3
ลลิษาไขกุญแจเข้าร้านกาแฟทางประตูหลัง เวลาตีสี่ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัด เธอเปิดไฟก่อนเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมคาดเอว หยิบหน้ากากอนามัยมาสวม กวาดขยะทั่วร้าน หยิบอุปกรณ์มาวางในตำแหน่งต่างๆ เตรียมไว้ให้พี่ๆ ที่เป็นพนักงานชงกาแฟ ก่อนจะยกเก้าอี้ที่อยู่บนโต๊ะวางบนพื้นชิดขอบโต๊ะ ที่ร้านมีโต๊ะเกือบยี่สิบชุดทั้งในร้านและนอกร้าน แต่ตอนนี้ยังมืดเกินกว่าจะยกโต๊ะเก้าอี้ออกไปจัดนอกร้าน เธอจึงเลือกจัดในร้านก่อน
ที่นี่เป็นแฟรนไชส์ของร้านกาแฟชื่อดังย่านธุรกิจ มีลูกค้ามาใช้บริการมากมาย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาสาวๆ ด้วยว่าพนักงานชงเป็นนักศึกษาหนุ่มจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เจ้าของร้านคัดเฉพาะเกรดเอ นั่นคือหน้าตาหล่อเหลา หุ่นดี ส่วนพนักงานเสิร์ฟมีคละกันทั้งชายและหญิง
โดยปกติที่ร้านนี้รับเฉพาะพนักงานที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไป แต่ความที่เธอใช้ลูกอ้อนและแสดงความตั้งใจแน่วแน่ที่อยากจะทำงาน เจ้าของร้านเลยใจอ่อนยอมว่าจ้างทั้งที่ตอนนั้นเธอยังเรียนเกรดเก้า หรือ ม.3 เธอทำงานพาร์ตไทม์ที่นี่มากว่าสามปีแล้ว เดาว่าส่วนหนึ่งนายจ้างคงสงสารที่เธอต้องหาเงินรักษาแม่ ทั้งที่สมัยนั้นเธอยังหยิบจับทำอะไรไม่ได้นอกจากล้างแก้วล้างจาน เพิ่งขยับมาเป็นพนักงานเสิร์ฟก็เมื่อปีกลาย
“วันนี้น้องลิซมาเช้าจัง พี่ว่าพี่เช้าแล้ว น้องลิซเช้ากว่าพี่อีก” เสียงไขประตูด้านหน้าดังขึ้น พร้อมร่างสูงโปร่งของชาลิสาลูกสาวเจ้าของร้านวัยยี่สิบสามที่โผล่หน้ามาทักทาย เธอไขกุญแจ เลื่อนประตูบานเลื่อนอะลูมิเนียมขึ้นไปเก็บในราง ล็อกประตูกระจกด้านหน้าดังเดิมแล้วเดินเข้ามาในร้าน
ชาลิสาเป็นแคชเชียร์ เธอลงทุนมาคุมร้านด้วยตัวเองแทนที่จะบินไปเรียนต่อต่างประเทศในทันทีที่จบปริญญาตรีตามที่เตี่ยขอ แต่เพราะหลงรักพี่ชายของธราธร และว่ากันว่าที่ธราธรเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อเดือนก่อนได้ก็ด้วยเส้นสายของชาลิสา ที่ยอมรับเข้าทำงานเป็นพนักงานชงกาแฟทั้งที่ธราธรอายุยังไม่ถึงยี่สิบ แถมยังชงกาแฟไม่เป็น อันที่จริงเธอไม่ได้สนใจว่าชาลิสาจะชอบใครหรือรักใคร เพียงแต่เรื่องนี้พูดกันปากต่อปากจนเข้าหูเธอ
“บังเอิญไม่ต้องเดินทางไกลแล้วน่ะค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“หนูย้ายที่อยู่แล้ว หนูออกไปอยู่กับญาติไม่ไกลจากที่นี่นัก ต่อไปนี้หนูมาได้เช้าขึ้น”
“อ้อ...เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าน้องลิซยังมีญาติเหลืออยู่ คิดว่าไม่มีญาติที่ไหนแล้ว แต่อย่างว่า น้องลิซไม่ค่อยพูดถึงตัวเอง แต่ช่างเถอะ...” ชาลิสาพูดแล้วโบกมือว่อนราวกับไล่แมลง “อย่าเล่าเลย เพราะเล่าไปพี่ก็ไม่ฟังหรอก ไม่อยากฟัง ปวดหัวเปล่าๆ”
ลลิษาฉีกยิ้ม นี่คือความน่ารักของชาลิสา เป็นวิธีปฏิเสธทางอ้อมที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น “ที่หนูมาทำงานเช้า เพราะอยากลางานครึ่งเช้าด้วยค่ะ อยากออกไปสักสิบโมง” ลลิษาบอกตรงๆ
