7

เงาตามตัว

บทที่ ๗ 

เงาตามตัว

 

“บ้าฉิบ!”

ในที่สุดคนตัวโตก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงอุทานที่แสดงความหัวเสีย แต่กระนั้นอีกสองคนข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เกือบสิบนาทีที่ฉันเฝ้ากระซิบข้างหูพี่เอยแบบนั้น ปฏิกิริยาของเขาคือพลิกตัวไปมา คว้าผ้าห่มมากอดบ้าง ขมวดคิ้วบ้าง และในที่สุดเปลือกตาก็ขยับ ก่อนจะลืมตาโพลงและสบถออกมาแบบเมื่อครู่

ท่าทางของพี่เอยดูหงุดหงิดงุ่นง่าน กระฟัดกระเฟียด พร้อมกับใช้มือนวดขมับ ฉันเข้าใจว่าเขาคงนอนไม่อิ่มเลยมีท่าทางหงุดหงิดแบบนั้น 

“อย่าให้รู้นะว่าไปเข้าฝันคนอื่นแบบนี้!” พี่เอ่ยบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ท่าทางเขาเหมือนตั้งใจพูดกับตัวเองคนเดียว

ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเอียงคอมองเขาจากด้านข้างแบบงงๆ ฝันอะไรของเขานะ

เมื่อได้โวยวายอยู่คนเดียวจนเป็นที่พอใจแล้ว พี่เอยก็นั่งขยี้ตาตัวเองอยู่อีกสองสามที ก่อนจะเหลือบไปมองดูนาฬิกา และพบว่าตอนนี้เกือบจะเก้าโมงเข้าไปแล้ว 

“เชี่ย!” 

คำสบถดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างรีบเร่ง จากนั้นจึงวิ่งกลับมาที่เตียงอีกครั้งพร้อมกับมองวันสุขด้วยท่าทางลำบากใจ 

จะอะไรก็แล้วแต่ ปลุกลูกเดี๋ยวนี้เลย!

“วันสุข” พี่เอยกระซิบเรียกวันสุขอย่างแผ่วเบา แต่บอกเลยว่านั่นไม่ได้ผลหรอก

“วันสุข” เขาเรียกชื่อลูกซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้เพิ่มเสียงขึ้นมาหน่อย แต่นั่นก็ยังไม่พอหรอกนะ 

ภาพการปลุกนุ่มละมุนในแบบฉบับพี่เอยทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดจนต้องลอยวนไปวนมารอบตัวเขา มันเป็นความไม่ได้ดั่งใจและอยากจะเข้าไปทำแทนเป็นที่สุด

“ปลุกให้มันดังกว่านี้หน่อยสิ มือน่ะจะกอดอกไว้ทำไม แตะตัวลูกไปซี่” ฉันพยายามตะโกนกรอกหูเขา หวังว่าเขาจะได้ยินบ้าง แต่ก็ไม่

“วันสุข สายแล้ว” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้ง

บอกฉันทีว่านั่นเรียกว่าการปลุก ที่เขาทำบ้านฉันเรียกว่ากระซิบ ดีไม่ดีเป็นการขับกล่อมด้วยซ้ำ แล้วมือน่ะ ทำท่าไม่กล้าแตะลูกราวกับกลัวลูกจะบุบสลายไปต่อหน้า แล้วชาตินี้ลูกจะตื่นมั้ย

“นี่เกิดมาไม่เคยปลุกใครหรือไงฮะ”

“วันสุข หิวมั้ย เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” 

เงียบ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเด็กน้อยที่ท่านเรียก 

แม้ว่าจะหงุดหงิดใจแค่ไหน แต่ฉันก็ทำอย่างมากได้แค่พร่ำบอกเขาข้างหูโดยที่เขาไม่ได้ยิน พี่เอยยืนเกาหัวอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับพิมพ์ลงไปในช่องค้นหาว่า ‘วิธีปลุกลูก’

งานนี้ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราค้นข้อมูลได้ทุกอย่างแม้แต่วิธีการเลี้ยงลูก ฉันจะไม่หัวเราะเยาะพี่เอยหรอกนะ เพราะตอนที่ฉันคลอดวันสุขใหม่ๆ มีอยู่บ่อยครั้งที่ต้องพึ่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่รู้กัน ข้อมูลก็มีทั้งถูกและผิด จะเชื่ออะไรต้องพิจารณาให้ดี ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่เป็นยาพิษก็มีถมไป

ร่างสูงจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์พักใหญ่ เขาทำหน้าเหมือนกำลังคิดวิเคราะห์ว่าจะเลือกวิธีไหนดี จนในที่สุดเขาก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปหาคนตัวเล็ก 

ปลายจมูกโด่งของพี่เอยจ่ออยู่ที่แก้มยุ้ยๆ ของวันสุข เขาทำหน้าไม่มั่นใจอยู่แวบหนึ่ง เหมือนเขาจะกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งก็ไม่แปลก เขาไม่เคยหอมลูกนี่ แต่ไม่นานเมื่อตัดสินใจได้ เขาก็หลับตาพริ้มก่อนจะฝังจมูกลงไปที่แก้มของคนตัวเล็ก สูดหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่

“นุ่มจัง” พี่เอยพึมพำกับตัวเอง 

ติดใจละสิ วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ฉันใช้ปลุกวันสุขบ่อยๆ 

ฟอด

ฟอด

ฟอด!

เขาหอมแก้มเด็กหญิงซ้ายขวาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นสิ่งที่ชื่นใจนักหนา บางครั้งก็ใช้ริมฝีปากจุ๊บแก้มเธอ รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาราวกับได้ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่ จากที่ตั้งใจจะปลุกกลับกลายเป็นหอมลูกเล่นไปแล้ว

“หอมจัง กลิ่นคล้ายๆ แม่เลยนะเราอะ” พี่เอยพูดกับวันสุขที่ยังคงหลับอยู่ แต่ประโยคแปลกๆ ของเขากลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนที่ใบหน้า

มาดมกลิ่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“วันสุข ตื่นมาดูพระอาทิตย์สดใสเร็ว” น้ำเสียงของพี่เอยฟังดูร่าเริงต่างจากช่วงแรกๆ สงสัยอ่านเจอจากในเน็ตละมั้ง

ฟอดดด

เสียงสูดกลิ่นแก้มหอมของเด็กน้อยดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูจะยาวเป็นพิเศษ เห็นทีพี่เอยจะติดใจแก้มของวันสุขเข้าแล้วสิ ยินดีด้วยกับพี่เอยที่ได้ค้นพบยาความสุขขนานเอกที่มีชื่อเรียกว่า ‘แก้มลูก’

ยาตัวนี้ใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนโต มีคุณสมบัติเพิ่มความสุขและลดความตึงเครียดได้ชะงัด แต่บอกเลยว่าช่วงที่หอมที่สุดน่ะคือช่วงหนึ่งปีแรก ตอนนั้นกลิ่นมันหอมละมุนบางเบาชนิดที่ว่าน้ำหอมที่ไหนก็ไม่อาจเทียบ หอมจนฉันอยากได้เครื่องบันทึกกลิ่นมาเก็บกลิ่นนี้ไว้ ว่าแต่ไอ้เครื่องนี้มันมีขายที่ไหนในโลกกันนะ

ฟอดดด

“คิก...คิก...” 

