8

วันป่วน

บทที่ ๘ 

วันป่วน

 

ที่เขาว่ากันว่าทุกที่มีคนตาย และทุกที่มีวิญญาณ เห็นจะเป็นเรื่องจริง จะเรียกว่าผีเห็นผีก็ได้ เพราะตั้งแต่ฉันมาอยู่ในสภาพนี้ ฉันก็ได้เจอเพื่อนร่วมภพทุกแห่งไปจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่บริษัทของพี่เอย แต่ที่นี่ก็นับว่ายังไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับที่โรงพยาบาล เท่าที่เห็นมีประมาณหนึ่งหรือสองเท่านั้น แต่ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ใคร ส่วนมากต่างคนต่างอยู่

ยิ่งรู้จักกับแป๊ก ฉันยิ่งได้ข้อสันนิษฐานใหม่ ผีที่หลอกคนไม่ใช่ผีที่อาฆาตหรอก...เป็นผีที่ชอบแกล้งต่างหาก

จุดมุ่งหมายของพี่เอยในตอนนี้คือรถคันหรูของเขา ตอนนี้เกือบบ่ายสาม เป็นเวลาที่วันสุขรอคอยให้ฉันไปรับกลับบ้าน แต่ช่วงนี้คงต้องยกหน้าที่นี้ให้พี่เอยไปก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะปรับอารมณ์จากข่าวร้ายเมื่อครู่ได้เรียบร้อยแล้ว

การมารับวันสุขของพี่เอยครั้งนี้ราบรื่นต่างจากเมื่อวาน คงเป็นเพราะคุณครูแทบจะทั้งโรงเรียนต่างจำหน้าพี่เอยได้กันหมดแล้ว บ้างยังแอบคุยกันว่าพี่เอยอาจจะเป็นอาของวันสุข...แล้วแต่จะคิดแล้วกัน

ฉันแอบเข้าไปที่ห้องวันสุขอีกครั้งเพื่อแอบดูความเป็นอยู่ ห้องของวันสุขตอนนี้ไม่มีคุณครูประจำชั้นเฝ้า มีเพียงเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานในห้อง บ้างก็นั่งดูทีวีที่คุณครูเปิดไว้ 

แปลกจัง ทำไมต้องเปิดทีวีให้เด็กดูด้วยนะ

ฉันเป็นคนหนึ่งที่เลี้ยงลูกมาโดยไม่ได้ให้ดูทีวี สไตล์การเลี้ยงลูกแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน และฉันเลือกสไตล์นี้ ฉันชอบเวลาที่ได้พูดคุยกับลูกมากกว่า แม้ว่าวันสุขจะพูดไม่หยุดก็ตาม

แต่ภาพตอนนี้ที่ฉันเห็นคือเด็กหญิงวันสุขกำลังนั่งเกาะขอบจอทีวีดูการ์ตูนที่เป็นแมวกับหนูวิ่งไล่กัน...เปิดโลกเลยสินะลูกแม่

ระหว่างรอคิวประกาศเรียกชื่อกลับบ้าน ฉันก็เฝ้าดูวันสุขและเด็กๆ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงร่างท้วมใส่ชุดสีมังคุดอีกครั้งที่มุมห้องด้านหลัง เธอกำลังจ้องมองเด็กๆ ไม่ต่างจากฉัน ด้วยความที่ฉันเริ่มคุ้นชินกับพวกวิญญาณ วันนี้ฉันจึงเลือกเข้าไปทักเธอ

“คุณคะ”

ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ร่างท้วมนั้นหันมามองฉันด้วยสีหน้าตกใจก่อนจะลอยหายไปทันที

ท่าทางแปลกๆ ของเธอทำให้ฉันเริ่มสงสัย เธอเป็นใคร มาจ้องมองเด็กๆ ที่นี่ทำไม ใช่ว่าฉันอยากยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่เด็กๆ ที่เธอกำลังมอง หนึ่งในนั้นก็มีลูกฉันรวมอยู่ด้วย เห็นทีครั้งหน้าต้องลองคุยกับเธอใหม่ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทำอะไรต่อ เสียงประกาศเรียกตัววันสุขก็ดังขึ้น