“จะไปไหนหรือ”
“จะไปสอบสัมภาษณ์เข้ามหา’ลัย...” เธอเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชื่อดัง
“จริงสิ น้องลิซสอบทีแคสได้นี่นะ เห็นว่าธรติดที่นั่นเหมือนกัน ไม่รู้ไปสอบสัมภาษณ์วันไหน”
“เห็นว่ามะรืนนี้นะคะ”
“อ้อ...คณะเดียวกันหรือเปล่า”
“คณะเดียวกันค่ะ”
“ธรนี่ตามติดน้องลิซดีจัง”
“คะ? ตามติดอะไรคะ”
“นี่ยังไม่รู้อีกหรือที่ธรมาสมัครพาร์ตไทม์ที่นี่ เพราะหวังตามจีบน้องลิซ พนักงานรู้กันทั้งร้าน มีแต่น้องลิซที่ไม่รู้ น่ารักจัง แล้วที่ธรตามไปเรียนมหา’ลัยเดียวกับน้องลิซ ก็เพื่อหวังตามไปคุมนั่นแหละ” ชาลิสากระเซ้าแล้วหัวเราะชอบใจ “ว่าไปน้องลิซนี่เนื้อหอมนะ ทั้งหนุ่มทั้งทอมตามจีบกันจ้าละหวั่น แต่อย่างว่าน้องลิซสวยยังกับตุ๊กตาบาร์บี้แบบนี้ ใครเห็นก็ใจละลาย ขนาดพี่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังชอบมองน้องลิซบ่อยๆ”
“คะ? ทอมที่ไหนกัน”
“ก็พิมพ์ไง มาเฝ้าน้องลิซบ่อยๆ”
“เปล่าสักหน่อย” ลลิษาอุบอิบ หน้าแดงก่ำ
“พิมพ์หึงน้องลิซเลยตามมาเฝ้า ใครก็ดูออก”
“โธ่...พี่ชัญพูดไปเรื่อย”
“ไม่สังเกตหรือ ตั้งแต่ธรมาทำงานที่นี่ พิมพ์มาเฝ้าทุกวัน”
“พิมพ์อาจติดใจกาแฟพี่ชัญก็ได้”
“พูดไปเรื่อย” ชาลิสาโบกมือว่อน ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องลางาน ตามสบายนะ”
“ขอบคุณค่ะ หนูอยากรบกวนพี่ชัญอีกเรื่อง หนูอยากเบิกเงินค่าจ้างล่วงหน้าของเดือนนี้ อยากเตรียมเงินไว้จ่ายค่าเทอม แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ” ลลิษารีบออกตัวอย่างเกรงใจเพราะช่วงหลังเธอเบิกเงินล่วงหน้าค่อนข้างถี่ แทบจะเดือนชนเดือน
“ไม่เป็นไร เบิกได้เลยตามสบายจ้ะ” ชาลิสาทำท่าจะพูดอะไรมากกว่านั้น แต่เหลือบไปเห็นลูกค้ารายแรกที่เดินฝ่าแสงสลัวมาที่ร้านเสียก่อน ร่างสูงโปร่งของพิมพ์ใจเห็นแต่ไกล “นั่นไง พูดถึงก็มาโน่นแล้ว ตายยากจริง”
เสาร์ต่อมา
ปราณธรไม่มีธุระไปไหนในวันเสาร์จึงตั้งใจตื่นสาย กะวิ่งจ็อกกิง เข้าฟิตเนสแล้วไปตรวจโรงแรม แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าเสาร์นี้เขาตื่นเช้ากว่าทุกเสาร์ ด้วยว่าตอนนี้เพิ่งตีห้า
ปราณธรยืนเกาะระเบียง ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ตามองฝ่าแสงสลัวยามฟ้าสางตรงไปยังหน้าต่างห้องนอนของเรือนพักคนใช้ด้านล่าง ต่ำลงไปกว่าสามชั้นซึ่งอยู่ติดกับฝั่งห้องนอนเขาเป็นห้องนอนของลลิษา ความที่บ้านพักคนงานมีห้องว่างเหลืออยู่แค่ห้องเดียวคือปีกนี้ เด็กสาวจึงต้องพักอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลลิษารูดผ้าม่านเปิดไว้ทุกด้าน กระนั้นความที่ยังเช้ามากจึงมองเข้าไปไม่เห็นอะไร เขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ในห้องนอนเธอ ใจอยากรู้ว่าเธอตื่นหรือยัง หรือทำอะไรอยู่ เท้าไวเท่าความคิดเขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ยกหูโทรศัพท์สายใน กดโทร. หาแม่บ้าน
“ป้ารำไพ ลลิษาตื่นหรือยังครับ”