เสียงหัวเราะจากคนตัวเล็กที่โดนขโมยหอมแก้มดังขึ้นทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ แต่ริมฝีปากกลับฉีกยิ้มกว้าง และนั่นทำให้พี่เอยรู้สึกสนุกเข้าไปใหญ่

ฟอดดด

“คิกๆๆๆ” 

คนตัวเล็กเริ่มดิ้นไปมาและหัวเราะหนักขึ้น หนวดเคราอ่อนๆ ของพี่เอยคงทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้ละมั้ง 

“ถ้ายังไม่ตื่นปะป๊าจะหอมอีกแล้วน้า”

“คิก...ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้วันสุขหัวเราะออกมาดังลั่นทั้งๆ ที่ปะป๊าของเธอยังไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย จนฉันเผลอหัวเราะตามไปด้วย เด็กเล็กน่ะมีจินตนาการสูงส่งเกินกว่าที่เราจะคาดคิด แค่เธอคิดไปว่าปะป๊าของเธอกำลังจะทำอะไรเธอก็หัวเราะออกมาก่อนแล้ว

“คิก...” 

“เสร็จปะป๊าแน่”

ดูเหมือนว่าพ่อลูกจะเล่นกันสนุกจนลืมไปแล้วว่ากำลังอยู่ในชั่วโมงเร่งรีบ วันสุขพยายามกลั้นหัวเราะพร้อมกับม้วนตัวกลมกลิ้งไปมาก่อนจะหยุดที่ข้างลำตัวของคุณอาย เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเมื่อพบว่าตัวเองถูกขวางทาง ก่อนจะพยายามผลักร่างสูงที่นอนขวางอย่างสุดแรง จนกระทั่ง...

ฟุ่บ!

“โอ๊ย!” 

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากข้างเตียง ทำให้วันสุขตกใจจนต้องกระถดร่างออกมาห่างจากจุดนั้น เธอมองไปที่ขอบเตียงด้วยสายตาหวาดๆ ในขณะที่พี่เอยกลั้นขำจนตัวงอทรุดลงอยู่กับเตียงอีกฝั่ง

“เฮีย ถีบผมทำไม” คุณอายร้องครางขณะพยายามหยัดกายขึ้น

“กูเปล่า ฮ่าๆๆ” พี่เอยตอบทั้งที่ยังขำอยู่ แต่นั่นทำให้ฉันตวัดตาไปมองเขาอย่างไม่พอใจ พูดไม่เพราะต่อหน้าลูกอีกแล้ว

“เฮียไม่ได้ทำแล้วใครทำ” คุณอายลุกขึ้นมานั่งทำหน้างัวเงียข้างเตียงพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด 

ท่าทางอารมณ์เสียของเขาทำให้วันสุขเริ่มกลัว ร่างเล็กค่อยๆ ขยับไปซุกข้างหลังคนเป็นพ่อก่อนจะโผล่หน้าออกมาครึ่งหนึ่ง เสียงเล็กๆ ดังขึ้นอย่างเหนียมอายว่า

“อาอาย...วันสุขขอโทษ”

ดวงหน้าหวานของวันสุขและตากลมแป๋วของเธอทำให้คนเป็นแม่อย่างฉันละลายลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ใครจะว่าฉันหลงลูกก็เหอะ...ยอมรับ 

ก็รู้นะว่าวันสุขผิด แต่วันสุขจ๊ะ ถ้าอาอายไม่ให้อภัยหนู คืนนี้มะม้าจะไปหลอกอาอายเอง!

คำขอโทษจากวันสุขดูเหมือนจะช่วยดับความร้อนในหัวของคุณอายได้ไม่น้อย แววตาของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะตอบคนตัวเล็กไปว่า “วันหลังอย่าแกล้งอาอีกนะครับ”

“วันสุขนึกว่าเป็นไดโนเสาร์ที่นอนขวางทาง” เด็กหญิงตอบเสียงอ่อย 

ท่าทางสำนึกผิดของเธอทำให้คนที่กำลังโมโหถึงกับกลั้นยิ้ม ที่จริงฉันพยายามสอนวันสุขเสมอเรื่องการเคารพในสิทธิและร่างกายของผู้อื่น ฉันสอนให้เธอไม่ทำร้ายใคร และอย่าปล่อยให้ใครมาทำร้ายตัวเอง แต่คงเป็นความสะลึมสะลือยามเช้าละมั้งที่ทำให้เธอไปผลักคุณอายแบบนั้นเข้า ยังดีที่เธอรู้จักขอโทษ

“อาอายกลับห้องดีกว่า ไม่อยากโดนวันสุขผลักอีก” อายทำท่าแกล้งงอนพร้อมกับลุกขึ้นยืน ผู้ใหญ่ที่ไหนก็ดูออกว่าเขาไม่ได้โกรธจริง จะมีก็แต่หนูน้อยที่ทำหน้าเศร้าอยู่หลังผู้เป็นพ่อเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออก

รู้ไหม สำหรับเด็กน่ะไม่รู้จักคำว่าพูดเล่นหรอกนะ เราพูดอะไรไปเขาก็เชื่อว่าจริงทั้งหมด ท่าทางเสียใจของลูกนับว่าบาดตาฉันอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นบทเรียนของเขาแล้วกัน

หลังจากที่อายออกจากห้องไป ก็เหลือสองพ่อลูกที่ต้องจัดการตัวเองอยู่ในห้อง วันสุขผู้ไม่เคยตื่นสายและกินอาหารเช้าช้าขนาดนี้มาก่อนมีอาการงอแงเล็กน้อยเนื่องจากความหิว

“ปะป๊า วันสุขไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากไปโรงเรียน” เด็กหญิงเริ่มใช้มารยาออดอ้อน แน่นอน เธอเคยทำกับฉันมาก่อน และมันได้ผลในช่วงแรกๆ แต่ต่อมาฉันเริ่มจับทางได้และเลือกที่จะเมินเฉย เธอจึงเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรทำแบบนั้นกับฉันเพราะไม่ได้ผล แต่นี่มันพ่อของเธอ

“ทำไมล่ะครับ” พี่เอยแสดงสีหน้าสงสารอย่างเห็นได้ชัด หลงมารยาเด็กเข้าแล้วสิ

“วันสุขเหนื่อย” เธอตอบพร้อมกับนั่งลงเอนหลังพิงผู้เป็นพ่อด้วยท่าทางอ่อนแรง

เหนื่อยอะไรกันล่ะลูก ได้ข่าวว่าหนูเพิ่งตื่น!

