6

ผีก็ต้องเป็น ลูกก็ต้องเลี้ยง งานนักสืบก็ต้องมา

บทที่ ๖

ผีก็ต้องเป็น ลูกก็ต้องเลี้ยง 

งานนักสืบก็ต้องมา

 

Wanjun’s talk

“เขาเห็นฉัน” ฉันเอ่ยกับแป๊กด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขณะที่เราลอยตามคุณอายกลับมาที่ห้องของพี่เอย ดวงตาเบิกกว้าง นัยน์ตาที่สั่นระริก และสีหน้าสุดสะพรึงของเขาที่ลิฟต์ยังคงติดตาตรึงใจฉัน เสียงกรีดร้องโหยหวนของคุณอายดังลั่นไปทั่วชั้น ท่าทางตื่นกลัวของเขาทำให้ฉันรู้สึกผิดไม่น้อย

แต่ขอโทษจริงๆ นะคุณอาย...ฉันจำเป็น

“ใช่ เขาเห็นเจ้” แป๊กตอบ และสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดคือคำบอกเล่าของชายหนุ่มที่กำลังบรรยายภาพให้พี่ชายของเขาฟัง

“ผีผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงลายดอก” เสียงของผู้พูดสั่นรัวบ่งบอกความกลัวขั้นสุด

“ผีอะไรของมึงใส่ชุดลายดอก ปกติต้องชุดขาวปะวะ” พี่เอยนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

“จริงๆ เฮีย ผีจริงๆ” คุณอายกลัวมากจนวิ่งเข้าไปซุกตัวในห้องนอน พร้อมกับหยิบผ้าห่มของวันสุขหนึ่งผืนมาคลุมหัว

“ขอนอนกับหลานนะเฮีย ไม่ไหวแล้ว” 

พี่เอยมองตามด้วยสีหน้าที่ฉันอ่านไม่ออกก่อนจะปิดประตูห้องอย่างใจเย็น จากนั้นเขาก็เดินตามน้องชายเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะเบียดร่างลงไปนอนอีกข้างหนึ่งของวันสุข กลายเป็นว่าตอนนี้มีผู้ชายตัวโตนอนขนาบอยู่สองข้าง โดยมีวันสุขนอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงกลาง

“กูว่ามึงอะเมา” พี่เอยกระซิบ เขาคงกลัววันสุขจะตื่น

“กูก็อยากเมา กูควรจะเมาตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้” เสียงอู้อี้ดังทะลุผ้าห่มสีเหลืองออกมา ร่างของพระเอกหนุ่มยังคงสั่นอย่างเห็นได้ชัด

ขอโทษอีกครั้งนะคุณอาย

พี่เอยหันหน้าไปมองน้องชายด้วยสีหน้านิ่งเฉยอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำเสียงเบาจนฉันแทบไม่ได้ยิน

“ไม่ใช่หรอกมั้ง”

“เจ้ ผมต้องไปละ เจอกันใหม่พรุ่งนี้” จู่ๆ แป๊กก็เอ่ยเสียงเครียด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรายังเล่นสนุกหลอกคนกันอยู่หยกๆ

“อ้าว ไปไหน ทำไมทิ้งกัน” ฉันถามอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นบอกว่าจะไปไหน แถมเป็นผี จะมีธุระอะไรนักหนา

“เขาจะมาแล้ว”

“ใคร”

“ยมทูต”

พูดจบร่างของแป๊กก็หายวับไปกับตา เหลือเพียงฉันที่ยังคงนั่งจ้องมองมนุษย์ทั้งสามอยู่ที่ปลายเตียง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันได้เห็นพวกวิญญาณมีปฏิกิริยาต่อการมาของยมทูต ครั้งแรกก็ตอนอยู่กับป้าพิกุลที่โรงพยาบาล ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยชอบยมทูตเท่าไหร่นัก หรือว่ายมทูตมีอะไรน่ากลัว

“หัดเป็นผีเกเรเหรอ หลอกคนจนตัวสั่นแบบนั้น” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากฝั่งประตูพร้อมกับร่างของชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนสีซีด 

“ฉันจำเป็นนี่” ฉันตอบเสียงขุ่น ใช่ว่าฉันอยากจะแกล้งใครเสียหน่อย ฉันแค่อยากติดต่อสื่อสารกับพี่เอยเพราะเป็นห่วงวันสุขก็เท่านั้น แม้ว่าจะแอบขำคุณอายตอนตกใจก็ตาม

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” เขายักไหล่อย่างไม่ไยดีก่อนจะเอ่ยต่อ “กลัวจะชอบวิถีผีๆ แล้วจะอยากเป็นผียาวๆ”

นั่นปากเหรอน่ะท่านยมทูต!

