1
ความรักเป็นเรื่องของหัวใจที่ต้องให้สมองบงการ
สี่ปีก่อน
บุริศร์ เกษมราช เริ่มต้นชีวิตการทำงานในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ และเพียงสองปีหลังจากนั้นก็ได้ปรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิต ก่อนจะได้ปรับและย้ายตำแหน่งไปเป็นผู้จัดการฝ่ายวางแผนการผลิตในอีกสามปีถัดมา ถ้าเป็นคนอื่นที่กราฟความก้าวหน้าในอาชีพการทำงานพุ่งสูงรวดเร็วอย่างนี้ พวกเขาคงทั้งภาคภูมิใจและทระนงในตนเอง แต่เรื่องเหล่านี้เล็กน้อยเหลือเกินในชีวิตบุริศร์ เล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความสำเร็จอันยั่งยืนที่เขากำลังเตรียมการอยู่
ผู้ชายอายุยี่สิบแปดปีคนอื่นอาจวางแผนการใช้ชีวิตว่าจะเสเพลอีกสักสี่ห้าปี ก่อนจะเฟ้นหาผู้หญิงดีๆ มาเป็นศรีภรรยา มีลูกสักสองคน และแอบมีกิ๊กอีกสักสาม สี่ หรือห้าคน บ้างก็วางแผนขีดกรอบไว้เลยว่าชีวิตนี้ต้องโสดเสมอ เที่ยวท่องย่ำราตรีทุกคืน เอดส์ ซิฟิลิส กามโรค หรือโรคภัยร้ายแรงจากการดื่มถือเป็นกิ๊ฟเวาเชอร์จากพระเจ้า หรือร้ายที่สุดก็คือผู้ชายจำพวกที่ไม่ได้วางแผนอะไรในชีวิตสักอย่าง แต่กลับถูกจับแต่งงานอย่างเร่งด่วนในข้อหามีลูกมีเมียโดยประมาท แต่บุริศร์เป็นผู้ชายที่มีเป้าหมายชีวิตต่างออกไป เขาตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติธรรมเพื่อค้นพบความสุขอันแท้จริง
ครั้งหนึ่งบุริศร์เคยเปรยกับมารดาว่า “แม่ครับ ถ้าริศร์จะบวช แม่อยู่คนเดียวได้ไหม”
คุณบงกช มารดาของบุริศร์รับรู้มาตลอดว่าลูกชายมีความสนใจใคร่รู้ในหลักธรรม และต้องการอุทิศตนเพื่อศาสนา แต่ความเห็นแก่ตัวของคนเป็นแม่ก็ทำให้ท่านอดไม่ได้ที่จะรั้งไว้ “ถ้าริศร์จะให้แม่อยู่ แม่ก็อยู่ได้ แต่มีริศร์อยู่ด้วยกันอย่างนี้น่าจะดีกว่า”
คำตอบของมารดาทำให้บุริศร์รู้ตนว่าเขาไม่อาจบวชได้ เพราะความ ‘ห่วง’ ในใจจะดึงให้จิตไม่สงบ กระนั้นก็ยังไม่วายเกลี้ยกล่อม “ผมออกบวชนะแม่ ไม่ได้หนีหายไปไหน เรายังติดต่อกันได้เหมือนเดิม”
“ไม่เหมือนหรอกริศร์ อย่างน้อย...ถ้าริศร์บวชแล้ว แม่ก็ไม่สามารถกอดริศร์ได้อีก” เสียงสั่นเครือของมารดาทำให้บุริศร์ยกเลิกบทสนทนาที่เหลือทั้งหมด แต่ความตั้งใจดีที่มีไม่มอดลงง่ายๆ
บุริศร์ไม่ใช่คนธัมมะธัมโมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพิ่งมาเริ่มสนใจใฝ่รู้เมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุ ตอนนั้นบุริศร์มีโอกาสบวชในวัดที่มีชื่อด้านวิปัสสนากรรมฐาน และพระอาจารย์ที่ดูแลเขาก็เป็นพระที่เข้มงวดในวินัยของสงฆ์ ทำให้บุริศร์มีโอกาสศึกษาพระธรรมอย่างถ่องแท้ ระยะเวลาสามเดือนที่ได้อยู่ในเพศสมณะ บุริศร์ไม่รู้สึกรุ่มร้อนกระวนกระวายดังเช่นเพื่อนคนอื่น ในทางตรงกันข้ามบุริศร์รู้สึกถึงความสงบ ความร่มรื่น สุขกายสบายใจ และชื่นชมในกิจวัตรอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยปัญญาของสงฆ์ หากไม่ติดว่ามารดาของเขาไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีก นอกจากตัวเขาเอง บุริศร์คงตัดสินใจบวชไม่สึกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
คนใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาจะรู้ดีว่าบุริศร์ถือศีลแปดในวันพระ และถ้าไม่ต้องออกไปประชุมนอกสถานที่ เขาก็มักกินมังสวิรัติในวันพระด้วย บุริศร์รู้ตัวดีว่าพฤติกรรมเคร่งศาสนาของเขาทำให้ห่างเหินจากเพื่อนฝูงไปทุกที หลายคนเบื่อหน่ายที่เขาปฏิเสธการออกเที่ยวเตร่ยามราตรี และบางคนก็รำคาญที่เขามักชักชวนไปเข้าร่วมกิจกรรมวิปัสสนากรรมฐาน แต่ถึงเป็นอย่างนั้น บุริศร์ก็ยังปฏิบัติในหนทางที่เชื่อ หนทางที่เขาศรัทธาต่อไป
“เสาร์หน้ามีนัดเลี้ยงรุ่น แกจะไปด้วยกันหรือเปล่า” ศิวัชซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเอ่ยถามในวันหนึ่ง
“เสาร์หน้าหรือ” บุริศร์มองปฏิทินตั้งโต๊ะแล้วส่ายหน้า “คงไม่ได้...เรานัดกับพี่ที่ชมรมว่าจะไปร่วมทำบุญล้างป่าช้า”