“น่าจะยังนะคะ ห้องปิดประตูเงียบเชียบ ไฟยังไม่เปิด เช้าขนาดนี้น่าจะยังไม่ตื่น เด็กสมัยนี้ก็งี้แหละค่ะขี้เกียจตัวเป็นขน ถ้าตะวันยังไม่เลียก้น ไม่มีทางตื่นหรอกค่ะ”
ปราณธรพยายามไม่ใส่ใจคำสร้อยพวกนั้น เขาตรงเข้าประเด็น “ถ้าลลิษาตื่นแล้ว บอกให้เธอมากินข้าวเช้ากับผมนะครับ บอกไปว่าผมมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”
“ถึงกับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะเลยหรือคะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“เด็กนั่นไม่มีหัวนอนปลายเท้า คุณปราณไม่น่าจะให้ท้ายนะคะ อีกอย่างคุณปราณไม่คิดเปลี่ยนใจหรือคะ ส่งแม่นั่นไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่สิ...แก่ปูนนี้แล้วคงไม่มีที่ไหนรับ เอางี้ไหมคะเราหาบ้านอุปถัมภ์สักแห่งให้หล่อน”
“ป้ารำไพ” ปราณธรเรียกเสียงอ่อนใจ “ป้าเลิกพูดเป็นนิยายเถอะ พักนี้ดูละครมากไปแล้ว เราพูดเรื่องนี้จบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ผมย้ำอีกครั้ง ผมตกลงใจแล้วว่าจะให้ลลิษาอยู่บ้านนี้จนกว่าเธอจะจบมหา’ลัย ว่ากันตามนี้นะครับ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงผมค่อยบอกป้า”
“แต่คุณปราณคะ”
“ไม่มีแต่ อย่างที่ผมบอก ลลิษาเป็นลูกสาวลักษณ์ เธอหนีร้อนมาพึ่งเย็น เธอตัวคนเดียวไม่มีใคร เพราะงั้นผมอยากให้ป้าเอ็นดูเธอ คิดซะว่าเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง”
“ฮึ” รำไพทำเสียงขึ้นจมูก “เอ็นดูได้หรือคะ มองป้าตาขวางยังกับหมาบ้าแบบนั้น แววตาแม่นั่นแข็งกร้าวยอมคนซะที่ไหน แบบนี้จะให้คิดเป็นลูกเป็นหลานไม่ได้หรอกค่ะ แถมเวลามองคุณปราณก็ชม้อยชม้ายชายตา เด็กอะไรไม่รู้แก่แดดแก่ลม หล่อนตั้งใจเล่นหูเล่นตากับคุณปราณนะคะ มาอยู่นี่หวังจะจับคุณปราณชัดๆ”
“ผมรู้น่าใครไปใครมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร เอาเป็นว่าผมยังดูแลตัวเองได้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“คุณปราณไม่ทันเด็กนั่นหรอกค่ะ หูตาแพรวพราวซะขนาดนั้น”
“ป้ารำไพ ผมจะสี่สิบอยู่แล้วนะ แก่ปูนนี้แล้วถ้ายังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิง ป้าคงได้เลี้ยงหลานไปนานแล้ว”
“ว่าได้หรือคะ ที่ผ่านมาที่ไม่โดนผู้หญิงจับ ก็เพราะว่าพวกหล่อนโตๆ กันแล้ว พูดจากันรู้เรื่อง แต่แม่นี่ไม่ใช่ หล่อนยังเด็ก แล้วก็มาเพื่อจับคุณปราณโดยเฉพาะ แถมยังวัยละอ่อนคราวลูกแบบนี้ ป้ากลัวใจว่าคุณปราณจะไม่ทัน”
“ป้ารำไพ” ปราณธรเรียกเน้นเสียง โกรธจนขำ “ลลิษายังเด็ก เธอคงไม่คิดอะไรซับซ้อนอย่างที่ป้าว่าหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง เอาเป็นว่ายังไม่มีอะไรน่าห่วง ตกลงตามนี้นะครับ ตามเธอมากินข้าวเช้ากับผมด้วย”
“ไม่คิดเปลี่ยนใจหางานพาร์ตไทม์ใหม่ทำจริงๆ หรือ” พิมพ์ใจถามขึ้นเมื่อลลิษาเดินมาเสิร์ฟกาแฟ
“ทำไมล่ะที่นี่เงินดีออก แถมทิปก็หนักด้วย” ลลิษาทรุดตัวนั่งตรงข้ามเพื่อน เช้านี้ลูกค้ายังไม่มีเพราะยังเช้าอยู่มาก เธอจึงออกมานั่งคุยกับพิมพ์ใจได้
“ฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าฉันเลี้ยงเธอได้ ไม่ต้องเหนื่อยมาทำงานพาร์ตไทม์พวกนี้หรอก”
“แล้วฉันก็บอกเธอแล้วเหมือนกันว่าฉันมีมือมีเท้า ฉันหาเลี้ยงตัวเองได้”
พิมพ์ใจเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ พวกเธอเรียนโรงเรียนนานาชาติชื่อดังด้วยกัน ค่าเทอมแพงหูฉี่ด้วยว่าสมัยนั้นพ่อเธอยังรวย พ่อแม่เห็นตรงกันว่าการให้การศึกษาแก่ลูกเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืน ฉะนั้นจึงไม่เคยเขียมกับรายจ่าย ไม่ว่าเธออยากไปซัมเมอร์แคมป์หรือแคมป์ภาษาที่ไหน พ่อเป็นต้องสนับสนุน แถมบางคราวบินไปดูแลเธอด้วยตัวเอง
อย่างว่าเธอเป็นลูกโทน พ่อแม่จึงรักมาก ทุกซัมเมอร์เธอไปแคมป์ภาษาที่ต่างประเทศ ไม่ยุโรปก็อเมริกา เธอชื่นชอบประเทศเมืองหนาว เลยหาเรื่องเที่ยวทุกซัมเมอร์ แต่พอครอบครัวถังแตก พ่อประสบอุบัติเหตุต้องนอนแบ็บเป็นเจ้าชายนิทรา เธอก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศอีกเลย เพราะต้องเก็บออมเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นค่ารักษา แล้วพอพ่อเสีย จังหวะไล่ๆ กันแม่ก็ป่วยเป็นมะเร็ง เงินทองที่เหลือน้อยอยู่แล้วยิ่งร่อยหรอลงไปอีก เธอเลยตัดสินใจขายทุกอย่างที่มีเพื่อแปลงเป็นเงินค่ารักษาแม่ รวมถึงเพื่อประทังชีวิตด้วย แม่ยอมตัดใจขายบ้านหลังโตที่เธออยู่มาแต่อ้อนแต่ออกแล้วออกไปหาบ้านเช่าหลังเล็กๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ครอบครัวเริ่มติดลบ ไม่มีเงินจุนเจือปากท้อง ตอนนั้นเธอคิดจะลาออกจากโรงเรียนเพื่อหางานทำ แต่แม่ขอไว้ แม่บอกว่าอย่างเดียวที่จะเหลือเป็นมรดกให้เธอได้คือการศึกษา ขอให้เธอแข็งใจเรียนจนจบอย่างน้อยปริญญาตรีก็ยังดี เธอเลยฮึดสู้ ขอทุนโรงเรียน ช่วงนั้นเองที่เพื่อนๆ เริ่มตีจากไปทีละคนสองคนกระทั่งไม่เหลือใคร มารู้ตัวอีกทีว่าข้างกายเหลือแค่พิมพ์ใจก็ตอนที่ทุกคนหนีหน้าไปหมดแล้ว
พิมพ์ใจไม่รังเกียจกับความยากจน ในขณะสังคมที่เธออยู่ผู้คนนับหน้าถือตากันด้วยเงินทอง ใครจนหรือขอทุนโรงเรียนจะถูกมองว่าเป็นชนชั้นสอง ยิ่งตอนแม่ป่วยระยะสุดท้าย เธอลำบากหนักมาก ช่วงนั้นไม่มีเงินเก็บ แม้จะขอเงินจากปราณธรแต่ก็ไม่พอ เพราะนอกจากจะใช้จ่ายเป็นค่ารักษาแม่แล้ว ยังต้องใช้หนี้ที่กู้ยืมมารักษาพ่อด้วย เธอตัดสินใจหางานพาร์ตไทม์ทำ แข็งใจเรียนไปทำงานไปทั้งที่ลำบากมาก เพราะเมื่อทำงานพาร์ตไทม์ เวลานอนไม่พอ แถมไม่มีเวลาอ่านหนังสือทบทวน ถ้าไม่ได้พิมพ์ใจช่วยติว เธอคงไม่สามารถจบไฮสกูลพร้อมเพื่อนๆ ได้
ตอนนี้เธอสอบสัมภาษณ์และรายงานตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ตั้งใจจะทำงานพาร์ตไทม์ต่อไป แต่ถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอ เธอกะขอทุนมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็กู้กองทุนเล่าเรียน เธอไม่ได้หวาดหวั่นกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คิดว่าเป็นความท้าทาย เปรียบไปเหมือนกับการพาตัวเองเข้าไปในชีวิตของปราณธร
