9

สบตาสิ

บทที่ ๙

สบตาสิ

 

ฉันละความสนใจจากคู่หูอ้วนผอมทั้งสองคนก่อนจะตามคุณอายกับวันสุขไปอย่างรวดเร็ว วันสุขมีท่าทีมึนงงเล็กน้อย เป็นอย่างที่ฉันคิด เธอลืมไปแล้วว่าตัวเองหนีเขามา แถมยังทำให้คนอื่นเขาวิ่งตามหากันให้วุ่น ดูได้จากสีหน้าของคนเป็นอาตอนนี้

“ปะป๊าของหนูเป็นห่วงมากเลยรู้มั้ย” คุณอายเอ็ดคนตัวเล็กเบาๆ ในขณะที่เธอดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นัก

คนตัวโตหอบร่างของเด็กหญิงขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบสาม ตรงไปยังห้องทำงานของพี่เอย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร. หาใครบางคน

“เจอแล้วเฮีย ขึ้นมาห้องเลย” ชายหนุ่มพูดอย่างเหนื่อยหอบ ก็เขาเล่นอุ้มวันสุขวิ่งมาที่นี่อย่างเร่งรีบ จะไม่ให้หอบได้อย่างไร แต่ไม่ทันที่จะหายเหนื่อย เขาก็ต้องเหงื่อตกอีกรอบเมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังจะปีนขึ้นโต๊ะทำงาน

“วันสุข ตรงนั้นมันสูง ลงมานั่งกับอาตรงนี้เร็ว”

“คิกๆ” 

เสียงร้องห้ามของผู้เป็นอาไม่ได้มีผลต่อเด็กหญิงผมเปียแต่อย่างใด เธอยังคงทำเรื่องท้าทายโดยการปีนขึ้นโต๊ะและทำท่าจะกระโดดลงมา

คนภายนอกอาจจะมองว่าเด็กคนนี้ดื้อและซน ฉันไม่ได้จะเข้าข้างลูกนะ แต่อาการแบบนี้มันเป็นอาการของเธอเวลาง่วง รู้อะไรไหม เด็กน่ะการทำงานของสมองไม่เหมือนผู้ใหญ่ เมื่อไหร่ที่เขาง่วง สมองหรือร่างกายเริ่มล้า การควบคุมตัวเองและการยับยั้งชั่งใจจะลดลงอย่างอัตโนมัติ และนั่นทำให้เขาแสดงออกมาด้วยการเล่นซน ไม่ฟังคำใคร หรือไม่ก็ดรามาร้องไห้ง่ายเป็นพิเศษ

ฉันรู้ดีว่าในเวลาแบบนั้นฉันจะไม่สามารถควบคุมลูกได้ และฉันก็รู้ว่าลูกของฉันไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน สิ่งที่ฉันทำได้คือป้องกันไม่ให้เขาง่วง เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วที่ฉันต้องเข้าบ้านก่อนหนึ่งทุ่มเพื่อพาลูกเข้านอนให้ไว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครต้องมาเดือดร้อนจากอาการ ‘เมาง่วง’ ของเธอ

แต่เวลานี้ฉันคงทำอะไรไม่ได้ ขอโทษนะคุณอาย สัญญาว่าจะไม่หลอกคุณอีก...ถ้าไม่จำเป็น

“วันสุข มันจะตกลงมารู้มั้ย” คุณอายเริ่มทำเสียงดุพร้อมกับก้าวเข้าไปอุ้มยายเด็กขี้เมาคนนั้นลงมา แน่นอนว่าหนูน้อยผู้ไร้สติมีหรือจะยอมง่ายๆ เธอดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมกอดเขาอย่างรุนแรงก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา

“ฮือๆๆๆ ไม่เอาๆๆๆๆ ฮืออออ” 

และยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้สงบลง ประตูห้องทำงานก็เปิดออกพร้อมกับร่างของใครบางคนที่พุ่งพรวดเข้ามา 

พ่อตัวจริง...

