6

บทที่ 6


บทที่ 6

            ‘แน่นอน’

ต้องเป็นเพราะบรรยากาศแน่หญิงสาวถึงหลุดปากพูดออกไปได้ง่ายๆ เวลานั้นพระอาทิตย์กำลังตกสาดแสงฉาบใบหน้าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มเอาไว้ มันดูเป็นประกายระยิบระยับเพราะมีหยดน้ำเกาะทำให้ตาของเธอพร่ามัว จนแม้แต่หนวดเคราที่เธอเคยนึกรำคาญกลับทำให้ความรู้สึกเซ็กซี่ขึ้นมา

เธอจูบเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น ก่อนจะถูกคลื่นซัดโครมแรงๆ จนทำให้มือที่เกาะกันไว้หลุดเป็นอันจบบรรยากาศแสนโรแมนติก เธอกับเขาเดินกลับมาขึ้นฝั่งและพบว่ากฤตินนั่งหลับคาเตียงผ้าใบไปแล้ว

กันต์ไม่พูดถึงเรื่องที่ถามอีกเลยนับตั้งแต่นั้นทั้งไปรับประทานอาหารซีฟู้ดด้วยกันสามคน ตกดึกที่กลับมานอนในห้องด้วยกัน ทิ้งให้กฤตินเป็นเจ้าของห้องวันแรกตามลำพัง

ชายหนุ่มชิงหลับเป็นตายไปก่อน อาจเป็นเพราะวันนี้เขาตากแดดตากลมมามากมีหลักฐานชัดเจนอยู่ที่ผิวซึ่งคล้ำกว่าเดิมเพราะไม่ทาครีมกันแดด หรือไม่ก็เพราะกินยาลดน้ำมูกไปเนื่องจากเริ่มเป็นหวัดเสียงอู้อี้

มีนาคมค้นกระเป๋าเมื่อเขาหลับสนิทภายในเป้ของเขามีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ตัวกับของใช้ส่วนตัวซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ เธอตรวจโทรศัพท์ของเขาแต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะมันถูกตั้งรหัสไว้สี่ตัวซึ่งเขาจะเปลี่ยนทุกครั้งหลักจากที่รู้ว่าเธอเดาถูก ประหนึ่งเป็นการเล่นเกมลับสมองประลองเชาว์ด้วยกัน

‘ทายถูกก็เข้าได้ ง่ายจะตาย’ เขาเคยบอกแบบนั้นเมื่อถูกออกปากถามตรงๆ มิหนำซ้ำยังสำทับอีกว่า ‘ผมไม่เห็นเคยขอเช็คโทรศัพท์คุณเลย’

การพูดแบบนั้นนอกจากถือเป็นการท้าทายแล้วยังข่มเธอกลับในทีแต่มีนาคมไม่สนใจเพราะเธอมีเวลาอีกมากในการกรอกรหัสสี่ตัวลงไปหากคิดออก หญิงสาวเลิกชายผ้าห่มไปซบข้างชายหนุ่มที่นอนตะแคงชิดขอบเตียง เสียงหายใจของเขาดังยังฟึดฟัดทำให้เธอตัดสินใจใช้รีโมตปรับเพิ่มอุณหภูมิในห้องให้เย็นน้อยลง เธอมองชุดนอนบางๆ ของตัวเองแล้วถอนใจว่าสวมมาเสียเที่ยวก่อนจะนอนเล่นโทรศัพท์ของตัวเอง

เธอแต่งภาพที่ถ่ายกับกฤตินผ่านแอพพลิเคชันแล้วโพสขึ้นไปในอินสตราแกรมของตัวเอง ข้อดีของมันก็คงทำให้คนรู้สึกว่าได้รับข่าวสารจากดาราใกล้ชิดขึ้น หลายคนสามารถสร้างข่าวของตัวเองโดยไม่ต้องรอนักข่าว การแก้ไขความเข้าใจผิดก็ทำได้ง่ายขึ้น แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน

“จะฝากร้านอะไรกันนัก” เธออยากอ่านคอมเมนต์ของแฟนคลับแต่เกือบนับร้อยนั้นเป็นการมาฝากขายของทั้งสิ้น

มีนาคมได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือไว้กับโต๊ะเครื่องแป้ง ปิดไฟแล้วซุกตัวในผ้าห่มข้างชายหนุ่มผู้ไม่เคยได้มีโอกาสปรากฏตัวบนพื้นที่นั้น สำหรับเธอสิ่งที่โพสออกไปเพราะต้องการแบ่งปัน แต่กับเรื่องความรักนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว

สำหรับเธอเขาเป็นของส่วนตัว ที่เธอหวงอยากจะเห็นด้านพิเศษเอาไว้คนเดียว

 

เสียงเคาะประตูรัวทำให้มีนาคมต้องลุกงัวเงียขึ้นจากเตียง ผละจากการกอดคนที่ยกหมอนขึ้นมาปิดหูปัดความรับผิดชอบที่จะรับรู้อะไร หญิงสาวส่องช่องตาแมวเมื่อเห็นว่าเป็นกฤตินถึงเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมอีกชั้นก่อนเปิดประตูให้หากอีกฝ่ายกลับรีบแทรกเข้ามาแล้วปิดประตูทันที

“อะไรเจ๊ จะชวนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือไง” เธอขยี้ตา หันมองทางบานหน้าต่างที่ม่านสีเข้มแง้มเอาไว้ว่าท้องฟ้ายังเป็นสีอมม่วง พระอาทิตย์คงยังไม่พ้นขอบฟ้าดี

“เมื่อกี้เจ๊ตื่นมาเข้าห้องน้ำเลยมาดูมือถือ ยายมี่แกดูสิมีใครส่งอะไรมาให้เจ๊ดู”

คนพูดยื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ดูหน้าจอที่เปิดโปรแกรมสนทนาเอาไว้ เพื่อนคนหนึ่งของกฤตินส่งรูปที่บันทึกมาจากกระทู้ของเว็บไซต์สนทนาหนึ่งซึ่งเป็นรูปถ่ายที่เธอเพิ่งจะโพสขึ้นไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์คก่อนจะนอนไปนั่นเอง

“รูปก็ปกตินี่ เจ๊ก็ดูดีอยู่ ฉันก็ไม่ได้โป๊ด้วย เห็นชายหาดเห็นทะเล สวยจะตาย”เธอพิจารณาไปถึงฟิลเตอร์แต่งภาพที่ใช้

“เลื่อนไปสิยะ” กฤตินเดาะลิ้นแต่พูดเบาเพราะกลัวกันต์จะตื่น เขาใช้นิ้วสัมผัสเลื่อนจอขึ้นไปให้ดูข้อความก่อนหน้านั้น มีนาคมไล่อ่านทีละข้อความก็รู้สาเหตุว่าภาพถ่ายนั้นทำให้เกิดประเด็นเพราะมีคนจับผิดว่าเสื้อกล้ามที่เธอสวมทับชุดว่ายน้ำนั้นน่าจะเป็นเสื้อของกันต์

“ไปคุยกันห้องนู้น” เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองบ้างก่อนจะจูงมือผู้จัดการส่วนตัวออกไปคุยอีกห้อง ถึงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับข่าวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากเป็นครั้งแรกที่เธอเกิดรู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมาว่าจะตอบโต้อย่างไร

ใจหนึ่งเธอก็อยากจะบอกไปตามตรงเป็นการตัดปัญหา แต่อีกใจก็รู้ว่าถึงพูดไปแล้วมันก็จะมีเรื่องอื่นที่น่ารำคาญตามมาอยู่ดี

หญิงสาวรู้ว่าการรับภาระจากคำพูดของตัวเองเป็นงานหนัก อย่างข่าวของจุมพลผ่านมาเกินครึ่งปีแล้วก็ยังถูกนำมาอ้างถึงบ่อยๆ เวลาเธอถูกสัมภาษณ์ เมื่อตอบไปแล้วถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับมาเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเพราะเป็นบุคคลสาธารณะ จนกลับกลายเป็นว่าแทบจะไม่มีพื้นที่ส่วนตัวหรือเรื่องส่วนตัวที่ชัดเจนเลย

“เอาไง ลบมั้ยรูปนั้น” กฤตินเสนอแต่เธอส่ายหน้า

“ลบไปตอนนี้ก็เท่านั้นแหละ คนเซฟไปตั้งเยอะแล้วมั้ง”

“หรือว่าจะบอกไปว่าเป็นแฟนเพลงของวงนั้นเหมือนกัน ดีมั้ย มีเสื้อก็ไม่แปลก”

“ในกระทู้นั้นบอกว่าเสื้อมันเป็นสกรีนสีพิเศษสำหรับสมาชิกวง ที่แฟนคลับซื้อได้มันจะเป็นอีกสีนึง”