เธอไม่รู้ว่าเริ่มต้นรักหนุ่มใหญ่คนนั้นเมื่อไร บางทีอาจเริ่มจากสามปีก่อนที่แม่ป่วยหนักแล้วเริ่มเพ้อถึงปราณธร หรือไม่อาจย้อนไปไกลกว่านั้นเมื่อสมัยเด็กๆ เวลาพ่อเมามักเล่าเรื่องสมัยก่อน พ่อมักบ่นน้อยใจที่แม่ยังไม่ลืมคนรักเก่า พ่อรู้สึกเป็นปมด้อยที่ตัวเองแก่กว่าแม่มาก ท่านชอบพูดบ่อยๆ ว่าคนแก่คราวพ่อหรือจะสู้คนหนุ่มๆ ได้ ฟังพ่อบ่อยเข้าเธอเลยเอาไปถามแม่ สมัยนั้นเพิ่งจะสี่ห้าขวบกระมัง แววตาแม่เป็นประกายเวลาพูดถึงเขา ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจ แล้วจากนั้นแม่ก็พูดถึงเขาบ่อยๆ โดยที่ไม่ต้องอาศัยการกระตุ้นใดๆ อีก
ตอนเด็กๆ เธอฟังแล้วไม่กล้าเอาไปเล่าให้พ่อฟังต่อ เพราะกลัวพ่อเสียใจ เธออยู่กับเรื่องราวของปราณธรมาเป็นสิบปี กระทั่งวันที่แม่ป่วยหนัก บอกให้เธอไปขอเงินจากปราณธรเพราะเห็นว่าเธอรับภาระคนเดียวไม่ไหวอีกแล้ว นั่นเป็นที่มาที่เธอเริ่มเซิร์ชหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อปราณธร แล้วก็พบว่าเขาเป็นผู้ชายที่รวยลำดับต้นๆ ของฟ้าเมืองไทย เป็นหนุ่มสำราญและเป็นเพลย์บอยที่ข้างกายไม่เคยขาดสาวๆ เธอแอบเหน็บเขาว่าเป็นผู้ชายบ้ากาม
เธอเริ่มศึกษาข้อมูลเขา รู้ว่าเขาชอบผู้หญิงที่ช่ำชองเรื่องเพศ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มศึกษาว่าเซ็กซ์คืออะไร และจะทำอย่างไรให้ผู้ชายอย่างเขาพึงใจ เธอเคยอ่านบทสัมภาษณ์ ปราณธรบอกว่าถึงเขาจะเจ้าชู้แค่ไหน แต่เขาจะไม่ขึ้นเตียงกับเด็กสาวๆ ผู้หญิงอายุน้อยสุดที่เขาคบหาอยู่ในตอนนี้คือนางแบบวัยยี่สิบสี่ นั่นคือ มิญชยา
เธอสืบค้นข้อมูลเขา กระทั่งรู้ว่าเขาเรียนที่ไหนในสมัยมัธยมและอุดมศึกษา ก่อนจะไปต่อเมืองนอก หรือปัจจุบันคบหากับใคร รู้กระทั่งน้ำหนัก ส่วนสูง งานอดิเรก อาหาร และสีที่เขาชอบ แต่การท่องไปในโลกของเขาเหมือนดาบสองคม ยิ่งศึกษา เธอก็ยิ่งหลงใหลคลั่งไคล้เขา ยิ่งตระหนักว่าเขาเป็นผู้ชายชวนฝัน แต่ในขณะเดียวกันก็อันตราย รู้อยู่เหมือนกันว่าเธอกำลังเล่นกับไฟ เพราะผู้ชายอย่างเขาไม่มีทางหยุดที่ผู้หญิงคนไหน เขาเหมือนพรานล่าเนื้อที่สนุกกับการไล่ล่า แต่ไม่คิดลงหลักปักฐานกับใคร เธอถามตัวเองว่าพร้อมไหมถ้าจะตกเป็นของเล่นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว คำตอบที่ได้กลับมาคือ เธอพร้อมจะเสี่ยง เมื่อมั่นใจว่าพร้อมรับชะตากรรมหากพ่ายแพ้หมดท่า อย่างร้ายสุดเธอก็จะได้มีช่วงเวลาดีๆ กับผู้ชายในฝัน แต่หากโชคดี เธออาจได้หัวใจเขามาครอง
จากนั้นเธอเริ่มศึกษาข้อมูลเชิงลึกกว่านั้น เธอพบว่าเซ็กซ์เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเขา เธอจึงคิดใช้เรื่องนี้ในการเข้าหาเขา โดยเริ่มบ่มเพาะประสบการณ์ด้านนี้เมื่อสามปีก่อน บอกตัวเองให้ทำตัวให้ชินกับเรื่องอย่างว่า ทั้งที่แรกเริ่มเป็นอะไรที่น่าอับอายขายหน้า
เธอเริ่มจากหาหนังสือปลุกใจเสือป่ามาอ่าน เซิร์ชอินเทอร์เน็ตหาคลิปมาดู และขั้นตอนสุดท้ายคือชวนพิมพ์ใจทดลองกันจริงๆ พวกเธอผลัดกันทำออรัลเซ็กซ์ เมื่อคิดว่าตัวเองเจนสังเวียน เธอก็เริ่มเข้าหาปราณธรอีกครั้ง พยายามสร้างภาพให้เขาเห็นว่าเธอมีประสบการณ์ช่ำชอง สามารถปรนเปรอให้ความสุขเขาบนเตียงได้ และนั่นเป็นที่มาที่เธอพาตัวเองไปหาเขาอีกครั้งเมื่อสามวันก่อนพร้อมกับเสนอตัวให้เขา
