8

บทที่ 8


 8

 

“ภัตตาคารอยู่ด้านในสุด เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย บอกพนักงานว่าเธอมากับฉัน เดี๋ยวเขาจะพาเธอไปห้องส่วนตัวของฉัน อ้อ...อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย”

“แล้วคุณไม่ไปด้วยกันหรือคะ” ลลิษาท้วง พยายามข่มความรู้สึกผิดหวังในน้ำเสียง ด้วยว่าเมื่อออกจากลิฟต์บนชั้นดาดฟ้า เขาหยุดส่งเธอแค่หน้าประตูลิฟต์

“ฉันไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัวเต็มที ฉันอาบที่ชั้นนี้แหละ เพนต์เฮาส์ฉันอยู่บนชั้นนี้ แค่อยู่คนละปีก”

“คุณนี่เป็นพวกคลั่งความสะอาดหรือเปล่า จับเนื้อตัวสาวๆ เมื่อไหร่เป็นต้องรีบล้างตัวทำความสะอาด เมื่อคืนก็หนหนึ่งแล้ว ต้องรีบไปอาบน้ำ หนนี้ก็เหมือนกันเลย”

ปราณธรแยกเขี้ยว “แล้วอยากตามไปดูด้วยมั้ยล่ะว่าผู้ชายเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำหลังจากที่ได้แต่จับ แต่ไม่ได้แอ้มน่ะ”

ลลิษาหน้าแดงก่ำจดลำคอ เธอโต้โดยไม่มองหน้าเขา “ลามก คุณนี่ลามกยิ่งกว่าอะไร นอกจากนิสัยเสีย เอาแต่ใจตัวเองแล้ว ยังลามกอีก”

ปราณธรซ่อนยิ้มขำในหน้ามิดชิดเมื่อตอบว่า “นี่แหละความจริงของผู้ชาย เธอควรระวังตัวให้มาก ถ้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับผู้ชายคนไหน ก็ไม่ควรพาตัวเองเข้าใกล้ เพราะมีแต่เปลืองตัวกับเปลืองตัว”

ชายหนุ่มหมุนตัวกลับ เดินแยกจากเธอไปอีกทาง ไปถึงประตูทางเชื่อมไปยังพื้นที่ส่วนตัว ใช้คีย์การ์ดทาบกับเครื่องรับสัญญาณ ประตูบานเลื่อนเลื่อนเปิดออก เขาตรงไปก่อนเลี้ยวขวา ลลิษามองตามจนเขาลับสายตาแล้วเธอก็ผ่อนลมหายใจ หันหลังมุ่งไปยังอีกฟากของฟลอร์ เดินไปตามทางที่เขาบอก จนไปเจอประตูบานเลื่อนซึ่งเลื่อนเปิดออกด้วยระบบเซนเซอร์ ลมหนาวจากภายนอกกรูเข้ามาปะทะตัวจนต้องห่อไหล่ คลี่สูทที่พาดอยู่บนแขนคลุมบ่า กอดกระชับแนบตัว ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมผู้ชายผสมกับกลิ่นกายแห่งบุรุษเพศให้ความรู้สึกไม่ต่างจากถูกเขาโอบกอด

คงเพราะอยู่บนชั้นดาดฟ้าแถมโรงแรมสูงเกือบแปดสิบชั้น ลมเลยพัดแรงมากกว่าปกติ เธอเดินไปหาพนักงานเสิร์ฟ ขณะที่ในใจนึกถึงท่าทีแปลกๆ ของปราณธร นับแต่เขากระชากเธอเข้าไปกอดจูบในห้องน้ำ เขาก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เข้มงวดกับเธอเหมือนเก่า แต่ปล่อยตัวง่ายๆ สบายๆ ดูผ่อนคลายขึ้น ขี้เล่นขึ้น ช่างกระเซ้าเย้าแหย่ขึ้น และถ้าเธอไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป เธอก็อยากคิดว่าเขากำลังหยอกล้อเธอด้วยซ้ำเมื่อพูดประโยคทิ้งท้ายนั้น

ลลิษาพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ เธอไม่เข้าใจเสือยิ้มยากคนนั้น นาทีหนึ่งเขาเย็นชาห่างเหิน แต่อีกนาทีกลับทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายกับเธอ เขาเป็นยิ่งกว่าหนังสือที่อ่านยาก ช่างซับซ้อนและเข้าใจยากเสียจริง

