2

กระต่ายหวาน


 

2

กระต่ายหวาน

นัยน์ตาคมขลับที่ยามนี้หม่นเศร้าจนน่าใจหายกวาดมองสมุดบัญชีที่ยอดคงเหลือมีอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท ครองขวัญถอนหายใจยาวพลางจับเงินก้อนสุดท้ายที่ตนเองสะสมไว้ในบัญชีและเพิ่งไปถอนมาจากธนาคารเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นมาลูบคลำ

หญิงสาวคิดทบทวนเรื่องผ่าตัดอีกครั้ง และเมื่อคีรีโทร. มาบอกว่าอยากให้เธอตัดสินใจผ่าเสีย ค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางบริษัทและโลเวลจะจัดการเอง ทำให้เธอสบายใจขึ้น แต่ก็ยังไม่หมดห่วงทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะถ้าการผ่าตัดของเธอครั้งนี้ไม่สำเร็จ มีผลออกมาเป็นลบ นั่นหมายถึงเธออาจไม่หายเป็นปกติและกลับไปทำงานให้โลเวลอย่างเดิมไม่ได้ แล้วเธอจะมีเงินทองที่ไหนมาให้มารดา ไหนจะค่าใช้จ่ายภายในบ้านอีก แม้จะมีหยาดอรุณช่วยอยู่ แต่คนเป็นพี่ก็ไม่อยากจะรบกวนเลยเงินเดือนของน้องที่เป็นแค่สาวโรงงานทำงานดึกๆ ดื่นๆ จนน่าสงสารจับใจ ครองขวัญคิดหวังเพียงว่าอยากให้หยาดอรุณเรียนจบเสีย แล้วจะได้มีงานดีๆ ทำ ต่อไปก็คงไม่ลำบากอีก

ครองขวัญสูดหายใจลึกเข้าปอด การผ่าตัดสมองเป็นเรื่องที่ใครได้ยินก็ต้องหวั่นกลัว รวมถึงเธอด้วย และช่วงเวลาที่เธอผ่าตัดอยู่แล้วยังไม่ทราบผลว่าจะออกมาทางไหน คนในครอบครัว โดยเฉพาะมารดาก็จำเป็นต้องใช้เงิน ซึ่งเงินก้อนนี้คงพอจะช่วยให้เธอ มารดาและหยาดอรุณอยู่ได้ เพราะคิดเช่นนี้ครองขวัญจึงตั้งใจจะเอาเงินที่เก็บไว้ในบัญชีให้แก่หยาดอรุณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ระหว่างที่เธอต้องเข้ารับการรักษาตัว

เสียงเรียกโหวกเหวกโวยวายที่ดังมาก่อนตัวของใครคนหนึ่งทำให้หญิงสาวต้องรีบเก็บเงินในมือลงกระเป๋าสะพาย แล้วซุกซ่อนกระเป๋าใบดังกล่าวไว้ใต้โต๊ะข้างๆ โซฟาที่นั่งอยู่ เพราะจะวิ่งเอาไปซ่อนที่อื่นก็เหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว

“ขวัญ...อีขวัญ มึงอยู่บ้านไหม กูแหกปากเรียกจนเจ็บคอไม่ได้ยินหรือไง” เสียงแหลมๆ ที่จิกหัวเรียกยามนี้คือนางทิพย์ หรือมารดาของครองขวัญนั่นเอง

“อยู่นี่แหละจ้าแม่...มีอะไร ทำไมต้องเรียกเสียงดังด้วยล่ะ” บุตรสาวบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนจากโรคภัยและอ่อนใจกับนิสัยมารดา

“มีสิ กูมีเรื่องให้มึงช่วย มึงต้องช่วยกูนะ” นางทิพย์รีบเดินมาหยุดตรงหน้าบุตรสาว ดึงมือเรียวไปกุมไว้แน่นพลางเขย่า “กูจำเป็นต้องใช้เงิน”

“อีกแล้วเหรอแม่ อย่าบอกนะว่าแม่ไปเสียไพ่ที่บ่อนมาอีกแล้ว”

“เออ...แล้วจะให้กูทำยังไง กูก็อยากได้คืนนี่หว่า กูเลยยืมเงินเสี่ยเส็งเขาเล่นต่อ กะจะเอาคืน”

“แม่...” ครองขวัญครางเรียกมารดาอย่างอ่อนใจ น้ำตาคลอขึ้นทันที “แม่ไปเป็นหนี้เสี่ยเส็งอีกแล้วเหรอ ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ ขวัญไม่มีเงินตามใช้หนี้ให้แม่ไปตลอดชีวิตหรอกนะ”

“อีนี่ มึงเป็นลูกหรือเป็นแม่ กูมาขอร้อง ถ้ามึงไม่ช่วยกูก็เหมือนฆ่ากูทางอ้อม เสี่ยเส็งเขาจะเอาเงินพรุ่งนี้แล้ว ถ้าไม่มีให้กูอาจตาย หรือไม่อีน้ำค้างจะซวยไปด้วยก็ไม่รู้”

“นี่แม่อย่าเอาน้ำค้างไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ด้วยนะ แม่ยืมเงินเสี่ยเส็งมาเองก็หาใช้เอง อย่าได้คิดเอาลูกเอาหลานไปขัดดอกใช้หนี้แทนเด็ดขาด” ครองขวัญเอ่ยด้วยสีหน้าเครียดจัด ก่อนจะรู้สึกว่ามึนศีรษะและแขนขาเริ่มชาราวจะไม่มีแรงขยับ แต่ก็ยังกัดฟันพูดต่อ “อย่ายุ่งกับน้ำค้าง ขวัญขอร้อง”

“กูก็ไม่อยากยุ่งกับมันหรอก แต่เสี่ยเขาชอบมัน ถ้ามึงไม่มีเงินให้กูไปใช้หนี้ กูก็ต้องยกมันให้เสี่ย ไหนๆ กูก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็ก เสียเงินไปตั้งเท่าไหร่ ถึงเวลามันต้องตอบแทนบุญคุณกูบ้างสิวะ”

“ไม่ใช่ตอบแทนแบบนี้” ครองขวัญกัดฟันข่มอาการของตนเองจนปวดหนึบไปทั่วศีรษะ ที่สุดความห่วงญาติผู้น้องที่อยู่ด้วยกันมาแต่เด็กก็ทำให้หญิงสาวจำต้องใจอ่อนครึ่งหนึ่ง “แล้วคราวนี้เท่าไหร่ ขวัญดูก่อน ถ้าพอมีจะให้”

“เยอะกว่าคราวก่อน”

“อะไรนะแม่! คราวก่อนสามแสนเลยนะ”

“เออ...คราวนี้ห้าแสนห้า”

คำตอบของมารดาทำเอาครองขวัญใจหายวาบ นึกอยากจะหลับไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มารดาก่อไว้อีก