“อาย มึงทำอะไร” พี่เอยขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือน้องชายตัวโตกำลังหิ้วลูกสาวตัวน้อยเอาไว้ด้วยท่าทางประหลาด ในขณะที่เด็กหญิงกำลังดิ้นไปมาทุรนทุราย แถมยังกรีดร้องปานใจจะขาด ถ้าฉันเปิดเข้ามาแล้วเห็นภาพแบบนี้ฉันก็เคืองไม่น้อยเช่นกัน แต่ประเด็นคือฉันเห็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ งานนี้ไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากจะบอกให้คุณอายไปทำบุญเสียบ้าง

“ก็ลูกเฮียปีนโต๊ะ แล้วกำลังจะกระโดดเอาหัวโหม่งพื้นก็แค่นั้น” ดาราหนุ่มตอบอย่างหัวเสียพร้อมกับส่งร่างเล็กที่กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กคืนให้คนเป็นพ่อ “กูก็เลยเอาลงมานี่ไง”

วันสุขเมื่อกลับคืนสู่อ้อมอกของพี่เอย เธอก็สงบลงอย่างประหลาด มือเล็กสองข้างโอบคอคนเป็นพ่อเอาไว้ก่อนจะซุกหัวลงไปซบซอกคอเขาด้วยท่าทางอ่อนแรง เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่เล็กน้อย

“พี่เอย คุณอายช่วยวันสุขไว้จริงๆ นะ” ฉันพยายามออกตัวเป็นพยานให้คุณอายในขณะที่บรรยากาศในห้องทำงานคุกรุ่น แต่พี่เอยก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมองเห็นฉันอีกเลยแม้แต่น้อย ฉันจึงทำได้แค่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จะดังมาจากทั้งคู่

“เฮียเข้าใจผิดเอง โทษที” ในที่สุดพี่เอยก็เอ่ยคำขอโทษออกมา ผีที่แอบลุ้นอยู่อย่างฉันถ้าทำได้ก็อยากจะถอนหายใจเฮือกใหญ่บ้างเพื่อแสดงความโล่งอก

“ขอโทษเหมือนกันเฮีย...ที่ดูหลานไม่ดี”

“ไม่หรอก มึงทำดีแล้ว ขอบคุณที่ดูแลวันสุข ขอโทษแทนลูกกูด้วย” 

พี่เอยตบบ่าน้องชายเบาๆ ก่อนที่ทั้งสองคนจะมองตากันอย่างเข้าอกเข้าใจ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ฉันต้องลุ้นจะแย่ว่าพี่น้องคู่นี้จะตีกันหรือไม่ 

“วันสุขขอโทษอาอายด้วยนะลูก!”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ตัวต้นเหตุจะเริ่มไม่รับรู้อะไรแล้ว ใบหน้าของคนตัวเล็กดูเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน ดวงตาทั้งสองเริ่มปรือจนแทบลืมไม่ขึ้น มือน้อยๆ ที่โอบคอปะป๊าเริ่มหลุดร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก

สร้างเรื่องไว้แล้วก็หลับหนี...

“ตัวแสบไปก่อนเพื่อนแล้วไง” คุณอายทักขึ้นพร้อมกับทำเสียงขำ อย่างน้อยเขาก็ดูไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรวันสุขเท่าไหร่นัก

“มิน่าล่ะ ทิ้งน้ำหนักเชียว” พี่เอยเอ่ยเสียงเบาจนแทบจะกระซิบพลางลูบหัวคนในอ้อมอกไปด้วย

“เอาไงล่ะเฮีย” 

“มึงขับรถกูกลับแล้วกัน เดี๋ยวกูอุ้มวันสุข”

สุดท้ายสองศรีพี่น้องตระกูลบริพจน์ก็พากันหอบร่างไร้สติของเด็กหญิงขึ้นรถซูเปอร์คาร์คันหรูนั่น โดยไม่ได้รู้เลยว่า นอกจากฉันที่เฝ้ามองแล้ว ยังมีดวงตาอีกมากกว่าสิบคู่ที่มองพวกเขาด้วยความสงสัยตั้งแต่เดินออกมาจากลิฟต์ ก็จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง คนหนึ่งก็ไฮโซแบดบอยชื่อดังเจ้าของช่องทีวีที่ไม่เคยออกปากคบกับใครจริงจัง ส่วนอีกคนก็ซูเปอร์สตาร์ตัวพ่อที่ไม่เคยมีข่าวเสียหาย งานนี้ก็โยนหัวก้อยเลยแล้วกันว่าแจ็กพอตจะลงที่ใคร

