บทที่5.
มีเวลาอย่างมากสิบห้านาทีก่อนที่มีนาคมจะรับประทานอาหารเสร็จ กันต์โยนกระเป๋าลงบนเตียงของห้องเดอลุกซ์ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง มองกฤตินถอนใจเป็นรอบที่ร้อยแล้วทำทีเหมือนจะเซล้มมานอนบนเตียงบ้างหากเขาไม่ยกมือกั้นเสียก่อน
“กันต์อะ อย่าทำสายตาอย่างนั้นใส่เจ๊จะได้ไหม” กฤตินทำตาชมดชม้อย “เจ๊เสียใจนะ”
“มาคุยเรื่องเราต่อให้จบดีกว่า” เขากอดอก เพราะตนเองเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องของพลศรุตตั้งแต่เจอหน้ากันวินาทีแรกที่สนามบิน เป็นไปตามคาดว่ากฤตินเองก็มีส่วนคอยอำนวยความสะดวกให้กับอีกฝ่ายโดยที่ได้รับค่าเหนื่อยเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยเสมอ
ทีแรกกฤตินยังปากแข็งทำให้กันต์ต้องขู่ว่าจะฟ้องหญิงสาว ทำให้ผู้จัดการส่วนตัวจอมเจ้าเล่ห์ต้องยอมคายความลับว่าความจริงที่พลศรุตพบกับมีนาคมได้เพราะเธอเข้าไปอยู่โมเดลลิ่งของเขาจนสืบรู้ได้ว่าแม่ของเธอเป็นใครจึงพยายามติดต่อเข้ามาเพื่อจะขออุปการะ แต่มีนาคมเข้าใจผิดว่าเป็นอุปการะอีกความหมายทำให้เธอออกจากโมเดลลิงนั้นโดยชวนกฤตินลาออกมาด้วย แต่เมื่อมาเข้าใจถูกต้องเธอถึงยอมรับเงินจากพลศรุตโดยที่ไม่รู้ว่ากฤตินก็ได้รับเงินที่คอยช่วยเหลือหญิงสาวมาตลอดด้วย
“เรื่องของเราแบบไหนจ๊ะ”กฤตินพลิกตัวลงไปนอนแผ่บนเตียงอย่างแกล้งเล่นแง่
“เจ๊เคยดูหนักฆาตกรรมที่คนร้ายใช้หมอนกดให้เหยื่อขาดอากาศหายใจไหม” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบเขาก็หยิบหมอนเงื้อมือฟาดลงไปกับเตียง แม้จะไม่ได้รุนแรงแต่ก็ทำให้กฤตินตกใจร้องกรี๊ดออกมาเสียงห้าวผิดจากเวลาพูดปกติที่บีบเสียงให้เล็กลง
“อีบ้า อย่าทำเจ๊เจ๊ยอมแล้ว” คนยอมลุกขึ้นนั่งเมื่อเขาขยับตัวออก รีบจับเสื้อผ้าพร้อมวอร์มเสียงให้กลับเป็นปกติ “เจ๊ก็เล่าไปหมดแล้ว จะถามอะไรอีกยะ”
“แต่ก่อนหน้านี้เจ๊จะเลิกเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้มี่ไม่ใช่เหรอ แล้วช่วงนั้นคุณพลศรุตก็คงจะไม่ได้ติดต่อกับเจ๊เพื่อคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของมี่จริงไหม” เขาเริ่มคิดถึงช่วงที่ตนเองกับมีนาคมพบกัน เวลานั้นเธอกำลังมีปัญหากับกฤติน ซึ่งหมายความว่าเป็นจังหวะบังเอิญที่เขากับเธอจะคบกันโดยที่บิดาของเธอไม่ได้ระแคะระคาย
“จริงๆ เรื่องนี้รู้แล้วต้องเหยียบไว้นะ” กฤตินยกมือขึ้นมากัดเล็บ ช้อนสายตามองเขา “เจ๊ก็รับเงินจากคุณพลศรุตมาเรื่อยนั่นแหละ ข่าวช่วงนั้นของมี่กับตาจิมแฟนเก่าไม่ค่อยดีใช่มั้ยละเลยว่าจะลองถอย ไปมาคุณพ่อฮีมารู้ทีหลังถึงมาบีบคอให้เจ๊กลับมาหายายมี่เนี่ยแหละ”