หญิงสาวกลั้นน้ำตาจากหลากหลายความรู้สึกอันเกิดจากปัญหาที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกันไม่อยู่ มารดาของเธอไม่เคยรู้ว่าเธอหาเงินตัวเป็นเกลียวจนเหนื่อยแค่ไหน ไม่เคยรู้ว่าเธอเจ็บป่วยเป็นโรคอะไร รู้เพียงว่าวันนี้จะมีเงินเข้าบ่อนไหม แม้จะเคยขอร้อง กราบวิงวอนสักกี่ครั้ง นางทิพย์ก็ไม่เคยสนใจฟัง

“ขวัญไม่มี เงินเยอะขนาดนั้นขวัญหาไม่ทันหรอก คราวก่อนแม่ก็เพิ่งเอาไป ไหนจะไปเสียค่าไถ่ตัวแม่ออกมาจากโรงพักอีก เสียแล้วเสียอีก ขวัญไม่มีเงินเก็บแล้วนะ” ถ้าจะให้เธอคำนวณเงินทั้งหมดที่ต้องสูญเสียเปล่าประโยชน์ไปเพราะมารดาก่อปัญหาขึ้น รวมๆ กันแล้วจะน่าเป็นล้านบาท ซึ่งถ้าเธอเก็บเงินจำนวนนั้นไว้แทนที่จะเอาไปใช้หนี้ช่วยมารดา ก็คงทำให้ครอบครัวสุขสบายไปแล้ว

“งั้นกูก็คงต้องส่งอีน้ำค้างไปขัดดอกก่อน ถือว่าใช้หนี้บุญคุณกู”

“ป้าทิพย์! น้ำไม่ใช่ตัวขัดดอกของใครนะ แล้วถ้าจะใช้หนี้บุญคุณ น้ำใช้ให้ป้าเป็นอย่างอื่นแทนได้” เสียงหยาดอรุณดังขึ้นมาจากข้างหลัง หญิงสาวกลับเข้าบ้านมาและแอบได้ยินปัญหาทุกอย่างยามนี้จนหมด

“งั้นมึงก็เอาเงินมาให้กู เดือนนี้เงินเดือนมึงออกแล้วไม่ใช่เหรอ เอามา” คราวนี้นางทิพย์หันไปแบมือขอเงินจากหลานสาว หยาดอรุณอ้ำอึ้งมองหน้าครองขวัญแวบหนึ่งแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสามเดือนเธอให้เงินป้าใช้เดือนละสองหมื่น เพราะได้งานใหม่ที่รายได้ดี แต่โกหกครองขวัญว่างทำงานโรงงานกะค่ำ และบางครั้งก็รับงานเป็นพีอาร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้าบ้าง ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่เลย

“ยัง น้ำยังไม่มี”

“อีน้ำค้าง มึงอย่ามาโกหกกู เอามา” นางทิพย์วิ่งไปหมายจะแย่งกระเป๋าสะพายของหลานสาว แต่ครองขวัญรีบวิ่งเข้ามาขวางไว้ก่อน

“แม่พอเถอะ น้ำค้างก็ทำงานหาเงินจนไม่ได้พักผ่อน ให้น้องมีไว้เก็บบ้างเถอะ แม่อย่าได้เบียดเบียนเอาเงินจากน้องไปเลย”

“เบียดเบียนอะไร มันบอกให้กูเพราะตอบแทนที่กูเลี้ยงดูมันมา เดือนละสอง...”

“ป้าทิพย์ น้ำจะให้เงิน ตามไปเอาที่ห้องก็แล้วกัน” หยาดอรุณรีบตัดบท แน่นอนว่าถ้าป้าบอกจำนวนเงินไป ครองขวัญคงต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเธอไปทำงานอะไรมาถึงได้เงินเดือนมากพอจะให้ป้าใช้จ่ายได้ถึงสองหมื่น ขณะที่ก็มีใช้จ่ายในบ้าน ใช้ส่วนตัว และค่าเล่าเรียนอีก

หยาดอรุณเดินนำนางทิพย์ไปที่ห้องนอนตัวเอง โดยคนเป็นป้าเดินตามติดๆ ขณะที่ครองขวัญมองตามแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

ก่อนหน้านี้หยาดอรุณเป็นพีอาร์เครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า แต่มีเพื่อนที่เรียนปริญญาตรีด้วยกันมาชักชวนให้ไปทำงานกลางคืนยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นงานอย่างที่รู้ๆ กันคือผู้หญิงนั่งดริงก์ ในตอนแรกหยาดอรุณปฏิเสธเพราะรู้ว่าตัวเองคงทนไม่ได้ที่ต้องไปฉอเลาะเอาอกเอาใจผู้ชายหื่นกามพวกนั้น แต่เพราะเพื่อนบอกว่ารายได้ดีมาก และจากที่เธอเห็นเพื่อนคนดังกล่าวใช้ชีวิตสุขสบาย มีบ้านอยู่ มีรถขับก็ทำให้เธอชั่งใจคิดถึงอาชีพนี้เหมือนกัน กระทั่งวันที่เห็นเจ้าหนี้มาทวงเงินจากป้าทิพย์ และครองขวัญต้องวิ่งเต้นไปถอนเงินที่สะสมไว้มาให้ป้าไปใช้หนี้ ก็ทำให้เธอสงสารญาติผู้พี่ขึ้นมาจับใจ ไหนจะค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แม้เธอจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ไม่มากมาย เพราะต้องส่งตัวเองเรียน

ตั้งแต่เรียนจบ ปวส. ป้าทิพย์ก็บอกให้เธอหยุดเรียน แต่เธอไม่ยอม และขอเรียนต่อปริญญาตรีอีกสองปี ดังนั้นจึงต้องหาเงินเพิ่มมากขึ้น และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเธอแต่ละเดือนก็เรียกได้ว่ามีพอเดือนชนเดือนแล้ว ยิ่งเห็นครองขวัญดูผอมโซลงและมีอาการไม่สบาย เธอจึงลองไปทำงานกับเพื่อนดู และก็ได้เทคนิคบวกไหวพริบส่วนตัวให้เอาตัวรอดมาได้ทุกคืน จนตอนนี้หญิงสาวคิดว่าถ้าเอาตัวรอดได้ งานในผับบาร์หรือเลานจ์ที่เสี่ยงกับผู้ชายมากหน้าหลายตาก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเธออีกต่อไป ยิ่งตอนนี้เธอเป็นดาวในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่ลูกค้าจองตัวนั่งดื่มด้วย ก็ยิ่งมีรายได้เข้ามาเยอะขึ้น

พักหลังๆ ยิ่งเห็นครองขวัญไม่สบายหนักเข้าก็อยากจะให้พี่สาวหยุดทำงานสักที เธอคิดว่าตนเองดูแลทุกคนในครอบครัวได้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่ป้าทิพย์และครองขวัญมอบให้เด็กกำพร้าอย่างเธอ เด็กที่มารดาเสียชีวิตไปตั้งแต่จำความไม่ได้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาของตนเองคือใคร

“ป้าอย่าบอกพี่ขวัญนะว่าได้เงินจากน้ำเดือนละสองหมื่น” หยาดอรุณกระซิบบอกนางทิพย์เมื่อยื่นเงินให้ ขณะที่สายตาก็จับจ้องไปที่ประตูห้องนอนเป็นระยะๆ เพราะกลัวว่าครองขวัญจะมาได้ยิน