เธอเชื่อว่าต้องเข้าหาเขาด้วยวิธีพิเศษหรือแปลกพิสดารเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสนใจและจดจำเธอได้ และคิดว่าแผนการนี้ได้ผล เพราะเขามีท่าทีแปลกๆ เมื่ออยู่กับเธอ เขามักหน้าแดง ขวยเขินบ่อยๆ เมื่อเธอแสร้งพูดทะลึ่งตึงตัง ทั้งที่คิดว่าเขาเจนเรื่องอย่างว่า ไม่น่าจะหน้าบาง แต่เอาเข้าจริงปราณธรกลับขี้อายกับการพูดจาหยาบโลนสองแง่สองง่ามของเธอ เธอเลยยิ่งสนุกที่ได้แกล้งเขา ชอบดูเวลาที่เขาเขิน เป็นอะไรที่ขัดกันดี ผู้ชายตัวโตที่เจนเรื่องเพศ แต่กลับหน้าแดงง่ายๆ เมื่อถูกแซวเรื่องอย่างว่า
ยิ่งมองเขาเธอก็ยิ่งตกหลุมรัก เธอสามารถจ้องเขาได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อ ตามตื๊อเขาทั้งที่ไม่ใช่วิสัยเธอที่จะวิ่งตามผู้ชายคนไหน เธอเดินหน้าตามแผนด้วยการอ้างเรื่องติดหนี้สี่ล้าน ตามด้วยการคืนห้องเช่าแล้วขนเสื้อผ้าไปอยู่กับเขา ถ้าพ่อแม่ยังอยู่และรู้เรื่องนี้ คงเป็นลมล้มพับไปแล้วกับความแก่แดดและความกล้าก๋ากั่นของเธอ...
“ถ้าเธอยืนกรานจะทำงานพาร์ตไทม์ต่อ ฉันก็ไม่อยากให้ทำที่นี่” พิมพ์ใจขอตรงๆ
“เพราะอะไร”
“ธรทำอยู่ที่นี่”
“เกี่ยวอะไรกับธร อีกอย่างฉันทำของฉันก่อน ธรมาทีหลัง”
ธราธรเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับพวกเธอ แต่ต่างห้องกัน เขาย้ายมาเรียนเทอมสองเมื่อสองปีก่อน นัยว่าทำตัวเกกมะเหรกเกเรสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา พ่อแม่เลยเรียกตัวกลับไทย ให้มาเรียนที่โรงเรียนนานาชาติในไทย ตอนเจอธราธรครั้งแรก เขาแกล้งเธอสารพัด ทั้งเปิดกระโปรง เอากบเขียดใส่กระเป๋า ดีที่ได้พิมพ์ใจช่วยไว้ หลายครั้งเข้าพิมพ์ใจทนไม่ได้เลยท้าชกต่อยกับธราธร ฝ่ายนั้นจึงซาเรื่องแกล้งเธอไปได้บ้าง เรียกว่าระหว่างธราธรกับพิมพ์ใจเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ตอนหลังท่าทีธราธรเปลี่ยนไป พอรู้ว่าเธอไม่มีพ่อแม่ หนำซ้ำยังลำบากจนต้องขอทุนเรียน เขาก็หันมาทำดี ไม่เคยแกล้งเธออีกเลย แถมยังขอให้พี่ชายช่วยรับอุปการะเธอด้วย แต่ตอนนั้นเธอปฏิเสธไป
“ธรชอบเธอ มันตามจีบเธอ ใครๆ ก็ดูออก”
“แล้วเป็นความผิดของฉันหรือ”
“ไม่ แต่ถึงไม่ใช่ ฉันก็ไม่อยากให้เธอเปิดโอกาสให้มัน”
“แล้วฉันเปิดที่ไหน”
“ทำงานด้วยกันก็ต้องสนิทกัน แล้วหมอนั่นก็จ้องหาโอกาสอยู่”
“โอเคฉันเข้าใจความปรารถนาดีของเธอ แต่ช่วยยืนยันหน่อยเถอะว่าที่ทำไปทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับหึงหวงใช่ไหม”
“แล้วฉันไม่มีสิทธิ์รึไง”
“ฉันว่าฉันเคลียร์เรื่องนี้ไปแล้วนะ เธอไม่มีสิทธิ์หึงฉัน เราไม่ได้เป็นแฟนกัน เราเป็นเพื่อนกัน เธอเป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน”
“เราขึ้นสวรรค์ด้วยกันขนาดนั้นแล้ว เธอยังจะว่าแค่เพื่อนอีกหรือ ถามหน่อยเถอะ เคยมีใครให้ความสุขเธอเหมือนที่ฉันให้ไหม”