ไปเอาท่าทางแบบนี้มาจากไหนกันนะ...หรือว่าได้มาจากฉัน

“ทำไมเหนื่อยล่ะ ไม่สบายเหรอ ไหนปะป๊าดูซิ” พี่เอยทำท่าจะแตะหน้าผากของคนตัวเล็ก

ไม่ได้การ แบบนี้พี่เอยต้องหลงมารยาการแกล้งป่วยของวันสุขแน่ๆ ฉันต้องพยายามทุกอย่างเพื่อพาพี่เอยออกไปจากจุดนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นตะโกนใส่หูเขา ซึ่งไม่เคยได้ผล บีบคอเขา ก็ได้ผลบ้างเป็นบางครั้งที่ทำให้เขาขนลุกได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้ตัวเท่าไหร่นัก สุดท้ายต้องลองวิธีผลักของให้ตกเหมือนที่แป๊กเคยสอน วิธีนี้ต้องใช้แรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าฉันยังไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง

เฮ้อ...เมื่อไหร่พี่เอยจะมองเห็นฉันนะ

ตุ้บ!

เสียงรีโมตแอร์หล่นกระแทกพื้นพรมทำให้ฉันยิ้มกว้าง ความพยายามที่ทำมาตลอดทั้งคืนประสบผลสำเร็จแล้ว ในที่สุดฉันก็สามารถเลื่อนสิ่งของได้บ้าง และนั่นก็เรียกความสนใจจากพี่เอยและวันสุขได้ไม่น้อย เด็กหญิงรีบปีนป่ายข้ามตัวพี่เอยมาแล้วห้อยตัวลงมาจากเตียงส่องไปตามพื้นเพื่อหาต้นตอของเสียง

ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปแล้วว่าตัวเองป่วยอยู่

“รีโมตตก” พี่เอยเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับหยิบรีโมตขึ้นมาชูให้คนตัวเล็กดู “แต่ปะป๊าว่าหนูน่าจะสบายดีแล้ว ไปอาบน้ำกัน”

“แต่วันสุขหนาววว”

“ไม่เป็นไรครับ ปะป๊ามีน้ำอุ่น”

สตรองไว้นะพี่เอย อย่ายอมให้เด็ดขาด!

พี่เอยพาวันสุขเข้าไปในห้องน้ำโดยให้เด็กหญิงถอดเสื้อผ้าก่อน จากนั้นเขาก็เอาผ้าเช็ดตัวห่อหุ้มเธอไว้เหมือนก้อนอะไรสีขาวๆ สักอย่าง ตอนแรกฉันก็กะว่าจะเข้าไปดูด้วย ถ้าไม่ติดว่าพี่เอยดันนุ่งผ้าเช็ดตัวเข้าไปแค่ผืนเดียวนี่สิ ฉันจึงทำได้แค่แอบฟังอยู่นอกห้องน้ำอย่างช่วยไม่ได้

เสียงอาบน้ำของสองพ่อลูกดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี เพราะวันสุขเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากแล้ว เธอถูสบู่และล้างตัวได้เพียงแค่เราเปิดฝักบัวและยื่นให้เธอ แต่แล้วประโยคสนทนาของสองพ่อลูกก็ทำให้ฉันตาโตขึ้นมาอีกครั้ง

“ปะป๊าขา อันนั้นอะไร ทำไมหนูไม่มี”

“อ๋อ อันนี้เหรอ...ช ช้างของปะป๊าเอง”

ช ช้าง?

พี่เอยบ้า! เอาอะไรให้ลูกดู!

เสียงวันสุขหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ภาพที่ลอยขึ้นมาในหัวฉันมันไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก อยากจะบีบคอพี่เอยเป็นรอบที่ร้อย แต่ก็ได้แค่นั่งเอามือกุมขมับ วันสุขของแม่ หนูไปเห็นอะไรเข้าลูก

“ช ช้างของปะป๊าตัวใหญ่จังค่า” น้ำเสียงของวันสุขฟังดูเริงร่า ในขณะที่คนเป็นแม่อย่างฉันเริ่มจะปวดหัวตุบๆ ถ้ายังอยู่ในร่างก็คงหัวใจวายไปอีกไม่ต่ำกว่าสามรอบ

“ก็ปะป๊าชอบตัวใหญ่นี่ครับ” พี่เอยตอบด้วยความยินดี ยังจะมีหน้ามาทำเสียงระรื่นอีก

แม้จะอยากเข้าไปห้ามทัพทั้งคู่แค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทะลุกำแพงห้องน้ำเข้าไป เพราะไม่อยากจะเห็นอะไรที่เรียกว่า ‘ช ช้าง’ ของเขาน่ะสิ

“ทำไมมันถึงเป็นสีดำคะปะป๊า” 

“ลู้กกกก ถามอะไรออกไป” ฉันเผลอหวีดร้องออกมาดังลั่น โชคดีที่ไม่มีใครได้ยินเสียงฉัน อกอีแม่จะแตก 

วันสุข มะม้าเข้าใจว่าหนูอยากรู้อยากเห็นทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นความผิดนี้ฉันยกให้พี่เอยคนเดียวเลยที่ไม่ยอมเซนเซอร์จากลูก

“สีดำก็น่ารักดีว่ามั้ย”

น่ารักอะไรกันล่ะ! คนบ้า!

