8
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ฝืนลืมขึ้นหลังจากที่รู้สึกตัว นัยน์ตาคู่หวานมองไปรอบๆ ด้วยความมึนงง กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่สัมผัสได้ทำให้เดาได้ไม่ยากว่า ณ ตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาลหรือไม่ก็ห้องพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เสียงเปิดประตูทำให้หญิงสาวต้องหันมองและก็ได้พบกับคนที่เพียงเห็นหน้าก็บ่งบอกได้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน
“พี่หมอ”
“ฟื้นแล้วเหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย นี่ เราน่ะ รู้มั้ยว่ากำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ ทีหลังดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะ”
“ทะ...ท้อง เคทท้องเหรอคะพี่หมอ” น้ำเสียงตื่นตะลึงนั้นถามมาขณะที่ใบหน้าของผู้ถามนั้นซีดเผือดไร้สีเลือดไปแล้ว
พี่หมอของคนถูกถามพยักหน้าแทนการตอบรับ ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือคนที่กำลังตกใจ
“ลูกน่ะเป็นของขวัญจากฟ้าที่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะจะมี หลายคนที่เขาอยากมีแต่ไม่มีน่ะเยอะแยะไป เรามีแล้วต้องยินดีและก็ต้องดูแลเขาให้ดี เข้าใจมั้ย”
“เคท เคทรู้ค่ะพี่หมอ แต่...” หญิงสาวตอบกลับก่อนจะเงียบไปเพราะพูดไม่ออก สมองมันตื้อไปหมด เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
เธอไม่รู้จะบอกคนตรงหน้าอย่างไร เธอท้อง...ท้องในขณะที่เพิ่งจะเซ็นใบหย่ากับพ่อของลูกไปเมื่อวานนี้เอง
สถานะของเธอตอนนี้คือแม่ม่ายหมาดๆ แล้วเธอจะมามีลูกตอนไม่มีสามีเนี่ยนะ!!!
เธอไม่ได้เสียใจที่เจ้าตัวเล็กมาแอบนอนขดอยู่ในท้องรอวันลืมตาดูโลก แต่เธอกำลังช็อก...ตอนที่พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายอยากให้มาเกิดเจ้าตัวเล็กกลับไม่มีวี่แววจะมา แต่พอพ่อกับแม่ตัดสินใจหย่ากันเจ้าตัวเล็กกลับมาแสดงตัวทันที
‘หนูจะแสดงตัวก่อนแม่จะเซ็นใบหย่าก็ไม่ได้นะลูก ทำไมต้องมาแสดงตัวตอนแม่หย่าแล้วแบบนี้...อีตาพ่อบ้าของหนูก็ไม่รู้ไปแรดที่ไหนแล้วเนี่ย’ ว่าที่คุณแม่หมาดๆ เอ่ยออกมาแค่เพียงในใจพร้อมกับลูบหน้าท้องไปด้วย
พี่หมอของคริษฐาอย่างแพทย์หญิงรันจนาซึ่งเป็นทั้งแฟนของพี่ชายและเพื่อนของอดีตสามีทราบดีถึงเรื่องราวของน้องสาวคนรัก เธอยื่นมือมาจับมือคนที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงเพราะหมดสติจนถูกพาตัวมาโรงพยาบาลขณะยืนคุยอยู่ในร้านกาแฟก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
“ใจเย็นๆ นะพี่รู้ว่าน้องเคทกังวลอะไรแต่เชื่อพี่นะทุกปัญหามีทางออก โทร. คุยกันแล้วก็ปรึกษากันดีๆ สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะ”
“แต่เขา...”