“ทำไมพวกวิญญาณถึงชอบหนียมทูต หรือว่าเพราะยมทูตปากเสียแบบนี้” ฉันเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่ปากมอมๆ ของยมทูตจะพาให้ฉันโมโหไปมากกว่านี้ เป็นยมทูตต้องกวนประสาทขนาดนี้เลยเหรอ

“คงกลัวโดนเก็บละมั้ง พวกวิญญาณน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่าจะโดนเก็บไปเมื่อไหร่” 

คำตอบของยมทูตทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่คาใจและว่าจะถามเขาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว

“เอ้อ สงสัยตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่า ถ้ามียมทูตคอยเก็บวิญญาณ ทำไมถึงยังมีวิญญาณเร่ร่อนอยู่เยอะแยะไปหมด”

ฉันสังเกตตั้งแต่โรงพยาบาลแล้วที่มีวิญญาณอยู่ชุกชุมพอๆ กับคนไข้ที่มาตรวจรักษา และไม่ว่าจะที่โรงเรียน ที่ห้าง ตามถนน หรือแม้แต่คอนโดแห่งนี้ ก็มีวิญญาณวนเวียนไปมาราวกับเป็นประชากรอีกกลุ่มหนึ่งของประเทศ

“ช่างสังเกต” เขาหลิ่วตาให้ฉันก่อนจะลอยไปนั่งที่โซฟาราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ฉันจึงต้องจำใจลอยตามเขาไปเพื่อรอฟังคำตอบ

“ใช่ว่าทุกวิญญาณที่ออกจากร่างจะถูกยมทูตเก็บไปทั้งหมด พวกเราจะเก็บเฉพาะวิญญาณที่หมดกรรมเท่านั้น” เขาเอ่ยต่อ

“หมดกรรม...”

“ใช่ วิญญาณที่ตายแล้วแต่ยังไม่หมดกรรมก็ต้องอยู่เป็นวิญญาณเร่ร่อนไปก่อน เรียกง่ายๆ ก็ผีนั่นแหละ” เขาดีดนิ้วดังเป๊าะประกอบการเล่า

“แปลว่าต้องเป็นผีไปจนกว่าจะหมดกรรม ยมทูตค่อยมาเก็บวิญญาณอีกทีใช่มั้ย” ฉันทวนความเข้าใจอีกครั้ง

“แสนรู้นะเราอะ” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนาทำท่าลูบหัวของฉันเบาๆ ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรัก

ไอ้ท่านยมทูต!

“พวกวิญญาณที่ยังมีห่วงหรือพวกที่ไม่อยากไปเกิดก็จะกลัวยมทูตเป็นธรรมดา เพราะพวกเขาไม่รู้ไงล่ะว่าตัวเองจะหมดกรรมเมื่อไหร่”

หรือว่าแป๊กก็คงมีห่วงเหมือนกันสินะ...

“แล้ววิญญาณที่เข้าร่างฉันล่ะ”

“วิญญาณที่เพิ่งตาย พวกนั้นจะว้าวุ่น สับสน ส่วนมากจะรีบกลับไปหาคนที่รักหรือที่ที่ผูกพันเพื่อเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย หรือเลวร้ายที่สุดก็คือไปเข้าร่างคนอื่นแบบนี้แหละ” น้ำเสียงของยมทูตดูไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก เวลาเขาเล่าก็เหมือนเพื่อนเล่าให้ฟังว่าวันนี้ไปชอปปิงที่ไหนมา

“งั้นก็แปลว่า...”

“แปลว่าวิญญาณที่เข้าร่างก็ต้องเป็นพวกที่มีห่วงอย่างแรงกล้า” ยมทูตตอบคำถามในใจฉันก่อนที่ฉันจะได้ถามออกมา “และหน้าที่ของคุณก็คือตามหาพวกเขา”

“ยังไง”

“อย่างที่เห็น ยมทูตไม่ได้ว่างจะตามหาวิญญาณที่หายไปตลอดหรอกนะ เรามีวิญญาณที่ต้องรับใหม่ทุกวัน การทำข้อแลกเปลี่ยนกับวิญญาณเร่ร่อนก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หรือว่าจริงๆ แล้วยมทูตน่ะเป็นพวกชอบสร้างข้อแลกเปลี่ยนเพื่อใช้งานเหล่าวิญญาณ พวกผีๆ ถึงได้ดูไม่ค่อยชอบหน้ายมทูตเท่าไหร่นัก 