“บีบคอ?” กันต์ทำตาโต
“ฉันเปรียบเปรยสิยะ” คนพูดกลอกตา “เห็นแบบนั้นพ่อของมี่ก็มีเส้นสายเยอะแยะนะ เจ๊น่ะไม่ได้ไม่อยากทำงานกับมี่มันหรอกแต่ช่วงนั้นข่าวมันแรง สัญญากำลังจะหมดด้วยก็เลยว่าจะลองปล่อยเผื่อตัวเองจะได้มีเวลาดูเด็กๆ คนอื่นมากขึ้น ยังไงคุณพลศรุตก็ต้องหาทางช่วยจัดการปัญหาให้มี่แบบเงียบๆ ได้อยู่แล้ว”
“มี่เป็นคนไปหาทนายแจ้งฟ้องไอ้จิมเรื่องเงินที่ยังติดกันอยู่ รวมทั้งยื่นฟ้องนิตยสารบันเทิงเองนะ”
“แล้วแกคิดจริงเหรอว่าทำไมมันถึงจบง่ายกับแค่ฟ้องไป ยายมี่ไม่ใช่ดาราคนแรกที่ฟ้องพวกนั้นเสียหน่อย ขนาดอีตาจิมที่เคยให้ข่าวยายมี่เสียหายหลังจากเลิกกันไปตอนนี้ก็แทบไม่มีงานเลย ที่ทำได้ก็แค่พยายามพูดถึงยายมี่ให้มีพื้นที่ข่าวของตัวเองอยู่ จากดาวรุ่งดับได้แค่ข้ามวันยายมี่ถึงไม่อยากให้คุณพลศรุตมายุ่งวุ่นวายกับแกด้วยไง”
“แต่ข่าวของเราที่ผ่านมามันก็มีประปรายมาตลอดนี่”
“ข่าวก็คือข่าว ต่อให้จริงคุณพลศรุตเค้าก็ไม่มายุ่งอะไรขนาดนั้นหรอก นอกเสียจาก...”
“นอกเสียจาก?”
“ถ้าทำลูกสาวเค้าเสียใจ ยายมี่น่ะเห็นอย่างนี้ทุ่มเรื่องความรักจะตายไปไม่งั้นจะเคยยอมให้เงินตามจิมไปได้ยังไงตั้งสองล้าน” กฤตินพูดหน้าตาย “เจ๊คงไม่ต้องบอกนะว่าตายแบบที่ยังมีชีวิตน่ะเป็นยังไง ถึงแกทำดีแต่ไม่มีใครเปิดประตูให้ จะสวยหยาดเยิ้มหรือหล่อชั้นฟ้ามาจากไหนก็ไม่มีวันได้โอกาส วงการนี้มันแคบจะตายไปเส้นสายเค้าก็มีตั้งมาก”
กันต์เม้มปาก “ขี่หลังเสือซะแล้วสิ”
“หรือไม่ก็นอกเสียจากยายมี่จะเป็นคนทิ้งแกเอง นี่เจ๊แนะนำจากใจเลยนะ”
“อะไรจากใจนะ” เสียงของหญิงสาวทำให้กฤตินหุบปากฉับ ทำตาโตค้างเมื่อมีนาคมชี้นิ้วมายังเตียงที่กันต์กับผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองนั่งเอกเขนกคุยกัน อีกมือของเธอก็จับลูกบิดที่ยังเสียบกุญแจคาทิ้งเอาไว้ดันไปข้างหลัง “สองคนนี้มีลับลมคมนัยอะไรกัน แล้วทำไมมาอยู่บนเตียงอย่างนี้”
“เล่นกันประสาหนุ่มๆ น่ะ” กันต์ทำเป็นจับแก้มของกฤติน “จริงมั้ยจ๊ะเจ๊ตีน”
“เจ๊ชื่อตินโว้ย” เจ้าของชื่อปัดมือออกไป รีบลุกขึ้นตัดช่องน้อยแต่พอตัวลนลาน “เจ๊ไปหยิบกระเป๋าดีกว่าระหว่างนี้ก็อยู่ด้วยกันไปก่อนนะ”
มีนาคมกอดอกหันมองตามคนพูดที่ปากก็พูดไปเรื่อยทั้งที่กระเป๋ายังอยู่ในมือก่อนออกจากห้องไป
“นี่ คุณหึงเหรอ” กันต์เอนตัวลงนอนที่เตียงแล้วเท้าแขนตะแคงมองหญิงสาว ซ่อนพิรุธของตัวเองเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน แต่เธอกลับเสตามองทางอื่น “เฮ้ย เอาจริงดิ”
“แล้วทำไมต้องหายมาด้วยกันล่ะ”