“น้องเคทเคยบอกพี่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้น้องคิลอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ขนาดน้องคิลที่เป็นแค่หลานเรายังอยากให้อยู่กับพ่อแม่ทั้งที่เรารักและอยากจะดูแลน้องคิลต่อ แล้วเจ้าตัวเล็กนี่ละ นี่ลูกแท้ๆ เลยนะ จะใจดำให้เขาขาดพ่อได้ลงคอเหรอ”
“พี่หมอไม่ต้องมาเป่าหูเคทเลยนะ เคทไม่ได้ใจร้าย เพื่อนพี่หมอต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่องแล้วก็คิดอะไรแปลกๆ น่ะ” หญิงสาวพาดพิงถึงใครคนหนึ่ง ก่อนจะหวนคิดไปถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นม่ายที่กำลังจะเป็นคุณแม่...จุดเริ่มต้นที่เธอยังจดจำได้แม่น
ทุกจุดเริ่มต้นย่อมนำพามาซึ่งเรื่องราวมากมาย คริษฐาหลับตาลงนึกย้อนถึงจุดเริ่มต้นและเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาแล้วก็ได้แต่ปลงตก ระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอทั้งเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องการจากลา
นัยน์ตาหวานลืมขึ้นอีกครั้งพลางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีเจ้าตัวเล็กมาแอบซุกซ่อนอยู่ โชคชะตาคงกำหนดให้เธอท้องตอนไม่มีสามีนี่ละ เธอคงฝืนไม่ได้หรอก
“เจ้าตัวเล็ก แม่ขอโทษนะลูก แม่ถอยกลับไปไม่ได้แล้ว เราเดินไปข้างหน้าพร้อมกันนะคะ ถ้าแม่สั่งสอนพ่อหนูไม่สำเร็จ เราอยู่กันสองแม่ลูกก็ได้เนอะ”
“สองแม่ลูกอะไร ทึกทัก พี่ยังไม่ได้คอนเฟิร์มเลยว่าคนเดียว” รันจนาที่ยังคงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทักท้วงขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาวางบนท้องแบนราบ “ยังไม่ชัวร์นะ แต่พี่คิดว่ามีมากกว่าหนึ่งอยู่ในนี้”
“แฝด?”
“ยังไม่ชัวร์ แต่ก็เป็นไปได้มากเลยละ ถ้าท้องแก่กว่านี้อีกนิดน่าจะชัวร์”
คำพูดของแฟนพี่ชายค่อนข้างจะสร้างความหวั่นวิตกให้สถาปนิกสาวไม่ใช่น้อย อดไม่ได้จริงๆ ที่จะนึกไปถึงเรื่องราวก่อนที่จะหย่า
สองเดือนก่อน
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจ้องไปยังโหลบรรจุน้ำสีแปลกๆ ก่อนจะถามออกไปอย่างใคร่รู้ “นี่มันอะไรคะเนี่ยคุณแม่”
‘ยาบำรุงไงล่ะจ๊ะ’ คุณนายนรินเอ่ยพร้อมกับเปิดฝาให้ลูกสะใภ้ได้ดม ด้วยกลิ่นสมุนไพรและยาจีนที่ค่อนข้างฉุนทำให้คนได้กลิ่นจังๆ ต้องยกมือปิดจมูก แม้แต่คีรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังไอแค็กๆ
‘เขาว่าสูตรนี้สูตรเด็ดเลยนะ รับรองติด แถมมีโอกาสได้แฝดด้วยนะ’
‘แม่ก็ช่างไปสรรหาซะจริงนะ’ คีรินทร์บ่นให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเป็นแม่หาอะไรแบบนี้มาให้ กำลังช้างสาร ม้ากระทืบโรง อะไรต่างๆ ก็สรรหามาบำรุงเขากับคริษฐาตลอดเพื่อหวังจะมีหลานให้อุ้มสักที
