้หลอกคุณให้กลัวจนจับไข้และยอมใจอ่อนขายที่ให้ฉัน” พิชชาภาไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือมาบีบคอเขาด้วย 

“ผมว่าคุณเลิกทำอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้เถอะ คุณควรกลับบ้านไปพักแล้ววางมือจากเรื่องนี้ซะ” 

พฤกษ์เอ่ยเสียงหน่ายๆ นอกจากพิชชาภาจะขยันสร้างปัญหาแล้วยังไม่เต็มอีกด้วย ไม่รู้ว่าเขาเกิดอารมณ์หื่นกับเธอได้อย่างไร ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้สีหน้าของหญิงสาวดูโกรธเกรี้ยวกว่าเดิม คอของเขาก็ถูกบีบแรงขึ้นจนเริ่มหายใจไม่ออก พฤกษ์ชักเริ่มกลัวใจหญิงสาวขึ้นมา เกิดพิชชาภาแค้นเขาจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วบีบคอเขาจนตายจะทำอย่างไร 

“นี่คุณ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากทำงานที่นี่จริงๆ ผมไม่ห้ามก็ได้” พฤกษ์พยายามเค้นเสียงพูดอย่างยากเย็น แต่ก็ได้ผล เพราะหญิงสาวยิ้มร่า คลายมือที่บีบคอเขาออกทันที

“ขอบคุณนะที่ให้โอกาสฉัน ฉันสัญญาว่าคุณจะไม่เสียใจเลยที่ได้ฉันมาช่วยงาน” 

พิชชาภายิ้มกว้างให้เขา รอยยิ้มของหญิงสาวสว่างไสวเหมือนนางฟ้า ผิดกับอาการคลุ้มคลั่งเมื่อครู่ลิบลับ อารมณ์ของพิชชาภาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งรับไม่ทันจริงๆ พฤกษ์เคยคิดว่าการเลี้ยงกระบองเพชรนั้นยากแล้ว แต่การรับมือพิชชาภานั้นยากยิ่งกว่า 

หรือว่าเขาควรจะรีบขายที่ดินผืนนี้เพื่อตัดปัญหาดี 

พิชชาภาหยิบเสื้อยืดที่พฤกษ์เอามาให้เปลี่ยนมาดม กลิ่นของมันสะอาดใช้ได้ อย่างน้อยก็ไม่อับชื้นเหมือนที่หล่อนคิด นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนใส่เสื้อผ้าของคนอื่น หากไม่ใช่เพราะเสื้อยืดของหล่อนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและเลอะอ้วก หล่อนไม่มีทางยอมใส่แน่

               “ผมว่าคุณควรอาบน้ำด้วยนะ ตัวคุณเหม็นเปรี้ยวมาก” พฤกษ์เอ่ยพลางหยิบผ้าเช็ดตัวให้หล่อน และดูเหมือนเขาจะอ่านสีหน้าหล่อนออก “ผ้าเช็ดตัวนี่เป็นผืนใหม่ คุณไม่ต้องกลัวติดเชื้อโรคจากผมหรอกนะ เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในโรงเรือนก็แล้วกัน ยังมีต้นอ่อนหลายกระถางนะที่คุณยังทำไม่เสร็จ”

               พูดจบพฤกษ์ก็ปล่อยให้หล่อนอยู่ในห้องตามลำพัง อาจเพราะหล่อนยังมึนๆ อยู่ พิชชาภาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้หล่อนอยู่ที่ไหน แต่พอสติเริ่มกลับมาและกวาดตามองไปรอบๆ ห้องก็พอจะเดาได้ว่าหล่อนอยู่ในห้องนอนของพฤกษ์ ชายหนุ่มคงจะอุ้มหล่อนมาที่บ้านไม้สองชั้นซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงเรือน

               ห้องนอนของพฤกษ์ดูโล่งๆ อาจเพราะมีเพียงเครื่องเรือนที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น คือเตียงขนาดควีนไซซ์ โต๊ะข้างเตียงที่ไม่มีอะไรนอกจากโคมไฟหนึ่งดวง ตรงข้ามกับเตียงนอนคือตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มจะมีเสื้อผ้าไม่มากนัก เพราะวันๆ คงหมกตัวอยู่แต่ในโรงเรือน โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างมีแลปทอปวางอยู่ แต่ที่หล่อนสนใจคือชั้นวางหนังสือซึ่งอัดแน่นด้วยตำราเกี่ยวกับกระบองเพชรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ส่วนชั้นบนสุดมีกรอบรูปตั้งอยู่

               พิชชาภาไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพฤกษ์นักหรอก แต่ในเมื่อหล่อนอยากได้ที่ดินของเขา การรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหล่อน รูปถ่ายที่เขาวางไว้ส่วนใหญ่เป็นรูปครอบครัว บิดามารดาของเขาน่าจะเป็นชาวสวนธรรมดาๆ สีหน้าและรอยยิ้มบ่งบอกว่าเป็นคนใจดี ส่วนชายชราที่อุ้มไก่ไว้ก็คงเป็นคุณตาที่หล่อนเคยเจอในโรงเรือน แสดงว่าเขากับคุณตาคงย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กันสองคน รูปอื่นๆ ก็คือรูปถ่ายของเขากับเพื่อนๆ ในแวดวงกระบองเพชร สิ่งที่สะดุดตาในภาพนั้นคือหญิงสาวผมสั้นที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เขา แขนของเธอที่วางพาดบนบ่าของพฤกษ์ทำให้พิชชาภาพอจะมองออกว่าทั้งคู่น่าจะสนิทสนมกันมาก

               ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับหล่อน พฤกษ์จะคบกับใครก็เป็นเรื่องของเขา สิ่งที่หล่อนควรสนใจคือข้อมูลของเขาที่จะเป็นประโยชน์ต่อการซื้อขายที่ดินเท่านั้น พิชชาภาเลื่อนสายตามองภาพที่อยู่มุมขวาสุดแล้วชะงัก

               ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ที่พฤกษ์จะมีรูปถ่ายหมู่สมัยเรียนประถมรูปเดียวกันกับหล่อน อย่าบอกนะว่าเขาเป็นเพื่อนของหล่อนสมัยประถม หรือว่าหล่อนจะตาฝาด แต่รูปของหล่อนที่นั่งเก้าอี้แถวหน้าคนที่สองจากริมซ้ายเป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่าพฤกษ์จะต้องเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยประถมของหล่อน

               พิชชาภาพยายามขบคิดอย่างหนัก แล้วก็พอจะจำได้รางๆ ว่าเคยมีเพื่อนผู้ชายตัวดำๆ ชื่อพฤกษ์ที่เป็นหัวหน้าห้อง...ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ หล่อนจำตาวาวๆ ชวนหาเรื่องคู่นี้ได้ดี มิน่าล่ะ...เขาถึงได้ทำราวกับเคยมีความแค้นกับหล่อนมาก่อน แต่เท่าที่จำความได้ หล่อนก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับเขาไว้นี่นา 

               คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจคือ ทำไมพฤกษ์ถึงไม่บอกว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับหล่อน คงต้องถามกันให้รู้เรื่องเสียแล้ว 

               “มานั่งยิ้มอะไรตรงนี้ล่ะพฤกษ์ ทำไมไม่ไปดูแลสาวน้อยคนนั้นล่ะ” 

พฤกษ์สะดุ้งเมื่อผู้เป็นตาเดินมาทักเงียบๆ

               “เขาไม่เป็นอะไรมากหรอกครับคุณตา แค่แฮงก์ๆ เลยเป็นลม...นั่นไง อายุยืน พูดถึงก็เดินมาพอดี” พฤกษ์เหลือบมองร่างผอมบางที่ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีดำกับกางเกงยีนเดินเข้ามาด้วยท่าทางสดใสกว่าเดิม

               “สวัสดีค่ะคุณตา วันนี้หนูมาช่วยงานคุณพฤกษ์วันแรกค่ะ” 

พิชชาภายกมือไหว้บุญชูอย่างแช่มช้อย พฤกษ์หัวเราะหึในลำคอ สร้างภาพให้ดูนอบน้อมขนาดนี้คงคิดจะฝากเนื้อฝากตัวกับคุณตาเพื่อหาพวกละสิ

               “ยินดีต้อนรับจ้ะหนู มีอะไรสงสัยก็ถามตาได้ตลอดเวลาเลยนะ” บุญชูเอ่ยอย่างใจดี

               “ผมไม่ได้รับนักศึกษาฝึกงานนะครับคุณตา ไม่ต้องสอนอะไรมากมายหรอกครับ คุณจะยืนยิ้มไปยิ้มมาแบบนี้อีกนานไหม ไหนคุยว่างานทุกอย่างจะเสร็จก่อนเที่ยง อีกสิบนาทีจะเที่ยงแล้ว คุณเพิ่งย้ายต้นอ่อนเสร็จแค่ถาดเดียวเอง” พฤกษ์เอ่ยอย่างจับผิด ทำให้พิชชาภาเม้มปากแน่น