 

ตอนที่เขาเลื่อนประตูบานกระจกเข้าไปในห้องด้านในสุดของภัตตาคารซึ่งเป็นห้องรับประทานอาหารส่วนตัวของเขานั้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมาย และลลิษากำลังนั่งรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับคุยไลน์ในโทรศัพท์มือถือไปพลาง เขาทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอเลิกเล่นโทรศัพท์มือถือ เงยหน้าขึ้นมอง และเป็นจังหวะเดียวกับที่บริกรเดินเข้ามาค้อมศีรษะแล้วถาม

“คุณปราณจะรับอะไรครับ”

“แชมเปญสองที่แล้วกัน”

“ครับท่าน” บริกรค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม หันหลังกลับพร้อมกับเลื่อนบานประตูปิดให้เรียบร้อย

“คุณไม่ทานข้าวหรือคะ” ลลิษาถามพลางจ้องเขาตรงๆ บางครั้งเธอก็อยากคิดว่าปราณธรเป็นผู้ชายสำอาง เพราะเขาให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดเป็นที่สุด ดูอย่างตอนนี้เขาใช้เวลาไปกับการอาบน้ำนานกว่าครึ่งชั่วโมง และกลับออกมาพร้อมกับเนื้อตัวหอมสะอาดราวกับไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์มา เขาอยู่ในชุดใหม่แต่ยังคงเป็นเชิ้ตกางเกงสแล็ก เขาใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าเธอด้วยซ้ำ

“เธอสั่งมาจะล้นโต๊ะอยู่แล้ว ฉันยังต้องสั่งอะไรอีก” ปราณธรตอบแล้วหยิบตะเกียบไปคีบอาหารบนโต๊ะเข้าปาก

“คิดว่าที่ไม่สั่ง เพราะอิ่มมาแล้วกับคุณโฉมฉายซะอีก” ลลิษาพยักหน้าหงึกๆ ไม่รู้เลยว่าท่าทีของตัวเองกวนประสาทอย่างมาก

ปราณธรเงยหน้ามองเด็กสาวด้วยสายตาคมปลาบ น้ำเสียงลลิษาเจือรอยหึงหวง ไม่แค่เขม่น เขาไม่ตอบอะไร เอ่ยไปอีกทางว่า “มาคุยเรื่องเธอกันดีกว่า”

“อย่าๆ” เธอรีบโบกมือห้าม “อย่าเพิ่งมาด่ากันตอนนี้ คนกำลังเจริญอาหาร เดี๋ยวหมดความอยากกันพอดี”

ปราณธรคลี่ยิ้มอย่างอดไม่อยู่ “ก็แล้วทำไมคิดว่าฉันต้องด่า ฉันอาจแค่เตือน”

“หึ” เธอทำเสียงขึ้นจมูก

“ทำไมทำเสียงน่าเกลียดยังงั้น”

“ด่าหรือเตือนของคุณให้ความหมายไม่ต่างกันหรอก”

“ลองฟังก่อนไหมล่ะ”

“ไม่”

“เวลาคุยกับผู้ใหญ่ทำไมชอบพูดกระชากเป็นมะนาวไม่มีน้ำ” เขาย่นหัวคิ้ว

“จะเริ่มบ่นเริ่มดุอีกแล้ว คุณนี่เหมาะจะเป็นพ่อจริงๆ”

ปราณธรทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ไหนว่าป๋า”

ลลิษาตวัดตาค้อน “ไม่แล้ว นาทีนี้พ่อแล้ว”

ปราณธรยิ้มขำซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บริกรเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาเสิร์ฟแชมเปญ เขาสั่งให้บริกรรินแชมเปญให้ลลิษา ก่อนบอกด้วยเสียงราบเรียบ “วางแชมเปญไว้นี่แหละเดี๋ยวฉันรินเอง ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว”

“ครับท่าน” บริกรค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมแล้วถอยกลับไป

“ภัตตาคารนี่ของคุณหรือคะ” ลลิษาถามทันทีที่บริกรลับกาย

“หนึ่งในกิจการในเครือไมเนอร์” เขาตอบเนิบช้า

“ถึงว่าบ๋อยที่นี่นอบน้อมกับคุณทุกคน”

