1

บทที่ 1


 

บทที่1


            เสียงวี้ดของกาต้มน้ำทำให้ชายหนุ่มที่กำลังสาละวนอยู่กับการหั่นมะเขือเทศวางมีดในมือลง เขารีบก้าวไปปิดเตาไฟฟ้า ยกถ้วยเซรามิกสองใบออกมาก่อนจะฉีกกาแฟสำเร็จรูปสูตรธรรมดาลงในถ้วยที่มีลาย “LO” กับสูตรไดเอตที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลลงในถ้วย “VE” หยิบช้อนสองคันใส่ลงไปแล้วคนด้วยมือซ้ายขวาข้างละแก้วพร้อมกันก่อนจะยกไปวางยังโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งกว้างแค่พอจะนั่งกันได้เพียงสองคน

                นาฬิกาแขวนผนังทรงกลมสีขาวบอกเวลาหกโมงเช้าตัดกับวอลเปเปอร์ภาพถ่ายของหญิงสาวที่ปรับแต่งมาเป็นสไตล์ป็อบอาร์ตตามแบบฉบับของ Andy Warhol ซึ่งเขาให้เพื่อนสนิทที่ทำงานกราฟฟิกช่วยออกแบบเฉพาะเพื่อเป็นของขวัญหลังจากคบหากันพักใหญ่ แม้ว่าจะแลกมาด้วยการถูกโกรธหลังจากนั้นข้อหาปรับแต่งห้องของเธอโดยพลการ แต่สุดท้ายเธอก็ชอบมันมากกว่าวอลเปเปอร์จากภาพถ่ายขาวดำของตัวเอง

                “ได้เวลาโยคะรับอรุณแล้ว”

ห้องนอนนับเป็นส่วนที่หญิงสาวใช้เวลาอยู่มากที่สุดเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ในเวลาเช้าริมประตูกระจกติดระเบียงจะเป็นที่ปูเสื่อโยคะชั้นดี ส่วนเวลาค่ำบางครั้งเขากับเธอจะเปิดประตูบานนั้นรับลมแล้วนั่งดื่มไวน์หรือเบียร์เย็นๆ ด้วยกันก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงเมื่อเมาได้ที่แม้ว่าพักหลังการงดแอลกอฮอล์ของหญิงสาวจะทำให้กิจวัตรนี้ขาดช่วงไป

                แต่ก็มันเพิ่งจะกลับมาเมื่อวานนี้เอง เขากับเธอถือโอกาสฉลองเรตติ้งตอนจบของละครที่แสดงร่วมกันเป็นการส่วนตัว

                “เช้าแล้วเหรอ” เสียงของเธองัวเงีย ร่างกายที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“จะเลยเวลาโยคะแล้วมี่” กันต์บอกมีนาคมพร้อมเปิดผ้าม่านสีเข้มให้แสงส่องเข้ามา “ตื่นเร็ว”

เขานั่งลงข้างเตียง วางมือลงบนสะโพกซึ่งอยู่ใต้ผ้าห่มของคนที่กำลังนอนตะแคงหันหลังนิ่งอยู่แบบเดิม

“ช่างโยคะเถอะ” หญิงสาวบอกเบาลง ไม่สนใจแม้ว่าเขาจะเริ่มลูบไปตามเนื้อตัว เลื่อนมือขึ้นมาจนถึงหัวไหล่นวลเนียนตัดกับสายเดี่ยวของชุดนอนสีดำก่อนจะก้มลงไปจูบอย่างจงใจก่อกวนทำให้ต้องเจ้าตัวตะแคงหันมาหา

“เราแต่งงานกันแล้วเหรอ”

คำถามของเธอทำให้เขาขมวดคิ้ว “ยัง ทำไมถามแบบนั้น”