นี่ก็เป็นอีกเรืองที่เธอเพิ่งรู้ ใครจะไปคิดว่าแค่เสื้อกล้ามจะมีปัญหาอะไรได้ ไม่นับรวมถึงภาพรถสปอร์ของเธอที่นำไปเข้าอู่ทำสีว่าตรงกับรถคันที่ชายหนุ่มไปเฉี่ยวเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยในข่าวด้วย ไหนจะคนที่ออกความเห็นว่าพบเธอกับกันต์อยู่ด้วยกันตามสถานที่ต่างๆ บางที่ก็จริง แต่บางที่เธอยังไม่เคยไปเสียด้วยซ้ำ

ทุกคนกลายเป็นนักสืบหลังคีย์บอร์ดกันไปหมด พยายามล่าข้อมูลที่จริงบ้างไม่จริงบ้างเอามาประติดประต่ออย่างสนุกสนานทิ้งให้เจ้าตัวอย่างเธอได้แต่ปวดหัว

“หรือจะบอกไปล่ะ จะเป็นคนที่สนิทกันที่สุด หรือกำลังดูๆ กันอยู่ก็ว่าไป มันไม่ได้มีอะไรยุ่งยากหรอก”

“ไม่เอา”

“เรื่องมาก”

มีนาคมสูดหายใจเพื่อเรียกสติ “ฉันจะทำเป็นเฉยๆ ไม่ตอบอะไร แบบนี้ดีกว่า”

“แล้วไปบอกตานั่นให้ตอบเหมือนกันด้วยอย่าลืมล่ะ”

“เขารู้อยู่แล้วน่า” เธอขยับนิ้วออกเพื่อส่งสายตามองคู่สนทนา “อีกอย่างกันต์ไม่เล่นโซเชียล คิดว่าคงจะอีกสักพักนั่นแหละถึงรู้ ปกติก็ตกข่าวของชาวบ้านจะตายไป”

“คนไม่ใช่มนุษย์ถ้ำที่สื่อสารแบบส่งสัญญาณควันนะยะ ฮีไม่เล่นแต่ฮีก็มีสังคมของฮีเดี๋ยวเพื่อนฮีก็บอกฮีอยู่ดี แล้วอีกอย่างก็ไม่เห็นต้องปิดเพราะกลัว...” กฤตินหยุดพูดไปเฉยๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปาก

“กลัวอะไร”

“แฟนคลับไง อายุปูนนี้แล้วแฟนคลับแกก็แก่พอกันไม่ใช่พวกเด็กติ่งที่ตามกรี๊ดดารา ถ้าจะเปิดตัวก็ไม่ต้องกลัวหรอก บอกแล้วจะได้รับงานด้วยกัน วินวินนะ แล้วก็ไปตะล่อมฮีให้มาอยู่สังกัดเดียวกันซะเลย”

หญิงสาวกลอกตา ปิดการรับรู้การโน้มน้าวของอีกฝ่ายด้วยการเล่นโทรศัพท์ของตัวเองแทน จากคอมเมนต์ใต้รูปภาพที่เธอเป็นคนโพสขึ้นไปเห็นชัดเจนเลยว่าเกิดจราจลขึ้นย่อมๆ เพราะเธอเช็คอินสถานที่คือชายหาด รวมทั้งโรงแรมที่พักจนมีคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงอาสาว่าจะมาสอดส่องดูว่าเธอมาพักกับผู้จัดการส่วนตัวตามลำพังหรือไม่

แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปเสียแล้ว ดูเข้าข่ายการคุกคามแม้ว่าในทางปฏิบัติทางโรงแรมคงไม่ยินยอมให้เกิดขึ้น

“ให้กันต์เปลี่ยนไฟลท์กลับดีไหม แยกกันกับเราจะได้ไม่เป็นที่สังเกต”

“เกินไปไหม” กฤตินไม่เห็นด้วย แต่เธอกลับค้นหาเที่ยวบินอื่นให้กับชายหนุ่มซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ

 

เหตุผลที่ให้แยกกันกลับของมีนาคมฟังไม่ขึ้นสำหรับกันต์ แต่เขาก็ตกลงที่จะกลับเร็วขึ้นอีกวันเพราะหมดสนุกเสียแล้ว เขารู้ดีว่าความรู้สึกคุกรุ่นในใจของตัวเองคืออะไรระหว่างที่ยังทำหน้านิ่งแล้วเก็บกระเป๋า

“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย แค่เปลี่ยนไฟลท์เองห่างกันชั่วโมงเดียวก็พอ”

“ก็มันไม่สนุกแล้ว” เขาพูดไปก็ถือกระดาษทิชชูสั่งน้ำมูกไป “คุณคิดถึงแต่ตัวเอง”

“ฉันเนี่ยนะ”

“ใช่”