ปราณธรไหวไหล่ เขายกแก้วแชมเปญขึ้นจิบ พยักพเยิดให้เด็กสาว “ลองชิมแชมเปญสิ ยี่ห้อขึ้นชื่อสุดในภัตตาคาร”

“ไหนคุณห้ามฉันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด”

“นั่นหมายถึงในบ้าน แต่นี่นอกบ้านแถมดื่มกับฉัน เพราะงั้นปลอดภัย”

“ปลอดภัยอะไร หลังจากที่คุณพาฉันไปท่องวิมานฉิมพลีร้อนฉ่าไปทั่วห้องน้ำซะขนาดนั้น ยังจะกล้าพูดอีกหรือว่าปลอดภัย”

ปราณธรสำลักแชมเปญ คว้าผ้าเช็ดปากมาซับปากอย่างรวดเร็ว

 

“เอาละ อย่ามัวแต่ชักใบให้เรือเสีย มาคุยเรื่องเธอกันดีกว่า” ปราณธรเริ่มต้นขึ้นหลังจากหายสำลักและเห็นว่าอาหารในจานลลิษาพร่องไปพอสมควรแล้ว

“เชิญค่ะ” เธอทำหน้าเซ็งเล็กน้อย

“เด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องลองเสื้อเป็นใคร”

“คะ?” เธอกะพริบตาปริบๆ

“ฉันถามว่าพ่อหนุ่มน้อยที่อยู่ในห้องลองเสื้อเป็นใคร”

“นี่หรือคะธุระของคุณ คุณลงทุนพาฉันมาเลี้ยงถึงที่นี่เพื่อจะถามเรื่องนี้หรือคะ”

“ใช่” เขาตอบเน้นเสียงกับคำถามกึ่งประชดประชันนั้น “แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอต้องตอบแล้ว ว่าไงหมอนั่นเป็นใคร”

“พิมพ์ค่ะ ชื่อจริงพิมพ์ใจ”

“พิมพ์ใจ? ทอมที่เธอเคยพูดถึงน่ะหรือ” เขาถามเสียงเบาหวิวแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ไม่อยากเชื่อตาตัวเองว่านั่นคือทอม เพราะดูยังไงก็ผู้ชายชัดๆ

“ใช่ นั่นแหละพิมพ์ที่ฉันเคยพูดถึง” เธอพูดพลางคีบข้าวปั้นเข้าปาก

“ดูไม่ออกเลยว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชายชัดๆ ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยนั่นจะเป็นแฟนอีกคนของเธอ”

ปราณธรพูดเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะคุยกับเธอ ลลิษาเลยยักไหล่ ไม่ตอบ

“แล้วสถานะตอนนี้ล่ะ ยังเป็นแฟนหรือ”

“ไม่รู้จะเรียกว่าแฟนได้ไหม เราไม่ได้เอ่อ...เล่นสนุกกันมาหลายเดือนแล้ว”

ปราณธรหน้าแดงก่ำ ยกมือขึ้นเสยผมด้วยความขัดเขิน เขาขอเปลี่ยนคำพูด ลลิษาไม่ได้ไร้เดียงสา เธอไม่ได้อ่อนต่อโลก อย่างน้อยก็โลกของทอมกับดี้ เธอรู้มากกว่าเขา แหงละ...ควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ปราณธรโต้ตอบตัวเองพัลวัน

“เลิกได้ไหม”

“เลิกอะไร”

“เลิกคบกับทอมนั่น”

“พิมพ์เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน ตอนที่ฉันเอ่อ...” เธอลังเล ที่สุดก็เล่าว่า “ตอนที่ฉันลำบากที่สุดในชีวิต เพื่อนๆ รังเกียจ มีแต่พิมพ์ที่ไม่ทอดทิ้งฉัน”

แหงละ...แม่นั่นต้องการใช้ประโยชน์จากร่างกายสวยๆ ของลลิษา เพราะงั้นจะทิ้งให้โง่ทำไม ปราณธรไม่รู้เลยว่าเริ่มพาล ไม่ใช่แค่หึง แค่คิดว่าจะต้องสูญเสียลลิษาเขาก็แทบทนไม่ได้แล้วแถมต้องสูญเสียให้ทอมด้วย สวรรค์ช่วย...โลกเขากลับตาลปัตรไปแล้วจริงๆ