ยมทูตปล่อยให้ฉันหรี่ตามองอย่างจับผิดอยู่ได้ไม่นานนักก็โยนแผ่นกระดาษสีจางๆ มาให้ฉัน รูปร่างของมันเหมือนกระดาษมาก แต่เรืองแสงนิดหน่อย และที่สำคัญฉันจับต้องมันได้ด้วย...วิญญาณกระดาษหรือไงเนี่ย

สีหน้ามีเลศนัยของยมทูตทำให้ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่แค่พวกวิญญาณกลัวเขาจะมาเก็บหรอก แต่เพราะเขามันเจ้าเล่ห์ ชอบหาผลประโยชน์จากวิญญาณละสิไม่ว่า

“นั่นเป็นรายชื่อของวิญญาณที่ต้องสงสัยทั้งสี่ หนึ่งในนั้นอยู่ในร่างคุณ ส่วนอีกสามคนตอนนี้คงอยู่กับคนที่เขารัก ตามหาทั้งหมดให้เจอ จะได้รู้ว่าใครเข้าร่างคุณ”

ฉันก้มมองรายชื่อของคนทั้งสี่ที่เขียนด้วยหมึกสีน้ำตาลในกระดาษแผ่นนั้น มันมีแค่ชื่อ นามสกุล และอายุ ไม่มีข้อมูลอย่างอื่นเลย

“ถ้ารู้แล้วไงต่อ”

“ถ้ารู้แล้วก็ค่อยมาหาวิธีว่าจะเอาเขาออกจากร่างคุณยังไง”

ฉันก้มมองรายชื่อทั้งสี่อีกครั้งด้วยความหนักใจ ไม่มีรายชื่อไหนที่ฉันรู้จักสักคน ทำไมรู้สึกราวกับกำลังถูกยมทูตหลอกใช้ก็ไม่รู้

.

กินรี คาร์ลเตอร์ ๓๐ ปี 

ศิรดา ทวีโชค ๒๗ ปี 

วีณา ชัยวัชรศิริ ๓๒ ปี 

ไอริณ ปราณดี ๒๙ ปี 

 

นี่คือสี่รายชื่อต้องสงสัยที่ยมทูตจอมเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ จะว่าไปทุกคนเป็นผู้หญิงและอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันทั้งหมดเลย ให้เดาก็เดาไม่ถูกจริงๆ ว่าใครที่ยึดร่างฉันไป 

“คุณไม่มีข้อมูลมากกว่านี้เหรอ อย่างเช่นที่อยู่ อาชีพ หรือว่ารูปถ่ายน่ะ” ฉันถามยมทูตโดยที่สายตายังจับจ้องแผ่นกระดาษประหลาดในมือ ยมทูตได้ฟังคำถามก็ย่นคิ้วทันที 

“นี่ยมทูต ไม่ใช่กูเกิล จะเอาอะไรนักหนา”

ที่เขาว่ามามันก็ถูก แต่ฉันไม่รู้ไงว่าระบบจัดการข้อมูลของยมทูตเป็นแบบไหน นึกว่าจะมีระบบแบบว่าขึ้นชื่อพร้อมรูปและที่อยู่เพื่อไปรับวิญญาณเสียอีก

“แล้วปกติรู้ได้ยังไงว่าต้องไปรับวิญญาณที่ไหน” ฉันถามอีกครั้ง 

ยมทูตจ้องหน้าฉันอยู่สักพักเหมือนกำลังนึกคำตอบ จากนั้นจึงเอานิ้วชี้เคาะหัวเบาๆ ก่อนตอบ 

“มันอยู่ในหัว เหมือนรู้เองว่าคนนี้จะตายและต้องไปรับที่ไหน เขาเรียกสัญชาตญาณละมั้ง”

สัญชาตญาณงั้นเหรอ เพราะสัญชาตญาณนายนั่นแหละท่านยมทูต ที่ช้าจนวิญญาณหายไปตั้งสี่ตน คิดแล้วก็อดคาดโทษคนตรงหน้าไม่ได้ ฉันเผลอจิกตามองเขาโดยไม่รู้ตัว

“อ้อ ลืมบอกอีกอย่าง” เสียงของยมทูตดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“ว่า?”

“คุณต้องพาวิญญาณแปลกปลอมนั้นออกจากร่างคุณภายในสี่สิบห้าวัน” น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ถ้าไม่ทันล่ะ” ฉันถามหวั่นๆ สีหน้าจริงจังของยมทูตทำให้ฉันใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

“ถ้าไม่ทัน...ผมคงต้องพาคุณไปส่งที่ประตูวิญญาณแทน”

“แปลว่า...”

“คุณต้องไปเกิดใหม่แทนวิญญาณตนนั้น”

บ้าไปแล้ว!