เด็กหญิงตัวเล็กเมื่อได้ยินชื่อตัวเองก็ละความสนใจจากทุกอย่าง ก่อนจะหยิบกระเป๋า ใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกไปทันที

“ป่าาาา ป๊าาาา” วันสุขลากเสียงยาวเมื่อเห็นพี่เอยรออยู่หน้ารั้วโรงเรียน ชายหนุ่มยืนยิ้มกว้างจนตาหยี ต่างจากตอนที่ออกจากบริษัทใหม่ๆ ลิบลับ วันสุขวิ่งไปหาพ่อของเธออย่างรวดเร็วแล้วกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด

ภาพดังกล่าวทำให้ฉันหมั่นไส้สองคนพ่อลูกพอสมควร...ทำอย่างกับรักกันมาตั้งแต่ปางไหน แต่กระนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้จริงๆ

“วันนี้วันสุขอยากกินอะไรครับ” พี่เอยถามเมื่อขึ้นรถกันเรียบร้อยแล้ว

“อยากกินไข่ตุ๋นของมะม้า” 

คำตอบของคนตัวเล็กทำให้พี่เอยถึงกับชะงัก ไข่ตุ๋นแบบนั้นจะไปซื้อที่ไหนได้ถ้าไม่ทำเอง

“แต่วันนี้กินอย่างอื่นก่อนได้มั้ย ปะป๊ามีที่สนุกๆ จะพาไป” 

“ที่ไหนคะ” เด็กหญิงทำตาแป๋วซึ่งเป็นท่าประจำเมื่อเธอเกิดความสงสัย

“ที่ทำงานปะป๊า”

 

เพราะใกล้ถึงเวลานัดของพี่เอย เขาจึงดูรีบเป็นพิเศษ ในขณะที่เด็กหญิงตัวเล็กในชุดนักเรียนกระโปรงลายสกอตดูจะร่าเริงมากเมื่อเห็นความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนฉันก็ได้แต่ภาวนาขอให้ทุกคนบนรถปลอดภัย

วันสุขวันนี้น่ารักเป็นพิเศษเนื่องจากผมเปียสองข้างที่ถูกถักทออย่างประณีต แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพี่เอย แต่เป็นฝีมือของครูสักคนที่โรงเรียนที่ถักผมให้เธอ ก็เมื่อเช้าคุณพ่อมือใหม่ดันปล่อยให้ลูกสาวตัวน้อยไปโรงเรียนทั้งๆ ที่ผมยังสยาย จะบ่นก็ไม่รู้จะบ่นยังไง

ก็เขาไม่ได้ยิน!

นอกจากพี่เอยจะขับรถเร็วแล้ว ตอนนี้เขายังเพิ่มความเสี่ยงด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. อีกด้วย ขอบคุณสวรรค์

ลูกแม่...หนูต้องรอด

“อาย เดี๋ยวมึงมารอรับวันสุขหน้าบริษัท พาไปกินข้าวด้วย กูต้องรีบขึ้นไปประชุม” 

ครั้งนี้ไม่ต้องเดาให้ยากว่าเขาคุยกับใครในเมื่อเขาเอ่ยชื่อขึ้นมา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่สองพี่น้องคู่นี้ทำให้ฉันนึกอยากบีบคอข้อหาพูดจาภาษาพ่อขุนให้ลูกฉันฟัง แต่สิ่งที่ฉันทำได้มีแค่การนั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาอาฆาตผ่านกระจกหลัง

เอี๊ยดดด

ไม่ทันขาดคำ เสียงยางรถเสียดสีพื้นถนนก็ดังขึ้นเนื่องจากการเหยียบเบรกกะทันหัน วันสุขตัวโยนไปด้านหน้าเล็กน้อย ดีที่เขายังคาดเข็มขัดนิรภัยส่วนเอวไว้ให้ลูก ทันใดนั้นเองก็มีรถเก๋งอีกคันปาดหน้าเขาไป

“เชี่ย...มาแบบนี้ก็ช็อกดิ” พี่เอยพึมพำ ในขณะที่วันสุขจ้องมองพ่อของเธออย่างสนใจ

เข้าใจว่ารถคันเมื่อกี้คงมาเร็วจนต้องปาดหน้าเขา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาต้องเหยียบเบรกหัวทิ่มแบบนั้น