...แต่ดูท่ามันจะเอนไปทางคุณอายน่ะสิ

เกือบสี่สิบนาที รถก็มาจอดใต้คอนโดอีกครั้ง วันสุขหลับตาพริ้มตลอดการเดินทาง ท่าทางเธอดูเหนื่อยล้าสุดๆ ขอเดาว่าวันนี้เธอคงไม่ยอมนอนกลางวันเป็นแน่

พี่เอยกับคุณอายแยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง แต่ดูเหมือนคุณอายจะยังมีความหลังฝังใจกับลิฟต์ตัวเดิม เขาจึงขอร้องให้พี่เอยไปส่งเขาที่ห้องก่อน ดูท่าจะกลัวจริงๆ ระหว่างทางก่อนกลับห้องดูเหมือนจะมีใครบางคนมายืนรอฉันอยู่หน้าลิฟต์ชั้นยี่สิบห้า เด็กหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีคนนั้น

“เจ้าแป๊ก” ฉันปล่อยให้พี่เอยกับวันสุขกลับห้องไปก่อน ในขณะที่ตัวเองแวะคุยกับเจ้าผีขี้แกล้งที่มายืนดักรอ

“เจ้ คืนนี้ตีสามพวกเฮียเขาจะนัดประชุม ไปมั้ย” แป๊กถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อาจจะมีใครสักคนมีเบาะแสก็ได้นะ”

คำว่าเบาะแสทำให้ฉันตาวาว ตอนนี้อะไรที่ทำให้ฉันกลับร่างได้ไวขึ้นฉันจะยอมทำทุกอย่าง

“ไปสิไป ตีสามใช่มั้ย จะตามไปนะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ขอบคุณมากที่มาแจ้งข่าว”

“มีอีกเรื่องเจ้” แป๊กทำเสียงกระซิบพร้อมกับมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวใครจะมาแอบฟัง “ผมไปแอบถามรุ่นพี่ที่เคยติดต่อกับมนุษย์บ่อยๆ มาแล้วว่าเขาทำได้ยังไง”

เรื่องที่สองของแป๊กทำให้ฉันตาโตยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าวันนี้พี่เอยจะทำเหมือนเห็นฉัน แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาเห็นฉันแค่ชั่ววูบ ที่ฉันต้องการคือสามารถอยู่และพูดคุยกับเขาได้เท่าที่ต้องการต่างหาก

“ทำไงๆ” ฉันถามอย่างเร่งรัด 

“เขาบอกว่า มนุษย์กับวิญญาณจะเปิดสัมผัสรับรู้กันและกันได้มากขึ้นถ้าสบตา”

สบตางั้นเหรอ...

ดูท่าแป๊กตั้งใจจะแวะมาบอกเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะหลังจากที่บอก เขาก็ขอตัวกลับบ้านไป ส่วนฉันก็ลอยกลับห้องพี่เอยพร้อมกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว

ฉันต้องลองสบตาเขา

วันสุขหลับสนิทอยู่บนเตียงของพี่เอยพร้อมกับผ้าห่มสีเหลืองที่แสนนุ่มฟูของเธอ ดูสภาพนี้แล้วตื่นอีกทีคงเช้า ส่วนพี่เอยตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย บนโต๊ะมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สงสัยจะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ช่วงเย็น

ฉันลองลอยไปวนเวียนอยู่รอบตัวเขาครู่ใหญ่ แต่เหมือนเขาจะไม่รู้สึกอะไร ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองนอกจากหยิบตะเกียบคีบเส้นบะหมี่กิน 

ภาพการกินบะหมี่อันแสนเอร็ดอร่อยของเขาทำให้ฉันอดสะเทือนใจไม่ได้ นี่ก็เกือบจะสองวันเต็มๆ แล้ว แต่ฉันกลับไม่รู้สึกถึงความหิวเลย เป็นผีเต็มตัวแล้วสินะ