“ฉันไม่ได้ห้ามเธอไม่ให้คบเพื่อน แต่ขอแค่ว่าต่อไปนี้อย่าทำตัวนอกลู่นอกทางได้ไหม”

“นอกลู่นอกทางยังไง”

“เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ตามลำพังกับพิมพ์ใจ ปล่อยให้พิมพ์ใจเข้าไปในห้องลองเสื้อแบบนั้น เธอต้องท่องให้ขึ้นใจ ทอมไม่ต่างจากผู้ชายคนหนึ่ง เพราะงั้นต้องไม่เปิดโอกาสให้พิมพ์ใจอยู่ตามลำพังโดยเฉพาะในที่ลับตา”

“เหตุผลล่ะ”

“เธออยู่ในการปกครองฉัน ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอ ลืมไปแล้วหรือ”

“เพราะงั้นคุณเลยมีสิทธิ์ทุกอย่างในชีวิตฉัน อย่างนั้นหรือคะ” ลลิษาถามเสียงสูง น้ำเสียงยียวน

“แน่นอน” เขากัดฟันตอบ ไม่รู้ว่าลลิษากำลังพร่ำถามอะไร ไม่รู้ว่าเธอต้องการสื่ออะไร แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ชอบใจกับหัวข้อที่กำลังเบี่ยงออกทะเลนี่

“รวมถึงมีสิทธิ์แตะต้องเนื้อตัวฉันได้ด้วย อย่างนั้นหรือคะ”

ปราณธรหรี่ตา “จะบอกว่าไม่ต้องการให้ฉันแตะต้องเธอแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่” เธอกระชากเสียงตอบ

“เพราะอะไร” ปราณธรสะกดเสียงให้ฟังราบเรียบไร้ความรู้สึก ทั้งที่ขัดกับความรู้สึกภายในใจลิบลับ

“จำได้ไหมเมื่อวานฉันเสนอตัวให้คุณ แต่คุณทิ้งโอกาสนั้นไปอย่างไม่ไยดี เพราะงั้นระหว่างเราฉันอยากให้คงสถานะแค่ผู้ปกครองกับผู้ใต้การปกครอง ความหมายตรงตัวตามนั้น แล้วถ้าคุณไม่พอใจกับสถานะนี้ จะให้ฉันออกไปจากบ้านคุณก็ได้”

ปราณธรบดกรามแน่น “ก็ได้ลลิษา ถ้าฉันไม่แตะต้องเธอ เธอจะเชื่อฟังฉันไม่ต่างจากพ่อคนหนึ่งใช่ไหม”

ลลิษาเชิดหน้า “ใช่”

“งั้นตกลงตามนั้น ระหว่างเราจะเหลือแค่สถานะผู้ปกครอง แล้วก็หัวหน้ากับลูกน้อง แล้วเธอก็ต้องเชื่อฟังฉัน ถ้าฉันสั่งอะไร เธอต้องทำตามนั้นไร้ข้อโต้แย้ง”

เขาไม่เคยงอนง้อหรือตื๊อขอขึ้นเตียงกับผู้หญิงคนไหน แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเองในตอนนี้ด้วย ปราณธรนึกบอกตัวเองด้วยอาการเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขากำลังรู้สึกเสียหน้า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธ มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายปฏิเสธ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกปฏิเสธ แถมจากเด็กรุ่นลูกที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วย

ให้ตายเถอะ...สักวันเขาจะทำให้ลลิษาคุกเข่าอ้อนวอนขอขึ้นเตียงกับเขา และเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะเอาคืนเสียให้เข็ด ปราณธรให้สัญญากับตัวเอง ยามนั้นลืมปณิธานตัวเองเสียสิ้นที่ว่าจะไม่แตะต้องเด็กสาวที่ยังเวอร์จิน ด้วยว่าในใจมีแต่ความขุ่นใจและเสียหน้าที่ถูกปฏิเสธ

 