“ก็คุยเรื่องที่เจ๊ตินอยากจะขอมาดูคิวให้นั่นแหละ เรื่องการทำงานแล้วก็เรื่องพี่สิทธาที่ต้นสังกัดเดิมไม่มีอะไรมากหรอก นี่คุณหึงจริงเหรอ” โกหกแล้วเขาก็ย้ำจุดที่รู้ว่าจะให้เธอไม่ซักไซ้ต่อ เพราะมีนาคมดูงุ่นง่านขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเหตุผลของเขามีน้ำหนัก “กับเจ๊ตินเนี่ยนะ”
“ไม่รู้ละ ก็ฉันไม่อยากให้คุณอยู่ห่างสายตานี่”
กันต์แค่มอง แล้วก็อมยิ้มเมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าเขินอาย
ยามบ่ายริมชายหาดเงียบเหงากว่าที่คิดคงเพราะไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยว ชายหนุ่มซึ่งมาด้วยกันทิ้งให้มีนาคมนอนอาบแดดบนเก้าอี้ผ้าใบชายหาดกับกฤตินอยู่สองคน ส่วนเขาก็ขึ้นเรือไปเพื่อเล่น FLY BOARD ตามลำพังอยู่ตรงทะเลไกลๆ ท่าทางจะสนุกสนานตอนร่างกายลอยขึ้นจากผิวน้ำด้วยแรงอัดของน้ำทะเล เขาทรงตัวได้ดีทีเดียวยามที่เคลื่อนไปมาเหมือนมีไอพ่นที่เท้า
“มันเล่นจะครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้งเนี่ย” กฤตินลุกขึ้นนั่งแล้วถอดแว่นกันแดดไว้ที่ปลายจมูก “ระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ”
“ก็น่าสนุกอยู่นะ” มีนาคมตอบตามจริง เพราะเธอก็สนใจแต่เมื่อวัดความกล้าของตัวเองเทียบกับแสงแดดจ้าเธอขอนอนใส่บิกินีอยู่ตรงนี้ดีกว่า
แต่จะบอกว่าเป็นบิกินีก็ไม่ถูกนักเพราะก่อนจะออกไปชายหนุ่มก็จัดแจงถอดเสื้อกล้ามสีดำของตัวเองแล้วกำชับให้เธอใส่เสร็จสรรพ เพราะถึงชุดว่ายน้ำจะใช้ว่ายน้ำก็จริงแต่ในสายตาคนอื่นอาจจะมองไปได้หลากหลายดังนั้นเขาอยากให้เธอระวังตัวเอาไว้
มีนาคมก้มมองเสื้อกล้ามแสนยาวสกรีนโลโก้เป็นลายของอดีตวงของเขาแล้วถอนใจ ทั้งที่เธอตั้งใจจะใส่ชุดว่ายน้ำนี้เล่นกับเขาให้พอได้อวดหุ่น เจ้าตัวกลับหนีไปเล่นสนุกไม่สนใจเธอสักนิด
“แต่เซ็งจริงๆ ชุดนี้คอลเลคชันใหม่กลับไม่สนใจ”
“แกเก็บไว้ใส่ตอนถ่ายแมกกาซีนพอมั้ยยายมี่ อวดคนอื่นฟรีๆ ไม่ได้เงินด้วย” ผู้จัดการส่วนตัวผู้คุมเข้มเรื่องเงินพูดไปก็มองสาวชาวต่างชาติที่ใส่บิกินีเดินผ่านด้านหน้าไปด้วย “ถึงฝรั่งเค้าจะใส่กันปกติก็เถอะ”
“เจ๊นี่นะ” มีนาคมกลอกตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นแก้เบื่อแล้วชวนอีกฝ่ายถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเตรียมจะอัพขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์ก กว่าจะรู้ตัวอีกทีคนที่หายไปกับคลื่นก็เดินกลับมาสะบัดน้ำใส่จนทำให้เธอโวยวายออกมาเพราะหน้าจอโทรศัพท์เปียกไปด้วย