เมื่อเห็นว่าการวนไปเวียนมาไม่ได้ช่วยให้เขามองเห็น สิ่งที่ฉันทำคือไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเอามือเท้าคางและจ้องหน้าเขาไปด้วย แต่คนตรงหน้าก็ยังคงกินอย่างสบายใจ ไม่มีแววว่าจะรู้สึกถึงฉันเลยแม้แต่น้อย

“พี่เอย เห็นจันทร์มั้ย”

“พี่เอย...”

แม้ว่าจะไม่มีการตอบรับใดๆ แต่ฉันก็ยังไม่ละความพยายาม ยังตามติดเขาไปทุกที่ไม่ว่าเขาจะเดินไปซ้ายหรือขวา จะยืนหรือจะนั่ง และพยายามทุกทางที่จะสบตาเขาตลอดเวลา

“พี่เอย”

ด้วยความหงุดหงิดใจที่เขาไม่ยอมเห็นฉันเสียที ระหว่างที่เขานั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาและดูข่าวในทีวี ฉันจึงพาร่างของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าเขา ขอย้ำว่าตรงหน้าเขา ถ้าเป็นคนคงอยู่ในสภาพนั่งคร่อมตักก็ไม่ปาน ใบหน้าของเราทั้งคู่จ่อกันจนแทบจะแนบชิด ดูซิว่าสายตาเราจะคลาดจากกันได้อีกมั้ย

“พี่เอย” ฉันเรียกเขาซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ถ้าเสียงแหบได้ก็คงแหบไปแล้ว

และแน่นอนว่าเขาก็ยังไม่ตอบอีกเช่นเคย

ความพยายามตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่เป็นผล พี่เอยยังคงนิ่งสนิทราวกับฉันไม่มีตัวตน ความผิดหวังเริ่มแสดงออกผ่านสีหน้าของฉันไม่ว่าจะมุมปากหรือหางคิ้วที่ตกลง

“ก็แค่อยากคุยด้วย ทำไมไม่ได้ยินซะที” ฉันตัดพ้ออย่างหมดหวัง รู้ทั้งรู้ว่าเขาคงไม่ได้ยิน

แต่แล้วใบหน้าที่ฉันตามติดอยู่กลับปรากฏรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปนั้นจะขยับเป็นจังหวะเพื่อเปล่งเสียง

“ถ้าใกล้กว่านี้ก็จะสิงพี่แล้วนะ”

End Wanjun’s talk

 

Chavis’s talk

คำเอ่ยทักของผมทำให้แม่ผีสาวที่กำลังจะคร่อมผมด้วยท่าทางล่อแหลมแบบไม่รู้ตัวเด้งตัวออกจากผมอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าผมจะรู้สึกอย่างไรดีกับภาพตรงหน้า ผมกำลังเจอผีตัวเป็นๆ แถมเป็นผีที่เป็นแม่ของลูก ที่ร้ายกว่านั้น แม้ว่าเธอจะเป็นผี แต่เธอก็ยังเซ็กซี่...เหมือนในฝัน

บ้าฉิบ! ไอ้เอย นั่นผี!

“พี่เห็น?” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเธอชัดๆ ไม่นับตอนที่เจอในฝัน

“ชัดมาก” ผมตอบพร้อมกับจ้องมองเธออย่างไม่ลดละ ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามขยับตัวสลับไปมาซ้ายขวาเพื่อทดสอบว่าผมเห็นเธอจริงหรือไม่...เห็นจริง ชัดยิ่งกว่าทีวีจอภาพโฟร์เค

“เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอถามซ้ำ สีหน้าดูตื่นตระหนก ทั้งๆ ที่เธอบอกว่าอยากคุยกับผม

“ตั้งแต่ที่จันทร์เข้ามาในห้อง”