               “ฉันไม่ได้อู้นะ ก็เมื่อกี้ฉันเป็นลม คุณก็ต้องเห็นใจฉันบ้างสิ อีกอย่างเราเป็นเพื่อนกัน ทำไมคุณถึงใจร้ายกับฉันนัก”

               “คุณจำเพื่อนอย่างผมได้ด้วยเหรอ” พฤกษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยันๆ

               “โธ่ คุณ อย่าเพิ่งโกรธฉันสิ สมัยเรียนประถมมันก็หลายสิบปีมาแล้ว ฉันเรียนที่นั่นแค่สองสามปีก็ย้ายไปเรียนที่อื่น แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอคุณหรือเพื่อนๆ คนอื่นอีก ต่อให้เจอเพื่อนประถมคนอื่นฉันก็จำไม่ได้”

               “แล้วจู่ๆ ทำไมคุณถึงจำผมได้” พฤกษ์ถามอย่างสงสัย

               “ก็ฉันเห็นรูปหมู่สมัยประถมในห้องคุณ ฉันเองก็มีรูปนี้เหมือนกัน แต่เก็บไว้ในอัลบัม แสดงว่าคุณยังติดต่อกับเพื่อนๆ ประถมอยู่ใช่ไหม ถึงได้เอารูปนี้ตั้งไว้” พิชชาภาเอ่ยเจื้อยแจ้ว ทำตัวสนิทสนมกับเขาเสียอย่างนั้น

               “ผมไม่เคยลืมเพื่อนคนไหนทั้งนั้นแหละ การที่คุณจำเพื่อนไม่ได้เป็นเพราะคุณไม่เคยนับว่าใครเป็นเพื่อนของคุณต่างหาก อีกอย่างคนสวนอย่างผมก็ไม่กล้าเผยอตัวมาเป็นเพื่อนกับไฮโซอย่างคุณหรอก” พฤกษ์เอ่ยอย่างไร้เยื่อใย

               “ฉันไม่รู้ว่าสมัยเรียนฉันเคยทำอะไรให้คุณไม่พอใจ แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นเพื่อนของฉัน คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องให้อภัยกันจริงไหม งั้นเราดีกันนะ” 

พิชชาภายื่นนิ้วก้อยให้เขา แต่พฤกษ์กลับผงะ เพราะไม่คิดว่าคุณหนูผู้เคยหยิ่งผยองอย่างพิชชาภาจะทำอะไรแบบนี้

               “ผมไม่ได้โง่นะ คุณอยากเป็นเพื่อนกับผมก็เพราะอยากได้ที่ดินผืนนี้”

               “คุณมองโลกในแง่ร้ายจัง แล้วแบบนี้ต้นกระบองเพชรจะโตมาอย่างสวยงามได้ยังไง” 

คำพูดของพิชชาภาทำให้บุญชูหัวเราะลั่น

               “มันก็จริงนะ อีกอย่างเป็นเพื่อนกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดจากันเป็นทางการ เรียกเจ้านี่ว่าพฤกษ์เถอะ”

               พฤกษ์ถลึงตาใส่คุณตาซึ่งกลับไปเข้าข้างพิชชาภาเสียอย่างนั้น คงเป็นเพราะบุญชูเองก็มีความคิดอยากขายที่ด้วยเช่นกัน ขืนปล่อยให้พิชชาภากับคุณตาเป็นพันธมิตรกัน สุดท้ายแล้วเขาคงถูกบีบให้ขายที่ให้หญิงสาวจริงๆ 

               “คุณเรียกผมว่าคุณพฤกษ์น่ะดีแล้ว และอย่าพยายามมาตีสนิท เพราะผมไม่ใช่เพื่อนของคุณ คุณทำงานให้เสร็จเถอะ ถ้าวันนี้คุณแยกต้นอ่อนไม่ครบสิบถาด คุณก็ไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก แล้วการเจรจาซื้อขายที่ดินก็เป็นอันยุติ”

               “ก็ดีค่ะ ถ้าคุณไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันก็จะไม่นับว่าคุณเป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน ระหว่างเราจะมีแต่เรื่องธุรกิจเท่านั้น ลองดูแล้วกันว่าสุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายชนะ”

               พิชชาภามองเขาด้วยแววตาท้าทาย แต่เขากลับมองว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงดื้อๆ ที่เอาแต่ใจมากกว่า พิชชาภาอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เพราะเขาไม่เชื่อว่าวันนี้หญิงสาวจะอดทนพอที่จะทำงานได้สำเร็จอย่างที่คุยโวไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น