นี่เป็นเรื่องบ้าที่สุดแห่งปีที่เกิดขึ้นกับฉัน ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่านี่คือเกมโชว์ที่หลอกคนให้ตกใจเล่น ไหนใครซ่อนกล้องวิดีโอไว้ตรงไหน เอาออกมาเฉลยได้แล้ว

“ไม่จริง!”

“จริง” คนข้างๆ ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ พวกยมทูตนี่เขาไม่สนใจใช่ไหมว่าวิญญาณจะรู้สึกอย่างไร

“ไม่มีทางช่วยเลยเหรอ” ฉันถามเสียงอ่อน สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยที่นอนกลิ้งไปซุกอกพ่อของเธอ

“เดี๋ยวจะหาว่ายมทูตเป็นพวกใจดำ ก็หาทางช่วยอยู่ แต่ระหว่างนี้ก็ต้องดิ้นรนกันหน่อย” คิ้วของยมทูตที่ขมวดเข้าหากันบ่งบอกว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ คำว่าหาทางช่วยอยู่ของยมทูตช่วยให้ฉันใจชื้นขึ้นมาประมาณสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่กระนั้นก็ยังหนักใจอยู่ดี

“เอาน่าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เพื่อนผีก็เริ่มมีแล้วนี่ ทำความรู้จักพวกเขาเยอะๆ สิ พวกนี้น่ะเส้นสายเยอะจะตาย”

จริงสิ ที่ยมทูตบอกว่าพวกเขาชอบทำข้อแลกเปลี่ยนกับวิญญาณเร่ร่อน แปลว่าพวกวิญญาณก็ต้องมีดีไม่น้อย งั้นก็แปลว่าฉันต้องไปคบค้าสมาคมกับพวกผีสินะ

แกร๊ก

เสียงเปิดตู้เย็นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของคนกลัวผีขึ้นสมองที่ตอนนี้หยิบเบียร์ออกมาอีกสามกระป๋องแล้วดื่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่เตียงต่อ นี่อย่าบอกนะว่ากลัวจนนอนไม่หลับ

“ดูซิ ทำบาปทำกรรมอะไรไว้” ยมทูตเหล่มองฉันราวกับฉันไปทำอะไรผิดนักหนา

ก็ผิดแหละ ขอโทษอีกครั้งแล้วกันนะคุณอาย

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ...เอ่อ...ที่จริงก็ตั้งใจแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะกลัวขนาดนี้” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด แต่ยมทูตกลับโบกมือและมองมาด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกฉันว่า ‘อย่ามาแก้ตัว’

“ได้เวลาแล้ว ต้องไปรับวิญญาณที่โรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวจะหนีหายไปอีก เบื่อจริงๆ ตายกันไม่เว้นแต่ละวัน” เขาบอกพร้อมกับทำท่าทางเหนื่อยหน่าย ไม่รอให้ฉันถามอะไรอีก เขาก็หายตัวไปทันที

มาไวไปไวจริงๆ

เมื่อยมทูตจากไป ฉันกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งเพื่อมองหน้าลูก ความสุขหนึ่งเดียวของฉัน ก่อนจะเหลือบมองเจ้าของอ้อมกอดที่โอบตัววันสุขไว้หลวมๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีสาวๆ มากมายหมายปอง ปลายจมูกโด่งจดลงบนแก้มใสของเด็กหญิงตัวเล็ก

ฉันค่อยๆ โน้มตัวลงไปหอมแก้มวันสุขบ้าง แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสเธอได้...รอก่อนนะลูกแม่

ส่วนพี่เอย ฉันก้มลงไปกระซิบข้างหูเขาอีกครั้งเหมือนที่เคยทำเมื่อกลางวัน

“ขอบคุณนะคะ พี่เอย”

 

หลังจากนั้นไม่นานทั้งห้องก็กลับเข้าสู่สภาวะเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสามคนที่อยู่บนเตียงดังมาเป็นระยะๆ วิญญาณอย่างฉันไม่รู้สึกถึงความง่วงแม้แต่นิด เคยสงสัยมานานแล้วว่าทำไมผีชอบหลอกตอนกลางคืน คำตอบคงเป็นเพราะผีไม่ต้องหลับต้องนอนกันละมั้ง

การเฝ้าดูคนอื่นหลับอย่างละมุนละไมมันก็เป็นเรื่องที่ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย จนกระทั่งหมดความอดทน ฉันจึงลอยสำรวจไปรอบๆ คอนโด คอนโดของพี่เอยตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในย่านที่เรียกได้ว่าที่ดินแพงสุดๆ แน่นอนว่าราคาคอนโดก็สูงลิบลิ่วชนิดที่ฉันไม่มีวันเอื้อมถึง