“เฮ้ย...แกเห็นผีดีกว่าเพื่อนได้ไงวะ ไปด้วยกันเถอะน่า ไอ้พวกนั้นบ่นอยากเจอแกกันทุกคนเลยนะ” ศิวัชเย้าขำๆ และประโยคเย้านั้นก็ทำให้บุริศร์ยิ้มออกมา
“เอาอย่างนี้...ถ้าพวกแกอยากเจอเราจริง เราก็ขอเชิญไปทำบุญล้างป่าช้าร่วมกัน ถือว่าสร้างบุญบารมีเอาไว้เพื่อให้ชาติหน้าได้กลับมาเกิดเป็นเพื่อนกันอีก”
แทนที่เพื่อนจะเห็นดีเห็นงามด้วย บุริศร์กลับเห็นว่าศิวัชยกมือท่วมหัวแล้วกล่าวคำอนุโมทนาจิต
“สาธุ”
เมื่อใช้สุราและการสังสรรค์มาล่อเขาออกจากถ้ำไม่ได้ ศิวัชก็เปลี่ยนแผนใหม่อีกครั้ง “ไอ้ริศร์ น้องขนมก็ไปด้วยนะเว้ย” ขนมหรือขจิตาเป็นน้องรหัสคนสวยของศิวัชที่บุริศร์เคยปลื้มถึงขั้นเก็บไปเพ้อเมื่อสมัยปีสอง แต่ด้วยความที่ขนมเป็นถึงดาวคณะ มีผู้ชายมารายล้อมมากมาย เธอจึงไม่เคยสนใจผู้ชายธรรมดาอย่างเขาสักนิด
“เออ...ฝากแกไปบอกบุญน้องด้วย”
คำตอบไม่แยแสของบุริศร์ทำเอาศิวัชทำหน้ามุ่ย ถึงขั้นไม่สนใจผู้หญิงอย่างนี้เรียกว่าอาการหนักได้ไหมนะ
“ไม่สนใจจะไปเจอจริงๆ เหรอ ตอนนี้น้องเขาโสดแล้วนะ...เห็นว่าเพิ่งเลิกกับแฟน และต้องการคนดามใจอย่างเร่งด่วน”
ได้ผล...คำบอกเล่าของศิวัชทำให้บุริศร์เงยหน้าจากหนังสือธรรมะที่ถืออยู่เสียที
ศิวัชมองร่างสูงของเพื่อนเดินไปที่เครื่องเสียงแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ‘จีวรหรือจะสู้ G...Girl’
บุริศร์เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมยื่นบางสิ่งให้ “ฝากไปให้น้องด้วย และฝากบอกว่าเราเป็นกำลังใจให้”
ศิวัชมองซีดี ‘เสียงแห่งธรรม’ ในมืองงๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนรัก
บุริศร์ยิ้มให้เพื่อนแล้วบอกด้วยใจจริงที่ร่มเย็นเป็นสุขของเขาว่า
“รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเพียงสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น เราหวังว่าคนฉลาดอย่างน้องขนมคงรู้ความจริงข้อนี้และรั้งสติกลับมาได้โดยไว ส่วนแก...” บุริศร์ยิ้มในหน้าเมื่อบอกต่อว่า “เราไม่ได้เพี้ยนหรือบ้า เราปกติดี เพียงแต่เป้าหมายในชีวิตของเราเปลี่ยนไปแล้ว”
บุริศร์รู้ตัวดีว่าเขายังไม่บรรลุโสดาบัน และยังเป็นชายชาตรีที่ลุ่มหลงในกิเลสได้ง่าย ดังนั้นหนทางใดที่เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมได้ บุริศร์จะพึงกระทำในเส้นทางนั้นโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง
“คุณริศร์คะ คุณหนึ่งโทร. มาชวนออกไปพบซัปพลายเออร์ด้วยกันค่ะ” คุณเสมียนควบตำแหน่งเลขาฯ หน้าห้องกระซิบกระซาบในขณะที่มือป้องไม่ให้เสียงลอดโทรศัพท์ไป
บุริศร์สบดวงตาพราวระยับของคุณเสมียนวัยสี่สิบห้าที่เพียรเป็นแม่สื่อแล้วก็นึกปลงในใจก่อนตอบเสียงเรียบ “ฝากแจ้งคุณหนึ่งด้วยว่าผมไม่สะดวก กำลังเร่งเตรียมข้อมูลเข้าประชุม ขอบคุณครับ” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองเอกสารต่อ ไม่ไยดีว่าคุณเสมียนจะบอกกล่าวฝ่ายนั้นอย่างไรบ้าง จนคุณเสมียนอดรนทนไม่ได้ ต้องออกหน้าแทนหนึ่งลดาเหมือนทุกครั้ง
“คุณหนึ่งฝากบอกว่าจะซื้อขนมมาฝากค่ะ” บอกแล้วคุณเสมียนก็อมยิ้มด้วยความคาดหวัง เธอเชื่อว่าหนึ่งลดาเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานที่เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือฐานะอันมั่งคั่ง หากบุริศร์แต่งงานด้วยจะเรียกว่าหนูตกถังข้าวสารก็ยังได้
“คุณบุริศร์นี่ก็เนื้อหอมไม่เบานะคะ สาวๆ ทั้งในฝ่ายนอกฝ่ายปลื้มคุณบุริศร์ตั้งหลายคน คุณจี หัวหน้าฝ่ายคิวเอก็ชื่นชมในตัวคุณบุริศร์มาก” เมื่อพูดถึงสาวเปรี้ยวอย่างหนึ่งลดาแล้วบุริศร์ไม่ให้ความสนใจ คุณเสมียนก็เปลี่ยนมาเอ่ยถึงจีรวรรณ สาวเท่คนเก่งของบริษัทที่อยู่ฝ่าย Quality Assurance (QA) ซึ่งดูแลการจัดทำระบบประกันคุณภาพของกระบวนการผลิต เพื่อให้ลูกค้าและผู้บริโภคมั่นใจในสินค้าและบริการ
“ครับ” แต่บุริศร์ก็ยังเป็นบุริศร์ เขาเพียงตอบรับสั้นๆ จิตใจจดจ่ออยู่กับงานเช่นทุกครั้ง จนคุณเสมียนชักจะหมั่นไส้
“คุณริศร์อาจไม่รู้ตัว...แต่มาดนิ่งๆ เฉยๆ อย่างคุณริศร์นี่ละค่ะสเปกสาวๆ ดีนัก ไม่แปลกใจบ้างหรือคะว่าทำไมลิฟต์ที่คุณริศร์ขึ้นตอนเช้าถึงแน่นทุกวัน”