“ทำไมปะป๊าถึงมี ช ช้างล่ะคะ” เด็กหญิงถามเสียงใส ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังยืนจ้อง ‘ช ช้าง’ นั่นตาแป๋วทำให้ฉันรู้สึกโมโหคนเป็นพ่อไปอีกทวีคูณ 

ตอบให้ดีนะพี่เอย อย่ามาทะลึ่งตึงตังใส่ลูกเชียว

“ก็ปะป๊าชื่อจริงว่าชวิศ ปะป๊าก็เลยสัก ‘ช ช้าง’ ไว้ที่เอวด้านหลังไงครับ”

สะ...สัก

...

เพล้ง!

เสียงคล้ายของแข็งตกกระทบพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นในหัวฉัน ไม่ใช่เสียงแก้วที่ไหน...เสียงหน้าฉันเอง

ว่าไงนะ...รอยสัก!

ไอ้สิ่งที่ทำให้ฉันหงุดหงิดโวยวายคิดไปไกลถึงดาวอังคาร...‘ช ช้าง’ ที่ว่าของเขาคือรอยสักงั้นเหรอ นี่ฉันกลายเป็นคนคิดลึกคิดมากไปเองสินะ

“แล้วทำไมปะป๊าไม่ถอดผ้าเช็ดตัวอาบน้ำคะ” 

คำถามถัดมาของวันสุขทำให้ฉันเห็นภาพความจริงทุกอย่าง...ลูก ถ้าลูกถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก มะม้าคงไม่มาไกลถึงขนาดนี้ คิดแล้วก็น้ำตาจะไหล นี่ฉันเป็นอะไรไปกัน

“ปะป๊าต้องปิดพื้นที่ส่วนตัวของปะป๊าไว้ครับ ไว้วันสุขอาบน้ำเสร็จปะป๊าถึงจะอาบอีกที” 

“วันสุขก็อยากปิดพื้นที่ส่วนตัวเหมือนกัน” เด็กหญิงโต้กลับอย่างขึงขัง “ทำไมปะป๊ามะม้าเห็นพื้นที่ส่วนตัวของวันสุขได้ล่ะ”

“เอ่อ...ช่วงนี้ปะป๊ามะม้าต้องดูแลวันสุขก่อน พอวันสุขอาบน้ำแต่งตัวเองเก่งกว่านี้ วันสุขต้องปิดพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้มิด แม้แต่ปะป๊ากับมะม้าก็ไม่ให้เห็นเลยดีมั้ย”

“ดีค่า~” 

บทสนทนาช่วงหลังทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อพี่เอยเป็นอย่างมาก โชคดีที่ตอนตะโกนด่าเขาไม่มีใครได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงต้องมานั่งขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

กราบขอโทษพี่เอยไว้ ณ จุดนี้เลยก็แล้วกันนะคะ

 

หลังจากที่สองพ่อลูกผ่านการอาบน้ำชวนใจหายใจคว่ำนั้นไป เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบสิบโมง คาดว่าไปถึงโรงเรียนก็คงช่วงเที่ยง ลูกกินข้าวเสร็จก็นอนกลางวันต่อเลย 

วันนี้ฉันสัญญากับตัวเองเลยแล้วกันว่าจะปลุกพี่เอยให้เช้ากว่านี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็ตาม!

อาหารเช้าของวันสุขกลายเป็นอาหารแบบเร่งรีบ ร้านสะดวกซื้อดูเหมือนจะตอบโจทย์ของพวกเขา แต่ด้วยความที่ปกติฉันทำอาหารให้วันสุขตลอด เป็นอาหารปรุงสุกใหม่และปรุงรสชาติน้อย วันสุขจึงติดนิสัยกินจืด เมื่อปะป๊ายื่นอาหารสำเร็จรูปให้เธอ เด็กหญิงก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตอบคนเป็นพ่อว่า

“มะม้าบอกว่ากินเค็มมากๆ เดี๋ยวไตวายค่า”

พี่เอยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเจอเหตุผลในการปฏิเสธของลูก สุดท้ายอาหารที่วันสุขกินได้เลยมีแค่ไข่ต้ม ขนมปังและกล้วยหอม 

“ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ทำอาหารเองได้ไหมคะ” ฉันพยายามกระซิบบอกเขา แต่ก็อย่างเคย เสียงของฉันเบายิ่งกว่าเสียงลมเป่าหู มีหรือเขาจะตอบสนอง

ขณะจ่ายเงิน พนักงานมองพี่เอยด้วยสายตาแปลกๆ จะพิศวาสก็ไม่ใช่ จะเกลียดขี้หน้าก็ไม่เชิง เหมือนเขาจะรู้ตัวด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป 

“เอ่อ คุณคะ...” พนักงานสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ขณะที่พี่เอยกำลังเก็บเงินทอนเข้ากระเป๋า

“ครับ” 

“รู้สึกแปลกๆ บ้างมั้ยคะ” 

คำถามของหญิงสาวทำให้พี่เอยขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่เจ้าตัวก็ส่ายหน้าก่อนตอบ

“ไม่นี่ครับ ก็สบายดี”

“งั้นฉันคงคิดมากไปเอง ขอบคุณที่มาใช้บริการนะคะ” 

หญิงสาวตอบเสียงแผ่วพร้อมกับทำท่าทางแปลกๆ แต่สุดท้ายทั้งฉันและพี่เอยก็ไม่ได้ติดใจอะไรเธอนัก เพราะมัวแต่สนใจวันสุขที่กำลังเดินไปขึ้นรถ

“เราจะไปโรงเรียนกันแล้วน้า”

“ค่า~”

 

ตลอดทางที่นั่งรถไปโรงเรียน ฉันพยายามไปนั่งด้านหลังคนขับ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตรงกับกระจกมองหลัง คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่เอยจะมองเห็นจากกระจกเงา แต่ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะแม้แต่ตัวฉันยังมองไม่เห็นเงาตัวเองในกระจกเลย 

กว่าสองพ่อลูกจะมาถึงโรงเรียนก็เกือบเที่ยง คุณครูมองพี่เอยด้วยสายตาเขม่นเล็กน้อย คงเป็นเพราะพาลูกมาโรงเรียนสาย พี่เอยเลยได้แต่ส่งยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เพื่อลดความขุ่นเคืองของคุณครู แล้วก็ได้ผล 

ตอนแรกฉันกะว่าจะอยู่ที่โรงเรียนกับวันสุขจนกว่าพี่เอยจะมารับ ถ้าไม่ติดว่าแอบได้ยินโทรศัพท์สายที่เขาเพิ่งรับเมื่อครู่นี้

“กูอยู่โรงเรียนวันสุข” พี่เอยพูดกับใครสักคนที่ดูน่าจะสนิทพอสมควร ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นคุณอาย 