‘ไม่ต้องพูดมาก กินเลย คนละแก้ว นี่คือคำสั่ง ไม่ใช่คำขอ’
‘เดี๋ยวนะ...ทำไมขนาดแก้วมันต่างกันขนาดนี้ล่ะแม่’ เปรียบเทียบกันด้วยตาเปล่าไม่ต้องวัดต้องตวงก็รู้ว่าแก้วที่ถูกยื่นมาให้ชายหนุ่มนั้นมีขนาดใหญ่กว่าแก้วของหญิงสาวถึงสองเท่า
‘ก็แกเป็นผู้ชาย ต้องกินมากกว่าจะได้แข็งแรง อึด ถึก พร้อมสู้ศึก ไม่ต้องถามมาก ให้กินก็กินไปเถอะ’
‘กินก็กิน’ ชายหนุ่มรับคำทั้งที่ปกติหาทางหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง เพราะเกลียดกลิ่นฉุนๆ ของมัน ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดก่อนจะวางแก้วและเอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถ “ไปนะ”
‘เดี๋ยว แกจะไปไหน’
‘ไปทำงานดิ แม่บอกพร้อมสู้ศึกไง วันนี้คงคึกวิ่งไล่ยิงกับคนร้ายได้ทั้งวันแน่เลย ไปนะ’
‘ไอ้ ไอ้ลูกบ้า ฉันหายามาบำรุงให้ได้มีหลานเร็วๆ ไม่ใช่บำรุงให้แกมีแรงไปสู้กับคนร้าย ปัดโธ่เอ๊ย’ คุณนายนรินได้แต่ด่าตามไล่หลังลูกชายที่มาทำหน้าซื่อแต่กลับกวนส่งท้าย
คีรินทร์เป็นอย่างนี้ละ ภายนอกคล้ายจะเงียบๆ แต่เวลาอยู่ในบ้านขี้แกล้งเป็นที่หนึ่งเลย กวนประสาทเองก็ไม่เป็นสองรองใคร ชอบแกล้งให้ความหวังคนเป็นแม่แล้วก็ชิ่งหนีแบบนี้ประจำนั่นละ
…
หลายชั่วโมงต่อจากนั้น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นเรียกให้คนร่างบางที่กำลังนั่งหาอะไรสนุกๆ ดูผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนอยู่ต้องรีบถอดหูฟัง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กที่คุณย่าล่อลวงไปนอนด้วยจะคิดถึงแม่เคทเสียแล้วกระมัง
“เปิดแล้วจ้ะ เปิดละ…อ้าว” เสียงอ่อนโยนที่ใช้กับลูกชายบุญธรรมแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อคนที่อยู่หน้าประตูไม่ใช่เจ้าตัวเล็กอุ้มตุ๊กตา แต่เป็นเด็กโค่งที่เมื่อเช้าแกล้งยั่วโมโหบุพการีและชิ่งหนีไปทำงาน ทิ้งให้เธอรับชะตากรรมนั่งฟังคุณนายนรินบ่นลูกชายเป็นวรรคเป็นเวรจนเธอหลอนนอนไม่หลับและต้องพึ่งแอปที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพื่อให้หลุดจากเสียงบ่นที่ดังอยู่ในหัว
‘นึกว่าจะไปนอนที่ทำงานซะอีก’
‘ได้ไง คุณนายรินอุตส่าห์พาเจ้าตัวหวงแม่ไปนอนด้วยทั้งที ไม่กลับบ้านจะให้ไปไหน’ คนที่ก่อเรื่องไว้แล้วก็หนีไปทำงานบอกก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง
หญิงสาวมองตามคนอายุมากกว่าเพียงหนึ่งปีที่เวลาอยู่ข้างนอกมักจะทำตัวขรึมๆ เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุแต่เวลาอยู่ในบ้านกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง
เขาเดินไม่ตรงนัก…ดื่มมาไม่ผิดแน่
‘ดื่มมาเหรอ’