“ยังไง” เธอเท้าเอว จับตามองเขาแม้กระทั่งตอนโยนกระดาษทิชชูลงถังขยะ

กันต์สวมแจ๊คเก็ตตัวเก่งก่อนจะรูดซิปปิดกระเป๋าโดยที่ดวงตายังมองเธอไปด้วย เขาไม่ตอบจนกระทั่งแน่ใจว่าพร้อมจะเดินออกไปทันทีจากตรงนี้ และสามารถทิ้งการโต้เถียงเอาไว้ข้างหลังได้

“เพราะคุณเอาแต่คิดว่าคนอื่นจะมองตัวเองยังไง จะต้องตอบคำถามอะไร แต่คุณไม่คิดว่าผมจะรู้สึกยังไง”

“ฉันคิดแล้วต่างหาก”

“การคิดอะไรเองโดยไม่ปรึกษากันไม่เรียกว่าคิดถึงความรู้สึกหรอกนะ” ต่อให้จะยกเหตุผลเรื่องของพลศรุตที่เขาไม่บอกเธอว่ารู้มาอ้างก็ฟังไม่ขึ้น “คุณเอาตัวเองเป็นหลัก”

“คิดอย่างนั้นก็ตามใจแล้วกัน”มีนาคมเชิดหน้า ผิดกับที่กันต์คิดเอาไว้ว่าเธอจะต้องแสดงท่าทางสลดบ้างแม้สักน้อยก็ยังดี

นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนเดินเกมผิด แต่ก็ถอยหลังไม่ได้ถึงจำใจต้องขึ้นเครื่องบินกลับมาก่อน ทำให้มีเวลาว่างมากพอจะแวะมาที่สตูดิโอซึ่งเกือบทุกคนเอาแต่แซวเรื่องข่าวของเสื้อกล้ามเจ้าปัญหานั้นจนเขารู้สึกว่ารอยยิ้มของตัวเองตึงไปเสียหมด

เรื่องที่เขาคบกับมีนาคมไม่ใช่ไม่มีใครรู้ แต่แค่ไม่มีใครพูดถึงกับสื่อเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวต่างหาก

ชายหนุ่มทำเป็นไม่รู้ร้อนหนาวเดินไปหาสิทธาก่อนจะแวะที่สตูดิโอหมายเลข 3 ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะวันนี้จะใช้ถ่ายทำมิวสิควีดีโอที่เขาจำได้ว่าเคยมีบรีฟงานมาก่อนหน้านี้ ทันทีที่ยื่นหน้าเข้าไปเขาก็เห็นพลศรุตในสูทคลาสสิคเข้ากับฉากซึ่งเซตเอาไว้เหมือนบาร์ในยุคเก่ารวมทั้งแดนเซอร์สาวซึ่งใส่ชุดสีสันสดใสลายจุด

“เค้าไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาไม่รู้หรือไงคะ” เสียงจากด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง คีตกัญซึ่งวันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำเท้าเอวจ้องหน้าเขา เธอยังคงทาตาดำและปากแห้งเหมือนเดิม

“มันไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้นเสียหน่อย สัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ ไม่สร้างความวุ่นวายแน่” พูดแล้วเขาก็เหล่มองไปอีกทางซึ่งศิลปินคนอื่นที่มาที่ค่ายเพลงวันนี้ก็แวะมานั่งดูด้วย เป็นใครใครก็อยากดูทั้งนั้น

“ก็ตามใจ” หญิงสาวยักไหล่แล้วเดินไปหานักร้องเจ้าของเพลงซึ่งกำลังติดคุยอยู่กับสิทธา กันต์รู้ว่ามาในจังหวะพักเบรกชั่วคราวพอดีเพราะระบบไฟขัดข้อง แต่ก่อนที่เขาจะไปนั่งรวมกับคนอื่นที่มาสังเกตการณ์เฉยๆ กลับสบตากับพลศรุตเสียก่อนจึงต้องทักทายอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มต้องปั้นหน้ายิ้มระรื่นอย่างมากตอนที่หัวเราะหรือคุยสัพเพเหระ จนกระทั่งไม่มีใครอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินแล้วอีกฝ่ายถึงถอดหน้ากากของคุณลุงขวัญใจประชาชนออก

“ฉันเห็นข่าวนั้นแล้ว เธอไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง”

“ก็อยู่เมื่อสามชั่วโมงก่อนนั่นแหละครับ มี่หัวเสียใหญ่ แต่เค้าก็ไม่ระวังเอง”

“อีกแง่คือเค้าคงไม่ได้ยอมรับเธอมากพอที่จะทำอะไรให้มันชัดเจน” พลศรุตกอดอก “ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดี”