“มาเที่ยวทั้งทีเล่นโทรศัพท์กันอยู่ได้ เก็บไปเลย ไปเล่นเซิร์ฟกันดีกว่า” กันต์ยื่นมือให้ มีนาคมบ่นอุบอิบแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือ แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นโดยดี
“แค่ไปเล่นแช่ๆ แตะๆ ก็พอเซิร์ฟมันยากไป ฉันยิ่งว่ายน้ำไม่แข็งอยู่”
“ว่ายน้ำไม่แข็งหรือว่ายไม่เป็น” เขามุ่นคิ้ว
“มี่มันว่ายไม่เป็น”
“เจ๊นี่” มีนาคมหันไปเอ็ดใส่กฤติน “บอกว่าว่ายไม่แข็งก็ไม่แข็งสิ ไม่ใช่ไม่เป็น”
“งั้นเจ๊ตินเฝ้าของไปนะ” กันต์ยิ้มกรุ่มกริ่ม กว่าที่หญิงสาวจะทันสังเกตเห็นก็ถูกเขาช้อนตัวแล้ววิ่งสี่คูณร้อยลงทะเลจนเธอต้องกรี๊ดออกมา ตัวเธอลอยกลางอากาศเพียงครู่ก็ถูกทิ้งลงในน้ำทะเลที่สูงเท่าเอว
มีนาคมเปียกไปตั้งแต่หัวจดเท้า สำลักน้ำทะเลยังไม่เท่ากับอายที่ต้องเห็นคนช่างแกล้งยืนหัวเราะไม่ใส่ใจที่เธอจะตีน้ำใส่
“ถ่ายชุดว่ายน้ำมาตั้งกี่ปก ว่ายน้ำไม่เป็นได้ยังไง” เขายังยิ้มอารมณ์ดี แม้เธอจะทำหน้าบูดเพราะเสียดายที่แต่งหน้ามาสวยแต่กลับพังหมด ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเปียกไม่เกินแค่ระดับอกเท่านั้น
“คึกอะไรนักหนา ทำอย่างกับไม่เคยเจอทะเล”
“มีคนกำลังเซ็งไม่ใช่เหรอไง” ชายหนุ่มทำตัวเหมือนมีพลังงานเต็มเปี่ยมพร้อมจะลุยไปทุกที่ เขาไม่รอฟังคำตอบแต่จับมือเธอแล้วพาวิ่งต่อไปในทะเล ยิ่งระดับน้ำสูงขึ้นก็ก้าวไปได้ช้าลงแต่แรงที่ดึงให้ไปด้วยกันกลับมากขึ้น ไม่กี่วินาทีมีนาคมต้องหยุดเพราะระดับน้ำสูงมาเกินระดับอกแล้ว
“อนุญาตให้กอดได้นะ”
“เฮอะ” เธอปล่อยมือเขาออก “อย่าทำมาเป็นพูดดีหน่อยเลย คุณทำลายบรรยากาศชิวๆ สวยๆ ที่ฉันจะแตะน้ำทะเลแล้วถ่ายรูปซะหมด”
“งี่เง่าน่า มีรูปถ่ายอะไรจะสวยเท่าภาพเห็นด้วยตาอีก” เขาก้าวถอยหลัง คลื่นซัดทำให้เหมือนกำลังลอยตัวต้านแรงคลื่น เส้นผมยาวถึงท้ายทอยนั้นกระเซิงขึ้นจนต้องยกมือลูบให้ไปทิศทางเดียวกัน เปิดหน้าผากซึ่งทำให้มีนาคมเบิกตามองแล้วยกนิ้วชี้
“มันเริ่มจะเหม่งแล้วนะ”
“เว่อร์” กันต์รีบตลบผมเกลี่ยอย่างมีพิรุธ “น้ำทะเลมันทำให้ผมจับกันเป็นก้อนกว่าปกติด้วย”
“ข้ออ้างชัดๆ” เธอหัวเราะอย่างรู้ทันแล้วกระโดดจู่โจมชายหนุ่มจากด้านหลังซึ่งเขารับตัวเธอไว้อย่างทันท่วงที แรงพยุงจากน้ำคงช่วยทุ่นน้ำหนักไปได้มากเมื่อเธอกอดคอเป็นการบังคับขี่หลัง “เดินไปให้ลึกกว่านี้อีกไป”
กันต์หันมาหรี่ตามองแต่ก็ยอมเดินไป “คิดว่าตัวเองเป็นควาญช้างหรือไง”
“ใช่ เดินต่อไป” มีนาคมใช้ปลายนิ้วจิ้มลงบนศีรษะของชายหนุ่มไม่ต่างกับควาญใช้ตะขอกดลงบนหัวช้าง เพียงแต่เธอเอี้ยวตัวไปหอมแก้มเขาอีกทีเป็นรางวัลแทนการให้อ้อย “เค็มอ่ะ”
“วันนี้ทะเลหวานมากแล้วนะ ไม่รู้สึกเหรอ”