“ทำไมปะป๊าเบรกแบบนั้นคะ วันสุขเกือบหล่น คิกๆๆ” ดูเหมือนวันสุขจะไม่รู้สถานการณ์ตัวเองแม้แต่น้อยที่เมื่อครู่เกือบจะพุ่งไปข้างหน้าแล้ว

“เฮีย เป็นไร” เสียงคุณอายดังลอดออกมาจากโทรศัพท์อีกคน ในขณะที่พี่เอยดูเหมือนจะนิ่งค้างไป

“เปล่าครับ วันสุขนั่งดีๆ นะ เผื่อปะป๊าเบรกอีก” พี่เอยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปตอบลูกและเริ่มออกรถอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างเข้าที่ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยต่อ

“เอาเป็นว่าอีกห้านาทีลงมาเลย จะถึงแล้ว” พูดจบพี่เอยก็วางสายทันที ก่อนจะมองกระจกหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็ละสายตาไปมองถนน 

“เดี๋ยวอาอายจะพาวันสุขไปหาอะไรอร่อยๆ กินนะครับ” พี่เอยเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโทนปกติเมื่อคุยกับลูก อาการเคร่งเครียดเมื่อครู่หายไปแล้ว

“อาอายจะดุวันสุขมั้ยคะ” เด็กหญิงเอ่ยเสียงอ่อย คาดว่าเธอคงติดภาพไปแล้วว่าคุณอายเป็นคนดุจากเหตุการณ์ในช่วงเช้า ไม่รู้จะสงสารคุณอายหรือวันสุขดี

“อาอายใจดีครับ อาอายบอกปะป๊าว่าจะพาวันสุขไปกินไอติมด้วยนะ” พี่เอยตอบด้วยน้ำเสียงขำๆ

“ถ้าอาอายใจดี วันสุขจะรักอาอายก็ได้ค่ะ” 

เด็กหญิงตัวน้อยได้ยินคำว่า ‘ไอติม’ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที อาการหวาดกลัวหายไป เหลือแต่รอยยิ้มสดใสและแววตามีความหวัง ฉันได้แต่ส่ายหน้ากับความใจง่ายของลูก ทำไมถึงเปลี่ยนเร็วแบบนั้นนะ

ประมาณห้านาทีเหมือนที่พี่เอยกะ รถสปอร์ตคันหรูก็มาจอดที่ลานจอดรถหน้าบริษัท โดยมีคุณอายยืนรออยู่ด้านหน้า วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปลดกระดุมบน แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอกพร้อมกับกางเกงทรงสกินนี แผ่รังสีมหาเสน่ห์ออกมาตั้งแต่ระยะห้าร้อยเมตร สมแล้วกับที่เป็นดารานำชายอันดับหนึ่งขณะนี้ สาวๆ ที่ตามกรี๊ดมีตั้งแต่วัยประถมไปจนกระทั่งวัยเกษียณ

คิดแล้วก็นึกขำตอนที่เขาโดนฉันหลอก ถ้ามีใครสักคนถ่ายคลิปนั้นเก็บไว้ละก็...ดังแน่

เมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อย พี่เอยก็หันมาคุยกับวันสุขอีกครั้ง

“ให้อาอายดูแลนะครับ” เขาเอ่ยกับวันสุขก่อนจะหันมาด้านหลังรถ เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อย่าไปหลอกอาอายล่ะ”

“โอเคค่า” วันสุขตอบรับเสียงใส

นั่นเขาพูดกับวันสุขใช่ไหมนะ...