‘พอดีเลิกงานแล้วรุ่นพี่ที่มาช่วยงานชวนไปดื่มต่อนิดหน่อย ขัดไม่ได้’
‘ขัดไม่ได้ หึ รู้หรอกว่าไม่ขัดไม่ใช่ขัดไม่ได้ อย่างเฮียคีย์ขาโหดน่ะหรือไม่กล้าขัดใจคน นอกจากเฮียเสือกับเฮียคิวแล้วคีย์กล้าขัดหมดนั่นละ’ คริษฐามักจะรู้ทันคีรินทร์และมองออกอยู่เสมอนั่นละ
คีรินทร์ทำหน้าเซ็งน้อยๆ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ก็อยากจะเมาจริงๆ นั่นละจะได้ไม่ต้องกลับบ้านมานอนเหงาเพราะไอ้ตัวแสบกอดแม่บุญธรรมไว้แน่นปิดทุกช่องทางที่เขาจะได้ใกล้คนขึ้นชื่อว่าเมีย
‘จะเมาแล้วกลับมาทำไม’
‘ก็แม่โทร. ไปบอกว่าเอาเจ้าตัวหวงแม่ไปนอนด้วย เคทอยู่คนเดียว ให้เฮียรีบกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อน’ เกือบจะเมาแล้วละถ้าคุณนายแม่ไม่โทร. ไปบอกว่าวันนี้เอาเจ้าตัวป่วนไปนอนด้วยที่บ้านซึ่งอยู่หลังติดกัน...โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหนล่ะ
เจ้าตัวแสบหวงแม่คนนั้นยอมปล่อยแม่แล้วนอนกับคุณปู่คุณย่าบ่อยที่ไหนล่ะ นานๆ ทีถึงจะทำ
‘คำก็ตัวแสบ สองคำก็เจ้าตัวหวงแม่ รอดูเถอะน้องคิลไม่อยู่ขัดใจแล้วจะเหงา’
‘ใครจะปล่อยให้ตัวเองเหงาล่ะ ถ้าเจ้าคิลไม่อยู่ขัดใจก็ ‘ทำ’ เจ้าตัวขัดใจมาสักคน’
‘พูดเป็นเล่นไป ไม่เห็นจะทำได้อย่างที่พูด’
‘ใครว่าเฮียทำไม่ได้...เฮียทำได้โดยไม่ต้องพึ่งยาบำรุงของคุณนายรินเลย เพียงแต่เจ้าตัวแสบไม่เปิดโอกาสให้เฮียแสดงฝีมือเท่านั้นเอง นี่ถ้าไม่อยากแกล้งคุณนายนะจะบอกเลยว่าแทนที่จะไปสรรหายากลิ่นเหม็นๆ นั่นมาให้กินน่ะ เอาเจ้าคิลแยกออกจากแม่จะเวิร์กกว่า’
แม้คำพูดของคีรินทร์คล้ายจะโอ้อวด แต่ก็มีส่วนจริงไม่น้อย ไม่ใช่ว่าร่างกายของเธอและเขาผิดปกติหรือไม่แข็งแรงเจ้าตัวเล็กจึงไม่มาเกิดสักที ทั้งที่ตลอดหกปีมานี้เธอกับเขาก็ไม่ได้นอนหันหลังให้กันเหมือนพระนางที่ถูกจับคลุมถุงชนในนิยาย แต่เป็นเพราะไม่ค่อยได้มีเวลาสานสัมพันธ์กันมากพอต่างหาก
ที่เป็นแบบนั้นเป็นเพราะอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเจ้าหนูคีรกรนั่นละ ตอนเด็กๆ แค่คีรินทร์เข้ามาใกล้เธอก็ร้องไห้จ้างอแงให้อุ้มแล้ว พอรู้เรื่องเข้าหน่อยก็ไม่ยอมแยกห้องนอนทั้งที่ผู้ใหญ่พูดเรื่องห้องนอนส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง ตาหนูก็ยังยืนยันจะนอนกับแม่เคทและพ่อคีย์อยู่เหมือนเดิม แม้มีบ้างที่เจ้าตัวเล็กจะไปนอนบ้านคุณปู่คุณย่า แต่ก็น้อยครั้ง ซ้ำบางครั้งก็เลือกไปในวันที่คนเป็นพ่อติดงานอีกต่างหาก...แบบนี้น้องจะมาได้ยังไงกันล่ะ
‘เมาแล้วขี้โม้...ไปอาบน้ำล้างหน้าโน่นเลยไปจะได้สร่าง’
‘ไม่อาบ...จะนอน’ คนเป็นสามีบอกแล้วก็นั่งลงบนปลายเตียงไม่ทำตามที่ภรรยาบอก