รอบคอนโดเต็มไปด้วยโรงแรมหรูและห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ มีร้านอาหารมากมายทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศ ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้ส่วนมากเป็นพวกคนมีเงิน ดารา และนักท่องเที่ยว มีโซนเล็กๆ เลยสี่แยกไปที่ดูจะเป็นที่สำหรับคนธรรมดาติดดิน และนั่นเป็นที่ที่ฉันได้เจอกับแป๊ก

ใช่แล้ว ฉันออกมาวนเวียนนอกคอนโดตอนตีสามนี้ก็เพื่อตามหาเขานั่นแหละ แป๊กเล่าให้ฟังว่าบ้านของเขาอยู่เลยสี่แยกนี้ไป และเขาก็ประสบอุบัติเหตุตรงแยกนี้ ทำให้เขาเลือกวนเวียนอยู่บริเวณนี้ หลอกผู้คนแก้เหงาบ้างเป็นครั้งคราว 

ทั้งๆ ที่เป็นเวลาตีสามแล้ว แต่ถนนแถวนี้ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวให้เห็นอยู่บ้าง คงเป็นเพราะถัดไปอีกสามซอยเป็นผับชื่อดังขนาดใหญ่ สภาพนักท่องเที่ยวก็มีทั้งเดินดีๆ บ้างและเมาบ้าง ในที่สุดฉันก็เห็นแป๊กกำลังลอยวนรอบนักท่องเที่ยวฝรั่งผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนกระดกขวดเบียร์อยู่บริเวณไฟแดง

“แป๊ก” ฉันตะโกนเรียกเขาทันทีที่เห็น

“อ้าว เจ้ ออกมาทำอะไร นึกว่าจะนอนเฝ้าลูก” เมื่อแป๊กเห็นฉัน เขาก็เลิกลอยวนฝรั่งคนนั้นแล้วตรงเข้ามาหาฉันแทน

“มีเรื่องอยากให้ช่วย” ฉันบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงกับเขาตรงๆ เวลานี้คงมีแค่ผีเด็กอายุสิบห้าคนนี้ละมั้งที่ฉันพึ่งได้

“ว่ามาสิ แป๊กใจดี เดี๋ยวแป๊กช่วย” แป๊กยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบครบทุกซี่ ท่าทางเขาดูเหมือนกำลังมีเรื่องสนุกๆ ใหม่มาให้ทำ

“อยากมีเพื่อนเป็นผี”

“ฮะ! นึกครึ้มอะไรเนี่ย” แป๊กย่นคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันไรเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นกระหยิ่มยิ้มย่อง “แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร เจ้ถามถูกคนแล้ว ตามมา”

แป๊กลอยนำหน้าฉันไปทางสี่แยกใหญ่ก่อนจะเลยไปทางชุมชนแออัดที่เป็นบ้านของเขา ระหว่างทางเขาก็หันมาถามบ้างเป็นระยะ ฉันจึงค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง รวมทั้งเรื่องที่ฉันทำข้อแลกเปลี่ยนกับยมทูตด้วย

“พวกยมทูตมันก็เจ้าเล่ห์แบบนี้แหละเจ้ แต่จะว่าไปเจ้ก็ดวงซวยจริงๆ อยู่ดีๆ ก็มีคนอื่นมาเข้าร่างแบบนั้น” ถ้าแป๊กเป็นคนเขาคงตบเข่าดังฉาดใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้เขาตบเข่าแล้วไม่เกิดเสียงเท่านั้นเอง

“เรื่องมันเกิดไปแล้วก็ต้องแก้กันไป” ฉันตอบปลงๆ เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งเศร้า ฉันมีเวลาแค่สี่สิบห้าวันก่อนที่ยมทูตจอมกวนนั่นจะจับฉันไปส่งที่ประตูวิญญาณ 

“ไม่ต้องห่วงเจ้ เดี๋ยวผมจะพาไปรู้จักพวกพี่ๆ มันต้องมีสักคนช่วยเจ้ได้”

ความมั่นใจของแป๊กทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ใครบอกว่าชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันไป แม้ชีวิตจะสิ้นแล้วก็ยังต้องดิ้นกันต่อต่างหากล่ะ

ในที่สุดแป๊กก็พาฉันมาถึงตลาดแห่งหนึ่งภายในชุมชนแออัด สภาพตลาดก็เป็นตลาดสดทั่วไป มีห้างร้านต่างๆ ที่ตอนนี้ส่วนใหญ่ปิดอยู่ จะมีก็แต่บางร้านที่เริ่มขนส่งสินค้าเข้ามา อย่างเช่นร้านขายอาหารทะเลและร้านขายเนื้อหมู ตั้งแต่เข้ามาทำงานในเมืองกรุง ฉันไม่ค่อยได้มาตลาดแบบนี้นัก ส่วนมากจะซื้อของตามซูเปอร์มาร์เกตมากกว่า 