“ฉันคงฝันน่ะ ว่าเราแต่งงานกัน อยู่ด้วยกันเหมือนแบบนี้เลย” มีนาคมกะพริบตาช้าๆ มองคู่สนทนาซึ่งกำลังขมวดคิ้วว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร “แต่นานวันเข้าคุณก็เริ่มหัวล้าน...แล้วลงพุง”

กันต์ยกมือแตะกลางกระหม่อมของตัวเองเมื่อเธอเริ่มแสดงสีหน้าเหมือนจะหักห้ามไม่ให้ตัวเองสะเทือนใจ เขาแน่ใจว่ายังไม่ใช่อนาคตอันใกล้และเขาก็ไม่มีกรรมพันธุ์นั้นด้วย

“สบายใจได้ ผมของผมก็ยังดกดำดี”

“ค่อยโล่งใจ” หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยกมือป้องปากหาว เธอมองเขาซึ่งยังอยู่ในชุดนอนแล้วยิ้ม “เหมือนเราอยู่ด้วยกันมาซักร้อยปีเลย”

“เหมือนเวลาของเราอาจจะต่างกันนิดหน่อยนะ ไม่ใช่ครึ่งปีหรือไง”

“ครึ่งปีจริงๆ ด้วย” เธอยกนิ้วขึ้นมานับ ท่าทางจะตื่นเต็มตาแล้วเมื่อได้ลองคำนวณคร่าวๆ ถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักเขา เริ่มคุยกันอย่างไม่ถูกคอนัก ได้ทำงานร่วมกัน รวมทั้งจูบครั้งแรกที่ทำให้ได้เขามาครอบครองโดยที่เจ้าตัวก็เต็มใจ

“อีกอย่างคุณเป็นยายแก่ร้อยปีที่สวยเกินไป”

กันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่เธอรู้ว่าจะต้องขยับตัวโน้มไปข้างหน้าอีกนิดแล้วหลับตาลงเพื่อรับสัมผัสทักทายยามเช้า

“อรุณสวัสดิ์” เขากระซิบเมื่อละริมฝีปากออกก่อนจะจูบบนหน้าผากแถมให้เธออีกหนึ่งที

“อรุณสวัสดิ์” มีนาคมตอบกลับโดยที่ยังหลับตา วันใหม่ของเธอได้เริ่มขึ้นแล้วหลังจากนี้

 

กันต์หลับไปอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อถูกมีนาคมสะกิด เขามีเวลามากไประหว่างรอหญิงสาวแต่งตัวแต่งหน้า ขณะทำธุระส่วนตัวในตอนเช้า ล้างจาน เก็บของ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หยิบอะไรได้ก็ใส่ รวมทั้งนั่งฟังดนตรีจากห้องอัดบางส่วนซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี

จนเขาเบื่อ นอนรอที่โซฟาเกือบชั่วโมงเธอถึงเสร็จธุระ

“เร็วสิ เดี๋ยวฉันสายนะนัดกับเจ๊ตินไว้ด้วย”

“อ้อ ผมช้าเอง” เขาลากเสียงหน้าตายจนทำให้คนที่เร่งหยิกให้เสียหนึ่งทีเพราะรู้ว่าประชด และคงรู้ด้วยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุถึงถลึงตาที่เขียนอายไลน์เนอร์จนคมชัดแถมยังยกปลายหางตาจนเหมือนตาแมวกลับมา

“รีบเลย” มีนาคมย้ำแล้วฉุดเขาให้ลุกขึ้นยืน ยัดกุญแจรถของตัวเองใส่มือมาให้ “ตอนเย็นมารับฉันด้วย”

กันต์ผิวปากอย่างยินดีให้หญิงสาวควงแขนพร้อมกับซบบ่าอย่างใกล้ชิด ความสวยของมีนาคมมีมาตรวัดเทียบเท่าการทำให้คนที่เดินผ่านหันมองจนคอเกือบเคล็ด ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่ยั่วยวนได้เพียงการเลิกคิ้ว จมูกทรงสวยที่มักถูกนำไปเป็นแบบศัลยกรรมตามคลีนิคเอวคอดขาเพรียวในขณะเดียวกับที่ดูน่าสัมผัส หรือแม้กระทั่งริมฝีปากที่มักจะเติมแต่งให้แดงสวยเสมอ