“เออ...กูรู้ ขืนกูบอกมันอย่างนั้น อีขวัญก็คงไม่ให้กูเพิ่มพอดี”

“แต่ป้าก็ได้จากน้ำไปเยอะแล้ว ทำไมต้องไปขอพี่ขวัญอีก พี่ขวัญไม่ค่อยสบายด้วยนะ เป็นอะไรก็ไม่บอก น้ำคิดอยู่ว่าวันนี้จะพาพี่ขวัญไปหาหมอ”

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะมึงสองตัวน่ะ แต่เอาเงินห้าแสนห้ามาให้กูก่อน เพราะถ้าไม่มี กูก็ไม่รู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น” คนก่อเรื่องตอบอย่างไม่สนใจอนาคตของลูกหลาน

หยาดอรุณอ้าปากค้าง ถึงเธอจะทำงานในผับได้เงินเฉลี่ยแล้วตกราวๆ เดือนละห้าหมื่น ทั้งเงินเดือน ทั้งค่าดื่มกับลูกค้า และทิปที่ลูกค้าใจป้ำให้มาก็เรียกว่ารายได้มากกว่างานที่เคยทำแต่ก่อน ทว่าเพิ่งทำได้สามเดือนเอง แล้วไหนจะให้ป้าใช้รายเดือนทีละเยอะๆ อีก เงินเก็บเธอคงมีไม่มากขนาดที่อีกฝ่ายร้องขอแน่ๆ

“น้ำมีไม่ถึงหรอก”

“มีเท่าไหร่ก็เอามาก่อน เดี๋ยวอีขวัญก็คงมีมาสมทบเอง” บอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่าลูกและหลานจะหามาจากไหน นางทิพย์สนใจแต่เงินในมือ ที่ตอนนี้คิดว่าน่าจะเอาไปต่อยอดลงบ่อนที่อื่นได้อีกสักพัก บางทีอาจได้เงินมาคืนเสี่ยเส็งก็เป็นได้

คิดได้ดังนั้นนางทิพย์ก็รีบเก็บเงินลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของหลานสาว แต่ไม่วายแวะไปหาบุตรสาวซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ตรงมุมโซฟานั่งเล่นหน้าทีวี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ครองขวัญกำลังหาที่ซ่อนเงินแห่งใหม่

หญิงสาวเดินหมุนตัวไปมาหวังจะเอาเงินไปเก็บในห้องนอนตัวเอง แต่ไม่คิดว่ามารดาจะออกมาไวขนาดนี้ ทำให้ไม่ทันจะถึงห้องนอนก็ต้องตกใจเพราะนางทิพย์มายืนขวางทางไว้เสียก่อน

“อีขวัญ กูรู้นะว่ามึงมีเงิน” แววตาของนางทิพย์วาวไปด้วยความหวังและกิเลส นางมองตรงไปยังกระเป๋าสะพายของบุตรสาว แล้วไวเท่าความคิดก็ยื้อแย่งกระเป๋าใบดังกล่าวมาครอบครอง

“แม่ ไม่ได้นะ นั่นเงินขวัญต้องใช้” หน้าของหญิงสาวซีดจัด แต่ก็ยังฝืนลากแขนขาที่เรี่ยวแรงแทบไม่มีแย่งกระเป๋าของตัวเองคืน แต่กลับถูกมารดาผลักจนเซหงายหลังล้มลงพื้น “โอ๊ย!”

เสียงเอะอะและโอดครวญอย่างเจ็บปวดทำให้หยาดอรุณรีบวิ่งออกมาดู และก็ทันเห็นว่าพี่สาวถูกมารดาตัวเองผลักเพื่อแย่งเงิน

“ป้าทิพย์ทำแบบนี้ทำไม”

“ก็อีขวัญมันโกหกกู มันบอกไม่มีเงิน นี่ไงเงินเป็นแสน” นางทิพย์เบิกตาโต หัวเราะร่วนอย่างคนกระหายหิว อำนาจของการพนันอยู่เหนือความถูกผิดทุกอย่าง จนยามนี้นางมองไม่เห็นความทุกข์ของใครเลย คิดแต่ว่าเมื่อก่อนเคยเล่นได้ มีเงินเลี้ยงดูเด็กสาวสองคนมาจนโตก็เพราะเงินจากการเล่นไพ่ แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งที่ผีพนันเข้าสิงจนถอนตัวไม่ขึ้น และเวลาที่เสียก็จะเสียอยู่อย่างนั้นไม่มีทางได้กลับมา ไม่แน่ว่าสักวันอาจไม่เหลือแม้แต่ที่ซุกหัวนอน

“แม่...ไม่ได้นะ นั่นขวัญต้องใช้”

“มึงจะใช้อะไร กูจำเป็นกว่ามึง แล้วจำไว้นะ เงินแค่นี้ยังไม่พอด้วยซ้ำ ถ้ามึงสองคนไม่มีมาให้กูอีก ระวังไอ้เสี่ยเส็งนั่นจะมาลากตัวอีน้ำค้างไปทำเมีย” คนเป็นมารดาบอกแค่นั้นก็รีบหอบเงินก้อนสุดท้ายของบุตรสาวออกไปจากบ้านทันควัน

“ไม่นะ!...แม่...อย่าทำอย่างนี้เลย...ขวะ...ขวัญขอร้อง” ครองขวัญวิงวอนเสียงแผ่ว ปากบางสั่นระริกขณะที่ใบหน้าและเนื้อตัวซีดจัด และรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้

“พี่ขวัญ! พี่ขวัญเป็นอะไรคะ” หยาดอรุณเห็นอาการของอีกฝ่ายน่าเป็นห่วงก็เขย่าร่างผอมบางนั้นเพื่อเรียกสติ แต่ไม่มีคำตอบจากพี่สาว เปลือกตาของครองขวัญค่อยๆ ปิดลง พร้อมๆ กับที่สติดับวูบไป “พี่ขวัญ พี่ขวัญ!”

 

“พี่ขวัญ ป่วยถึงขั้นนี้แล้วทำไมถึงไม่บอกน้ำล่ะคะ ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียวด้วย น้ำช่วยพี่ขวัญได้นะ น้ำช่วยได้” หยาดอรุณร้องไห้สะอึกสะอื้น มองร่างผ่ายผอมของพี่สาวในชุดสีฟ้าของโรงพยาบาลซึ่งนอนนิ่งไม่ได้สติบนเตียงพักฟื้นผู้ป่วยใน

เธอพาครองขวัญมาโรงพยาบาลเมื่อครู่ แล้วหมอก็นำพี่สาวเข้าห้องฉุกเฉิน ทำให้รู้ความจริงทุกอย่างว่าตอนนี้พี่สาวที่น่าสงสารของเธอเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร

“หมอบอกว่าพี่ขวัญต้องรีบผ่าตัด ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะคะ น้ำจะจัดการเรื่องนี้เอง ถึงงานที่น้ำทำจะไม่มีเกียรติ แต่น้ำไม่สนใจหรอกค่ะ ขอแค่ทำทุกอย่างให้ได้เงินมากพอที่จะช่วยพี่ขวัญได้ก็พอแล้ว” หญิงสาวปาดน้ำตาบนพวงแก้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญากับคนป่วยอยู่ในใจ ว่าเธอต้องหาเงินมาเป็นค่าผ่าตัดสมองให้แก่ครองขวัญให้ได้ โดยที่หยาดอรุณไม่รู้เลยว่าถ้าเพียงแต่เธอเอ่ยปากบอกกับเจ้านายของพี่สาวสักนิด เธอก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเขาเป็นอย่างดี

เพราะไม่รู้ว่ามีทางออกอื่น ทำให้หยาดอรุณพุ่งเป้าหมายเดียวในการหาเงินไปที่การทำงานในผับ และคิดว่าเธอจะต้องดื่มกับลูกค้าให้ได้มากกว่าเดิม โดยใช้สารพัดเทคนิควิธี ทั้งลูกล่อลูกชนที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เงิน แต่อย่างหนึ่งที่เธอไม่ทำแน่ๆ ตลอดสามเดือนที่เธอทำงานในผับมาคือการออกไปข้างนอกกับลูกค้า แม้จะมีเพื่อนร่วมงานหลายคนบอกว่าได้เงินดี แต่เธอรู้ว่าการได้เงินด้วยการออกไปข้างนอกนั้นหมายถึงอะไร

เธออยากได้เงินก็จริง และแม้จะไม่ห่วงศักดิ์ศรี ยอมแต่งตัวยั่วยวนผู้ชาย นั่งดื่มเป็นเพื่อน ร้องเพลงพูดคุยกับลูกค้าเพื่อความสนุกสนาน ออดอ้อนเอาอกเอาใจผู้ชายอารมณ์เปลี่ยวพวกนั้นเพื่อให้ได้ทิปก็ตาม แต่เธอยังไม่คิดสั้นขนาดที่จะขายตัวแลกเงินหรอก

“พี่ขวัญคะ เชื่อใจน้ำนะคะ น้ำไม่ทิ้งพี่ขวัญแน่นอน ถึงป้าทิพย์จะไม่สนใจพี่ขวัญ ไม่มีใครสนใจเราสองคน แต่น้ำจะไม่ทิ้งพี่ขวัญหรอกค่ะ” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและจริงใจ หญิงสาวเช็ดน้ำตาอีกครั้ง ก่อนจะสูดหายใจลึกเข้าปอด เรียกความเข้มแข็งและให้กำลังใจตัวเอง

ความทรงจำในวัยเด็กยังคงสว่างชัด ครองขวัญคือพี่สาวที่แสนดี โอบอุ้มและโอบกอดเธอยามร้องไห้งอแง เป็นเสมือนพี่และแม่ที่ให้ความอบอุ่น เป็นเสมือนเพื่อนที่ให้กำลังใจและหยอกเล่นด้วยเมื่อเหงา เป็นทุกอย่างที่เด็กกำพร้าคนนี้ขาด แม้ชีวิตของพี่สาวจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์ร่ำรวยก็ตาม มีแค่ป้าทิพย์ที่เลี้ยงดูมาอย่างอดๆ อยากๆ บ้าง แต่ครองขวัญก็เป็นคนดี เป็นพี่สาวที่น่ารักของเธอ และไม่เคยทิ้งเด็กกำพร้าอย่างเธอไว้ข้างทาง ถ้าไม่มีพี่คนนี้ หยาดอรุณก็ไม่รู้ว่าเธอจะล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่ไหนเหมือนกัน

หญิงสาวหันมองคนป่วยบนเตียงอีกครั้งด้วยแววตาที่เติมเต็มความหวังให้ตนเองและอีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปฝากพยาบาลให้ดูแลครองขวัญขณะที่เธอออกไปทำงาน งานซึ่งต้องต่อสู้กับ เสือ สิงห์ กระทิง แรด...ที่เรียกว่าผู้ชาย

 

“หายไปไหนกันหมด บ้านเงียบอย่างกับป่าช้า” โลเวลพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะอาการหนักขึ้นทุกวัน เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาใจมันร่ำร่ำอยากจะเจอแต่หน้าแม่เด็กน้ำค้างหน้าหวาน เย็นวันนี้ทันทีที่เลิกงาน ชายหนุ่มจึงขับรถมาที่บ้านของเลขาฯ สาว สิ่งแรกที่เขาควรนึกถึงน่าจะเป็นอาการของครองขวัญมากกว่า เพราะเธอไม่ได้ไปทำงานเป็นสัปดาห์แล้ว และเขาก็รู้ว่าเธอคงไม่อาจไปทำงานได้จนกว่าจะได้รับการรักษาที่ถูกวิธี แต่เปล่าเลย พอมาถึงหน้าประตูรั้วบ้านหลังเล็ก สิ่งที่เขาหวังจะเจอมากที่สุดกลับเป็นหยาดอรุณ

เขาอยากเจอผู้หญิงคนนั้น อยากเห็นหน้า ราวกับว่าต้องมนตร์เสน่ห์ของแม่สาวน้อยเข้าเต็มเปา

“น้ำค้าง เธอนี่มันแม่มดชัดๆ คนอย่าง วูล์ฟ โลเวล ไม่เคยต้องคิดถึงผู้หญิงคนไหนขนาดที่ขับรถถ่อมาหาถึงบ้านแบบนี้มาก่อนเลยนะ” เขาบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย และไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นได้มากขนาดนี้ ยิ่งมาถึงบ้านหญิงสาวแล้วไม่เจอใครก็ยิ่งหัวเสีย กระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก

“เธอร่ายมนตร์อะไรใส่ฉันกันแน่” ชายหนุ่มสะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความฟุ้งซ่านและความงุ่นง่านในยามนี้ไป เขานั่งอยู่ในรถยนต์ที่จอดตรงหน้าประตูรั้วบ้านของครองขวัญเกือบสิบนาที และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมารออะไรแบบนี้

แน่นอนว่าเขาไม่เคยทำอะไรไร้สาระกับใครเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยต้องรอผู้หญิงคนไหนถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์

ที่สุดโลเวลก็จำต้องดึงสติกลับมา เตือนตัวเองว่าอย่าได้ทำอะไรบ้าๆ อย่างวันนี้อีก คนอย่างเขามารอเจอหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรด้วย แถมยังอารมณ์เสียที่ไม่เจอเธออีก ดูท่าเขาจะบ้าไปแล้วจริงๆ

“บ้าแน่ๆ ไอ้วูล์ฟ กลับบ้านเลยมึง” เขาสบถแล้วติดเครื่องรถยนต์คันหรู ขับออกไปจากซอยเล็กๆ แห่งนี้ โดยที่ความอยากเจอหน้าหยาดอรุณไม่ได้จางลงแม้แต่น้อย