“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ” กันต์ไม่เห็นด้วย อย่างน้อยความซับซ้อนของปัญหาระหว่างเขากับมีนาคม กับกรณีของพลศรุตนั้นเป็นคนละเรื่องกัน และในฐานะของความเป็นพ่อพลศรุตทำได้ไม่ดีพอแต่แรกที่จะทำให้หญิงสาวยอมรับเธอถึงมีกำแพงไม่ฟังอะไรรวมทั้งไม่ยอมให้มาก้าวก่ายในชีวิต

แต่กับเขานี่เป็นแค่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้วก็จะจบไปได้

“ว่าแต่ไม่เห็นคุณทักษ์เลยนี่ครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องเมื่อบทสนทนาขาดหายไปดื้อๆ วันก่อนก็นั้นเป็นทักษ์ที่ขับรถมารับพลศรุตไป มิหนำซ้ำยังหัวเสียไม่น้อยที่เขาทำให้อีกฝ่ายเมาจนเดินไม่ตรง

“จะเห็นได้ยังไง เขาไม่มีธุระอะไรเสียหน่อย”

กันต์ไม่เข้าใจ “ก็มี่บอกว่าเขาทำงานให้คุณ”

“เปล่า ที่จริงแค่เป็นคนกลางตอนคุยกับมี่เท่านั้นแหละ เขาเป็นบ.ก.ทำงานที่แมกกาซีนแฟชั่น” พลศรุตอ้างอิงถึงนิตยสารหัวนอกที่มีฉบับภาษาไทย อาจเพราะเห็นสีหน้าไม่เชื่อของเขาคนอายุมากกว่าถึงเล่าเรื่องของทักษ์อีกเล็กน้อยว่าเจอกันครั้งแรกเมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังเริ่มทำงานในนิตยสารรายปักษ์ที่หนึ่งซึ่งรับหน้าที่มาสัมภาษณ์ตนเอง

“ถึงว่า” กันต์เริ่มคิดถึงภาพลักษณ์ที่ดูเนี้ยบของทักษ์ แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันไม่ใช่หรือ “แล้วทำไมคุณถึงไว้ใจพูดเรื่องของมี่กับเขาได้”

“คนเราจะเก็บความลับไว้กับตัวได้จริงหรือไง อกแตกตายพอดี มันก็ต้องมีคนที่เชื่อใจได้รับฟังบ้างอยู่แล้วสิ”        

พลศรุตตอบง่ายๆ แต่คนฟังกลับรู้สึกว่ามันไม่ตรงประเด็นเอาเสียเลย

 

กันต์ไม่ได้อยู่จนกระทั่งงานถ่ายมิวสิควีดีโอนั้นเสร็จสิ้นเพราะจะดูตั้งใจสังเกตเกินไป แต่เวลาไม่นานก็เห็นว่าพลศรุตสุภาพกับทีมงานขณะเดียวกับที่ทำให้สิทธาดูเกรงอกเกรงใจได้มากกว่าใคร

เขาออกจากสตูดิโอมาห้องนั่งเล่นรวมซึ่งเป็นสถานที่สำหรับงีบของหลายคนในช่วงที่ต้องทำงานโหมข้ามคืนอุดมไปด้วยถุงนอนที่พับวางไว้กับพื้นของห้อง ซึ่งเขาพอจำได้ว่าอันไหนเป็นของใครบ้างเพราะเคยมานอนค้างอยู่บ่อยๆ แต่สะดุดตาที่สุดคงเป็นถุงนอนลายทหารดูสกปรกไม่ต่างกับพรมเช็ดเท้าที่วางขยุ้มไว้อยู่ตรงมุมหนึ่ง

แน่นอนมันเป็นของเขา ที่ลืมทิ้งเอาไว้มาหลายเดือนแล้ว

ชายหนุ่มย่นจมูกระหว่างจำใจพับมันให้กลับไปสู่รูปร่างพร้อมขนย้าย เขาเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นมาในอากาศรวมทั้งขนสัตว์ซึ่งน่าจะเป็นขนสุนัขของคนอื่นที่พามานอนในห้องด้วย

เสียงเลื่อนประตูเรียกความสนใจของกันต์ให้หันไปทั้งที่ยังย่นจมูก ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์สาวอายุน้อยกว่าเขาเป็นสิบปีทำท่าละล้าละลัง “เอ่อ เข้าไปได้มั้ยคะ”

“ก็เข้ามาสิ” กันต์ยังจดจ่ออยู่กับการเก็บถุงนอนของตัวเองแล้วตาก็ยังมองหาหมอนขนาดพกพาอีกใบที่น่าจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ด้วยแต่ยังไม่เห็นสักที