“เข้า คงเข้าไปสักบ่ายสอง เดี๋ยวแวะไปโรงพยาบาลก่อน” 

คำว่าโรงพยาบาลทำให้ฉันหูผึ่ง นี่ก็จะครบหนึ่งวันแล้วที่ฉันออกจากร่างตัวเองมา ใจจริงก็อยากจะกลับไปหาร่างตัวเองด้วย แต่กลัวว่าจะกลับมาคอนโดพี่เอยไม่ถูก ฉันเคยเข้าใจว่าผีคงหายตัวไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ฉันก็ต้องเดินทางเหมือนตอนเป็นมนุษย์ ฉันไม่สามารถไปที่ที่ไม่คุ้นทางได้ด้วยตัวเอง จะใช้โปรแกรมนำทางในโทรศัพท์ก็ไม่ได้ อีกอย่างถ้าหลงทางก็ไม่รู้จะติดต่อพี่เอยกับลูกยังไง โทรศัพท์ก็โทร. ไม่ได้ ทางเลือกเดียวของฉันคือการเกาะติดวันสุขหรือพี่เอยเอาไว้

เมื่อได้ยินว่าพี่เอยจะไปโรงพยาบาล ฉันจึงตัดสินใจได้ทันทีว่าวันนี้จะอยู่กับใคร...

“ถ้ามึงเข้าไปบริษัท ฝากบอกคุณมลด้วยว่าขอเลื่อนประชุมจากบ่ายสามเป็นสี่โมงเย็น ส่วนเอกสารอะไรที่ต้องเซ็นวางบนโต๊ะได้เลย” พี่เอยพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

“ต้องมารับลูกก่อน” หลังจากนั้นพี่เอยก็พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะวางสายไป

ฉันตามพี่เอยมาที่รถเงียบๆ หน้าเขาดูซีดๆ คงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ร่างสูงออกรถอย่างรวดเร็วตรงไปยังโรงพยาบาลที่ฉันนอนรักษาตัวอยู่

“พี่เอย”

“พี่เอยคะ” 

ตลอดทางฉันพยายามแสดงตัวตนให้เขารับรู้ตลอด ไม่ว่าจะโผล่หน้าไปแถวกระจก กระซิบข้างหู โผล่หน้าลงมาจากหลังคารถ หนักกว่านี้ก็คงไปนั่งตักเขาแล้วละ แต่จนแล้วจนรอดพี่เอยก็ยังนิ่งสนิท ไม่มีอาการใดๆ ที่บ่งบอกว่าเริ่มมองเห็นฉันเลยแม้แต่น้อย เขาห้อยพระอะไรกันนะ

สามสิบนาทีต่อมาเราก็มาถึงโรงพยาบาล ระหว่างที่เราเดินจากลานจอดรถเข้าไปในโรงพยาบาล ฉันก็ได้เจอกับคุณหมอคนสวยที่เป็นคนช่วยชีวิตฉันเมื่อวาน แม้ว่าเธอจะใส่หน้ากากอนามัยบดบังใบหน้าไว้ แต่ฉันยังจำสายตาคู่นั้นได้ดี เธอเดินสะโหลสะเหลกลับไปที่หอพักซึ่งอยู่ติดกับลานจอดรถ ท่าทางเหมือนคนยังไม่ได้นอน คาดว่าอยู่เวรคงหนักน่าดู

ระหว่างที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาล ฉันได้ค้นพบว่าพี่เอยเป็นคนมีเสน่ห์พอสมควร เขามักจะดึงดูดสายตาสาวๆ ได้เสมอทุกที่ที่เขาเดินผ่าน และไม่ว่าผีหรือคนก็ต่างมองเขาเป็นตาเดียว 

“ถ้าให้ตายในอ้อมกอดเขาฉันก็ยอม”

“น่าเสียดายที่เธอตายแล้ว”

“โอ๊ย อย่ามาดับฝันกันสิ” 

ผีวัยรุ่นสาวคุยกันขณะที่เราเดินผ่านหอผู้ป่วย พวกเธอหัวเราะคิกคักพร้อมกับมองมาที่พี่เอยเป็นระยะ และเนื่องจากฉันไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาผีทั้งหลาย ฉันจึงเลือกเว้นระยะห่างจากพี่เอยเอาไว้ ให้เหมือนว่าเราไม่ได้มาด้วยกัน

ลิฟต์วันนี้เต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณสูงอายุที่เหมือนจะพร้อมใจกันมาราวกับมีนัดไปที่ไหน กลายเป็นว่ามีพี่เอยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังหายใจอยู่ในลิฟต์แห่งนี้ พี่เอยกดลิฟต์ชั้นเจ็ด โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกดชั้นสิบสองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

“นี่ แม่หนู ชั้นสิบสองเขามีทำบุญเลี้ยงพระ ไปสวดมนต์กับพวกฉันไหมจ๊ะ” คุณป้าที่ยืนอยู่ข้างฉันถาม คำถามของป้าทำให้ฉันคลายความสงสัยว่าผู้สูงอายุเหล่านี้จะเดินทางไปไหนกันเยอะแยะ ที่แท้ก็ไปสวดมนต์นี่เอง

“งานอะไรเหรอคะ”

“ก็ชั้นสิบสองน่ะ มีวิญญาณนิสัยไม่ดีชอบไปกวนคุณหมอ เขาเลยเลี้ยงพระทำบุญหวังจะไล่วิญญาณจ้ะ”

คำตอบของป้าทำให้ฉันนึกขำ ในขณะที่ทางโรงพยาบาลตั้งใจจะทำบุญเพื่อไล่วิญญาณ กลับมีวิญญาณอีกจำนวนมากตรงไปที่นั่นเพื่อไปนั่งสวดมนต์ 

“ขอบคุณที่ชวนนะคะป้า แต่วันนี้หนูมีธุระ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ” ฉันตอบป้าตามมารยาท

“ได้จ้า เดี๋ยวป้าจะเอาบุญมาฝากนะ” ป้าตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มใจดีมาให้ฉัน ระหว่างนั้นลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นเจ็ดพอดี

“ไปก่อนนะคะป้า”

“โชคดีจ้า”

วันนี้หน้าห้องไอซียูมีผู้คนมากมาย บ้างปูเสื่อนอน บ้างก็นั่งรอจับกลุ่มคุยกัน ดูจากสภาพแล้วน่าจะเป็นญาติของคนไข้ที่มานอนรักษาตัวที่นี่ ความเจ็บป่วยนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของผู้ป่วยแค่คนเดียว แต่เป็นเรื่องของญาติและคนที่รักด้วย เรียกได้ว่าป่วยคนเดียว แต่เจ็บกันทั้งบ้าน ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าพ่อกับแม่ฉันรู้เรื่องของฉันเข้า ท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไร

อย่าเพิ่งรู้เลยนะแม่ เดี๋ยวหนูจะรีบกลับเข้าร่าง...