พอเอาเข้าจริงคนที่บอกให้ตัวเองกลับบ้านก็รู้ตัวว่าถ้ากลับไปอยู่คนเดียวน่าจะฟุ้งซ่านเป็นบ้า เพราะนั่งใจลอยเห็นแต่หน้าหวานๆ ของหยาดอรุณเป็นแน่ โลเวลจึงโทร. หาเพื่อนสนิทอย่างจิรายุ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนคนนี้ของเขาช่วยคลายความตึงเครียดทุกอย่างได้ เพราะอีกฝ่ายรู้จักสถานที่เที่ยวสำหรับผ่อนคลายเยอะ ก่อนหน้านี้โลเวลก็เคยให้จิรายุพาไปเที่ยวมาหลายที่ เพราะเพื่อนสนิทคนนี้เป็นนักเที่ยวกลางคืนตัวยง เรียกได้ว่าเที่ยวทุกคืนจนรู้แล้วว่าที่ไหนดี ที่ไหนเด็ด

เสียงสายเรียกเข้าที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือมากความสามารถของจิรายุ ทำให้ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาวสะอาดสะอ้านที่กำลังก้าวลงจากรถสปอร์ตสีแดงซึ่งเพิ่งมาจอดในโรงจอดรถของบ้าน รีบล้วงเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังขึ้นมากวาดตาดู พอเห็นชื่อของคนที่โทร. มาโชว์หราตรงหน้าจอ เรียวปากสีแดงราวลูกแอปเปิลก็คลี่ยิ้มกว้าง ทำเอาดวงตาเรียวรีหยีเล็กลงกว่าเดิม

“ว่าไงครับคุณวูล์ฟสุดหล่อ วันนี้จะชวนกระผมไปดื่มที่บ้านอีกเหรอครับ” จิรายุเย้า

“ทายผิดแล้วไอ้ยุ วันนี้ฉันอยากออกไปดื่มข้างนอกบ้าง” โลเวลตอบกลับเสียงเรียบก็จริง แต่เจือความเบื่อหน่ายนิดๆ ซึ่งปลายสายก็รับรู้ได้

“สงสัยเหงา อยากได้สาวๆ เอาใจสิท่า”

“ได้ก็ดี ขอน่ารักๆ นะ ที่สำคัญเอาที่ไม่น่าเบื่อ”

“ได้เลย จัดให้ ฉันมีร้านประจำและมีเด็กประจำ สนิทกัน น่ารัก อัธยาศัยดี มีคนนี้คนเดียวเอาอยู่ทั้งโต๊ะ”

“อัธยาศัยดีของนายคือพูดมากใช่ไหม ฉันไม่ชอบผู้หญิงพูดมาก”

“น้องเขาไม่ได้พูดมากโว้ย เขาช่างเอาใจ นายไปเจอเองเถอะ รับรองจะติดใจ”

“นายก็รู้ว่าฉันไม่นิยมติดใจแล้วเรียกใช้งานประจำ” หนุ่มลูกครึ่งรีบแย้ง

“เออ...ก็เพราะอย่างนี้ถึงได้ไม่แต่งงานสักที ชอบใช้แล้วทิ้ง ใช้แล้วทิ้ง ผู้หญิงนะโว้ย ไม่ใช่ทิชชู” จิรายุพูดกลั้วหัวเราะ

“โธ่...ไอ้ยุ ทำอย่างกับนายไม่เปลี่ยนบ่อยอย่างนั้นแหละ” โลเวลตอกกลับ

คนฟังหัวเราะครืนอย่างไม่ถือสา ก่อนสองหนุ่มจะเลิกแขวะกันเองแล้วนัดหมายเจอกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว จิรายุซึ่งรู้ว่าโลเวลกำลังขับรถอยู่จึงบอกให้หนุ่มลูกครึ่งมาหาที่บ้านแล้วค่อยออกไปยังสถานที่เป้าหมายพร้อมกันในค่ำนี้

 

ณ คอกเทลเลานจ์แถวย่านดังในเวลาสองทุ่มเศษ จิรายุ ลูกค้าขาประจำของที่นี่เดินนำหนุ่มลูกครึ่งเข้ามาด้านใน ซึ่งแค่บริกรชายคนหนึ่งเห็นหน้านักเที่ยวตัวยงคนเดิมก็ยิ้มแย้มแล้วเชื้อเชิญไปยังโต๊ะที่โทร. มาจองไว้รวมทั้งผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาบอกว่าสนิท น่ารัก อัธยาศัยดี

“วันนี้คนเยอะโคตร ดีนะเนี่ยที่มีคนโทร. มายกเลิกคิวน้องกระต่ายน้อยของฉัน ไม่อย่างนั้นนายคงอดได้เจอเธอ ปกติลูกค้าประจำเธอเยอะ คิวจองตัวนี่ยาวไปถึงเดือนหน้าเลยมั้ง” จิรายุบอกขณะที่พาโลเวลมานั่งยังโต๊ะมุมหนึ่ง ซึ่งแสงไฟส่องสลัว เสียงเพลงบรรเลงคลอเคล้า ไม่ดังมากเหมือนด้านหน้าเวที

“ผู้หญิงคนนี้ฮอตขนาดนั้นเลยเหรอ” หนุ่มลูกครึ่งถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ และไม่ได้วาดหวังอะไรกับสิ่งที่เพื่อนบอกสักเท่าไรเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะมีผู้หญิงคนไหนมาทำให้ความงุ่นง่านเพราะคิดถึงหยาดอรุณของเขาน้อยลงไปได้

“แน่นอน น้องกระต่ายน้อยคนนี้เป็นดาวประจำร้านเลยนะขอบอก เวลาฉันจะมาก็โทร. มาจองกับเจ๊ส้มตลอดแหละ” เขาเอ่ยถึงมาม่าซังที่ดูแลสาวๆ ในผับแห่งนี้ ซึ่งความที่จิรายุมาเที่ยวบ่อยจึงออกจะสนิทกับทุกคน “เมื่อวานก็โทร. มาจองน้องกระต่ายไว้ให้นาย แต่ดันมีคนจองไว้ก่อนแล้ว โชคดีที่เจ๊ส้มโทร. กลับมาบอกว่าไอ้คนที่จองโทร. มาแคนเซิล บอกมีธุระพาเมียไปหาหมอ ฉันฟังแล้วขำว่ะ นี่แหละไอ้พวกมีเมีย มีเมียเหมือนมีภาระ” พูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่จริงจังตามประสาคนช่างพูด

“หรือบางทีอาจเป็นบุญของนาย ที่จะได้เจอกระต่ายน้อยผิวขาวๆ หน้าหวานๆ ยิ้มทีหัวใจผู้ชายแทบละลาย”

โลเวลมองเพื่อนที่เพ้อพูดถึงแม่กระต่ายน้อยแล้วอดส่ายหน้าเพราะความเยอะของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนสองหนุ่มจะหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรชายคนหนึ่งที่เข้ามาดูแล กระทั่งบริกรคนดังกล่าวเดินกลับไปแล้ว หญิงวัยสี่สิบเศษในเดรสสีแดงเพลิงที่ยังคงรักษารูปร่างหน้าตาได้สวยเซ็กซี่ไม่ต่างจากคนวัยสามสิบก็เดินเข้ามาทักทายลูกค้าประจำ

“สวัสดีค่ะคุณยุ วันนี้มาช้ากว่าทุกวันนะคะ ปกติมาตั้งแต่หัวค่ำนี่คะ”