“หรือครับ” บุริศร์ตอบรับพลางตรวจสอบตัวเลขสต๊อกวัตถุดิบเทียบกับประมาณการยอดขาย เก็บถ้อยคำของคุณเสมียนมาใส่ใจเพียงแค่ว่า เธอเป็นคนช่างสังเกตและช่างจินตนาการ เขามาถึงที่ทำงานเวลาเจ็ดโมงครึ่งจึงไม่แปลกที่คนอื่นๆ จะมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่คนในลิฟต์แน่นเป็นเพราะพนักงานต่างต้องการเข้าออฟฟิศให้ทันเวลาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเขาหรอก
อาการเฉยเมยไม่ใส่ใจของบุริศร์ทำให้คุณเสมียนเริ่มมีอารมณ์โมโหกรุ่นๆ กวาดตามองชายหนุ่มแล้วก็อดคิดอกุศลไม่ได้ ‘เอ... หรือจะไม่ชอบผู้หญิง’ ซึ่งเพราะคิดอย่างนี้คุณเสมียนจึงอาจหาญแย่งปากกาจากมือของบุริศร์
“พี่ไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยนะคะ แต่พูดจากที่เห็น จากที่ได้ยินมา ถ้าคุณริศร์ไม่เชื่อก็ลองสังเกตนักศึกษาฝึกงานคนนี้ดูค่ะ เธอเดินผ่านห้องเราวันละสิบหนเป็นอย่างต่ำ และมักจะมองหาแต่คุณริศร์”
บุริศร์เงยหน้ามองคุณเสมียนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงกันแล้ว คุณเสมียนยังพยักพเยิดให้บุริศร์มองออกไปนอกห้อง เพื่อจะพบกับร่างสมส่วนของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เพราะหันมาช้า บุริศร์จึงไม่ทันได้เห็นหน้า เห็นเพียงเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลที่ทิ้งตัวอย่างมีน้ำหนัก ซึ่งนั่นทำให้คุณเสมียนถอนหายใจดังเฮือกอย่างขัดอกขัดใจ
“ขอดินสอผมคืนด้วยครับ” บุริศร์แบมือขอพลางยิ้มใจดีให้คุณเสมียนดังเช่นทุกครั้ง แต่คำพูดต่อจากนั้นทำให้คุณเสมียนรู้ตัวว่าเธอจะไม่รู้จักคำว่า ‘ว่าง’ ไปอีกนาน
“พี่เพียงเปิดไดร์ฟกลางแล้วนำข้อมูลยอดขายย้อนหลังสามปีมาใส่ในไฟล์เอ็กเซลนี้นะครับ ผมทำตัวอย่างเอาไว้แล้ว แต่ถ้าสงสัยก็เดินมาถามได้ ส่วนยอดสต๊อกวัตถุดิบของสัปดาห์นี้ วานพี่เพียงนัดทางบัญชีไปสอบทวนนับร่วมกันทีครับ อ้อ! ฝากรวบรวมไคเซ็นจากทุกคนในแผนกมาส่งภายในศุกร์นี้ด้วย ของพี่เพียงผมจำได้ว่าเดือนที่แล้วส่งไม่ครบ ฉะนั้นทบรวมเดือนนี้เป็นสามเรื่องนะครับ” เขาพูดถึงไคเซ็น กิจกรรมที่องค์กรสนับสนุนให้พนักงานเสนอแนวคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน มุ่งเน้นไปที่การลด เลิก และเปลี่ยน โดยมุ่งหวังให้งานเร็วขึ้น สูญเสียน้อยลง และเพิ่มผลผลิต
บุริศร์ยิ้มอ่อนโยนให้คุณเสมียนที่ทำหน้างอง้ำ วันนี้เธออาจไม่พอใจเขาที่สั่งงานเสียมากมาย แต่บุริศร์เชื่อว่างานที่มอบหมายไปจะช่วยพัฒนาทักษะความรู้ของคุณเสมียน และช่วยให้เธอห่างไกลจากวงนินทา เพราะการนินทานั้น ความทุกข์มิใช่อยู่ที่ผู้ถูกนินทา แต่อยู่กับคนนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ความเพียรสร้างระยะห่างต่ออิสตรีของบุริศร์ประสบผลสำเร็จดีเรื่อยมา จนกระทั่งมีหญิงสาวปริศนาโทรศัพท์หาเขา โดยระบุธุระว่าขอสนทนากับเขาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
“สวัสดีค่ะ ขอสายคุณบุริศร์ค่ะ”
เสียงหวานใสที่ได้ยินทำให้บุริศร์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ใครโทร. มาหาเขาในยามวิกาลอย่างนี้
“สวัสดีครับ ผมบุริศร์ครับ” บุริศร์ขานรับตอบ ก้มมองเบอร์โทรศัพท์เผื่อจะนึกออกว่าใครโทร. มา อึดใจหนึ่งจึงได้ยินเสียงสั่นพร่าถามคล้ายคนขาดความมั่นใจ
“สะดวกคุยไหมคะ”
“ครับ ติดต่อจากไหนครับ” บุริศร์คิดว่าปลายสายโทร. มาเรื่องงาน เพราะนอกจากงาน ครอบครัว และเพื่อนพี่น้องในชมรมกล้าพันธุ์บุญแล้ว บุริศร์ก็ไม่ได้ติดต่อกับผู้หญิงคนไหนอีก
“ฉัน...เอ่อ ฉันโทร. มาหาคุณเพราะอยากคุยด้วยค่ะ” คนพูดตะกุกตะกักตอนต้นก่อนจะพูดเร็วปรื๋อตอนปลาย กระนั้นบุริศร์ก็ยังคิดว่าวัตถุประสงค์ของคนที่โทร. มาคือเรื่องงาน
“ได้ครับ แต่ช่วยบอกหน่อยว่าคุณโทร. จากที่ไหน บริษัทอะไร หรือใครแนะนำมา”
“ฉัน...ไม่ได้โทร. มาเรื่องงานค่ะ ไม่ใช่ประกันชีวิต และก็ไม่ได้ชวนทำธุรกิจขายตรงค่ะ”