‘ตามใจ อยากนอนแบบนี้ก็นอนไป ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว’ คริษฐาไม่ใช่ผู้หญิงจู้จี้มากความ เธอจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าคู่สนทนาไม่ทำตามก็ไม่คิดจะรบเร้าเซ้าซี้
แน่นอนว่าคีรินทร์รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะต้องออกมาประมาณนี้ มือหนาเอื้อมมารวบสาวร่างบางที่กำลังจะเดินผ่านไปให้ลงมานั่งแหมะลงบนตัก
‘คิดว่าเฮียจะนอนจริงๆ เหรอ’
‘ให้ตอบแบบไหนดี เอาตรงๆ หรือเอาแบบรักษาน้ำใจดีล่ะ’
‘ถ้ารักษาน้ำใจจะตอบเฮียว่าไงล่ะ’
‘ถ้าตอบแบบรักษาน้ำใจ ก็จะตอบว่า คีย์เหนื่อยมาทั้งวันคงจะอยากนอนจริงๆ’
‘แล้วถ้าตอบแบบตรงๆ ล่ะ’
‘แบบตรงๆ น่ะเหรอ’ หญิงสาวทวนคำก่อนจะทำหน้าเหม็นเบื่อและตอบออกไป ‘ดูหน้าก็รู้แล้วว่าหื่นกาม น้องคิลไม่อยู่แบบนี้ถ้าคีย์นอนจริงๆ คงไม่ใช่คีย์ตัวจริงแล้วละ’
‘ก็ไม่ได้ไปหื่นข้างนอกนะ หื่นกับคนของตัวเองในบ้านตัวเอง ไม่ผิดหรอก’
‘หึ เคทละอยากให้คนที่คิดว่าคีย์นิ่งๆ ขรึมๆ และตายด้านมาเห็นมุมที่เคทเห็นจริงๆ’
‘ข้างนอกเฮียต้องรักษาภาพลักษณ์ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เฮียเก็บกดนะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้’ เขาเอ่ยขณะที่มือหนานั้นเลื่อนมาปลดกระดุมเดรสเชิ้ตของเธอจนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวด้านใน
‘เก็บกดเลยมากดคนอื่น หึ ทำอะไรไม่ได้ตรงไหนกันล่ะ คนทำอะไรไม่ได้อะไร มือไม้ไวซะจริง’
‘รู้ว่าเฮียเก็บกด ก็ให้กดซะดีๆ อย่ามาทำบ่น’ คีรินทร์บอกก่อนที่จะยื่นริมฝีปากเข้ามาจูบหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตัก มือบางเลื่อนมาคล้องคอร่างสูงไว้ขณะที่ถูกบดจูบอย่างอ่อนโยน
การคล้องคอบ่งบอกถึงความยินยอมกลายๆ แม้ว่าระหว่างเธอกับเขาจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่ก็ไม่มีส่วนไหนต้องปกปิดกันมานานแล้วตั้งแต่ที่คนที่เธอเห็นเป็นเพื่อนมาโดยตลอดบอกว่าจะไม่แต่งงานเพื่อเลี้ยงเด็กชายคีรกรแล้วต้องมาต่างคนต่างอยู่กับเมียเหมือนในนิยายเด็ดขาด ถ้าไม่พร้อมจะเป็นเมียเขาทั้งนิตินัยและพฤตินัยก็ไม่แต่งซะดีกว่า เพราะคงสร้างครอบครัวที่อบอุ่นให้หนูน้อยไม่ได้ถ้ายังต่างคนต่างอยู่
ตอนนั้นคริษฐาไม่รู้หรอกว่าหากเธอเลือกยอมรับแล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วาดหวังหรือไม่และระหว่างเธอกับคีรินทร์จะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ยิ่งใกล้และได้สัมผัสเธอก็ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทางนี้ได้อีกเลย...เธอชอบที่มีคีรินทร์อยู่ข้างๆ แม้ว่าคีรินทร์จะชอบลวนลามเธอต่างจากตอนที่เป็นพี่น้องกันอยู่มากก็ตาม