อันที่จริงผมเห็นเธอทำหน้ายักษ์ตั้งแต่ในรถแล้ว หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นเธออีก จนกระทั่งประมาณยี่สิบนาทีที่แล้วที่ผมเห็นร่างบางของเธอลอยอยู่เหนือเตียงลูก ก่อนที่เธอจะมาวนเวียนอยู่รอบตัวผมเสียอีก

แม้ว่าเธอจะเป็นวิญญาณ แต่สีหน้าและการแสดงออกของเธอก็ไม่ต่างจากตอนเป็นมนุษย์ เธอขมวดคิ้วจ้องมองผม บางครั้งก็กลอกตามองบน บ้างก็แอบแลบลิ้นให้ผมโดยที่คิดว่าผมไม่เห็น ตลกดีที่อยู่ๆ ก็มีคนมาทำแบบนั้นใส่ ผมแสร้งไม่สนใจเธอ อยากรู้ว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง

ผมเชื่อว่าเธอคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ะหุ่นเอกซ์แค่ไหน ถึงได้กล้าขึ้นคร่อมตักผมด้วยท่าทางชวนให้คิดไปไกลแบบนั้น นี่ยังไม่นับเวลาที่เธอมาเข้าฝันผม...คิดแล้วมันก็น่าจับมาตีก้น ผู้หญิงอะไรไม่รู้จักระวังตัว แล้วแบบนี้จะสอนลูกของผมได้ยังไง!

แม้ว่าจะมันเขี้ยวผีสาวที่น่าตีนี้แค่ไหน แต่สายตาเศร้าสร้อยของเธอกลับทำให้ผมต้องวางความรู้สึกนั้นลง เรื่องราวของเธอมันประหลาด น่าสงสาร และน่าสงสัยในเวลาเดียวกัน ทำไมถึงได้มาเป็นผีแบบนี้ได้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรออกไป เจ้าของร่างบางนั้นกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน

“ขอโทษแทนวันสุขวันนี้ด้วยค่ะ ลูกผิด เพราะลูกควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอง่วงมาก” ความในใจของเธอพรั่งพรูออกมาราวกับกลัวเวลาหมดก่อนจะได้พูดหมด “ปกติวันสุขต้องเข้านอนก่อนสองทุ่ม เวลานั้นเธอจะเริ่มง่วงแล้ว เธอเลยมีอาการแบบนั้น”

“พี่ต้องทำยังไง ตีได้มั้ย” ผมถามเพื่อหยั่งเชิง ผมไม่รู้ว่าปกติเธอเลี้ยงลูกมาแบบไหน ตีลูกหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่ค่อยชอบวิธีการลงโทษด้วยการตีเท่าไหร่นัก ผมว่ามันมีวิธีอื่นที่ได้ผลเหมือนกัน คำตอบที่ได้ไม่ต่างจากที่คิดมากนัก วันจันทร์ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับทำหน้าเศร้า

“ถ้าเราตี เราจะหยุดเขาได้นะคะ แต่เขาจะเรียนรู้การตอบสนองของเราว่าทำผิดคือต้องตี จันทร์ไม่อยากให้ลูกใช้ความรุนแรง” เธอตอบพร้อมกับมองคนตัวเล็กที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง “ปกติถ้าเป็นช่วงที่วันสุขคุยรู้เรื่อง เราจะคุยกันดีๆ เธอเข้าใจได้นะคะ เธอคุยรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาง่วงแบบนี้ วิธีแก้คือพานอนค่ะ พาเธอเข้านอนก่อนที่จะมีอาการ”

คำบอกเล่าของเธอทำให้ผมคิดตาม ก็จริงอย่างที่เธอพูด ถ้าปัญหามันอยู่ที่เรื่องง่วง เราก็แค่แก้ปัญหาโดยการพาลูกไปนอนก่อนจะง่วงก็เท่านั้น

“งั้นต่อไปพี่จะพานอนเร็วๆ” ผมตอบ

“ฝากขอโทษคุณอายด้วย ที่วันสุขรบกวนเขาอย่างมากวันนี้” คนเป็นแม่ยกมือไหว้ขอโทษด้วยสีหน้าสำนึกผิด เดาว่าเธอคงอยู่กับอายตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมา ไม่อยากจะนึกว่าถ้าน้องชายผมรู้เข้า สภาพมันจะเป็นอย่างไร