ที่จริงตอนนี้ก็ตรงกับเวลาเยี่ยมพอดี แต่ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้ญาติเข้าได้ทีละหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น บ้านไหนญาติเยอะก็ต้องเวียนสลับกันเข้าไป ญาติบางบ้านก็สานสัมพันธ์กับอีกบ้านด้วยการชวนคุยราวกับว่าสนิทกันมานาน ก็เป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นดี

พี่เอยเดินตรงเข้าไปที่เตียงฉันโดยไม่ได้สนใจผู้คนมากมายที่อยู่ตรงหน้า ร่างของฉันยังคงนอนอยู่บนเตียงเดิม มีสายระโยงระยางรอบตัว ปากยังคงคาบท่อหายใจเอาไว้ 

“เธอเป็นยังไงบ้างครับ” พี่เอยเดินไปถามคุณพยาบาลที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงฉันมากนัก

“แนวโน้มดีขึ้นนะคะ เริ่มรู้สึกตัวบ้าง การตอบสนองทางระบบประสาทดี สมองไม่น่าจะได้รับความเสียหายจากการขาดออกซิเจน แต่ตอนนี้ยังมีลมรั่วออกมาใส่ขวดระบายอีกนิดหน่อยค่ะ หายใจเองได้ ไม่ต้องใช้เครื่องช่วย เย็นๆ วันนี้คงได้ถอดท่อช่วยหายใจแล้วค่ะ” คุณพยาบาลตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร 

เท่าที่ฟังดูทุกอย่างเหมือนจะดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าคนที่อยู่ในร่างนั้นเป็นฉัน

“ขอบคุณครับ” พี่เอยตอบก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงของฉัน

เขายืนจ้องมองฉันเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าตอนนี้ในหัวเขาคิดอะไรอยู่ ไม่นานเขาก็ก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูโดยที่ฉันไม่อาจได้ยิน

จะบอกอะไรฉัน...

หลังจากกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับฉัน พี่เอยก็เดินกลับออกมาจากห้องนั้นอีกครั้ง การเยี่ยมนานไม่ได้ช่วยให้ฉันฟื้นไวขึ้น แถมในห้องนั้นที่ก็แคบ เกรงว่าจะไปขวางทางคนอื่น พี่เอยออกมาเร็วๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ระหว่างทางที่จะเดินไปลิฟต์ก็มีคุณลุงคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นญาติของผู้ป่วยสักคนทักพี่เอยขึ้น

“พ่อหนุ่ม ช่วงนี้เข้าวัดบ้างรึเปล่า” 

“ครับ?” พี่เอยหันไปมองด้วยสีหน้าสงสัย 

“ไปทำบุญบ้างนะ วิญญาณเกาะติดขนาดนี้” 

ลุงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมยังทำท่ามองมาที่ฉัน หรือว่าเขาเห็นฉัน ทั้งที่โดนทักเข้าจังๆ แบบนี้แต่พี่เอยไม่ได้มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ส่งยิ้มบางๆ ให้คุณลุงคนนั้นก่อนจะตอบว่า

“ขอบคุณครับ”

ปฏิกิริยานิ่งเฉยของพี่เอยทำให้ฉันแปลกใจอยู่นิดๆ ปกติมีคนมาทักแบบนี้ ต่อให้ไม่คิดอะไรก็ต้องถามกลับหน่อยมั้ย แต่ที่พี่เอยทำคือแค่ยิ้มขอบคุณแล้วเดินหนีมาขึ้นลิฟต์ ไม่สงสัยติดใจอะไรบ้างเลยหรือไง

ว่าแต่ลุงคนนั้นมองเห็นฉันใช่ไหม...

เวลาให้สนใจคนอื่นมีไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก ก็พี่เอยเล่นกดปิดประตูลิฟต์โดยไม่คิดจะรอใคร ฉันก็ต้องรีบตามเขาไปก่อนจะหากันไม่เจอ 

 

จุดหมายของพี่เอยคือที่บริษัทอย่างที่เขาเคยเอ่ยไว้ตอนคุยโทรศัพท์ บริษัทที่ว่าก็คือบีทีวี ซึ่งเป็นช่องโทรทัศน์ชั้นนำที่สามารถเกาะกระแสทีวีดิจิตอลและยืนหยัดมาได้ท่ามกลางวิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค ตึกที่ตั้งของบีทีวีคือตึกบริพจน์ ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งรวมสำนักงานของธุรกิจในเครือบริพจน์ทั้งหมด และนั่นก็เป็นที่แรกที่เราได้พบกัน

สำนักงานของบีทีวีตั้งอยู่ที่ชั้นสิบถึงชั้นสิบสาม ซึ่งจะมีห้องสำหรับถ่ายทำรายการต่างๆ ไม่ว่าจะถ่ายทอดสดหรือไว้เป็นฉากในการถ่ายทำ ชั้นสิบสองเป็นสำนักงาน และชั้นสิบสามเป็นชั้นของผู้บริหาร ซึ่งมีห้องทำงาน ห้องประชุม และห้องรับแขกอยู่ในชั้นนี้

แน่นอนว่าห้องทำงานของพี่เอยก็อยู่ชั้นสิบสาม สมัยที่ฉันฝึกงาน เคยขึ้นมาแค่ครั้งสองครั้งเพื่อส่งเอกสารที่ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมเพื่อส่งเข้าที่ประชุม ผ่านไปหลายปี ที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตกแต่งที่ทำใหม่ โทนสี หรือแม้แต่ผู้คน

“สวัสดีค่ะคุณชวิศ” 

ผู้หญิงอายุสักประมาณสามสิบปลายๆ รูปร่างผอมสูง สวมแว่นตารูปพระจันทร์ครึ่งซีก ดูมีเอกลักษณ์ดี เธอทักพี่เอยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับใบหน้าเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน โต๊ะทำงานของเธอตั้งอยู่หน้าห้องของพี่เอย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอคงเป็นเลขาฯ