End Wanjun’s talk

 

Chavis’ talk

หลังจากลงรถ ผมส่งต่อวันสุขให้อายอย่างรวดเร็ว การประชุมเพื่อปรับผังของช่องนับเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมเป็นคนนัดเอง เพราะฉะนั้นผมต้องไปให้ทันเพื่อป้องกันการเหน็บแนมจากเลขาฯ เจ้าระเบียบอย่างคุณมล บางทีผมก็สงสัยว่าเธอเห็นผมเป็นเจ้านายจริงๆ หรือเปล่า 

อีกสองนาทีจะถึงเวลานัด เป็นเวลาที่ผมเดินเข้าห้องประชุมพอดี ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีใครมาสายแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพราะผมเน้นเรื่องการตรงเวลา ผมไม่เคยบอกให้พนักงานมาเช้า จะมาตอนไหนก็ได้ แต่งานต้องเสร็จทันเวลา ผมปล่อยให้พวกเขามีอิสระในการคิดและสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ในวิธีของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเล่นเกมไปด้วยทำงานไปด้วย ตราบใดที่ผลงานออกมาดีและตรงเวลา นั่นก็ถือว่าโอเค

แต่การประชุมวันนี้กลับต่างจากครั้งอื่นๆ จิตใจของผมจดจ่อกับงานได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งยังวนเวียนอยู่กับใบหน้าของใครบางคนที่ลอยเข้ามาเป็นช่วงๆ

มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ผมไม่เคยคิด และไม่มีวันคิดว่าจะเชื่อ จนกระทั่งผมได้สัมผัสกับตัวเองเมื่อสองวันมานี้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็ตามพูดถึงเรื่องผีสาง วิญญาณ หรือไสยศาสตร์ ผมได้แค่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่วันนี้ผมกลับเจอเรื่องไร้สาระนั้นเข้าอย่างจัง

ผมเริ่มรู้สึกตงิดๆ ตั้งแต่ที่ฝันประหลาดเมื่อวาน และความรู้สึกก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ผมไปรับวันสุขมาจากโรงเรียน ผมรู้สึกเหมือนมีใครตามผมอยู่ตลอดเวลา มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผมรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง บางครั้งก็รู้สึกเย็นวูบที่ต้นคอ ผมพยายามบอกตัวเองว่าผมคิดไปเอง

แต่แล้วคำบอกเล่าของน้องชายร่วมท้องแม่ก็กวนตะกอนความคิดผมกลับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาพูดถึงผู้หญิงผมยาวใส่ชุดลายดอกสีฟ้า แม้ผมจะรู้ว่าอายมันกลัวผีมาตั้งแต่เด็ก แต่ใครมันจะบรรยายได้ละเอียดเป๊ะขนาดนั้นถ้าไม่เห็นจริงๆ แต่เพื่อไม่ให้น้องชายผมช็อกตายไปก่อนที่จะได้แต่งงาน ผมจึงได้แต่บอกเขาว่าเขาน่าจะคิดไปเอง 

ความรู้สึกของผมมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเห็นเงารางๆ ที่มักจะวนอยู่รอบตัววันสุข อีกทั้งการที่เธอเข้าฝันเพื่อมาปลุกผม ผมจึงมั่นใจเรื่องนี้มากขึ้น แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป ผมกลัวว่าเธอจะรู้ตัวแล้วอาจจะตกใจ หนีไป หรืออะไรสักอย่าง ผมยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของเธอ และไม่ใช่แค่ผมที่มองเห็นเธอ แม้แต่ผู้คนรอบข้างก็เริ่มทักผมเรื่องเงาแปลกๆ ซึ่งผมก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไป

ผมคิดว่าที่เธอมาตามผมคงไม่ใช่เพราะเธออยากอยู่กับผมแน่ๆ แต่คงเป็นเพราะเธอห่วงลูกมากกว่า เธอทำตัวเป็นผีมนุษย์แม่ที่ติดตามลูกอยู่ตลอดเวลา 

หลังจากรับวันสุขมาจากโรงเรียน สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง เมื่อครั้งนี้สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่เงา แต่เป็นเธอตัวเป็นๆ ที่นั่งทำหน้าโมโห ไฟลุกหัวราวกับโกรธแค้นผมมานานแสนนาน ภาพนั้นทำให้ผมตกใจจนเผลอเหยียบเบรกไปเต็มเท้า จนรถที่ตามมาด้านหลังเสียหลักและเกือบชนท้ายเข้าให้ โชคดีที่เขาหลบทันก่อนที่จะแซงเราไป 

เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าเรียวของวันจันทร์ก็หายไปจากกระจกมองหลังของผม แต่ผมคิดว่าเธอคงไม่ได้ไปไหน เธอยังอยู่ เพียงแต่ผมมองไม่เห็นเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับคำว่าวิญญาณ ผมไม่ได้รู้สึกกลัวเธอ แต่ก็ตกใจใบหน้าโหดๆ ของเธอตอนนั้นอยู่ดี ทำเหมือนกับผมไปทำอะไรผิดเอาไว้

หรือว่าเรื่องเกรซ...แต่ช่างมันเถอะ 

“คุณเอยคะ มติในที่ประชุมเห็นด้วยค่ะ” คุณมลกระซิบบอกผม ดึงสติให้ผมกลับมาอยู่ในห้องประชุมอีกครั้ง

เรื่องการปรับผังรายการตามที่เคยเสนอมาคร่าวๆ ผมเห็นด้วยกับทางทีมงานทุกประการ การประชุมครั้งนี้ก็เพื่อลงมติให้เป็นเอกฉันท์เท่านั้น

“ตามนั้นครับ”

หลังจากนั้นเลขาฯ การประชุมก็ดำเนินการสรุปเนื้อความทั้งหมดที่เราประชุมมากันเกือบสองชั่วโมง ก่อนที่สุดท้ายจะจบลงด้วยเรื่องการจากไปของคู่ค้าทางธุรกิจของเรา รวมทั้งเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของผม 

“เรื่องงานศพของคุณบุรินทร์กับคุณวีณา ทางบริษัทเราจะเป็นเจ้าภาพร่วมในคืนพรุ่งนี้นะคะ” 

ทุกคนในที่ประชุมไม่มีใครคัดค้าน การประชุมก็จบลงอย่างกระชับไม่ยืดเยื้อ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ บางคนถึงเวลาเลิกงานก็กลับบ้านพอดี ส่วนพรุ่งนี้เป็นนัดใหม่ของผมที่คุณมลต้องจดบันทึกลงไป 

ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องไปงานศพของเพื่อนทั้งสองคนพร้อมกันแบบนี้ สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จนกลายมาเป็นคู่รักที่รักกันมาก พวกเขาสร้างธุรกิจด้านสื่อและโฆษณาร่วมกันจนบริษัทเริ่มเติบโต อย่างว่า...แม้แต่ความตายก็พรากพวกเขาไม่ได้

พูดถึงเรื่องความตาย ใบหน้าของวันจันทร์ก็ลอยขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง ยังมีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อทางโรงพยาบาลบอกว่าร่างกายเธอเริ่มตอบสนองแล้ว แต่ทำไมวิญญาณเธอยังมาวนเวียนอยู่แถวนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อออกจากห้องประชุม กะว่าจะโทร. ไปถามอาการของวันจันทร์กับทางโรงพยาบาล แต่แล้วชื่อของคนที่โทร. เข้ามาก็ทำให้ผมต้องรีบรับสายก่อน

‘AI’

“เออ ว่าไง” ผมรับสาย ผมกับน้องชายไม่ใช่พี่น้องมุ้งมิ้งที่จะโทร. คุยกันเล่นๆ ทุกครั้งต้องมีเรื่องหรือมีธุระอะไรสักอย่าง แล้วการที่ผมฝากลูกไว้กับน้องยิ่งทำให้ผมใจไม่ค่อยดี

“เฮีย เรื่องใหญ่แล้ว” เสียงอายฟังดูตื่นตระหนกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลางสังหรณ์บอกผมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก 

“พูดมา ไวๆ” 

“วันสุขหายไป”

คำพูดของอายแทบจะทำให้โทรศัพท์หลุดร่วงจากมือผม คำว่า ‘วันสุขหาย’ ให้ความรู้สึกเหมือนมีค้อนหนักๆ มาทุบกลางหัวผม

“เหี้ยแล้วมั้ยล่ะ” คำสบถหยาบคายที่ผมใช้จนเป็นนิสัยหลุดออกมาอีกครั้ง เพราะนอกจากจะเป็นห่วงวันสุขจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ผมยังต้องเป็นห่วงน้องชายด้วยว่ามันอาจจะโดนผีแม่ของลูกหักคอ!