ลลิษารีบถลาเอามือไปอุดปากเพื่อน เหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก กลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน “จะบ้าหรือไง มาพูดอะไรตรงนี้”
“ก็มันเรื่องจริง เรามีอะไรกันแล้ว เธอเป็นแฟนฉันนะลิซ” พิมพ์ใจยื้อมือพลางจูบฝ่ามือ
ลลิษารีบกระชากมือกลับ ถอยกลับมานั่งตัวตรง ผ่อนลมหายใจพรืดใหญ่ การมีอะไรด้วยกันที่พิมพ์ใจว่า คือการใช้นิ้วกับปาก
พิมพ์ใจเป็นทอมที่หน้าตาหล่อมาก แทบดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงถ้าไม่เปลื้องผ้า เพราะแม้แต่เสียงก็ยังห้าวเกินตัว เธอรู้จักกับพิมพ์ใจตั้งแต่เกรดเจ็ด แล้วนับแต่นั้นก็ตัวติดกันยังกับกะละแม บางทีการที่เธอเลือกพิมพ์ใจเป็นครูสอนประสบการณ์ทางเพศอาจเป็นความผิดพลาดเพราะทำให้อีกฝ่ายตู่ว่าเธอเป็นแฟน ทั้งที่ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าเป็นตัวแทนของปราณธร เธอไม่กล้าลองกับผู้ชายจริงๆ กลัวปัญหาสารพัดตามมาถึงได้เลือกพิมพ์ใจ แต่ตอนนี้เธอเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาด
ลลิษาทำท่าจะแย้ง แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากก็มีชอปเปอร์ราคาแพงพุ่งมาจอดหน้าร้าน คนขี่สวมชุดหนังสีดำอย่างเท่โดยมีธราธรซ้อนท้าย ก่อนจะตวัดขาลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อกส่งให้คนขี่ เธอจ้องคนขี่ซึ่งตอนนี้ถอดหมวกกันน็อก อวดใบหน้าหล่อเหลาคมสัน น่าจะอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ
“พี่ชายธรนี่เท่จริงๆ” พิมพ์ใจพึมพำ
“คนนี้หรือที่พี่ชัญชอบ”
“ใครบอก คนนี้ว่าที่พี่เขยฉัน คนที่พี่ชัญชอบคือคุณปราณธร ซีอีโอไมเนอร์ พี่ชายคนโตของธรต่างหาก”
“ฮะ!...อะไรนะ” ลลิษาตกใจแทบตกเก้าอี้ หันขวับมองเพื่อน ใบหน้าเผือดสี
“ทำไมต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น”
“เก๊าะ...ฉันไม่เคยรู้ว่าคุณปราณธรเป็นพี่ชายธร”
“เธอรู้จักเขาด้วยหรือ”
ลลิษาอึกอัก หน้าแดง “ก็...เขาดังออก เป็นข่าวทางทีวีบ่อยๆ”
พิมพ์ใจพยักหน้ารับรู้ “ธรกับคุณปราณธรเป็นพี่น้องคนละแม่ คุณปราณธรเป็นลูกเมียหลวง ส่วนธรกับพี่บุตรเป็นลูกเมียน้อย ความที่พ่อของคุณปราณธรรู้สึกผิดกับลูกเมีย เลยไม่กล้าให้ธรกับพี่บุตรใช้นามสกุลตัวเอง ทั้งคู่เลยต้องใช้นามสกุลแม่ เหตุนี้น้องต่างแม่กับคุณปราณธรถึงมีนามสกุลไม่เหมือนกัน และเพราะเหตุนี้อีกเหมือนกันที่ทำให้ธรมันนอยด์หนัก ถึงกับฟาดงวงฟาดงาก่อเหตุสารพัดตอนที่อยู่อเมริกาจนต้องถูกเรียกตัวกลับ หมอนี่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากพี่ชาย ต้องการประท้วงที่พ่อรักลูกไม่เท่ากัน น่ารังเกียจชะมัด ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่ลูกเมียน้อย แม่ก็เป็นแค่เด็กรับใช้ในบ้าน กลับทำตัวใฝ่สูงตีเสมอพี่ชาย”
“พอแม่คุณปราณธรเสีย พ่อเขาถึงอุ้มชูเมียน้อยพาออกสังคมใช่ไหม” ลลิษาถามอย่างพอเดาอะไรๆ ได้
“ประมาณนั้นแหละ ธรถึงได้กลับมากร่างได้ไง แต่ยังไงพ่อธรก็เกรงใจคุณปราณธรอยู่มาก ยังไม่กล้าให้ใช้นามสกุลตัวเอง แถมเวลาจะตัดสินใจอะไร ยังต้องถามความเห็นลูกชายคนโตก่อน อย่างตอนที่พี่บุตรจะได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ พ่อเขายังต้องถามความเห็นคุณปราณธร พอเขาโอเค พ่อเขาถึงทำเรื่องเข้าบอร์ด”