คำอธิบายนั้นทำให้บุริศร์ยิ้มขันกับโทร. แต่เสียงที่กรอกไปยังคงราบเรียบเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้น...คุณโทร. หาผมทำไมครับ”
“ฉัน...ฉันอยากรู้จักคุณค่ะ และก็อยากให้คุณได้รู้จักฉันด้วย”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณชื่ออะไรครับ” ปลายสายเงียบไปนาน จนบุริศร์ต้องก้มดูหน้าจอโทรศัพท์ว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในสายหรือไม่ และคำตอบที่ได้ก็ทำให้บุริศร์งงหนักกว่าเก่า
“ฉันไม่บอกได้ไหมคะ คือ...ฉันมาดีนะคะ แต่ไม่สะดวกจะบอกชื่อจริงๆ”
น้ำเสียงแผ่วหวิวนั้นทำให้บุริศร์รับรู้ได้ถึงความประหม่าของอีกฝ่าย และน่าแปลกที่ความประหม่านั้นคล้ายจะแผ่กำจายมาถึงเขาด้วย “ไหนว่าอยากให้ผมรู้จักคุณไง ถ้าไม่รู้ชื่อกันจะเรียกว่ารู้จักได้รึ”
“ถ้ารู้จักของคุณคือการรู้ชื่อ ฉันจะหาสักชื่อก็ได้ค่ะ แต่...ฉันอยากให้คุณรู้จักนิสัยใจคอของฉันผ่านการสนทนาค่ะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากขอเวลาวันละสิบห้านาทีให้เราได้ทำความรู้จักกัน”
บุริศร์เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย แต่ก็มั่นคงต่อความรู้สึกของตนเองเช่นกัน สิบห้านาทีของเธออาจไม่ได้ยาวนาน แต่สิบห้านาทีสำหรับเขาทำประโยชน์ได้อีกมากมาย “แล้วผมจะได้อะไรจากเรื่องนี้ล่ะ”
เสียงร้อง ‘เยส’ เบาๆ ทำให้บุริศร์นึกภาพออกว่าปลายสายกำลังดีใจ เพราะรู้ว่าคำตอบของเขาจะสร้างความสุขชั่วครู่ชั่วคราวให้เธอได้นี่นละ บุริศร์จึงยอมสละเวลาส่วนตัวของตัวเอง
“อย่างน้อยก็ได้เพื่อนคุยค่ะ ฉันรับรองว่า...ฉันเป็นคู่สนทนาที่ดี”
ฟังเสียงใสโอ่นิดๆ แล้วบุริศร์ก็ยิ้มขัน คาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในวัยเรียนหรือไม่ก็เพิ่งเรียนจบ
“แล้วอย่างมากล่ะ” บุริศร์ห้ามปากตัวเองไม่ทันจริงๆ ตอนที่ถามออกไป และกลายเป็นสร้างความประดักประเดิดให้ตัวเองเสียเองเมื่อเสียงใสตอบกลับมาว่า
“สุดแล้วแต่ใจของคุณ”
“สะดวกคุยไหมคะ”
ทันทีที่บุริศร์กดรับสาย เสียงใสจะเอ่ยถามอย่างมีมารยาททุกครั้ง ทำให้คนใจอ่อนอย่างเขาอดเห็นใจเธอไม่ได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขาก็เคยอยู่ในสถานะแอบชอบใครคนหนึ่ง
“ครับ”
“วันนี้จะเริ่มนั่งสมาธิกี่โมงคะ”
น้ำเสียงคนถามที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจนั้นทำให้บุริศร์อมยิ้ม เมื่อวานเธอโทรศัพท์มาขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิ เขาจึงไม่ได้รับสาย แล้วเมื่อโทร. กลับหาเธอพร้อมแจ้งว่าเขากำลังนั่งสมาธิอยู่ เธอก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนจะขอวางสายไปทันที
“ต่อไปผมจะเริ่มนั่งสมาธิตอนสามทุ่มครึ่ง” อะไรบางอย่างทำให้บุริศร์ตอบออกไปอย่างนั้น และคงทำให้เธอพอใจเพราะเขาได้ยินเธอหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า
“ขอบคุณนะคะ...สำหรับโอกาส"
“ครับ” บุริศร์ตอบรับสั้นๆ เป็นการประหยัดทั้งถ้อยคำและคาดหวังให้เธอเบื่อหน่ายความเฉยชาของเขา แต่เธอก็ไม่เป็นอย่างนั้น หญิงสาวปริศนาคนนี้มีวิธีการพูดคุยซักถามที่ทำให้เขาต้องเปิดปากพูดมากกว่าปกติ ที่สำคัญคือการพูดคุยกับเธอไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด
เสียงหัวเราะและการแลกเปลี่ยนความเห็นด้านปรัชญาของเธอทำให้เขาเพลิดเพลินไม่น้อย แม้หญิงสาวจะไม่ใช่คนเคร่งศาสนา และค่อนข้างมีความเห็นแตกต่างกับเขาตามประสาคนห่างวัด แต่เธอก็เป็นคนมองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง
“เคยฟังเรื่องมวลวิกฤติ หรือ Critical mass ไหม” บุริศร์ถามเธอในวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองคุยเรื่องทั่วๆ ไปและประวัติชีวิตจนหมดแล้ว
“ไม่เคยค่ะ”
บุริศร์ไม่แปลกใจเลยที่เธอตอบอย่างนี้ เพราะเพื่อนๆ เขาทุกคนก็ไม่รู้จัก และทุกคนก็มักรำคาญที่เขาพร่ำพูดแต่เรื่องพวกนี้ บางที...หัวข้อการสนทนานี้อาจทำให้เธอนึกเบื่อก็ได้