End Chavis’ talk

 

Wanjun’s talk

สิบนาทีที่แล้ว

จะว่าไปคุณอายนี่ก็หลอกล่อเด็กได้เก่งไม่ต่างจากพี่ชายของเขาเลย เขาสามารถโน้มน้าวให้วันสุขไปกินอาหารกับเขาได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คงเป็นเพราะวันสุขก็หิวอยู่แล้วด้วย 

หลังจากทั้งสองคนกินอาหารกันเรียบร้อย เขาก็พาวันสุขกลับมาที่บริษัทอีกครั้ง โดยตั้งใจว่าจะพาไปรอที่ห้องทำงานของพี่เอย แต่ดูเหมือนว่าคุณอายจะต้องแวะเอาของที่ชั้นสิบเอ็ดก่อน จากนั้นค่อยเดินขึ้นไปที่ชั้นสิบสามทางบันไดหนีไฟ

“วันสุขปวดฉี่มั้ย” คุณอายถามขณะที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านห้องน้ำของชั้นสิบสอง นับว่าเขารอบคอบพอสมควร เด็กๆ บางทีถ้าไม่ถามก็ชอบลืม รู้ตัวอีกทีก็ปวดมากจนวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน

“ไม่ค่ะ” วันสุขส่ายหน้าจริงจัง คิดว่าก่อนออกมาจากโรงเรียนเธอคงเข้าห้องน้ำไปแล้ว

“งั้นพาอาอายไปเข้าห้องน้ำหน่อยครับ อาอายอยากเข้าห้องน้ำ” จุดประสงค์ที่แท้จริงของดาราหนุ่มไม่ใช่เพื่อเช็กว่าหลานปวดไหม แท้จริงแล้วเขานั่นแหละที่อยากเข้าห้องน้ำ

วันสุขเดินตามอาอายของเธอไปแบบไม่พูดไม่จา แต่แล้วเด็กหญิงก็หยุดกึกหน้าห้องน้ำชนิดที่ช้างมาฉุดนางก็ไม่เดินต่อ เมื่อเธอเห็นสัญลักษณ์ตรงหน้าที่เธอเคยเรียนรู้มาแล้วก่อนหน้านี้

“วันสุขไม่เข้าห้องน้ำผู้ชาย” เด็กน้อยส่ายหน้ารัวๆ พร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง

“เข้ามาเป็นเพื่อนอาเฉยๆ ครับ” คุณอายอธิบายพร้อมกับกวักมือเรียกเธอเข้าไปข้างใน

“มะม้าบอกว่าถ้ามีผู้ชายชวนเข้าห้องน้ำผู้ชายให้รีบหนี เขาเป็นคนไม่ดี” คนตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานพร้อมกับทำหน้าไม่พอใจ 

มีบ่อยครั้งที่เด็กผู้หญิงมักจะถูกรังแกในห้องน้ำชายจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ ฉันจึงต้องสอนลูกเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอ แต่ลูก...มะม้าขอโทษที่สอนไม่จบ มะม้าหมายถึงผู้ชายแปลกหน้าและรุ่นพี่ที่โรงเรียน

“แต่นี่อาอายไงครับ อาอายแค่จะเข้าห้องน้ำเอง” ชายหนุ่มทำเสียงลำบากใจ 

“งั้นอาอายเข้าห้องน้ำ วันสุขจะยืนรอตรงนี้” วันสุขเริ่มต่อรอง เธอยังคงยึดมั่นกับคำสอนของฉันมากจนไม่ยอมเข้าห้องน้ำ การพูดจาที่รู้เรื่องฉะฉานของวันสุขทำให้คุณอายเริ่มลังเล นี่ลูกฉันโตมากพอที่จะรู้จักการรอคนเดียวแล้วหรือนี่

“โอเค งั้นอาเข้าห้องน้ำแป๊บนึง วันสุขอย่าไปไหนนะครับ” หลังจากทำหน้าคิดหนักอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ตอบ

“ดะ...เดี๋ยวสิคุณอาย ปล่อยเด็กไว้แบบนี้ไม่ได้นะ” ฉันพยายามตะโกนบอก แต่แน่นอนว่าไร้ผล ร่างสูงหายวับเข้าประตูห้องน้ำชายไปแล้ว

การเจรจาต่อรองของวันสุขทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเธอไม่น้อยที่เธอรู้จักเอาตัวรอด รู้จักปฏิเสธ และรู้ว่าที่ไหนปลอดภัย แต่แล้วทันทีที่อาอายของเธอพ้นไปจากสายตา คนตัวเล็กก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะออกวิ่งจากหน้าห้องน้ำทันที

“วันสุขจะไปไหนลู้กกก!” 

เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ฉันได้แต่กรีดร้องอย่างตื่นตระหนกก่อนจะรีบลอยตามลูกไปติดๆ ลูกแม่ หนูมีมารยาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หลอกอาอายและมะม้าเสียสนิท แถมยังวิ่งหนีมาแบบนี้

เด็กหญิงวิ่งไปรอบๆ ชั้นสิบสอง และพบว่ากำลังจะวนกลับไปหน้าห้องน้ำเช่นเดิม สิ่งที่เธอทำคือวิ่งไปยังทางหนีไฟที่ประตูเปิดค้างไว้ ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปหนึ่งชั้น

“วันสุข กลับไปหาอาอายยย”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนตัวเล็กที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งราวกับกลัวว่าใครจะมาจับตัว บางทีหนูอาจจะฟังนิทานลูกหมูสามตัวมากเกินไป ถึงได้มองอาอายราวกับเขาเป็นหมาป่าหื่นกระหายแบบนั้น

ความรู้สึกของฉันตอนนี้เหมือนจะบ้าที่อยู่ๆ ลูกก็วิ่งหนีจากที่ที่ปลอดภัยไปผจญภัยในโลกกว้าง ไม่รู้ว่าเธอจะเจอกับใคร และไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรเธอหรือไม่ ในขณะที่ฉันทำได้แค่เฝ้ามอง อยากจะโกรธก็ไม่รู้จะโกรธใคร ทั้งคุณอายทั้งพี่เอย อารมณ์แบบอยากโกรธแต่ดันเข้าใจเหตุผล พวกเขาไม่ผิด วันสุขไม่ผิด หรือเป็นฉันเองที่ผิดที่ดันเป็นผีอยู่ตอนนี้

“วันสุข รอมะม้าด้วยยย”

วันสุขยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินผ่านห้องที่เป็นฉากการแสดง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และอาจจะลืมไปแล้วว่าตัวเองวิ่งหนีอะไรมา เด็กหญิงตัวเล็กก็แวะดูห้องนั้นห้องนี้อย่างสนุกสนาน ฉากแฟนตาซีต่างๆ ทำให้เธอหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ฉันกำลังจะคลั่ง

สนุกเหรอลูก...ดูหน้าแม่ด้วย!

หลังจากเข้าห้องนู้นทีห้องนี้ที หนูน้อยก็เริ่มเดินช้าๆ เพื่อสำรวจแต่ละห้องอย่างตั้งใจ ใช่แน่ๆ เธอลืมเรื่องที่วิ่งหนีคุณอายไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ความตื่นตาตื่นใจตรงหน้าต่างหากที่ดึงดูดเธอ

แน่นอนว่าวันสุขไม่เหมือนฉันที่ไปไหนมาไหนไม่มีคนเห็น มีทีมงานเห็นเธอเดินไปเดินมา หลายคนมองอย่างสนใจ แต่พอจะมีใครมาเข้าใกล้ วันสุขก็จะหนีไปอีกครั้ง จนเริ่มมีเสียงของเหล่าพนักงานคุยกันว่าเด็กคนนี้มาจากไหน

ใจจริงฉันก็อยากจะไปตามพี่เอยหรือคุณอายมาช่วยรับวันสุขกลับไป แต่กลัวว่าถ้าคลาดสายตาจากเธอแล้ว ฉันจะหาเธอไม่เจอ คราวนี้ยิ่งหนักไปใหญ่ สุดท้ายฉันจึงได้แต่จ้องมองเธอไม่ให้คลาดสายตา 

มีแวบหนึ่งที่ฉันแอบคิดว่าถ้าฉันทำให้วันสุขมองเห็นฉัน จากนั้นพาเธอไปหาพี่เอยได้ก็คงจะดี แต่แบบนั้นคงเป็นคำถามค้างคาใจเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไปตลอดชีวิตว่ามะม้าของเธอเป็นตัวอะไร