นี่เป็นการพูดคุยกับผีครั้งแรกในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เราพูดคุยกันจริงจัง ไม่ได้ใบ้หวย ไม่ได้มาตามหาของที่หายไป หรือว่ามาบอกใบ้ตัวคนร้ายแบบในหนัง แต่เรื่องที่เรานั่งคุยกันกลับเป็นเรื่อง...ลูก

“อีกเรื่องนึงค่ะ” วันจันทร์ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “พี่เอยพูดไม่เพราะเวลาอยู่กับลูก” คราวนี้วันจันทร์กลับมาทำหน้าไม่พอใจ สีหน้าคล้ายๆ ตอนที่อยู่บนรถ อย่าบอกนะว่าที่ทำหน้าน่ากลัวตอนนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้

“พี่ก็พูดเพราะกับลูกตลอดนะ” ผมเถียง พูดกับลูกผมก็พูดครับทุกคำ ไม่เพราะตรงไหน

“พี่พูดไม่เพราะให้ลูกได้ยิน...เวลาคุยกับคุณอาย” 

เรื่องนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเธอเท่าไหร่ ผมว่าเธอน่าจะคิดมากไป วันสุขก็เห็นว่าผมพูดเพราะกับเธอ ส่วนกับอายมันเป็นคนละกรณีกัน เธอน่าจะแยกแยะได้นะ

“คิดมาก ลูกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พี่ก็พูดแบบนี้กับไอ้อายมันมาตั้งนานแล้ว” ผมตอบพร้อมกับเมินหน้าไปทางอื่น 

“เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อ ก็เตรียมตัวแก้สิ่งที่ตัวเองทำไว้ด้วยนะคะ” 

น้ำเสียงเธอดูเหมือนจะติดงอนๆ นิดหน่อยจนผมรู้สึกขำ ใบหน้างอง้ำของวิญญาณตรงหน้าทำให้ผมสับสน ผมควรจะกลัว ตกใจ หรือเอ็นดูเธอดี 

“แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้” ผมเปลี่ยนเรื่อง มีเรื่องที่ผมสงสัยเกี่ยวกับเธอมากมายไปหมด ทั้งเรื่องร่างกายเธอที่ยังนอนอยู่โรงพยาบาล แต่วิญญาณเธอกลับมาอยู่ที่นี่ เขาเรียกว่าอะไร...ถอดวิญญาณอะไรทำนองนี้ใช่ไหม

“อยู่ๆ หัวใจก็หยุดเต้น เกือบตาย แล้วร่างของจันทร์ก็ฟื้น” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงสลด หางคิ้วลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเธอกำลังทำหน้าเหมือน ‘หมาหงอย’

“แล้วไงต่อ”

“มันอาจจะดูไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนี้มีใครไม่รู้มาเข้าร่างของจันทร์”

ใช่ มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ที่จู่ๆ บอกว่ามีวิญญาณอื่นมาเข้าร่างของเธอ แล้วทำให้เธอเข้าร่างไม่ได้ ตอนนี้เธอจึงกลายเป็นผี ฟังกี่ทีๆ ก็เหมือนนิทานเรื่องเล่า แต่ถ้าตอนนี้ผมนั่งคุยกับวิญญาณได้ ทุกอย่างบนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ขอมือหน่อยสิ” ผมเอ่ยกับเธอ 

วันจันทร์มองผมแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ค่อยๆ ยื่นมือมาใกล้ๆ ผม จากนั้นผมจึงยื่นมือไปหาเธอบ้าง ปลายนิ้วของเราดูเหมือนจะชนกัน แต่ผมก็สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า 

เรื่องราวที่เธอเพิ่งเล่าทำให้ความรู้สึกของผมดำดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เรื่องราวที่คนตรงหน้าต้องเผชิญ อนาคตของลูกหลังจากนี้ รวมทั้งเรื่องที่เธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม แม้อยากหลอกตัวเองว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับ

ตอนนี้แม่ของลูกผม...เป็นผีจริงๆ

End Chavis’ talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น