“แต่ไม่เคยก็ใช่ว่าไม่อยากฟังนะคะ มันคืออะไรคะ มวลวิกฤติที่ว่า” คนเสียงใสถามเอาใจ
“มวลวิกฤติคือข้อสรุปของการศึกษาพฤติกรรมของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น โดยเขาทดลองนำเม็ดข้าวโพดไปโยนให้ลิงที่อยู่บนเกาะ วันแรกๆ ลิงทุกตัวก็กินเม็ดข้าวโพดที่เปื้อนทรายแล้วค่อยคายทรายทิ้ง หลายวันต่อมาก็เริ่มมีลิงที่เอาเม็ดข้าวโพดไปล้างน้ำก่อนกิน แต่ก็ยังมีลิงที่กินทั้งที่มีทรายเปื้อน นานวันผ่านไปจำนวนลิงที่เอาเม็ดข้าวโพดไปล้างน้ำก็มากขึ้น จนเมื่อลิงตัวหนึ่งนำแอปเปิลไปล้างน้ำ ลิงทุกตัวก็ทำตามกันทั้งหมด ปรากฏการณ์นี้คือการเปลี่ยนจากปริมาณเป็นคุณภาพ”
“อืม...แล้วทีมวิจัยเขาจะได้อะไรจากการศึกษาพฤติกรรมนี้คะ หรือว่าเขาผลิตเม็ดข้าวโพดผิวลื่นที่ทรายไม่เกาะได้”
บางทีคำถามไร้สาระของเธอก็ทำให้บุริศร์ทั้งขำและอ่อนใจ แต่เขาก็ยังตอบด้วยความใจเย็นว่า “พฤติกรรมนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมทำตามอย่างกันของมนุษย์เราครับ นักวิจัยพบว่าเมื่อสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤติขึ้นมา คนในสังคมจะตัดสินใจเปลี่ยนตามคนหมู่มาก ข้อมูลนี้ทำให้หลายหน่วยงานนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ รณรงค์หรือสร้างกระแสเพื่อให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยน”
“เหมือนอย่างแฟชั่น หรือพฤติกรรมกินดื่มน่ะหรือคะ”
บุริศร์ฟังแล้วอมยิ้ม อย่างน้อยเธอก็รู้จักเปรียบเทียบกับเรื่องใกล้ตัว “ครับ และในส่วนของผมคือการหาแนวร่วมทำดี ทำประโยชน์ต่อสังค มโดยมีความคาดหวังว่าเมล็ดพันธุ์ความดีของเราจะมากพอที่จะถึงมวลวิกฤติจนคนทุกคนในสังคมเปลี่ยนมาทำความดี”
“น่าสนใจดีนะคะ อยากเห็นจังว่าคนที่เป็นมวลวิกฤติจะหน้าตาเป็นอย่างไร”
เสียงหัวเราะคิกเบาๆ นั้นทำให้บุริศร์รู้ทันว่าเธอคิดถึงลิงอยู่แน่ๆ แต่ไม่ทันได้ถาม เธอก็เอ่ยถามเสียงใสว่า
“การโน้มน้าวให้คนเปลี่ยนรสนิยมการกินอยู่ใช้เวลาไม่นาน คนก็เปลี่ยนตามโดยง่าย แต่น่าแปลกว่า เรื่องพื้นฐานอย่างการ ‘ทำดี’ ที่ต่างก็เล่าเรียนมาและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เยาว์วัย คนกลับเลือกจะเชื่อว่าการทำดีคือการก่อสร้างโบสถ์วัด บริจาคเงินทองสิ่งของเท่านั้นทั้งที่นิสัยคนไทยเอื้อต่อการทำดีอยู่แล้วเพราะเรามีจิตใจโอบอ้อมอารี มีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจช่วยเหลือกันและกัน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของเราคงไม่เป็นเมืองในฝันที่คนชาติอื่นอยากเข้ามาพักพิงอาศัยหรอกค่ะ”
คำกล่าวของหญิงสาวทำให้บุริศร์รู้สึกทึ่งและพึงพอใจ
“ครบสิบห้านาทีแล้ว ฉันควรตรงต่อเวลาค่ะ เผื่อว่าคะแนนความดีนี้จะเป็นมวลวิกฤติให้คุณสนใจฉันบ้าง” ไม่ทันได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติม หญิงสาวก็บอกลาไปพร้อมเสียงหัวเราะสดใส เสียงหัวเราะที่ทำให้เขายิ้มกว้างอยู่นานแม้จะวางสายแล้ว
วันหนึ่งหลังจากสนทนากันเรื่องสัพเพเหระแล้ว หญิงสาวปริศนาก็เป็นฝ่ายตั้งคำถาม “คุณบุริศร์คิดว่าความรักเป็นเรื่องของสมองหรือหัวใจคะ”
ในฐานะที่เคยริรักในวัยเรียนมาก่อน บุริศร์ตอบได้ทันทีว่าหัวใจ เพราะในห้วงอารมณ์ลุ่มหลง รักใคร่ปรารถนานั้น สมองไม่ได้ถูกใช้งานเท่าไร เรียกว่าอารมณ์พาไปไหน ชักโยงใยอย่างไรก็ก้าวตามไปอย่างไม่เสียเวลาครุ่นคิด แต่ ณ เวลานี้ที่เติบโตมากขึ้นทั้งสติและจิตใจ บุริศร์มีคำตอบว่า
“ความรักเป็นเรื่องของหัวใจที่ต้องให้สมองบงการครับ เพราะหัวใจคืออารมณ์ คือความรู้สึก ส่วนสมองคือ เหตุผล คือสติสัมปชัญญะ คือมโนธรรมที่จะรั้งหัวใจของเราไว้ให้อยู่กับร่องรอย อยู่บนจารีตอันดีงามของสังคม ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าคนที่เรารักเป็นของเรา และพร้อมยอมรับต่อการพลิกผันที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้” บุริศร์บอกตามที่เคยฟังคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เรื่องความรักในพระพุทธศาสนา