“มะม้า” 

เสียงเรียกของวันสุขทำให้ฉันสะดุ้ง ตอนแรกคิดว่าเธอมองเห็นฉัน แต่ไม่ เธอยังคงหันหลังให้ฉันและจ้องมองไปที่ห้องห้องหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด นั่นเป็นห้องที่ใช้ตัดต่อพวกไฟล์ดิบแบบคร่าวๆ คนตัวเล็กค่อยๆ แนบหูกับประตูเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง

“มะม้า” เธอพึมพำ ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะผลักประตูเข้าไป

ชายสองคนกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต่อเรียงกันอยู่ประมาณหกจอ หนึ่งในจอนั้นกำลังฉายภาพของฉันที่เป็นพิธีกรอยู่ นั่นเป็นเทปสุดท้ายก่อนที่ฉันจะเกิดอาการหัวใจหยุดเต้น

“มะม้า!” วันสุขตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ จนคนที่นั่งทำงานอยู่สะดุ้งโหยง ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับมามองเธอ

“เด็กที่ไหนวะเนี่ย” ชายร่างท้วมทักขึ้นเสียงดัง ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยหนวดเครา และนั่นทำให้วันสุขมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“มึงก็เบาๆ หน่อย เห็นมั้ยน้องเขากลัวแล้วน่ะ” ชายอีกคนสะกิดเพื่อน เขามีลักษณะตรงข้ามกับเพื่อนหน้าหนวดของเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่เล็กและใบหน้าที่ดูติ๋มๆ แต่บริษัทนี้ไม่ว่าใครก็เหมือนกันตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้อง ชอบพูดไม่เพราะใส่เด็ก

“มะม้าอยู่ในนั้น” เด็กหญิงเอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา ใจหนึ่งคงกลัว อีกใจหนึ่งก็คง...คิดถึงฉัน

“มะม้าอยู่ไหนครับ” น้องหน้าติ๋มถามวันสุขด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้คนฟังเริ่มคลายกังวล

“ในทีวี” มือเล็กๆ ชี้ไปที่จอที่มีฉันกำลังถือไมโครโฟนแนะนำรายการอาหารอยู่

“พิธีกรคนนั้นน่ะเหรอ” ชายหนุ่มถามซ้ำ ส่วนวันสุขก็ได้แต่พยักหน้าตอบหงึกๆ

“มึง ได้ข่าวว่าพี่เขานอนอยู่โรงพยาบาล” คนหน้าหนวดกระซิบ แปลว่าข่าวของฉันก็มีคนรู้พอสมควรสินะ

“แล้ววันนี้หนูมาที่นี่กับใครครับ” น้องหน้าติ๋มถามอีกครั้ง ในขณะที่ฉันขอบคุณสวรรค์เป็นรอบที่ร้อยที่คนที่วันสุขมาเจอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร

“มากับปะป๊า...”

ผลัวะ!

ไม่ทันที่วันสุขจะพูดจบ ประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรงรวดเร็ว พร้อมกับร่างของใครบางคนที่รีบก้าวเข้ามาคว้าตัววันสุขไปไว้ในอ้อมกอดโดยที่คนตัวเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว และดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจคนอื่นที่อยู่ในห้องเลยแม้แต่น้อย

“เจอซะที หาตั้งนาน” เจ้าของวงแขนแกร่งเอ่ยก่อนจะอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กออกไปจากห้องโดยไม่ได้สนใจสายตาของเจ้าถิ่นทั้งสองคนที่มองเขาอย่างตื่นตะลึง

เมื่อร่างสูงลับตาไป เหลือเพียงน้องหน้าติ๋มกับเพื่อนหน้าหนวดอยู่กันสองคนในห้อง ทั้งสองดูเหมือนจะนิ่งค้างไปเหมือนเพิ่งเจอเรื่องราวประหลาดสุดชีวิต

“พ่อน้องเขา...”

“พี่อาย...”

ท่าทางราวกับคนละเมอของทั้งสองคนทำเอาผีที่แอบดูอยู่อย่างฉันได้แต่ยิ้มแหยๆ สงสัยจะมีข่าวใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าละมั้ง

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น