“แหม...เจ๊ส้มก็แซ็วผมเกินไป อ้อ...วูล์ฟ นี่เจ๊ส้ม รู้จักไว้ เผื่อนายสนใจหรือติดใจอยากจะมานั่งดื่มกับสาวๆ ที่นี่อีกก็ติดต่อจับจองน้องๆ ได้จากเจ๊คนสวยนี่แหละ”

โลเวลหันไปก้มหน้านิดๆ ให้อีกฝ่ายเป็นการทำความรู้จักเท่านั้น ขณะที่เจ๊ส้มกรีดยิ้มจนตาปิด

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เพื่อนคุณยุคนนี้หน้าตาหล่อเชียวนะคะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นพามาที่ร้านนี้บ้างเลย”

“ไอ้หมอนี่ไม่ค่อยชอบคนเยอะครับ นานๆ ออกมาดื่มข้างนอกกับผมสักที ปกติชวนไปดื่มที่บ้านมันตลอด”

“อ้ออ...อย่างนี้นี่เอง แต่ไม่แน่นะคะว่าวันนี้ถ้าเจอน้องกระต่ายของเรา เพื่อนคุณยุอาจเปลี่ยนใจอยากมาที่นี่ทุกวันก็ได้”

“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ” ชายหญิงทั้งสองเออออกันอย่างเข้าขา โดยไม่ได้มองสีหน้านิ่งๆ ติดจะเซ็งๆ ของคนที่ถูกเอ่ยถึงเลย

โลเวลนึกอยากจะเห็นหน้าแม่กระต่ายน้อยที่ใครๆ เอ่ยถึงคนนี้เสียจริงว่าจะเด็ดดวงแค่ไหน ใครๆ ถึงได้โฆษณากันเหลือเกิน

“แต่คุณยุกับเพื่อนคงต้องรอสักพักนะคะ พอดีน้องกระต่ายเพิ่งมาถึง กำลังแต่งตัวอยู่ ยังไงเจ๊จะเข้าไปเร่งให้นะคะ”

“ไม่ต้องเร่งหรอกครับ บอกแค่ว่าพี่ยุรออยู่เท่านั้นก็พอ” เขาพูดกลั้วหัวเราะนิดๆ อย่างอารมณ์ดี

“ถ้าอย่างนั้นจะบอกตามนี้นะคะ” มาม่าซังคนสวยรับคำ ฉีกยิ้มให้สองหนุ่มอีกครั้งแล้วปรายตามองหน้าหนุ่มลูกครึ่งคนหล่ออีกนิด อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความหล่อของอีกฝ่าย สีหน้านิ่งๆ ท่าทีมีมาดน่าเกรงใจของเขา เชื่อได้เลยว่าสาวๆ ที่ไหนก็อยากจะเข้ามาลองพิสูจน์ทั้งนั้นว่า ใต้ความนิ่งเฉยและเย็นชาจริงๆ แล้วซ่อนความเร่าร้อนไว้แค่ไหน

เจ๊ส้มขอตัวเดินจากไปแล้ว ปล่อยให้สองหนุ่มสนใจเครื่องดื่มที่ตอนนี้บริกรยกมาบริการให้ถึงโต๊ะไปพลางๆ ระหว่างรอสาวสวยมานั่งดื่มเป็นเพื่อน ซึ่งเวลานั้นจิรายุก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงบอกกับหนุ่มลูกครึ่งให้รู้ไว้เสียก่อน

“เออ...ฉันบอกนายไว้ก่อนเลยนะว่าน้องกระต่ายขาวน่ากินคนนี้เธอไม่ออกไปข้างนอกกับแขกเหมือนผู้หญิงคนอื่น เพราะฉะนั้นฉันพานายมาที่นี่ก็แค่มานั่งคุยกับน้องเขาให้คลายเหงา ถ้าเรื่องจะกิน นายก็ต้องไปหากินคนอื่น”

คนฟังกระตุกยิ้มหยันในที “ผู้หญิงทำงานแบบนี้มีด้วยเหรอไม่ออกไปกับแขก ฉันว่าแย่งกันออกไปข้างนอกเพราะอยากได้เงินเยอะๆ มากกว่ามั้ง”

“คนอื่นไม่รู้โว้ย แต่คนนี้ฉันลองมาแล้ว ขนาดยื่นข้อเสนอให้รถยนต์เป็นคัน น้องเขายังปฏิเสธเลย”

“ชักอยากเห็นหน้าเร็วๆ แล้วสิว่าแม่กระต่ายนี่จะมีดีขนาดไหน นายถึงยอมแลกรถเป็นคันๆ เพื่อนอนกับเธอ” ยิ่งได้ฟังอีกฝ่ายบอก ความท้าทายและความอยากรู้อยากเห็นก็ผลักดันเต็มสมองของโลเวล เขากวาดตามองไปรอบในทิศทางที่เจ๊ส้มเดินไปเมื่อครู่ก่อนหน้า เพื่อลุ้นว่าผู้หญิงคนไหนกันที่จะเดินมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขา แต่เวลาผ่านนานไปก็ยังไม่เห็นเป้าหมายที่รอคอย

“แม่กระต่ายอะไรนี่ของนายแต่งตัวนานเป็นบ้า ยังไงฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน” โลเวลบอกคนนั่งตรงกันข้ามแล้วตัวลุกเดินตรงไปยังจุดหมายที่บอกเพื่อนเมื่อครู่

หลังจากหนุ่มลูกครึ่งเดินห่างไปจากมุมนั้นได้ไม่นาน หญิงสาวดาวเด่นประจำร้านที่จิรายุและโลเวลรอคอยมาครู่ใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเดรสสั้นเกาะอกเหนือเข่าสีขาวสะอาดตา เธอปล่อยผมยาวดำขลับสยายดูเซ็กซี่เต็มแผ่นหลังขาวบอบบาง

“สวัสดีค่ะพี่ยุ ขอโทษนะคะที่กระต่ายปล่อยให้พี่รอนาน”

เสียงใสหวานที่ดังขึ้นข้างกายทำให้จิรายุหันไปเปิดยิ้มกว้าง

“มาได้สักทีนะคนสวย มาๆ นั่งก่อน” ชายหนุ่มกวักมือเรียกหญิงสาว

เธอก็เดินมาหย่อนตัวนั่งกระแซะข้างกายจิรายุอย่างรู้งาน ก่อนจะกวาดตามองทั่วโต๊ะก็ไม่พบคนอื่น นอกเหนือจากชายข้างกายเพียงคนเดียว “อ้าว! ไหนเจ๊ส้มบอกว่าพี่ยุพาเพื่อนมาด้วยนี่คะ แล้วเขาไปไหนซะล่ะ อย่าบอกนะว่ารอกระต่ายไม่ไหวเลยไปนั่งกับคนอื่นแล้ว”

หนุ่มอารมณ์ดีหัวเราะร่วน “มันไม่ได้ไปนั่งกับใครหรอก ปวดฉี่มั้ง เห็นบอกจะไปห้องน้ำ อีกสักพักคงมา ถ้ายังไงน้องกระต่ายช่วยดูแลมันให้พี่ด้วยนะ เอาใจมันดีๆ หน่อย พอดีช่วงนี้เพื่อนพี่มันเหงาๆ”