“แล้วสมดุลระหว่างสมองกับหัวใจอยู่ตรงไหนเล่าคะ เพราะเมื่อมีความรักมาเป็นเป้าล่ออยู่ตรงหน้า หัวใจมันมักจะทำงานรวดเร็วกว่าสมองเสมอ เหมือนที่...ฉันรู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะโทร. หาคุณ รบกวนเวลาของคุณ แต่...ก็อดใจไว้ไม่ได้”
คำบอกรักอ้อมๆ นั้นทำให้บุริศร์นิ่งงันไปครู่ ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็พบความจริงข้อหนึ่งว่า เราไม่รู้เลยว่าสมองทำงานตอนไหน แต่เรารู้ได้แน่ๆ ว่าหัวใจเรากำลังทำงานเพราะรับรู้จังหวะการเต้นของชีพจรเราได้ และตามประสาคนรักษาศีลข้อสี่อย่างเคร่งครัด บุริศร์ยอมรับกับตนเองว่าประโยคคำถามเชิงบอกเล่าของเธอคนนี้กำลังทำให้ชีพจรเขาเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม
“สมดุลของหัวใจและสมองอยู่ที่ความเคารพในตัวตนของตนเอง ของคนรัก ของครอบครัวทั้งสองฝ่าย และสังคมครับ เพราะคนที่เรารักไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่วัตถุ แต่มีหัวจิตหัวใจเหมือนเรา และเขาก็มีคนที่เขารักและรักเขาอีกมากมาย ดังนั้นเราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเขาเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับเมื่อรักนั้นเกิดกับเราแต่เพียงผู้เดียว”
จากวันล่วงเป็นสัปดาห์ที่บุริศร์ได้คุยโทรศัพท์กับหญิงสาวปริศนาในเวลาสามทุ่มตรง แรกๆ เมื่อครบสิบห้านาทีแล้วเธอยังไม่วางสาย เขาต้องคอยปรามด้วยการบอกเธอว่าถึงเวลานั่งสมาธิของเขาแล้ว แต่พอพูดคุยกันถูกคอมากขึ้นบุริศร์กลับรู้สึกว่าเวลาสิบห้านาทีน้อยเกินไป และหลายครั้งที่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าเข็มยาวของนาฬิกาหมุนเลยกรอบเวลาที่กำหนด
“ทำตัวเป็นเด็กติดละครเลยนะริศร์”
มารดาของเขาเย้าขึ้นในวันหนึ่งที่เห็นว่าลูกชายเหลือบตามองนาฬิกาติดฝาผนังเป็นระยะบุริศร์สบดวงตาเอื้อเอ็นดูของมารดาแล้วส่ายหน้า บอกเพียงว่า “ไม่ใช่อย่างที่แม่เข้าใจหรอกครับ”
คุณบงกชพิจารณาลูกชายที่ใส่ใจรอโทรศัพท์แล้วอมยิ้ม คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพอย่างนี้เสียแล้วเพราะลูกชายของเธอทำเหมือนเห็นผู้หญิงเป็นเพียงลิงค่าง ไม่เคยมองจนเหลียวหลัง ไม่เคยพูดถึงใครแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และยังหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดสตรีเพศราวกับเป็นนักบวช “นี่ก็ใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้วใช่ไหมที่ริศร์คุยกับยายหนูในโทรศัพท์” คุณบงกชถามยิ้มๆ เธอเคยรับโทรศัพท์แทนลูกชายหนึ่งครั้ง และนึกชอบใจที่ปลายสายกล่าวทักทายเธออย่างมีมารยาทและยังเป็นคนร่าเริงช่างจำนรรจา รู้จักหาหัวข้อมาสนทนากับผู้ใหญ่
บุริศร์เลิกคิ้วมองคุณบงกชนิ่งก่อนถาม “แม่กำลังหมายถึงอะไรครับ”
นางบงกชยิ้มน้อยๆ ในหน้า อดคาดหวังไม่ได้ว่าสาวน้อยที่โทร. หาลูกชายทุกคืนจะช่วยเปลี่ยนใจเรื่องออกบวชของลูกชายได้ “ก็หมายความว่าถ้าครบกำหนดแล้วริศร์คิดจะทำอย่างไรต่อไป จะคบเป็นแฟนกับเขาไหม”
บุริศร์ส่ายหน้าทันทีแล้วปฏิเสธ “แม่ก็รู้ว่าผมไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
คำตอบของบุริศร์ทำให้คุณบงกชเงียบไปอึดใจก่อนบอกว่า “แม่ก็ยังไม่ได้หมายถึงแต่งงาน แม่แค่อยากให้ริศร์ลองคบใครบ้าง เผื่อริศร์จะค้นพบความสุขในอีกรูปแบบของชีวิต”
บุริศร์ถอนหายใจให้ได้ยินชัด ก่อนจะบอกเสียงขรึม “คบกันก็ต้องมีเป้าหมายครับ และผมก็ไม่คิดว่าเขาเป็นบททดสอบของผม”
คุณบงกชฟังลูกชายที่เธอปั้นสอนให้เป็นสุภาพบุรุษมาตั้งแต่เล็กแล้วก็ถอนหายใจยาว ก่อนแนะนำว่า “ถ้าริศร์คิดอย่างนั้น ริศร์ก็ควรบอกสิ่งที่ตั้งใจให้เขารับรู้ อย่าทำให้ผู้หญิงเขาตั้งความหวัง”
คืนนี้เป็นคืนแรกที่บุริศร์ไม่รับสายของเธอ เขาปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังขึ้นซ้ำๆ แล้วเฝ้ามองปลายสายถอดใจไป ทิ้งระยะห่างราวห้านาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้นใหม่ ‘สามรอบ’ บุริศร์บอกกับตัวเองในใจและอดไม่ได้ที่จะอ่อนข้อว่า ‘ถ้ามีรอบที่สี่ก็จะรับ’ แต่ก็ไม่มี เธอผู้เป็นปริศนาไม่โทร. หาเขาอีกในค่ำคืนนั้น รวมทั้งอีกสองวันถัดมา