“ดูเธอรู้เรื่องครอบครัวธรดีนะ”
“ไม่แปลก หมอนี่จีบเธออยู่ ฉันก็ต้องสนใจเป็นธรรมดา”
ลลิษาเหลือบมองไปทางคนทั้งคู่ที่ยังพูดคุยอยู่ข้างรถชอปเปอร์ เธอยังคงอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะเจอจุดไต้ตำตอเข้าอย่างจัง วูบหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ มีอะไรบางอย่างรบกวนใจเธอ แต่เธอตอบไม่ได้ว่าคืออะไร
“ป้าว่าอะไรนะ” ปราณธรถามย้ำ
“ป้าบอกว่าแม่นั่นไม่อยู่ในห้องแล้วค่ะ ป้ารอจนเจ็ดโมง เอะใจเลยลองเข้าไปเคาะประตู ปรากฏว่าอันตรธานหายไปแล้ว”
ปราณธรอึ้ง “เสื้อผ้าล่ะยังอยู่มั้ย”
“อยู่ค่ะ นี่คุณปราณคิดอะไรอยู่คะ คิดว่าป้าจะเป็นนางยักษ์ใจร้ายกลั่นแกล้งลูกแกะจนเด็กนั่นอยู่ไม่ได้ ต้องหอบผ้าหนีออกจากบ้านอย่างงั้นหรือคะ” รำไพคอแข็ง
ปราณธรยิ้มแหยๆ “ไม่ได้หมายความอย่างงั้น แค่เห็นว่าป้ากับลลิษาไม่กินเส้นกัน”
รำไพตวัดตาค้อน “ก็เลยจะแกล้งให้อยู่ไม่ได้งั้นสิคะ ไม่ใช่หรอกค่ะ ถึงป้าอยากไล่เด็กนั่นให้พ้นบ้านนี้แค่ไหน แต่ก็รู้ว่าเป็นเด็กโปรดของคุณปราณ ป้าไม่กล้าหรอกค่ะ ยืนยันว่าป้าไม่ได้แกล้งจนเด็กนั่นอยู่ไม่ได้ คุณปราณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวเด็กนั่นก็กลับมาเอง วันเสาร์แบบนี้แม่นั่นคงออกไปตะลอนๆ เที่ยวกับเพื่อน เย็นๆ คงกลับ”
ปราณธรหน้าแดง “แก้ความเข้าใจกันก่อนนะ ลลิษาไม่ได้เป็นเด็กโปรดของผม”
“หรือคะ ใครแตะก็ไม่ได้นี่คะ ขนาดเป็นเด็กไร้หัวนอนปลายเท้า คุณปราณยังจะให้มาร่วมโต๊ะ”
“ผมบอกป้าไปแล้ว เธอไม่ใช่เด็กไร้หัวนอนปลายเท้า เธอเป็นลูกสาวของลักษณ์”
“แม่ลูกต่างกันลิบลับ คุณลักษณ์เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ แต่แม่นี่ยังกะหลุดมาจากคนละโลก”
สมัยเรียนปริญญาตรี ปราณธรคบหากับลักษณาอยู่ในสายตารับรู้ของผู้ใหญ่ตลอด ปราณธรพาลักษณามารับประทานข้าวที่บ้าน เลยเป็นที่รู้จักของเธอไปด้วย ทุกคนรักใคร่เอ็นดูลักษณาด้วยว่าเป็นเด็กเรียบร้อยอ่อนหวาน ถ่อมตัว มีสัมมาคารวะ ที่สำคัญไม่ก๋ากั่นแก่แดด
ปราณธรฟังแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ พยายามตีหน้าเคร่ง “ป้ารำไพไม่มีเบอร์โทร. ลลิษาเลยหรือ”
รำไพจ้องหน้านายหนุ่มยังกับเห็นเขางอกออกจากหัว “คนที่ควรมีใช่ป้าหรือคะ ป้าจะมีเบอร์แม่นั่นไปทำไม”
ปราณธรชะงัก รำไพพูดคำก็เหน็บลลิษาคำ เขาเห็นว่าคุยไปก็ไร้ประโยชน์เลยโบกมือว่อน “ป้าไปเถอะ ผมไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมจะกินอาหารเช้าละ”
“ถ้าเด็กนั่นกลับมา ป้าจะบอกให้มาหาคุณปราณที่นี่ค่ะ”
“ผมว่าจะเข้าโรงแรม คงกลับบ้านดึก”
“งั้นป้าจะบอกให้แม่นั่นมาหาคุณปราณทันทีที่คุณปราณกลับมาแล้วกันค่ะ”
ปราณธรพยักหน้า เขาหันมาจัดการมื้อเช้าตรงหน้า ลลิษาไปไหนกันตั้งแต่เช้า วานซืนเขาเองก็ละเลยที่จะถามไถ่ความเป็นไปของเธอ ไม่แม้แต่จะขอเบอร์โทรศัพท์ไว้
ความคิดเห็น |
---|