“ได้ค่ะ กระต่ายจะช่วยเทกแคร์เต็มที่ ถ้าเพื่อนพี่ยุจะไม่รำคาญกระต่ายซะก่อน”

“แหม...คนสวยขนาดนี้ ใครจะกล้ารำคาญกันล่ะ” เขาว่าแล้วหยิกแก้มใสหยอก ทำเอาหญิงสาวต้องเอี้ยวหลบอย่างมีจริต

ทั้งสองนั่งดื่มและพูดคุยกันอย่างสนิทสนมตามประสาลูกค้าที่มาเที่ยวบ่อยกับสาวน้อยที่เอาใจเก่ง ซึ่งจิรายุและแม่กระต่ายคนสวยก็เจอกันบ่อยจนเกือบจะเรียกว่าเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกันได้อยู่แล้ว กระทั่งโลเวลเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง ทำให้หนุ่มสาวที่นั่งคุยหยอกเย้ากันสนุกสนานต้องหยุดอากัปกิริยาทุกอย่าง แล้วหันมองบุคคลที่สามพร้อมกัน

วินาทีแรกที่โลเวลทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดิมที่เขานั่งก่อนหน้านี้แล้วมองไปยังแม่สาวชุดขาวยั่วยวนตาข้างกายเพื่อน ดวงตาคมกริบก็ขยายโตอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ซึ่งไม่ต่างจากแม่สาวเจ้าสักเท่าไรเลย หน้าสวยๆ ของหญิงสาวยามนี้ซีดจัด ก็เพราะผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าที่เธอเห็นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเจ้านายของพี่สาว

บ้าจริง! ทำไมต้องเป็นเขาด้วย โลเวลจะเอาเรื่องที่เธอมาทำงานกลางคืนไปบอกครองขวัญไหมก็ไม่รู้

“เฮ้ย! ไอ้วูล์ฟ ตะลึงความสวยของน้องกระต่ายจนตาค้างเลยเหรอ” จิรายุเห็นสีหน้าเพื่อนก็เข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายกำลังตกตะลึงในความสวยของสาวน้อย โดยหารู้ไม่ว่าในอกโลเวลกำลังเดือดพล่านด้วยความไม่ชอบใจ

“คนนี้เหรอน้องกระต่ายของนาย” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันถามออกไป ขณะที่นัยน์ตาแข็งจัดจับจ้องมองหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ยิ่งเห็นหน้าสวยๆ เคลือบเครื่องสำอางบวกกับการแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้แล้วก็หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“เออ...ใช่ เป็นไง สวยน่ารักอย่างที่บอกใช่ไหม ที่สำคัญเอาใจเก่ง” เขาบอกเพื่อนแล้วหันมาพูดกับหญิงสาวบ้าง “น้องกระต่ายนี่เพื่อนพี่ชื่อวูล์ฟ ไปนั่งข้างๆ เพื่อนพี่นะ เอาใจมันหน่อย”

หยาดอรุณกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ แต่ก็ฝืนยิ้มรับอย่างไม่อยากให้มีอะไรผิดสังเกต “ได้ค่ะ”

ร่างบางลุกจากที่นั่งข้างกายจิรายุแล้วเดินอ้อมมาหาโลเวล เธอยืนประสานสายตากล้าๆ กลัวๆ กับหนุ่มลูกครึ่งอยู่พักก่อนจะค่อยๆ ยวบตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่ายอย่างจำใจ แต่เพียงแค่ก้นสัมผัสโซฟาหนังสีแดงสดได้เพียงเสี้ยววินาที แขนยาวของคนตัวใหญ่ก็วาดมาโอบไหล่เธอไว้แน่นแล้วรั้งร่างบางเข้าไปนั่งเบียดชิดอย่างจงใจ ทำเอาคนโดนโอบสะดุ้งโหยง

“สวยดีนี่ สวยอย่างที่ไอ้ยุบอกไว้ไม่มีผิด” ปากเขาชมก็จริง แต่ในความรู้สึกของหญิงสาวเหมือนถูกอีกฝ่ายประชดประชันเสียมากกว่า แถมนัยน์ตาคมกริบของเขาที่ไล่มองร่างบางก็เต็มไปด้วยแววเหยียดหยันแกมกรุ่นโกรธ จากนั้นโลเวลจึงก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กให้ได้ยินกันเพียงลำพัง “นี่เหรองานโรงงานของคุณ ผมควรจะบอกเรื่องนี้กับพี่สาวของคุณให้รู้ดีไหม”

คำพูดของเขาทำให้หยาดอรุณผวาเฮือก หญิงสาวพยายามจะผละห่างจากอีกฝ่าย แต่โลเวลทั้งตัวใหญ่และแข็งแรงกว่าเธอหลายเท่านัก ทำให้เธอกลายเป็นรอง จำต้องปล่อยให้เขาโอบกอดไว้แน่นเช่นเดิม

หญิงสาวทอดสายตาที่ตื่นผวาสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนเป็นเว้าวอนแกมขอร้องในที อย่างที่โลเวลก็เข้าใจในความหมาย แต่คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างจิรายุกลับคิดว่าเพื่อนกำลังสนุกและสนใจแม่กระต่ายน้อยเอามาก จึงคิดจะเปิดโอกาส

“ยังไงทำความรู้จักกันตามสบายเลยนะ น้องกระต่ายก็เอาใจเพื่อนพี่มากๆ นะครับ ไอ้วูล์ฟมันรวยมาก ไม่แน่อาจทิปเป็นแสน ส่วนพี่ขอตัวไปห้องน้ำบ้างดีกว่า” พูดจบชายหนุ่มก็ยักคิ้วเนิบๆ ให้โลเวลแล้วลุกเดินห่างไป เปิดโอกาสให้เพื่อนได้สร้างความคุ้นเคยกับดาวประจำร้านอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้เลยว่าการทำเช่นนี้สร้างความลำบากใจให้แก่หยาดอรุณมากกว่าเดิม

“พี่ยุ...” หญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่ายตามหลัง แต่เสียงพ้นจากริมฝีปากเล็กไปได้ไม่ไกล มือใหญ่ของคนข้างกายก็บีบหัวไหล่มนไว้แน่น

“ไม่ต้องเรียกมัน ไอ้ยุมันไปก็ดีแล้ว ผมจะได้เคลียร์กับคุณถนัดๆ หน่อย”

“เอ่อ...เรื่องนี้อย่าบอกพี่ขวัญได้ไหมคะ ฉันขอร้อง นะคะคุณวูล์ฟ อย่าบอกพี่ขวัญนะ” หญิงสาวสบตาอ้อนวอน หน้าตายังคงซีดจัดเช่นเดิม

โลเวลนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ทำเอาหยาดอรุณที่รอลุ้นคำตอบแทบจะหยุดหายใจ ก่อนจะต้องเย็นยะเยือกไปทั่วกายเมื่อตาคมกริบสีน้ำตาลกวาดไล่ไปทั่วใบหน้าของเธอ แล้วมองต่ำลงไปที่เนินอกสวยซึ่งเบียดโชว์ความอวบอูมผ่านเดรสเกาะอกสีขาว