“อะไร ไม่ถูกปากอีกหรือ” รำไพถามขึ้นเมื่อแอบจันทร์ยกถาดอาหารเช้ากลับมาที่ครัว

“ไม่แตะอะไรเลยค่ะ บอกว่าไม่ถูกปาก พักนี้คุณปราณเป็นอะไรป้า ใครทำอะไรให้ก็ไม่ถูกปากถูกใจ แถมหงุดหงิดง่าย ยังกับสาวหมดเมนส์ วันก่อนลุงอิ่มถูกเอ็ดไปทีเรื่องไม่ตัดกิ่งไม้ข้างสระ ความจริงไม่ใช่ความผิดของลุงอิ่มเลย เพราะคุณปราณเป็นคนสั่งไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามแถวสระเอง แล้วพอไม่ไปตัด ก็โดนดุหาว่าปล่อยให้กิ่งไม้ยาวระสระจนใบไม้ตกลงไปในสระ เอ...หรือเป็นเพราะว่าพักนี้สาวๆ ไม่มาที่บ้าน อารมณ์เลยบ่จอย” แอบจันทร์แสดงความเห็นอย่างออกรสออกชาติ

“ผิดไปละ ถึงไม่มีสาวๆ มาที่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณปราณขาดเรื่องอย่างว่า เพราะอาจพากันเข้าโรงแรมก็ได้” ช่อเอื้องผสมโรงเมาท์มอย

“พวกเธอนี่ยังไงนะ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องจับกลุ่มนินทานายทุกที ระวังขี้กลากขึ้นหัว ไปๆ แยกย้ายไปทำงาน เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริงนังพวกนี้ เดี๋ยวป้าขึ้นไปดูคุณปราณเสียหน่อย” รำไพเดินไปเปิดแก๊สอุ่นข้าวต้มในหม้อ ผสมเครื่องปรุงใหม่ ก่อนตักใส่ชามยกไปให้ปราณธร

แอบจันทร์มองจนรำไพลับสายตาแล้วจึงหันมาเมาท์ต่อ “ฉันว่าช่วงนี้คุณปราณแปลกไปจริงๆ นะ หงุดหงิดง่าย ฉันว่าฉันไม่ได้คิดไปเองหรอก” แอบจันทร์ยืนยัน

สร้อยระย้าพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ “แกไม่ได้คิดไปเองคนเดียวหรอกจันทร์ ฉันก็คิดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ช่วงนี้คุณปราณหัวเสียง่าย วันก่อนก็เอ็ดฉันเรื่องที่ทำความสะอาดห้องน้ำไม่สะอาด”

“เอ...หรือว่าง้องแง้งกับเด็กลลิษาอยู่” แอบจันทร์ตั้งข้อสังเกต

“บ้า...นี่แกคิดว่าสองคนนั่นแอบกินตับกันรึไง” สร้อยระย้าตวัดตาค้อน

“จะไปรู้เหรอ แค่ถามโว้ย ก็เด็กนั่นสวยหยาดเยิ้มซะขนาดนั้น แถมหุ่นก็เช้งกะเด๊ะ ส่วนคุณปราณก็ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้ เพราะงั้นจะเก็บไว้เรอะ”

“บ้า...พวกแกสองคนอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดมั่วซั่วนะ เดี๋ยวใครได้ยินจะเสียหายมาถึงเด็ก ฉันไม่เห็นแม่ลลิษาจะเล่นหูเล่นตาอะไรกับคุณปราณ วันๆ ทำแต่งานงกๆ ตื่นตีสี่ไปทำงานเสิร์ฟ กลับมาก็มืดค่ำ จะเอาเวลาไหนไปเจ๊าะแจ๊ะ ฉันว่าแม่ลลิษาเป็นเด็กใช้ได้ทีเดียว เพราะงั้นไม่มีทางจะกินบนเรือนขี้บนหลังคาหรอก”

วันก่อนลลิษาขนเสื้อผ้าตั้งใหญ่มาให้พวกเธอสามคน เป็นเสื้อผ้าใหม่ยี่ห้อแพงๆ พวกเธอทั้งสามเลยมีท่าทีเปลี่ยนไป หันมาเป็นมิตรกับลลิษามากขึ้น และคอยปกป้องเด็กสาวยามที่ถูกรำไพเอ็ด ทั้งสามคนมองว่าลลิษาเป็นเด็กใช้ได้ เอาการเอางาน ขยันทำมาหากิน แถมมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีอะไรก็แบ่งปัน น่าคบหา

 

“เห็นเด็กบอกว่าทำข้าวต้มไม่ถูกปากคุณปราณ ป้าก็เลยไปปรุงมาให้ใหม่ค่ะ”