“สวัสดีครับคุณมล ขอโทษที่วันนี้ผมมาช้า” พี่เอยทักทายและส่งยิ้มให้เธอ คุณมลคนนี้นี่เองที่พี่เอยพูดถึงในโทรศัพท์

“ด้วยการบริหารของคุณแล้ว...ถ้าจะเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละครั้งดิฉันก็ว่าอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ”

สีหน้านิ่งสนิทกับคำพูดกึ่งประชดประชันของคุณมลทำให้ฉันหลุดขำ นึกถึงสภาพเมื่อวานที่เกือบเที่ยงก็ยังนอนแฮงก์เสื้อผ้าไม่ใส่อยู่ในห้อง เมื่อวานเขาไม่มาทำงานด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับวันนี้ที่เขามาตอนเกือบบ่ายสอง

แต่ก็เคยได้ข่าวเหมือนกันว่าเขาน่ะเก่งมาก ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่ช่องทีวีของเขากับโตสวนกระแส แถมยังควบตำแหน่งรองประธานของบริษัทแม่อย่างเครือบริพจน์อีก เห็นใสๆ แบบนี้ที่จริงเขาก็ร้ายไม่เบาหรอกนะ

“ขอบคุณครับที่คุณไม่ถือสา” พี่เอยส่งยิ้มเย็นๆ ให้เธอก่อนจะเดินเข้าห้องไป

ห้องทำงานของพี่เอยเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิด ดูจากคอนโดที่เขาตกแต่งด้วยสีเทา เลยคิดว่าจะชอบแบบทึมๆ ที่ไหนได้ ที่ทำงานเขากลับตกแต่งด้วยสีขาวและไม้สีอ่อน ดูสว่างสดใสสบายตา บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสารกองอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย เขาจัดการแยกเอกสารเอาเฉพาะที่เขียนว่า ‘เร่งด่วน’ ออกมาพิจารณา บางอันก็เซ็น บางอันก็เขียนลงไปว่าทำใหม่ หนักสุดก็เขียนลงไปว่าปฏิเสธ

ระหว่างที่พี่เอยทำงาน ฉันเลือกที่จะเดินเล่นไปรอบๆ ชั้นสิบสามเพื่อแก้เบื่อ ฉันไปแทบทุกห้องที่มีไม่ว่าจะห้องประชุม ห้องน้ำ ห้องรับแขก หรือห้องผู้บริหารคนอื่นๆ คงเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงบ่ายซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานมักจะออกไปเจอลูกค้า ทำให้ฉันไม่ค่อยเจอใครเท่าไหร่นัก และที่เจอฉันก็ไม่รู้จัก คงเป็นเพราะตอนที่ฉันได้มาทำงานที่นี่มันก็นานมากแล้ว แถมไม่ใช่แผนกนี้ด้วย 

ความตื่นเต้นของการเดินเล่นครั้งนี้คือมีบางช่วงที่มีคนทำท่าเหมือนจะเห็นฉัน หรือสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของฉัน ความหวังของฉันก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเมื่อวนไปจนรอบก็ไม่รู้จะไปไหน ต้องกลับมาหาพี่เอยเหมือนเดิม

“พี่เอยขา เกรซว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะ” เสียงออดอ้อนของใครบางคนดังขึ้นในห้องก่อนที่ฉันจะทะลุประตูเข้าไป

ภาพของหญิงสาวร่างบางในชุดเดรสสายเดียวสีดำดูหรูหรากำลังพยายามจะนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้พี่เอยและเอาตัวเบียดเขานั้นทำให้ฉันต้องมองบน เข้ามาไม่ถูกจังหวะสินะ

“เกรซครับ พี่ว่าเรากลับไปนั่งตรงนั้นดีๆ ดีกว่า” พี่เอยตอบพร้อมกับผายมือให้เธอไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ และเธอก็ยอมทำตามโดยการเดินไปฝั่งตรงข้ามแต่ไม่ได้นั่ง

ฉันจำหน้าผู้หญิงคนนี้ได้ดี เธอคือเกรซ เกวลิน หนึ่งในนางเอกชื่อดังที่ทำสัญญาผูกขาดกับช่องบีทีวี เธอดังพอสมควรเลยละ ส่วนมากจะได้รับบทนางเอกลุคหวานๆ ไม่ก็เป็นนางเอกที่โก๊ะหน่อย อารมณ์แบบพวกซีรีส์เกาหลี แต่ภาพที่เห็นตอนนี้มันช่างตรงข้าม

“เกรซก็แค่คิดถึงน่ะค่ะ คืนนี้เราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานมั้ยคะ” หญิงสาวจงใจใช้น้ำเสียงยั่วยวนอย่างเห็นได้ชัด

ว่าแต่อะไรอร่อยๆ ที่ว่านี่มันคืออะไรกันเหรอ!

“พี่ไม่ว่างครับคืนนี้” พี่เอยตอบในขณะที่ตายังจับจ้องเอกสารในมือ

“คืนไหนว่างคะ เกรซว่างเสมอสำหรับพี่เอย” หญิงสาวใช้มือสองค้ำโต๊ะพร้อมกับโน้มตัวลงไปจนหน้าอยู่ระดับเดียวกับพี่เอย สายเดี่ยวที่คล้องแบบหลวมๆ นั่นคงไม่ต้องบรรยายว่าเวลาก้มมันเห็นไปถึงไหนต่อไหน...ขอแค่พี่เอยเงยหน้าขึ้นมา

“โห แรดเว่อร์” ฉันอุทานกับภาพที่เห็นตรงหน้าพร้อมกับเบะปากให้เธออย่างแรง นี่มันคือที่สุดของการอ่อยภายใต้ใบหน้าใสๆ และลุคอินโนเซนส์ของเธอ

เพราะไม่อยากให้พ่อของลูกเกิดตบะแตกขึ้นกลางที่ทำงาน ฉันจึงพยายามขัดขวางเขาด้วยการเข้าไปนั่งแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง แม้จะรู้ว่าไม่มีทางบดบังอะไรได้ ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้พี่เอยเงยหน้าขึ้นมาเลย

“คงไม่ว่างครับ อีกนานเลย” พี่เอยตอบเรียบๆ สายตายังคงจับจ้องเอกสารเช่นเคย

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นขยี้ตาตัวเองสองสามครั้งแล้วมองพี่เอยด้วยสีหน้าประหลาดใจ หรือว่าเธอแปลกใจคำปฏิเสธของพี่เอย เดาว่าปกติคงใจง่ายไปกับเขาบ่อยละสิ 

เชอะ

“พี่เอยคะ”

“ครับ”

“เมื่อกี้เห็นเงาอะไรแปลกๆ มั้ยคะ” คุณเกรซถามด้วยสีหน้างงงวย เธอยังคงขยี้ตาซ้ำอีกครั้งโดยไม่สนใจขนตาปลอมที่ติดอยู่แม้แต่น้อย

“หืม”

คราวนี้พี่เอยเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออย่างสนใจ ไม่ใช่แค่พี่เอย แม้แต่ฉันก็ยังจ้องมองเธอไปด้วย เธอเห็นฉันใช่ไหม ยายคุณเกรซ ตอบมาซิ

“ถามตามตรง พี่เอยเลี้ยงกุมารทองรึเปล่าคะ”

กุมารทองเลยเหรออออ!