“ปกติแต่งตัวแบบนี้มาให้ผู้ชายดูทุกคืนสินะ ไหนจะต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวถูกโอบถูกกอด ดีไม่ดีคงพากันไปดูอะไรๆ ต่อที่โรงแรม”

“คุณวูล์ฟ ถึงฉันจะทำงานแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะออกไปไหนกับแขกนะคะ” เธอสะบัดตัวแรงๆ หวังออกจากวงแขนแกร่งนั้น แต่ไม่เป็นผล

“จริงเหรอ แต่ผมไม่เชื่อหรอก แล้วถ้าคุณขวัญรู้เรื่องนี้ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน”

คำขู่นี้ทำเอาหญิงสาวไม่กล้าเชิดหน้าต่อกรกับเขาอีก หยาดอรุณได้แต่เม้มปากที่สั่นระริกไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยกว่าประโยคก่อนหน้า ขอร้องเขาอีกครั้ง

 “เรื่องนี้พี่ขวัญรู้ไม่ได้ ขอร้องละค่ะ อย่าบอกพี่ขวัญเลย พี่ขวัญกำลังไม่สบายอยู่นะคะ ที่ฉันมาทำงานแบบนี้ก็เพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่ขวัญเท่านั้น เห็นใจฉันเถอะนะคะ”

เขากระตุกยิ้มมุมปาก มองสีหน้าของคนสวยที่เหมือนอยากจะร้องไห้เสียเต็มประดา ลึกๆ ก็สงสารเธออยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้อารมณ์คุกรุ่นหงุดหงิดที่รู้และเห็นว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาเพ้อหามาเป็นสัปดาห์มาทำงานเปลืองเนื้อเปลืองตัวเช่นนี้ ทำให้ความสงสารและเหตุผลของเธอตกเป็นรอง

“ได้ ผมจะไม่บอกคุณขวัญ แต่ว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

 

กฎเหล็กที่บอกกับตัวเองมาตลอดว่าจะไม่ออกไปข้างนอกกับแขกโดยเด็ดขาด เห็นทีคราวนี้คงต้องพังลงเพราะผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่าง วูล์ฟ โลเวล หยาดอรุณได้แต่จำยอมก้มหน้ารับข้อแลกเปลี่ยนที่เขาบอกมา นั่นคือการที่เธอยอมให้เขาจ่ายเงินซื้อเครื่องดื่มให้เธอทั้งคืน และพาเธอออกไปข้างนอกด้วยได้ แลกกับการปกปิดความลับที่เธอแอบมาทำงานกลางคืนที่นี่ ซึ่งเรื่องนี้เล่นเอาทุกคนที่รู้จักหยาดอรุณในนามน้องกระต่าย ดาวประจำร้าน ต่างพากันตกใจไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นมาม่าซังที่รู้นิสัยเด็กของตนเองดีว่าน้องกระต่ายคนนี้ไม่เคยออกไปข้างนอกกับใครถึงกับอึ้งงง และรวมไปถึงจิรายุที่กลับมาจากห้องน้ำ พอได้ยินว่าโลเวลจะพาหญิงสาวออกไปข้างนอกแล้วเธอก็ตกลง ทำเอาหนุ่มอารมณ์ดีถึงกับฉงนงงงวย

ความสงสัยบวกความอยากรู้ทำให้จิรายุลากแขนเพื่อนหนุ่มลูกครึ่งให้ตามไปเพื่อซักถามกันเป็นการส่วนตัว “อะไรกันวะ นายไปพูดกับน้องกระต่ายของฉันยังไงเธอถึงยอมออกไปข้างนอกกับนาย หรือนายเสนออะไรที่แพงกว่ารถยนต์ของฉัน”

โลเวลยิ้มในหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้วไม่ต้องใช้ของแพงอะไรมาล่อด้วย ใช้แค่ตรงนี้” พูดพลางชี้นิ้วไปที่ขมับตัวเองแล้วไหวไหล่อย่างมีชั้นเชิง นั่นยิ่งทำให้คนอยากรู้ฉงนไปกันใหญ่

“ไม่อยากเชื่อ น้องกระต่ายของพี่...ปกติไม่เคยออกไปกับเสือสิงห์ที่ไหนสักครั้ง แล้วทำไมถึงมาหลงเสน่ห์หมาป่าลูกครึ่งอย่างนายได้วะ หรือน้องกระต่ายจะชอบนายเพราะนายหล่อ”

พ่อหมาป่าที่รู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไรได้แต่ยิ้มรับเงียบๆ ไม่ได้อธิบายให้จิรายุหายสงสัยสักนิดว่าจริงๆ แล้วเขาใช้ความเจ้าเล่ห์และถือไพ่เหนือกว่าหญิงสาวต่างหาก จึงทำให้เธอยอมรับปากออกไปข้างนอกด้วยได้แต่โดยดี

แน่นอนที่เขาเลือกทำเช่นนี้ก็เพราะไม่ชอบสายตาหื่นกระหายของผู้ชายหลายต่อหลายคนที่จับจ้องมาที่แม่กระต่ายน้อยของเขา ยิ่งเธอเป็นดาวเด่นที่ใครๆ ก็หมายจะจับจองตัวตลอดเวลาแล้วด้วย โลเวลก็นึกอยากจะเหมาตัวเธอไปอยู่กับเขาทั้งปีทั้งชาติ ไม่ให้กลับมาทำงานบ้าๆ นี่อีกเลย

ถ้าหากเขาจะทำได้จริงๆ ก็คงดี

“อาจเป็นไปได้ น้องกระต่ายของนายอาจหลงความหล่อฉัน หรือไม่ฉันก็สเปกของเธอพอดี ยังไงคืนนี้นายหาทางกลับเองก็แล้วกันนะ ฉันขอพาน้องกระต่ายสุดสวยของนายออกไปหาความสุขข้างนอกสองต่อสองก่อน” หนุ่มลูกครึ่งบอกยิ้มๆ ยั่วเพื่อนให้อิจฉาตาร้อนยิ่งกว่าเดิม

จิรายุส่ายหน้า มองตามแผ่นหลังใหญ่ของเพื่อนที่เดินตรงไปควงดาวประจำร้านซึ่งนั่งรอยังโต๊ะที่พวกเขาลุกมาเมื่อครู่ด้วยตาละห้อย แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินหายออกไปจากร้าน ยิ่งทบทวนคำพูดของเพื่อนตัวดีที่บอกจะออกไปหาความสุขกับแม่กระต่ายน้อยที่เขาฝันอยากชิมเนื้อหวานๆ นั้น แต่แห้วมาตลอดแล้วก็ยิ่งตาร้อนผ่าว

“โธ่...แม่กระต่ายน้อยของพี่ คืนนี้ถูกไอ้หมาป่ากินเนื้อหวานๆ จนเหลือแต่กระดูกแน่เลย เสียดายจริงๆ ทำไมถึงยอมมัน แต่ไม่ยอมพี่นะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น