นั่นเป็นสิ่งที่เขาเห็นก่อนที่จะได้สัมผัสว่าสาวสวยตั้งแต่หัวจดเท้านั้นมีมุมอื่นหลังแสงไฟอย่างไร

...แม้ที่จริงมันก็ตั้งต้นจากหน้าตาอย่างยากจะปฏิเสธ เขาเคยคิดว่าเธอสวยเพราะจะมีเชื้อสายผสมหลายเชื้อชาติแต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าตัวเองนั้นดูต่างออกไปเพราะการแต่งหน้าต่างหาก

“เดี๋ยวเถอะ” กันต์เตือนเมื่อมือของหญิงสาวเลื่อนมาหยุดลูบอยู่ที่สะโพกของเขา

จะว่าไปเขาเองก็ไม่เคยถามเธอเช่นกันว่าเริ่มต้นมองเขาจากตรงไหนก่อน

“จับนิดจับหน่อยไม่ได้เหรอคะ”

หรือจะเป็นก้น...

“คุณอยากจะออกจากลิฟต์ไปดีๆ ไหม” เขาย่นจมูก แต่เธอก็ยังตีก้นเขาผ่านกางเกงยีนส์สีเข้มอย่างไม่สนใจคำเตือนจนเขาต้องเป็นฝ่ายรวบตัวเธอเอาไว้ใช้หนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนให้เรียบร้อยถูลงกับใบหน้าสวยๆ ที่เริ่มเหยเก

“อย่านะขนลุกจะแย่แล้ว”

เธอตีเขากลับพัลวันเพราะอาการบ้าจี้ที่ยิ่งเบนเป้าหมายไปจูบแถวคอยิ่งถูกตีหนักขึ้น เขาถึงต้องยอมปล่อยเธอออกจากลิฟต์ก่อนที่ตัวเองจะช้ำในตายเสียก่อน

กันต์ขยับปากส่งจูบให้ขณะที่เธอเดินทิ้งระยะไปยังรถเพื่อนั่งฝั่งผู้โดยสาร “นัดเจ๊ตีนที่ไหนนะ”

“ติน” เธอแก้ชื่อเล่นของกฤติน ผู้จัดการส่วนตัวที่เคยมีปัญหาด้วยครั้งหนึ่งแต่ก็กลับมาคืนดีกันแล้วอย่างจริงจัง “อย่าไปเผลอเรียกต่อหน้าเชียวนะ ฉันไม่ช่วยด้วยถ้าถูกวีนกลับน่ะ”

“รู้แล้วน่า” เขากลอกตาใส่ จำได้ว่าตอนที่มีนาคมกำลังมีปัญหาจากข่าววิวาทกับนักแสดงหนุ่มอดีตคนรักนั้นอยู่ในช่างที่เธอกำลังจะหมดสัญญาพอดี และกฤตินเลือกที่จะทิ้งเธอให้เผชิญปัญหาตามลำพัง พอผ่านมาได้ก็มาขอปรับความเข้าใจเพื่อต่อสัญญาใหม่ ยอมกระทั่งให้มีนาคมได้เปลี่ยนการแบ่งเปอร์เซนต์ให้ได้รับค่าตัวที่มากขึ้น

เห็นชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเรื่องผลประโยชน์มาก่อน ถึงจะผิดใจกันแต่เธอก็ยอมเพราะรู้จักอีกฝ่ายมานานซึ่งง่ายต่อการทำงานร่วมกัน และเธอเป็นนักแสดง เรื่องการแสดงว่ายังรักอีกฝ่ายเหมือนเดิมไม่ใช่เรื่องยากเลย