คีรินทร์ไม่ได้แสดงออกแบบนี้กับใครหรือผู้หญิงคนไหน ตลอดหกปีไม่เคยมีเรื่องนอกใจมาเข้าหู การจะยอมตามใจคนหื่นบ้างสักนิดสักหน่อยเพื่อเป็นการตอบแทนที่ไม่นอกใจกันมันจะเป็นไรไปล่ะ
‘คิลไม่อยู่จนถึงเย็นพรุ่งนี้...มาทำน้องให้ตัวแสบกันจริงๆ จังๆ ดีกว่านะแม่เคท’
คีรินทร์ไม่ได้พูดเล่น แต่ตั้งอกตั้งใจทำน้องให้เด็กชายคีรกรจริงๆ
ปัจจุบัน
ยังไงล่ะตอนนี้ เจ้าตัวแสบก็ไปอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ แล้ว คนทำก็ก่อเรื่องจนชีวิตคู่ดำเนินมาถึงตรงนี้...คิดแล้วอยากจะต่อยคนคิดบ้าๆ อีกสักที
“เออ เคท คนที่พาเคทมาส่งยังไม่กลับนะ นั่งอยู่ทั้งสองคนเลย” เสียงของแพทย์หญิงรันจนาเรียกสติคนอยากจะต่อยปากอดีตสามีให้กลับมายังปัจจุบัน หญิงสาวทบทวนความจำก่อนจะนึกขึ้นได้
เธอหมดสติไปหลังจากที่คุยกับผู้หมวดหนุ่มเรื่องนิสาและเรื่องคดีที่อีกฝ่ายฝากไปเตือนคีรินทร์นี่นา
‘ผมพูดมากไม่ได้หรอก แต่ฝากไปบอกผู้กองด้วย ถ้าเขากับคนอื่นยังไม่เลิกยุ่งกับคดีนั้นรายต่อไปอาจเป็นญาติพี่น้องของคนที่ยังไม่หยุด หรืออาจจะเป็นคุณนายก็เป็นไปได้ นี่โกโก้ครับ ทั้งหมด…คุณนาย!!!’
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่คริษฐาได้ยินก่อนที่จะวูบไป ความจริงแล้วที่เธอได้มาอยู่โรงพยาบาลก็เพราะช็อกเรื่องที่ได้ยินบวกกับอากาศที่ร้อนจัดนั่นละ เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนพาเธอมาส่งโรงพยาบาล ต้องเป็นอติรัตน์อยู่แล้ว…แต่รันจนาบอกว่าสองคน หมายความว่าอย่างไรกัน
“สองคนเหรอคะ”
“ใช่ สองคน คนนึงก็หมวดต้น อีกคนนึงหน้าหล่อๆ เขาบอกว่าเป็นเจ้านายของเคท” คำบอกเล่าของหมอรันจนาทำให้หญิงสาวนิ่งไปอย่างใช้ความคิด เจ้านายเหรอ นนทกรอย่างนั้นเหรอ
“พี่หมอได้บอกพวกเขามั้ยคะว่าเคทเป็นอะไร”
“ยังไม่ได้บอก”
“ขอบคุณค่ะที่ยังไม่ได้บอกใคร งั้นเคทขอพี่หมอสักเรื่องนะคะ อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องนี้...นะคะ” นัยน์ตาคู่หวานที่มองมาอย่างออดอ้อนทำให้คนขี้ใจอ่อนอยู่แล้วจำต้องถอนใจและพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะตักเตือน
“คิดจะทำอะไรก็ดูแลตัวเองดีๆ นะไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว พี่จะไม่บอกคีย์หรือใคร แต่พี่หวังว่าน้องเคทจะบอกทุกคนในเร็วๆ นี้”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับแสดงสีหน้าที่มุ่งมั่น การตัดสินใจครั้งนี้แม้จะทำให้โดนตำหนิจากผู้ใหญ่ได้ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไป...เพื่อเธอเองและเพื่อเจ้าตัวเล็กด้วย
เจ้าตัวเล็กจะต้องมีพ่อที่ไม่ตัดสินใจทำอะไรตามลำพังโดยไม่ปรึกษาครอบครัวแบบนี้…เธอต้องสอนให้คีรินทร์รู้คุณค่าของเธอให้ได้
ความคิดเห็น |
---|