ปราณธรพับหนังสือพิมพ์วางข้างตัว “ป้าไม่น่าต้องลำบาก ผมกำลังจะออกไปทำงานอยู่แล้ว ค่อยไปหาอะไรกินที่ออฟฟิศก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าทำมาแล้ว ลองสักหน่อยนะคะ”

ปราณธรผ่อนลมหายใจ เลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าก่อนแข็งใจตักใส่ปาก กินได้ไม่กี่คำเขาก็วางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

“ไม่อร่อยหรือคะ คุณปราณกินน้อยมาก”

ปราณธรพ่นลมหายใจ “อร่อยครับ แต่ผมไม่อยากอาหาร”

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ ไปให้หมอตรวจหน่อยไหมคะ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร” ปราณธรปฏิเสธอย่างต้องการตัดบท เขาลังเล แต่ก็ออกปากถามไปตรงๆ “ลลิษาไปทำงานหรือยังครับ ถ้ายัง...บอกให้เธอมาขึ้นรถกับผม เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาไม่ได้เจอลลิษาหลายวันแล้ว หลังมีปากเสียงกับเธอที่ภัตตาคารเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย หลังสิ้นสุดอาหารมื้อนั้น พวกเขาต่างจมอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรจนมาถึงบ้าน เขาไม่อยากคิดว่าเธอหลบหน้าเขา น่าจะด้วยเวลาไม่ตรงกันมากกว่า ทั้งเวลาออกจากบ้านและกลับบ้าน

“ออกไปทำงานตั้งแต่ตีห้าแล้วค่ะ”

“ลลิษาไปทำงานเช้าขนาดนั้นเลยหรือครับ” เขาย่นหัวคิ้วอย่างประหลาดใจ

“นั่นโอ้เอ้แล้วละค่ะ ปกติเด็กนั่นตื่นตีสี่ วิ่งรอบสนามหญ้าครึ่งชั่วโมงแล้วอาบน้ำไปทำงาน แต่เช้านี้โอ้เอ้ก็เลยออกจากบ้านสาย”

ปราณธรพยักหน้ารับรู้ นั่นเป็นเวลาที่เขาเพิ่งตื่น ถึงว่าเขาไม่เคยเจอเธอเลยทั้งที่เขาก็ออกมาวิ่งจ็อกกิงทุกเช้าก่อนไปทำงาน ลลิษาตื่นไปทำงานเช้ามากๆ ปราณธรผ่อนลมหายใจ

“แล้วป้ารู้ไหมครับเธอทำงานที่ไหน”

“ไม่ทราบค่ะ”

ปราณธรพยักหน้า ที่ผ่านมาเขารู้เรื่องของเธอน้อยมาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำงานพาร์ตไทม์อยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเธอต้องเข้ากะกี่โมง ออกกี่โมง

“คุณปราณมีธุระอะไรกับเด็กนั่นหรือคะ ให้ป้าบอกเด็กนั่นให้ไหมคะ ค่ำนี้จะได้ขึ้นมาหาคุณปราณ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้มีธุระอะไร” ปราณธรปฏิเสธแล้วถือแฟ้มขยับลุก ตัดบทแค่นั้น

รำไพมองตามจนชายหนุ่มหายลับสายตา แววตาครุ่นคิด นับวันปราณธรก็ยิ่งมีท่าทีแปลกๆ ต่อเด็กลลิษา

 

“ฮัดเช้ย”

“เป็นอะไรลิซ เช้านี้แกจามหลายรอบแล้วนะ” เพื่อนร่วมงานเอ่ยปากทัก ขณะวางถ้วยกาแฟลงในซิงก์

“ไม่รู้ คงภูมิแพ้”

“หรือมีใครบ่นคิดถึง” เพื่อนกระเซ้าต่อ พลางบุ้ยปากไปหน้าร้าน

“พูดไปเรื่อย” เธอตวัดตาค้อนเพื่อน

เจ้าตัวหัวเราะ “รู้ยัง พี่ชัญจะเลี้ยงส่งแกปลายเดือนนี้นะ”

“รู้แล้ว ขอบใจจ้ะ”

“ใจหายเหมือนกันเนอะ ทำงานด้วยกันมาหลายปี จู่ๆ แกก็ตัดช่องน้อยทิ้งเพื่อนไปดื้อๆ”

“ตัดช่องอะไร ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปเป็นคุณนาย”