แป๊กพาฉันเข้าไปจนถึงด้านในสุดของตลาดที่ดูเหมือนจะกลายเป็นทางเข้าของตลาดจากอีกฝั่ง ที่นั่นมีร้านกาแฟเป็นรถเข็นเล็กๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่เปิดบริการ แต่ก็มีโต๊ะและเก้าอี้วางเรียงราย มองจากไกลๆ จะเห็นร่างสี่ร่างนั่งคุยกันอยู่ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์

“ซ้ายสุดเลยที่แก่ๆ หัวล้านๆ ชื่อเฮียเพ้ง แกเป็นเจ้าของตลาด หัวใจวายตายไปเมื่อสามปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังเฝ้าตลาดอยู่ ถัดมาผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีแสดลายดอกนั่นน่ะ ชื่อเจ๊มด รายนั้นน่ะเป็นเจ้าของร้านทำผมอยู่ถัดจากนี้ไปสองซอย โดนรถชนเมื่อปีที่แล้ว เจ๊มดเนี่ยน่าจะช่วยเจ้ได้มาก เรื่องชาวบ้านเนี่ยเก่งที่หนึ่ง ถามอะไรรู้หมดถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง”

ฉันมองตามบุคคลที่แป๊กพูดถึงทีละคนพร้อมกับจดจำชื่อใส่สมองไว้ สัญญาเลยว่าถ้าพวกเขาช่วยฉันได้ ฉันจะมาทำบุญให้ทุกวันเลย

“ถัดจากเจ๊มด ผู้ชายตัวโตคนนั้นน่ะชื่อพี่ตง พี่แกเป็นนักเลงเก่ามาก่อน ก่อนตายผันตัวไปเป็นเทรนเนอร์ แต่คู่อริดันจำได้เลยโดนไล่ยิง นี่ก็ตายได้จะครบปีแล้วเหมือนกัน”

“น่าสงสารจัง” คนเรากลับตัวแล้วแทนที่จะได้มีชีวิตใหม่ กลับถูกอดีตตามมาทำร้าย มันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า

“ไม่ต้องสงสารหรอก ทุกวันนี้พี่เขาก็มีความสุขดีนะ” แป๊กตอบขำๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ส่วนผู้หญิงสวยๆ คนนั้นน่ะ...”

“นั่นมันคุณเป้ เพตรา ที่เป็นดาราใช่มั้ย”

ผู้หญิงคนนั้น ฉันจำได้ดีเลยละ เธอเป็นดาราชื่อดังที่เคยโกอินเตอร์ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเดือนก่อนเธอถึงได้ดิ่งพสุธาลงมาจากคอนโดหรูของเธอเสียอย่างนั้น ทุกวันนี้ข่าวยังออกอยู่เลยว่าเธอเป็นโรคซึมเศร้า บ้างก็ว่าเธอใช้ยาเสพติด

“อ้อ ใช่ เจ้น่าจะรู้จัก เขาอยู่คอนโดเดียวกับสามีเจ้นี่” แป๊กพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่ดาราสาวคนนั้น

“ไม่ใช่สามี” ฉันรีบหันขวับไปทำตาเขียวใส่คนข้างๆ ทันที รู้สึกเคืองทุกครั้งที่มีคนบอกว่าพี่เอยเป็นสามีฉัน ฉันเป็นสาวโสดที่มีลูกแล้วเท่านั้นย่ะ

โอเคๆ ไม่ใช่สามี แค่มีลูกด้วยกัน” แป๊กยอมเปลี่ยนคำพร้อมกับทำหน้ารำคาญเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะพาฉันเข้าไปในวงสมัชชากาแฟที่เขาเพิ่งแนะนำไป

ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีผู้มาใหม่ ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหันมามองฉันกับแป๊กด้วยสีหน้าแปลกใจ ในขณะที่เจ๊มดมองฉันด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

ภาพของพวกเขาทำให้ฉันต้องลบภาพผีที่เคยคิดไว้ในหัวออกไป ฉันเคยคิดว่าพวกเขาคงจะทำหน้าเฉยๆ ไร้อารมณ์หรือมีแววตาโหดเหี้ยม แต่เปล่า พวกเขามีความรู้สึกเหมือนตอนที่เป็นมนุษย์

“มีสมาชิกใหม่มาแนะนำครับผม” แป๊กเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้เฮียเพ้งและเจ๊มดยิ้มออกมาอย่างดีใจ ในขณะที่พี่ตงยังคงมองมาอย่างสงสัย ส่วนคุณเป้นั้นยังเก็บอารมณ์และมีสีหน้าเรียบเฉย