“อ้าว ยังอยู่เหรอวะ” คราวนี้เป็นเอกฉันท์ที่มาสตูดิโอเพื่อดูการถ่ายทำมิวสิควีดีโอเช่นกัน แต่เจ้าตัวคงจะอยู่จนจบแล้วถึงเพิ่งจะออกมา “คาโป้ไม่ไปกับพี่สิทธาเหรอ เขาจะไปกินข้าวกับคุณพลศรุตนี่”

ยังไม่ทันจะรอคำตอบจากเขาคนพูดก็หันไปถามหญิงสาวซึ่งนั่งหลบมุมอยู่บนเก้าอี้แบบ Bean Bag สีดำตัวใหญ่จนเหมือนกับว่าตัวของเธอจะถูกสูบหายไปครึ่งหนึ่งในเก้าอี้นั้น

“ไม่ดีกว่าค่ะ โป้รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยคงแค่ไปแวะซื้ออะไรที่ร้านสะดวกซื้อก็พอ เดี๋ยวยังไงก็ต้องกลับมาทำงานต่ออยู่ดี” คีตกัญพูดหน้านิ่ง อายชาโดว์สีดำดูจะเข้มขึ้นเมื่อใบหน้าของเธอชื้นเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องยังเย็นสบายดี

“งั้นเหรอ” เอกฉันท์ที่ไม่ได้สังเกตอะไรเลยหันกลับมาหาเขา “วันนี้ฉันจะแวะไปหานางไปด้วยกันมั้ย แกไม่มีอะไรทำที่นี่แล้วนี่”

“ไม่อะ ฉันไม่อยากไปเป็นตัวแถมน่าอึดอัดใจหรอกนะ” กันต์ยังเหลือบมองคีตกัญอยู่แม้จะพูดถึงชินานาง เพื่อนผู้หญิงของตนเองที่เขาเป็นพ่อสื่อแนะนำให้รู้จักกับเอกฉันท์ ทั้งที่จริงหญิงสาวเป็นคนที่เขาเคยรู้สึกชอบเงียบๆ มาพักใหญ่แต่ด้วยความที่รู้จักกันมานานเกินไปจึงไม่สามารถจะเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากความเป็นเพื่อน

คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็สแลงใจ ใครจะไปคิดว่าการใช้หญิงสาวเป็นสื่อกลางในการตีสนิทกับเพื่อนร่วมวงที่เคยทะเลาะจะได้ผลเกินคาด มิหนำซ้ำทั้งคู่ยังคบกันไปได้ดีกว่าที่คาดคะเนเอาไว้อีก

“ว่าแต่เห็นหมอนของฉันบ้างไหม” เขานึกออกว่าเอกฉันท์ที่ต้องมาทำงานเวลานั้นน่าจะพอเห็นบ้าง

“เน่าๆ น่ะนะ”

เขาพยักหน้า แม้ในใจจะเถียงว่าสภาพมันไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นเสียหน่อย

“เห็นแกทิ้งไว้ตั้งนาน ฉันก็ครอบครองปรปักษ์ไปแล้วน่ะสิ ตอนนี้ส่งต่อมือต่อมือไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“มันใช้คำว่าครอบครองปรปักษ์ได้ที่ไหนกันวะ” กันต์กลอกตา ความหมายของคำนั้นมันเป็นคนละเรื่องด้วยซ้ำ เขาเถียงกับเอกฉันท์เรื่องหมอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเลิก เพราะติดรับสายจากมีนาคมที่โทร.มาถามว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ค่ายเพลงเธอก็วางสายโดยไม่ถามอะไรเพิ่มราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้านั้นเขาเพิ่งจะซื้อตั๋วกลับคนเดียวด้วยอารมณ์แบบไหน

บางทีเธออาจโทร.มาเพื่อเช็คว่าเขาไม่ได้โกรธมากจนไม่ยอมรับสายเท่านั้นเอง

กว่าเขาจะทันรู้ตัวเอกฉันท์ฉวยโอกาสหลบออกไประหว่างนั้นเพื่อเลี่ยงบาลีเรื่องหมอนที่หายไป ทิ้งให้เขาอยู่กับคีตกัญตามลำพัง

“โอเครึเปล่าเนี่ย” เพราะท่าทางของเธอแปลกจนเขาที่ไม่ได้สนิทสนมยังรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา

“ปวดท้องเฉยๆ ค่ะ” คีตกัญกุมท้อง แต่สีหน้าและแววตาไม่ได้บอกตามที่พูด

ชายหนุ่มมีสมมติฐานในใจแล้วเขาเดินออกไปหาแม่บ้านเพื่อไหว้วานให้ไปซื้อของบางอย่างก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง เห็นคีตกัญสะดุ้งอีกทีแม้ว่าตอนนี้เธอจะขดตัวนอนอยู่ในถุงนอนสีแดงเหมือนดักแด้บนโซฟาตัวยาว

เธอคงอยากจะเข้ามานอนงีบ แต่เมื่อเห็นเขาอยู่ก่อนแล้วถึงไม่กล้าหลับ

กันต์หยิบถุงนอนของตัวเองแล้วออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ห้องนั้นเป็นส่วนตัวโดยไม่กังวล ตอนกำลังจะขึ้นรถแม่บ้านที่ฝากเป็นธุระก็เดินสวนมาพอดิบพอดี

“อ้าว จะกลับแล้วไม่เอาให้น้องเหรอคะ”

“น้าเข้าไปดูแล้วให้น้องไปก็ได้ครับ” เขามองถุงในมือของคู่สนทนาซึ่งขอให้ช่วยซื้อยาแก้ปวดเฉพาะช่วงปวดท้องของผู้หญิงอย่างที่เคยเห็นมีนาคมเป็น เพราะรายนั้นเคยปวดท้องถึงขั้นร้องไห้เลยก็มี

ชายหนุ่มตั้งใจกลับมายังห้องของตัวเองก่อน หากไฟในห้องที่ควรจะปิดกลับเปิดทิ้งไว้รวมทั้งรองเท้าส้นสูงที่ถอดไว้ตั้งข้างหนึ่งล้มข้างหนึ่งก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่โจรที่ไหน

กันต์จัดรองเท้าของหญิงสาวให้วางชิดเป็นระเบียบ มองเห็นเจ้าของทันทีที่เดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าว มีนาคมนอนเอกเขนกจ้องแทบเล็บอยู่บนโซฟาก่อนจะวางมันแบลงบนอกแล้วหันมาทางเขา สีหน้าของเธอเรียบเฉยแต่ตาเยิ้มซึ่งน่าจะเป็นเพราะง่วงนอน

“กลับมาทำไม ไม่เที่ยวต่อเหรอ”

“ก็มันไม่สนุกแล้ว” เธอตอบแบบเดียวกับที่เขาเคยตอบเธอ กะพริบตาติดกันแล้วกลั้นหาวก่อนจะพูดต่อ “อยู่ที่นู่นกับเจ๊ตินสองคนสู้กลับมาที่นี่ดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมีคนเหงาอยู่คนเดียว”

“พูดเกินไป” เขาย่นจมูกใส่ เดินผ่านหญิงสาวไปเพื่อโยนถุงนอนสกปรกของตัวเองลงตะกร้าผ้า หันหลังให้เธอตอนล้างมือในห้องน้ำซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้

“ที่คุณบอกว่าฉันคิดถึงแต่คนอื่นว่ามองตัวเองยังไงโดยไม่คิดถึงคุณน่ะ ฉันเสียใจนะ” คำพูดแว่วมาทำให้เขาชะโงกหน้าหาต้นเสียง เท่าที่มองเห็นผ่านด้านหลังโซฟาคือปลายเท้าของมีนาคมที่ยาวเลยออกมาเท่านั้น ซึ่งก็ดีเพราะเขาก็ไม่อยากมองหน้าเธอตรงๆ เวลาพูดเรื่องแบบนี้เพราะเดี๋ยวจะใจอ่อนหายโกรธเอาง่ายๆ

“ผมพูดอย่างที่รู้สึก”

“ฉันรู้ เพราะมันจริงฉันถึงรู้สึกเสียใจไง แต่ฉันก็ไม่อยากให้คุณคิดว่าฉันไม่เห็นความสำคัญของคุณเพราะจริงๆ ฉันแคร์คุณมากนะ”

กันต์เดินออกมานั่งตะแคงบนขอบพนักโซฟาจากด้านหลัง ก้มมองมีนาคมซึ่งนอนกอดอกได้เพราะแทบเล็ตที่เปิดหน้าหนังสืออิเล็คทรอนิกส์ถูกย้ายไปวางบนโต๊ะกระจกข้างๆ แล้ว เธอไม่มีทีท่าจะขยับตัวยังจ้องเขาอยู่แม้ตาจะวาวมากกว่าเดิม

“พูดแค่นี้จะให้หายโกรธได้เหรอ”

“ได้สิ”มีนาคมตลบผมไว้บนบ่าระหว่างเอนตัวมาชิดแล้วยกแขนวางทับบนหัวเข่าของเขา“เลิกทำหน้าตึงได้แล้วน่า...นะที่รัก”