ถ้ากระวนกระวายคืออาการที่ใจจดจ่อรอคอยสิ่งหนึ่ง คิดกังวล และฟุ้งซ่าน บุริศร์ก็คิดว่าตัวเองกำลังกระวนกระวาย แต่เมื่อเข็มนาฬิกาชี้เวลาสามทุ่มตรง ดีที่เขาไม่ต้องรอเก้อเหมือนหลายวันที่ผ่านมา ‘เธอ’ โทร. หาเขาตรงเวลาดังเคย บุริศร์กดรับโดยไม่รั้งรอ และพยายามไม่สบตากับมารดาที่ยิ้มขำเขาอยู่
“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายสดใสเกินกว่าที่คาดไว้ บุริศร์คิดว่าเธอโกรธที่เขาไม่รับโทรศัพท์ของเธอเมื่อวันนั้นเสียอีก
“ครับ” ถึงจะ ‘ดีใจ’ ที่เธอโทร. มาแต่บุริศร์ก็ยังอุตส่าห์ทำเสียงเรียบเฉยได้
“ฉันไปธุระกับพ่อที่ต่างจังหวัดค่ะ ที่นั่นสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี เลยไม่ได้โทร. หาคุณเลย คิดถึงกันบ้างหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงถามนั้นติดจะอ้อนในตอนท้าย เป็นเสียงหงุงหงิงที่ทำให้คนฟังเผลอยิ้มกว้างออกมา
“ไม่ได้ทำในสิ่งที่คุ้นเคยก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันครับ”
“แปลกนี่... ดีหรือไม่ดีคะ” น้ำเสียงกระเซ้านั้นทำให้บุริศร์ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตอบว่า
“กลางๆ มากกว่าครับ ไม่ใช่ทั้งดีและไม่ดี เพราะถึงคุณไม่โทร. มาผมก็ยังอยู่ได้”
เมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นหน้า เธอจึงไม่มีโอกาสรู้ว่าบุริศร์มีสีหน้าเก้อเขินอย่างไร ได้ยินเพียงน้ำเสียงราบเรียบกับถ้อยคำไร้เยื่อใยเท่านั้นความเงียบดำเนินอยู่นานกว่าอึดใจ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะแผ่วๆ ของปลายสาย ตามด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยเมื่อฝ่ายพูดพูดน้อยลง บุริศร์ที่ฟังมานานก็พยายามชวนคุยบ้าง แต่มันก็ช่างกร่อยจนน่าใจหาย ก่อนจะบอกเลิกการสนทนาในอีกไม่กี่นาทีถัดมา
หญิงสาวปริศนาหายไปอีกสามวัน จนบุริศร์ร่ำๆ จะเป็นฝ่ายโทร. ไป ติดแต่ว่าเขาเก้อกระดากเมื่อเห็นว่ามารดากำลังจับตาดูอยู่ หรือจะเรียกว่ารอหัวเราะเยาะก็ได้ สำคัญกว่านั้นคือ...เขาเพิ่งบอกไปว่าถึงเธอไม่โทร. มาเขาก็อยู่ได้ ดังนั้น บุริศร์จึงข่มใจให้สงบและกระทำตนให้เป็นปกติ
เช่นเคย เมื่อเธอหายไปจนพอใจ เธอก็กลับมาอีกครั้ง กลับมาพร้อมความสดใสร่าเริงและมุกตลกขบขันที่บางครั้งก็ทำให้เขาบุริศร์คิดภาพใบหน้าของเธอซ้อนกับนักแสดงตลกหญิง
“มันแย่มากหรือ?”
“คะ?” ปลายสายดูงงงันเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดลอยๆ ขึ้นมาโดยไม่มีประธานของประโยคบุริศร์จึงอธิบายว่า
“ก็หน้าตาของคุณไง...ถ้าไม่แย่ ทำไมถึงไม่กล้าพบหน้าผม ไม่กล้าบอกว่าคุณคือใคร” พูดจบ บุริศร์ก็เบี่ยงตัวหลบเมื่อแม่ของเขาที่นั่งดูโทร. ทัศน์อยู่หันมาแจกมะเหงกลูกใหญ่พร้อมกับทำมือทำไม้ให้เขาหยุดพูดแต่นอกจากปลายสายจะไม่โกรธแล้ว เธอยังหัวเราะขัน
“ไม่รู้สิคะ ของแบบนี้มันแล้วแต่คนมอง ฉันมองตัวเองก็เห็นว่าสวยดี” คำตอบของเธอทำให้บุริศร์อยากเห็นคนหลงตัวเองเป็นกำลังไม่ใช่เพราะอยากเห็นว่าเธอสวยจริงหรือไม่ แต่อยากเห็นสีหน้าและรอยยิ้มระหว่างที่พูดเสียมากกว่า
“บางเรื่องเข้าข้างตัวเองนักก็ไม่ดีต้องใช้สายตาคนนอกช่วยตัดสิน ผมช่วยได้นะ” บุริศร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าวาทะของเขาทำให้มารดาหันไปยิ้มกว้างให้หมอนและเก้าอี้
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ สัญญาต้องเป็นสัญญา ฉันถือวาจาสัตย์แล้วว่าจะไม่บอกคุณว่าฉันคือใคร ถ้าคุณจะรักฉัน ก็ขอให้รักจากนิสัย จากบทสนทนา” คำตอบกึ่งเล่นกึ่งจริงของเธอทำให้บุริศร์ชะงัก ตระหนักว่าเธอสนทนากับเขาเพราะเธอต้องการความรัก ต้องการในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้
“จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว”บุริศร์ถามเสียงเรียบ และแทบจะกลั้นหายใจรอฟังคำตอบจากปลายสาย ซึ่งเธอเองก็เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆ
“ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตอบได้หรอกค่ะ ฉันยกให้เป็นสิทธิ์ของคุณแล้วตั้งแต่ต้น ที่จะตัดสินว่าฉันมีวาสนาแค่ไหน” คำตอบของเธอทำให้บุริศร์มองโทรศัพท์หมายจะให้เห็นไปถึงหน้าคนพูด
“ถ้าผมขอให้คุณเป็นเพื่อนล่ะ คุณจะเป็นเพื่อน เป็นน้องสาวของผมได้ไหม เราจะรู้จักกันได้ไหม” บุริศร์รู้ดีว่าตัวเองหวังมากไป เขาไม่ต้องการคบกับเธอฉันคนรัก แต่อยากรักษามิตรภาพแสนดีนี้ไว้ อยากให้เธอเป็นเพื่อนของเขา
“ฉันโทร. มาเพื่อขอเป็นคนรักค่ะ ต้องการคำตอบว่า ได้ หรือ ไม่ เท่านั้น ซึ่งถ้าคำตอบของคุณคือ ‘ไม่’ ฉันก็จะไม่โทร. มารบกวนอีก”
คำบอกแน่วแน่นั้นทำให้บุริศร์นิ่งงัน แต่เมื่อนำประสบการณ์แสนงอนของเธอมาใคร่ครวญ บุริศร์ก็เชื่อว่าคนอารมณ์ดี มีเหตุผลอย่างหญิงสาวจะเข้าใจและทำใจได้ในเวลาไม่นาน ถึงตอนนั้นเขากับเธอคงจะคบหากันได้อย่างสนิทใจ
“อีกสองวันค่ะ อีกสองวันก็จะครบกำหนดแล้ว” เสียงตอบนั้นแปร่งปร่า แต่บุริศร์ก็ไม่ทันได้ใส่ใจ
“จะไม่บอกชื่อของคุณให้ผมรู้จักสักนิดหรือ บางทีข้อมูลที่ได้อาจทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น” พูดไปแล้วบุริศร์ก็เงยหน้าสบตากับมารดา นึกขอบคุณที่ท่านทำเฉย ไม่ล้อเลียนเขาอย่างเคย ไม่อย่างนั้นเขาคงวางหน้าไม่ถูก
หญิงสาวปริศนาเงียบไปนานจนบุริศร์ต้องทวงถาม “ว่าไงครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าคำตอบของคุณคือ ‘ใช่’ ไม่ว่าข้อมูลจะเพียงพอหรือไม่ คุณก็จะเลือกฉัน แต่ถ้าคำตอบคือ ‘ไม่’ ไม่ว่าฉันเป็นใคร คุณก็คงไม่รักอยู่ดี”
คำตอบเด็ดเดี่ยวของเธอทำให้บุริศร์รู้สึกคันยิบๆ ในใจอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามเธอ แต่เขาถามทุกวัน ตะล่อมบ้าง ขู่บ้าง แต่เธอก็หลีกเลี่ยงได้ทุกครั้ง “พรุ่งนี้ฉันคงโทร. หาคุณไม่ได้เพราะฉันมีธุระ เอาไว้คุยกันวันมะรืนเลยนะคะ” เสียงของเธอสั่น บุริศร์จับสังเกตได้ แต่ไม่ทันทักท้วงอะไรเธอก็กล่าวล่ำลาแล้ววางสายไป
ในความรู้สึกอันอึมครึม บุริศร์ได้ยินเสียงมารดาบอกมาว่า
“รักก็ยอมรับมาแล้วบอกเขาไป ไม่รักก็ตัดสินใจแล้วปล่อยเธอไป”
บุริศร์ก็เงยหน้ามององค์พระบนหิ้งบูชานิ่งนานแล้วถามตนเองว่า ‘เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร’
สองวันต่อมา เวลาสามทุ่มตรง บุริศร์ตัดสินใจโทร. หาเธอผู้นั้นก่อน และทันทีที่เธอรับสาย เขาก็บอกสิ่งที่เขาใคร่ครวญไว้อย่างชัดเจน
“ผมคิดทบทวนดูแล้วว่าชีวิตนี้ผมต้องการอะไร ซึ่งคำตอบที่ได้ไม่มีคุณอยู่ในนั้น”
บุริศร์รู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นคนใจร้าย แต่ไม่นึกว่าจะเป็นคนจำพวก ‘ใจหาย’ ได้ง่ายๆ เมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนาน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ เป็นความเงียบที่ทำให้เขาสัมผัสถึงความเศร้าอันลึกซึ้ง
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ไม่มีคำอธิบายต่อว่าเธอเข้าใจอย่างไร ไม่มีคำโอดครวญขอความเห็นใจ หรือการวิงวอนต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อเธอไม่ถาม ไม่ตัดพ้อ บุริศร์ก็เลือกเก็บงำคำขอร้องให้เธอรับเขาเป็นเพื่อนเอาไว้
“ขอบคุณนะคะที่สละเวลาอันมีค่าของคุณมาสร้างความทรงจำดีๆ ให้ฉันตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งฉันคงขอรบกวนเวลาของคุณแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีค่ะ”
ไม่ทันให้บุริศร์ได้เอ่ยลาตอบ สัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดไป แต่ถึงอย่างนั้นบุริศร์ยังมีความหวังว่าอีกไม่นานเธอคงโทร. มาหาเขาใหม่ และเริ่มต้นรู้จักกันฉันมิตร
หากแต่...วันผ่านเดือน เดือนจนล่วงเป็นปีก็ไม่เคยมีสัญญาณเรียกเข้าจากเธอสักครั้ง เงียบหายราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เงียบจนเหมือนเวลาหนึ่งเดือนนั้นคือฝันไป
ความคิดเห็น |
---|