“สวยไม่แพ้คุณเป้เลยนะคะ” เจ๊มดหันไปกระซิบกับเฮียเพ้งด้วยความดังระดับที่ได้ยินกันทุกคน

“มาสิ มานั่งๆ ยินดีต้อนรับนะหนู” เฮียเพ้งเอ่ยพร้อมกับผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่าง

อันที่จริงเราไม่ต้องนั่งกันก็ได้ เพราะนั่งไปก้นก็ทะลุเก้าอี้อยู่ดี แต่ฉันค้นพบแล้วว่าการที่เราได้ทำท่าทางเลียนแบบท่าปกติของมนุษย์มันทำให้เรารู้สึกคุ้นชินมากกว่า

“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อวันจันทร์” ฉันเอ่ยอย่างประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้คุยกับผีตัวเป็นๆ พร้อมกันมากมายขนาดนี้

“ฉันชื่อมดนะ เรียกเจ๊มดก็ได้ ใครๆ ก็เรียกกัน ส่วนนี่เฮียเพ้ง ไอ้ตง แล้วก็นั่นคุณเป้” เจ๊มดแนะนำตัวเองและทุกคนพร้อมกัน ฉันจึงส่งยิ้มให้ทุกคน จะมีก็แต่คุณเป้ที่ยังไม่ยอมสบตาฉัน

“ว่าแต่วันจันทร์เป็นอะไรตายมาล่ะ แนะนำตัวหน่อยซิ” เจ๊มดถามต่อราวกับว่าเรื่องตายนั้นเป็นเรื่องคุยเล่นสนุกๆ อารมณ์เดียวกับถามว่าบ้านอยู่ไหน เรียนจบอะไรมา

“ยังไม่ตายค่ะ”

“ฮะ!”

คราวนี้ทั้งสี่คนอุทานออกมาเป็นเสียงเดียว แม้แต่คุณเป้ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมองฉันก็ยังตกใจไปด้วย เจ๊มดตอนนี้ทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเห็นผี

แต่ไม่สิ พวกเขาก็เป็นผีอยู่แล้วนี่

“ใจเย็น เดี๋ยวผมสรุปให้ฟัง” แป๊กยกมือปรามทุกคนเพื่อให้ใจเย็น ก่อนจะสรุปเรื่องราวให้ทุกคนฟังคร่าวๆ โดยเริ่มเล่าตั้งแต่ที่มีวิญญาณมาเข้าร่างของฉัน และเรื่องที่ฉันต้องตามหาวิญญาณทั้งสี่

“โถ...ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้นะวันจันทร์” เฮียเพ้งเอ่ยพร้อมกับทำหน้าเห็นใจ

“เอาน่า เป็นผีก็สบายดีนะ ดูพวกฉันสิ ไม่ต้องไปทำงานให้ยมทูตให้เหนื่อยก็ได้” พี่ตงเอ่ยขำๆ

“ไม่ได้หรอกค่ะ ลูกรอจันทร์อยู่” ฉันเอ่ยเสียงเศร้าพร้อมกับคิดถึงคนตัวเล็กที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ตอนนี้ 

“จริงด้วย ขอโทษนะวันจันทร์” พี่ตงพูดด้วยน้ำเสียงสลดเพราะรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรค่ะ จันทร์เข้าใจ” ฉันเริ่มใช้สรรพนามแทนตัวที่ใช้กับคนสนิท ทำไมฉันรู้สึกสบายใจและวางใจที่ได้เจอพวกเขาก็ไม่รู้

“เฮียจะช่วยหนูตามหาเอง ใครจะเอากับเฮียบ้าง” เฮียเพ้งเอ่ยเสียงดังด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ความตั้งใจของเขาทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันไม่น้อย

“ผม” แป๊กยกมือขึ้นบ้าง

“เจ๊ด้วย” เจ๊มดไม่ยอมน้อยหน้า

“พี่ก็จะช่วยด้วยแล้วกัน แม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกันไวๆ”

น้ำใจไม่ได้มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มี สีหน้าแข็งขันของทุกคนทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆ รอบดวงตา ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะช่วยฉันได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันก็รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณพวกเขามากๆ

“คุณเป้ไม่เอาด้วยเหรอ” พี่ตงทักขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณเป้นั่งเงียบ

“ฉันคงช่วยใครไม่ได้หรอกค่ะ ขอโทษนะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบ แต่ฉันแอบสังเกตเห็นว่าแววตาเธอมีร่องรอยความโศกเศร้าปนอยู่น้อยๆ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เท่านี้ก็ขอบคุณมากแล้ว” ฉันเอ่ยกับเธอจากใจจริง มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอสักนิด และมันอาจจะทำให้เธอรู้สึกลำบากใจ