“นั่นแหละ แล้วแกไปทำที่ไหน ถามธร ธรก็ไม่รู้”

“ฉันไม่ได้บอกธร”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

ลลิษาทำหน้าอึดอัด ไม่ทันตอบก็มีระฆังพักยกช่วย เพื่อนร่วมงานชะโงกหน้าเข้ามาในครัวแล้วบอกว่า

“ลิซ ลูกค้าเรียก”

“ใคร”

“บอกว่าชื่อปิยบุตร”

“ขอบใจ” ลลิษาเช็ดมือ คว้าเมนูติดมือไปหน้าร้านด้วย เห็นปิยบุตรกำลังนั่งอ่านเมนูอยู่

“สวัสดีค่ะคุณปิยบุตร” เธอเดินเข้าไปค้อมศีรษะทักทาย

“เมื่อไหร่จะเรียกว่าพี่ พิมพ์กับธรยังเรียกว่าพี่ เพราะงั้นเรียกพี่เถอะ”

เธอยิ้มเจื่อนๆ

ปิยบุตรกล่าวต่อว่า “นั่งสิ พี่มีเรื่องคุยด้วย”

ลลิษาทำหน้าอึดอัด “อย่าเลยค่ะ เกรงใจเพื่อนๆ คนอื่นทำงานวุ่นวาย แต่หนูกลับเอาเวลางานมานั่งคุยกับลูกค้า กินแรงเพื่อนๆ”

“พี่บอกชัญไปแล้วว่ามีเรื่องอยากคุยกับลิซ ถึงได้มาที่นี่ นั่งเถอะพี่กวนเวลางานเราไม่นานหรอก เพราะเดี๋ยวพี่ต้องรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน”

ลลิษาเลยจำใจนั่งตรงข้ามเขา

“พี่ตรงประเด็นเลยแล้วกัน เดือนหน้าวันเกิดพี่ พี่อยากชวนลิซไปงานเลี้ยง พี่จัดที่บ้าน”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ไปนะ มีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อนฝูงญาติสนิท มีปาร์ตีบาร์บิคิวกับปาร์ตีริมสระ เพราะงั้นอย่าลืมเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วย”

“แต่...”

“บอกแล้วไม่มีแต่ พิมพ์ก็ไป เดี๋ยวพี่จะให้ธรไปรับลิซที่บ้านนะ”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวหนูไปกับพิมพ์ก็ได้ค่ะ”

“เอางั้นเหรอ แล้วแต่นะ”

“ค่ะ”

“ธรอยากให้ลิซไปให้ได้ พี่ก็อยากให้ลิซไป จะได้ไปรู้จักกับครอบครัวพี่ งานนี้ลิซอาจได้เห็นพี่สาวเราเป็นฝั่งเป็นฝา ชัญแอบปลื้มพี่ชายพี่มานานแล้ว แต่ยังหาโอกาสเข้าหาไม่ได้ เลยให้พี่ช่วยจัดฉากพาไปทำความรู้จัก พี่ไม่รู้จะใช้โอกาสไหน เพราะต้องทำให้เนียนๆ ไม่งั้นพี่ปราณจับไต๋ได้ รายนั้นยิ่งฉลาดเป็นกรดด้วย”

ลลิษาหน้าซีด ไม่พูดอะไร

“ชัญเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แถมคุณสมบัติเพียบพร้อมไร้ที่ติ พี่ว่าจะเชียร์ให้เป็นพี่สะใภ้ ดีกว่าสาวๆ ทั้งหลายที่พี่ชายพี่ควงอยู่ แต่ละรายนั่นไม่ไหว...” ปิยบุตรส่ายหน้า ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เอาละ พี่ไม่กวนเวลาลิซแล้ว ไปทำงานเถอะ อ้อ...ขอคาปูฯ เย็นสองที่กลับบ้านนะ พี่จะเอาไปฝากพี่ชาย”

ลลิษาลุกยืน คว้าสมุดและปากกาจด “รับหวานน้อย หวานมาก หรือปานกลางดีคะ”

“บอกธรไปว่าของพี่ปราณ ขานั้นเขารู้รสปากกันดี”

 

“อะไร” ปราณธรเงยหน้าจากแฟ้มเอกสาร เมื่อน้องชายยื่นแก้วคาปูชิโนวางบนโต๊ะตรงหน้า พลางทรุดตัวนั่งตรงข้าม