“ฮึ่ก!” พี่เอยหัวเราะแบบกลั้นขำเมื่อได้ยินคำถามแนวไสยศาสตร์จากผู้หญิงที่ดูเซ็กซี่และแสนจะหัวสมัยใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่มันยุคสมัยไหนแล้วแม่คู้น นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ยังมีคนเชื่อเรื่องกุมารทองอยู่อีกเหรอ

แต่ก่อนที่ฉันจะได้หัวเราะเยาะเธอบ้าง ความคิดของฉันก็สะดุดกึกอีกครั้งตรงคำว่ากุมารทอง สภาพโปร่งแสง เท้าไม่ติดพื้นของตัวเองตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากกุมารทองเท่าไหร่นัก จะว่าไปขนาดผีกับยมทูตยังมีเลย ถ้าจะมีกุมารทอง...ก็อาจจะเป็นเรื่องปกติ

ฉันไม่หัวเราะเธอก็ได้ยายคุณเกรซ

“จริงๆ นะคะพี่เอย เกรซว่าเกรซเห็นเงาบางอย่างอยู่รอบๆ ตัวพี่ บางทีเราควรจะทำบุญบริษัทบ้างนะคะ เดี๋ยวเกรซเป็นแม่งานให้” พูดพลางช้อนตาหวานหยดย้อยมองพี่เอย ในจังหวะที่กำลังคิดถึงเรื่องผีสาง เธอก็ยังมีกะจิตกะใจจะอ่อยอีกเหรอ

“งั้นเหรอ ค่อยว่ากันอีกทีนะ” พูดจบพี่เอยก็ปิดแฟ้มเอกสารลงแล้ววางกองไว้ข้างๆ ก่อนจะหยิบกุญแจรถและลุกขึ้น “พี่มีธุระ ถ้าเกรซมีอะไรก็ฝากเรื่องไว้ที่คุณมลแล้วกันนะ”

“อะ...อ้าว เดี๋ยวสิคะพี่เอย” คุณเกรซร้องท้วง 

แต่ไม่ทันแล้ว พี่เอยเดินลิ่วออกจากห้องไปอย่างว่องไว ส่วนฉันก็ต้องตามเขาไปสิ รออะไร แต่ก็ไม่วายหันหลังกลับไปแลบลิ้นให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยความหมั่นไส้

คนเราก็หมั่นไส้กันเฉยๆ แบบนี้แหละ...ไม่ต้องมีเหตุผลหรอก

“คุณเอยคะ มีข่าวจะแจ้งค่ะ เรื่องงานของคุณเปิ้ลกับคุณบาส” คุณมลทักพี่เอยทันทีที่เขาเปิดประตูออกมา

ชื่อของชายหญิงทั้งสองทำให้ฉันนึกไปถึงงานแต่งงาน จะมีงานไหนบ้างที่เป็นงานของชายหญิงคู่กันนอกจากงานมงคลสมรส แต่เมื่อเธอยื่นซองสีขาวที่ขอบตกแต่งด้วยลายไทยสีดำเป็นเอกลักษณ์ ความคิดฉันก็ต้องเปลี่ยนไป

การ์ดงานศพ...

พี่เอยขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นซองสีขาวดังกล่าว ฉันแอบเห็นว่ามือเขาสั่นเล็กน้อยขณะยื่นมือออกไปหยิบซองนั่น

“ไม่จริง ทั้งสองคนเลยเหรอครับ” 

“ค่ะ” คุณมลพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเหมือนคนปลงต่อโลก

“คุยอะไรกันค้า” เสียงแหลมสูงของคุณเกรซที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแทรกขึ้นมาอย่างสดใส โดยไม่ได้ดูเลยว่าสองคนนี้เขากำลังคุยกันเสียงเครียด แต่พี่เอยก็หาได้สนใจเธอไม่ สายตาเขายังคงจับจ้องซองสีขาวนั้น

“เมื่อไหร่ครับ” พี่เอยถามต่อ แววตาเขาตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย

“เมื่อวานค่ะ อุบัติเหตุ...” เลขาฯ สาวตอบเสียงเรียบ

คราวนี้สีหน้าของคุณเกรซก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน ดูเหมือนเธอจะพอเดาเหตุการณ์ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเลือกที่จะมองเงียบๆ

พี่เอยเปิดซองเพื่อแง้มดูกำหนดการที่เขียนไว้ภายใน ทำให้ฉันมองไม่เห็นรายละเอียดอย่างอื่นในการ์ดนอกจากชื่อวัดและกำหนดการ เขากำซองไว้แน่นจนมือสั่น ท่าทางดูตกใจไม่น้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้หรอกนะว่าสองคนนั้นเป็นใคร แต่ก็เสียใจไปกับเขาเช่นกัน

“ฝากคุณจัดเตรียมพวงหรีดทั้งในนามของบริษัทและของผมด้วยครับ ผมอาจจะไปพรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืน” ในที่สุดพี่เอยก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง

“เดี๋ยวเกรซจะไปเป็นเพื่อนพี่เอยเองค่ะ” 

มือบางเคลื่อนมากุมมือชายหนุ่มไว้อย่างถือวิสาสะ แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า แต่ฉันก็อดมองยายคุณเกรซด้วยหางตาไม่ได้

ฉวยโอกาส!

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเป็นข่าวเสียหายอีก” พูดจบพี่เอยก็หยิบมือของคุณเกรซออกไปอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ ทิ้งให้นางเอกสาวได้แต่มองตามตาละห้อย แต่พี่เอยก็คงจะเห็นใจเธออยู่บ้าง จึงได้เอ่ยคำลากับเธอสั้นๆ 

“ไปก่อนนะครับ”

“บายย่ะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น