“ไหนเราขอดูรายชื่อที่ว่านั่นหน่อยได้ไหมล่ะ” เฮียเพ้งถามหากระดาษรายชื่อที่แป๊กเล่าไปก่อนหน้านี้

แทบจะลืมไปเลย หลังจากที่ยมทูตให้มา ฉันไม่ได้เก็บกระดาษนั้นมาด้วย แต่ความมหัศจรรย์คือเมื่อฉันนึกถึงมันขึ้นมา จู่ๆ เจ้ากระดาษที่ว่านั่นก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันทันที

ของยมทูตนี่หลอนจริงๆ

ทุกคนในโต๊ะรวมทั้งคุณเป้หันมามองรายชื่อในกระดาษด้วยความสนใจ ก่อนที่คุณเป้จะหันหน้าหนีออกไปเป็นคนแรก เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ส่วนพี่ตงกับเจ๊มดเหมือนจะพยายามท่องชื่อบุคคลเหล่านั้นเอาไว้

“เดี๋ยวเฮียจะลองถามเพื่อนๆ ดูว่ารู้จักรายชื่อเหล่านี้มั้ย ไม่ต้องห่วง เพื่อนผีเฮียเยอะ รุ่นเดียวกันที่ยังไม่ตายน่ะเหลือน้อยเต็มที” เฮียเพ้งเอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน จะว่าไปสมัยมีชีวิตเขาคงมีเพื่อนเยอะและเป็นที่รักของทุกคน

“เจ๊ไม่รู้จักสักคนเลย แต่สบายใจได้ เจ๊ว่าเจ๊สืบได้” เจ๊มดบอกพร้อมกับขยิบตาให้ฉันหนึ่งที เชื่อที่แป๊กเคยบอกแล้ว เจ๊มดดูเป็นคนที่น่าจะรู้ทุกเรื่องของชาวบ้านจริงๆ ด้วย

“พี่ก็ไม่รู้จักสักคนเหมือนกัน แต่คุ้นๆ นามสกุลอยู่คนนึง จะลองเอาไปถามพรรคพวกดูให้นะ” พี่ตงเอ่ยขึ้นบ้าง

บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันรู้สึกดีมาก ไม่ใช่เพราะหาเจอหรอกนะว่าใครเอาร่างฉันไป แต่เพราะเพื่อนใหม่ที่น่ารักที่อยู่ตรงหน้ากลุ่มนี้ต่างหาก...

หลังจากนั่งพูดคุยกับสมัชชาชาวผีอยู่ได้สักพักก็ถึงช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าเริ่มมาเปิดร้าน รวมทั้งร้านกาแฟที่พวกเรานั่งอยู่ด้วย เพราะพวกผีไม่ค่อยชอบให้คนมาเดินผ่านร่างหรือนั่งทับที่สักเท่าไหร่ พอคนเริ่มเยอะเราจึงต้องสลายตัวกันโดยปริยาย โดยที่แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปประจำที่ที่ตัวเองสิงสู่ ส่วนฉันก็ต้องกลับไปคอนโดพี่เอยเพื่อเฝ้าดูวันสุข

การมองดูคนอื่นนอนหลับแบบนี้ทำให้ฉันอยากง่วงบ้าง แต่มันไม่รู้สึกเลย ฉันจึงทำได้แค่นั่งหลับตาทำใจให้สงบ รอเวลาพวกเขาตื่นเท่านั้น

แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งล่วงเลยมาจนสาย ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้ามนุษย์ขี้เซาทั้งสามนั่นจะขยับตัว นี่มันก็แปดโมงครึ่งแล้ว เลยเวลาเข้าเรียนของวันสุขแล้วด้วย ตัวเล็กยังคงนอนก้นโด่งเอาหัวซุกผ้าห่ม ขณะที่พ่อและอาของเธอก็ยังนอนอ้าปากกว้างกันอยู่เลย

ให้ตายสิ

ฉันไม่อยากใช้วิธีนี้เลย แต่ท้ายที่สุดก็จำต้องก้มลงไปกระซิบข้างหูพี่เอยแบบที่เคยทำ ใบหน้าใสๆ ของพี่เอยทำให้ฉันชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยายามเกร็งตัวไม่ให้ปลายจมูกตัวเองไปโดนแก้มเขา

“พี่เอย สายแล้ว ตื่นค่ะ”

“พี่เอยตื่น ลูกต้องไปโรงเรียน”

“พี่เอยคะ ลูกต้องไปโรงเรียนค่ะ”

“พี่เอยคะ...ตื่นค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น