เธอใช้สายตาแบบเวลาที่ผู้หญิงต้องการอะไรสักอย่างมากๆ เช่นกระเป๋า ก่อนจะหันหัวมาพิงโดยแนบหน้าด้านข้างกับเอวของกันต์ เลื่อนมือข้างหนึ่งลูบหัวเข่าของเขาไปด้วยอย่างจงใจวางกับดัก

มีนาคมซบหน้าทำท่าออดอ้อนอยู่อย่างนั้นปล่อยให้เขาก้มมองขวัญบนศีรษะของเธอเพื่อเบนความสนใจไปจากอกที่กำลังเบียดกับขาของเขา

แต่มือทรยศของเขากลับไปลูบศีรษะของเธอ พอได้ลูบหนึ่งครั้งแล้วครั้งต่อไปก็ตามมาจนคนถูกลูบหัวเงยหน้าช้อนสายตามอง หญิงสาวทำหน้าอูมแก้มป่องใส่เขาแบบที่ไม่เข้ากับนิสัยปกติหากครั้งนี้มันดูน่ารักมาก

“แล้ววันนี้ไปทำอะไรมาบ้างที่นั่น” หญิงสาวคงหมายถึงที่สตูดิโอซึ่งเขาบอกไปก่อนหน้านี้ตอนโทรศัพท์ด้วยกัน

“ก็ไม่มีอะไร ไปนั่งเล่นเฉยๆ แต่วันนี้มีถ่ายมิวสิควีดีโอมีดาราใหญ่มาเล่นด้วยนะ” เขาทำเสียงตื่นเต้นจับตามองท่าทางสนอกสนใจของเธอก่อนและหลังสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ไป “คุณพลศรุตน่ะ วันนี้เห็นตัวจริงยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะ”

ดวงตาของหญิงสาวไม่ได้ไหววูบ แต่บรรยากาศรอบตัวของเธอเปลี่ยนไปแม้ว่ารอยยิ้มจะยังปรากฏอยู่บนใบหน้า

มีนาคมเป็นนักแสดงในสายเลือด ถึงตัวตนของเธอเป็นอย่างหนึ่งก็จริง แต่หลายต่อหลายครั้งมักจะติดนิสัยของบทบาทที่ได้รับเข้ามาในชีวิต บางคราวเธอจะชอบใช้คำพูดแกล้งประชดประชัน บางครั้งจะเย็นและนิ่งลงไปแต่สายตาหมายมาดโดยไม่รู้ตัว

แต่ครั้งนี้เธอทำเป็นเหมือนเรื่องที่เขาพูดไม่มีอะไรผิดปกติทั้งสีหน้าและสายตา

“เหรอคะ ฉันก็เคยดูหนังเก่าๆ ของเค้านะ น่าเสียดายนะคะที่ไม่ได้รับงานอีกเลย บทพ่อบทแม่ก็มีนักแสดงอยู่ไม่กี่คนเล่นเวียนกันอยู่แท้ๆ”

“นั่นสิ บางทีเค้าอาจจะอยากให้คนจดจำภาพของพระเอกตลอดไปก็ได้” กันต์ออกความเห็น ขณะที่คนฟังพยักหน้าไม่เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างที่คาดคิดไว้ เธอคงมีความเชื่อมั่นแน่ว่าจะสามารถเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้เขารู้ทั้งที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

“นี่รู้มั้ย ผมชอบคุณพลศรุตมากเลยนะ เราคุยกันหลายเรื่องแล้วก็นัดกันว่าจะไปกินข้าวกันสักมื้อที่บ้านของเค้า เพราะที่นั่นเก็บพวกภาพถ่ายกับงานศิลปะของเค้าไว้ด้วย เจ๋งใช่มั้ย”

เธออึ้งไป เสียงนิ่งขึ้น “ฟังดูดีนะ”

กันต์เสพย์ความกังวลในแววตาของหญิงสาวจนแน่ใจ ว่าเธอคงไม่รู้ว่าที่เขาพูดมานั้นทึกทักเอาเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น ข้อมูลประกอบก็หาจากเว็บไซต์เกี่ยวกับประวัติของพลศรุต ที่เหลือก็เพียงแค่นัดแนะกับอีกฝ่ายให้เข้าใจตรงกันเพราะเขาเชื่อว่ายังไงก็ตามมีนาคมคงไม่ยอมให้เขาไปพบกับคนเป็นพ่อตามลำพังแน่

เขาจะได้เริ่มภารกิจนัดให้ทั้งคู่มาเจอกันได้เสียที


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น