“คาปูฯ จากว่าที่น้องสะใภ้พี่”

ปราณธรหยิบแก้วคาปูชิโนมาดูด พยักหน้าเมื่อรสชาติถูกปาก “รสชาติโอเค ว่าแต่น้องสะใภ้พี่นี่หมายถึงใคร แฟนนายหรือ”

“แฟนธรสิ มาแฟนอะไรผม” ปิยบุตรยกมือกอดอก ยกขาไขว่ห้าง หมุนเก้าอี้เล่นไปมา

ปราณธรเลิกคิ้ว “ธรมีแฟนแล้วหรือ พี่เพิ่งรู้ ผู้หญิงเป็นใคร”

“เพื่อนร่วมโรงเรียนอินเตอร์ของหมอนั่น ธรคลั่งหนักมากเอามาเพ้อกับผมหลายปีแล้ว ล่าสุดถึงกับตามสาวเจ้าไปทำงานพาร์ตไทม์”

“นี่อย่าบอกนะว่าที่ธรไปทำพาร์ตไทม์อยู่ทุกวันนี้เพราะติดผู้หญิง” เห็นน้องชายพยักหน้า เขาก็หัวเราะ “ร้ายจริง พี่กับพ่อก็หลงคิดว่าธรจะเอาถ่าน ที่ไหนได้เพราะติดผู้หญิง”

ปิยบุตรยิ้มในหน้า “ก็น่าติดแหละพี่ เด็กมันสวย”

ปราณธรเลิกคิ้ว “ขนาดนั้นเชียว ลงว่าขนาดนายยังชมว่าสวย แสดงว่าสวยจริง”

“สวยพี่ ผมไปเจอตัวจริงมาแล้ว ธรตื๊อให้ผมไปดูตัวนานแล้ว วันก่อนเลยได้ฤกษ์ไปทำความรู้จัก สวยจริงๆ สมกับที่มันโฆษณา ทั้งสวยหวาน ทั้งน่ารักมีเสน่ห์ บอกไม่ถูก พี่ต้องไปเจอเอง บอกได้แต่ว่ารอบนี้ธรตาถึง หาแฟนได้โอเค แถมเป็นเด็กรักดี ขยัน หัวดี ทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เพราะงั้นผมสนับสนุนเต็มที่”

ปราณธรเลิกคิ้ว “เด็กลำบากหรือ”

“ปากกัดตีนถีบเลยครับ พ่อแม่เสียไปแล้ว เลยต้องขอทุนเรียน ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ธรเคยขอให้ผมช่วยอุปถัมภ์ ผมโอเคแต่เธอปฏิเสธ บอกว่าอยากช่วยตัวเองก่อน เลยได้ใจผมตั้งแต่นั้น เด็กดีแบบนี้ควรสนับสนุน”

“ก็โอเค ฟังแล้วเป็นเด็กดีน่าสนับสนุนให้เป็นน้องสะใภ้ ว่าแต่ลูกเต้าเหล่าใคร” ลงว่าสามารถเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องชายเขาได้ แสดงว่าฐานะทางบ้านต้องไม่ธรรมดาก่อนที่จะมาถังแตกแน่ เพราะแม่เลี้ยงเขาคัดสรรเฉพาะโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่านั้นสำหรับลูกชาย แถมดีที่สุดมักตามมาด้วยราคาแพงที่สุดเสมอ

“รอไปสัมภาษณ์เธอในงานวันเกิดผมเลยพี่ ธรจะพามาเปิดตัวด้วย”

“ลงแบบนี้ แสดงว่าตั้งใจพาไปเปิดตัวกับพ่อแม่ใช่ไหม”

ปิยบุตรหัวเราะ “ธรมันอยากให้พี่ปราณได้รู้จักด้วยแหละ อย่างที่บอก ธรมันเห่อแฟนมาก อยากให้พวกเราทุกคนยอมรับเธอ”

“ไม่มีปัญหาหรอก ธรรักชอบใครสำหรับพี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ต้องเตรียมของรับไหว้ว่าที่สะใภ้เล็กล่วงหน้าไหม”

“เตรียมไว้ก็ดีพี่ เพราะรายนี้ธรมันรักจริงหวังแต่ง มันบอกว่าจบมหา’ลัยปุ๊บ จะขอเธอแต่งงานทันที”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น