“นี่รู้มั้ยเจ๊ตินอยากมาดูคิวให้คุณด้วยนะ” เธอพูดลอยๆ

“ให้ค่ายดูให้ก็ดีแล้ว อีกอย่างผมยังไม่ได้กะจะมางานแสดงเต็มตัวก็ดูเป็นเรื่องๆ ไปนั่นแหละ” เขาหมุนพวงมาลัยรถสปอร์ตที่วิ่งได้ไม่เต็มความเร็วของมันสักนิด “พวกอีเวนท์ก็ไม่ได้บ่อยแล้วด้วย ตอนนี้ก็ต้องเข้าๆออกๆ ห้องอัดอยู่ ไม่คุ้มจะมาเสียเวลาด้วยหรอก”

“ฉันก็บอกเจ๊ตินไปแบบนั้นนั่นแหละ แค่เค้าคะยั้นคะยอให้ถามจากปากคุณให้ได้”

“แหม ถ้าผมยังเป็นนักดนตรีธรรมดาจะถามมั้ย”

“แหมแล้วถ้าฉันเป็นตัวประกอบ เราจะได้เจอกันไหมคะ” มีนาคมทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอนพูด เข้าใจตรงกันดีว่าถ้าไม่ได้อยู่ในจุดที่ยืนอยู่ปัจจุบันก็คงไม่มีใครเสนอตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้หรอก

“ไม่เกี่ยวหรอก เชื่อสิคุณกับผมยังไงก็ได้เจอกันแน่ไม่เคยฟังเหรอ...แต่เราก็หากันจนเจอ” เขายังคงมองทางระหว่างเริ่มฮัมเพลงเพื่อเปลี่ยนบทสนทนา

“เลี่ยนจริง”

“งั้นพรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด

“แก่มาก พอเลย” เธอตีไหล่เขา ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มจนเขายิ้มตอบกลับไป

“อยากจูบคุณจัง” เขาพูดออกไปโต้งๆ               

“เวลาคงไม่พอ อีกอย่างฉันไม่อยากทาลิปสติกใหม่ด้วย” มีนาคมยกมุมปากยิ้มให้จนเขารู้สึกหมั่นเขี้ยว อยากให้รถติดนานกว่านี้อีกนิดจริงๆ

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“จะคืนให้เย็นนี้แล้วกันนะ”

แค่เธอขยิบตากลับทำให้กันต์จิตนาการไปไกล หลังจากออกจากห้องอัดเขาจะตรงดิ่งไปรับเธอเมื่อจบงานอีเวนท์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในห้างสรรพสินค้า กลับไปกินอาหารมื้อค่ำด้วยกัน ดูภาพยนตร์สักเรื่อง ก่อนจะจบลงด้วยการได้กอดหญิงสาวไปอีกค่ำคืนหนึ่ง

กันต์จอดรถเทียบกับฟุตบาทเมื่อถึงจุดหมาย เจ้าของรถสปอร์ตสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมใบที่ร้อยในครอบครองแล้วแต่ยังไม่ยอมลงจากรถจนกระทั่งได้หอมแก้มเขาหนึ่งที

“แล้วเจอกันนะ” มีนาคมหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมก่อนจะเปิดประตูลงไป ขณะที่เขาออกรถทันทีเพราะรู้ว่ายิ่งช้าก็ยิ่งมีแต่จะเป็นเป้าสายตา ทั้งที่เมื่อก่อนหากมีข่าวเขาคงจะใช้ผลพลอยได้พวกนั้นในการทำงานแต่ตอนนี้เขากลับพอใจที่จะอยู่นิ่งๆ โดยไม่ต้องมีเรื่องร้อนใจและประคองความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ มากกว่า

กันต์เหลือมองกระจกมองหลังซึ่งพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ รถยนต์คันนี้ตามเขามาตั้งแต่ทางออกจากคอนโดมิเนียมทว่าจนตอนนี้ก็ยังขับตามอยู่อย่างน่าสงสัย

หรือจะเป็นนักข่าว...ชายหนุ่มคิดออกอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น