เขาทำให้เธอหัวเราะได้กับคำพูดเลี่ยนๆ นั้น เมื่อถึงจุดที่ลึกพอกันต์ก็ปล่อยขาเธอให้เป็นอิสระแต่ยังใจดีให้เกาะบ่าเอาไว้ระหว่างที่หันหน้าคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระอื่น ตั้งแต่ตารางงานหลังจากกลับจากหยุดพักผ่อน ความตั้งใจจะจัดห้องใหม่ ทั้งยังนินทาถึงกฤตินที่ถูกฝากให้เฝ้าของอย่างน่าสงสาร
เมื่อคลื่นพัดแรงมาเธอจะกอดคอเขาแน่นให้มันซัดผ่านไป ฟังเสียงเขาหัวเราะเวลาที่เธอแลบลิ้นออกมาเพราะน้ำทะเลเข้าไปเต็มปาก มีนาคมรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแล้วเมื่อพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงสอดคล้องกับความรู้สึกว่าน้ำทะเลเริ่มเย็นกว่าเดิม ปลายนิ้วซีดของเธอเหี่ยวราวกับคนแก่ มันให้ความรู้สึกสากเวลาที่จรดนิ้วหนึ่งลูบวนกับอีกนิ้วแต่กระนั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกแย่นัก ถ้าวันหนึ่งเธอจะแก่ไปจริงๆ โดยมีเขาอยู่ด้วย
“ไว้คราวหน้ามาด้วยกันอีกนะ”
“อื้ม แบบไม่มีเจ๊ตินนะ”
“โอเค” เธอยิ้ม แต่นึกสงสารกฤตินเล็กน้อยที่ต้องทนมาเป็นคนโดดเดี่ยวในทริป “คุณว่าเราจะมาด้วยกันได้อีกนานแค่ไหน เราจะเริ่มเบื่อการอยู่ด้วยกันไหม”
“ไม่รู้สิ ความรู้สึกเบื่อมันก็มีบ้างนั่นแหละแล้วแต่บางเรื่อง แต่ว่าเรามีเหตุผลที่จะอยู่ด้วยกันนี่ เรื่องพวกนั้นมันก็เลยเป็นเรื่องเล็กไป ถ้าไม่มีเหตุผลจะอยู่ด้วยกันแล้วคงจะอดทนไม่ได้หรอก ทำไมถามอย่างกับเป็นนักข่าวเสียเอง”
“บางทีฉันก็สงสัยไง ครึ่งปีก่อนเรายังไม่ได้สนิทอะไรกันมากเลย ทุกอย่างมันเหมือนเกิดขึ้นเร็วมาก”
มานึกย้อนดูมีนาคมคิดว่ามันรวดเร็วจริงๆ ถึงการปรับตัวของเธอกับชายหนุ่มเพื่อให้เข้ากันได้ก็ยังเป็นเกณฑ์ที่น้อยเมื่อเทียบกับความรักที่ผ่านมา กันต์เป็นจอมเจ้าเล่ห์ที่มีข่าวคั่วสาวไม่ซ้ำแต่กลับสร้างปัญหาน้อยจนน่าคลางแคลงใจว่าข่าวลือที่ได้ยินนั้นเป็นของเขาจริงหรือไม่
“พูดเหมือนคุณผิดหวังนะ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงตาสว่างเหรอ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” เธอใช้น้ำเสียงจริงทำให้คนฟังขมวดคิ้วแล้วแกะมือของเธอออกจากไหล่ของเขาเป็นการลงโทษจนต้องรีบกอดไว้แต่เธอทันเห็นสายตาของเขาที่มองราวกับจะเอ่ยว่าเมื่อพูดแบบนี้ก็ ‘จมน้ำไปซะเถอะ’
“นี่ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหนึ่งเรื่อง”
เธอพยักหน้า ได้ยินเสียงคลื่นและลมคลอมาประกอบระหว่างที่ชายหนุ่มทิ้งจังหวะเงียบ
“คุณว่าเราสนิทกันมากพอที่จะพูดคุยทุกเรื่องได้แล้วรึยัง”
ความคิดเห็น |
---|