3

บทที่ 2 ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นด้วยความคลางแคลงใจ สุดท้ายมักจบด้วยการเลิกรา

2

ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นด้วยความคลางแคลงใจ

สุดท้ายมักจบด้วยการเลิกรา


‘ผมคิดทบทวนดูแล้วว่าชีวิตนี้ผมต้องการอะไร ซึ่งคำตอบที่ได้ไม่มีคุณอยู่ในนั้น’

ปรีชญาณ์หรือในอดีตคือเด็กหญิงเปรียวเจ็บแปลบทุกครั้งเมื่อคิดถึงประโยคเหล่านั้น บุริศร์คงคิดว่าเธอเพียงแค่ขู่ ใจไม่แข็งอย่างปากว่า แต่ปรีชญาณ์ก็แสดงให้เขารู้แล้วว่าเธอเด็ดเดี่ยวแค่ไหน หลังจากเขาปฏิเสธความรักของเธอ ปรีชญาณ์ก็เงียบหายราวกับสลายตัวไปในไอแดด เธอไม่โทร. หา ไม่ส่งข้อความ และไม่แสดงตัวตนให้เขารู้ ทั้งๆ ที่เธอต้องทนเห็นหน้าเขาอีกเกือบเดือนในที่ทำงาน

ใช่...ปรีชญาณ์จงใจไปฝึกงานในบริษัทที่บุริศร์ทำงานอยู่ เพราะเธอเชื่อกูรูด้านความรักที่บอกเอาไว้ว่าความประทับใจสร้างได้จากการประสบพบกัน สร้างสถานการณ์เพื่อบันดาลโชคชะตา พลิกความบังเอิญให้แปลงร่างเป็นพรหมลิขิต ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นทฤษฎีที่ใช้ไม่ได้กับคนชื่อบุริศร์ เพราะชีวิตเขาดีพร้อมเพียงพอแล้วโดยไม่ต้องมีเธอ

ก่อนจะเลือกวิธีโทรศัพท์หาบุริศร์ ปรีชญาณ์พยายามพาตัวเองไปโคจรรอบเขาทุกทาง ทั้งดักรอหน้าร้านกาแฟที่เขาแวะซื้อเป็นประจำ ทั้งยืนรอกดลิฟต์ให้ และเคยเดินชนเขาถึงสองครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ของทุกวิธีการคล้ายคลึงกัน นั่นคือบุริศร์จำเธอไม่ได้ หรือจะเรียกว่าเขาไม่ใส่ใจเธอเลยมากกว่า สายตาของเขามองผ่านคล้ายเธอเป็นอากาศ ไม่มีวี่แววรับรู้ว่าเธอคือเด็กหญิงเปียที่เขาเคยให้ความเมตตา 

กระทั่งปรีชญาณ์เคยแกล้งทำป้ายชื่อนักศึกษาฝึกงานร่วง บุริศร์ยังไม่อ่านชื่อเธอเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวจึงคิดเอาเองว่าควรเข้าหาผู้ชายโลกส่วนตัวสูงอย่างบุริศร์ด้วยโทรศัพท์ และไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามจะดีกว่า มั่นใจว่าหากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อกัน บุริศร์น่าจะเปิดใจให้เธอได้ไม่ยาก ซึ่งแรกๆ ก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น แต่เพราะเธอใจร้อน เร่งรัดทวงถามเขาบ่อยครั้ง บุริศร์จึงตัดรอนเธออย่างไร้เยื่อใย

ปรีชญาณ์ไม่เคยมีประสบการณ์ผิดหวัง ชีวิตของเธอพรั่งพร้อมไปทุกอย่างตามที่ต้องการ ฉะนั้น การปฏิเสธอย่างชัดเจนของบุริศร์จึงทำให้ปรีชญาณ์ตั้งทิฐิกับตนเองว่าเธอก็จะตัดเขาออกจากใจให้ได้เร็วที่สุดเช่นกัน แต่ก็คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคอยสะกิดสะเกา และหยิบยื่นข่าวคราวของเขามาให้รับรู้ไม่ได้ขาด

...

 ‘น้องเปรียวจำคุณบุริศร์ได้ไหม เขาถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเราด้วยนะ แต่เสียดายว่าคุณริศร์แกปฏิเสธ ส้มเลยหล่นลงบนหัวยายจีรวรรณ’

นั่นคือข้อความที่ปรีชญาณ์ได้ฟังจากรุ่นพี่ในแผนก หลังจากที่เธอฝึกงานเสร็จมากว่าครึ่งปี ปรีชญาณ์โทษว่าเป็นความมนุษยสัมพันธ์ดีของตัวเองที่ทำให้รุ่นพี่และเพื่อนในที่ฝึกงานมักโทร. มาหาและเล่าเรื่องราวต่างๆ นานาให้ฟัง หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าเธอชอบบุริศร์ รู้กันทั้งบริษัท ยกเว้นเจ้าตัวคนเดียว

‘เดี๋ยวนี้บริษัทไม่เป็นระบบอย่างเคย ขนาดคนขยันและสู้งานอย่างคุณริศร์ยังยื่นใบลาออกแล้ว เห็นว่าได้งานใหม่ที่ใกล้บ้านมากกว่า นี่เราก็ว่าจะลองทนดูอีกสักเดือนละ ถ้าไม่ดีขึ้นก็อาจจะตามไปขอทำงานกับคุณริศร์’

หลายครั้งเหมือนกันที่ปรีชญาณ์คิดว่าปัญหาอยู่ที่บุริศร์มากกว่า มาดเคร่งขรึมจริงจังของเขาทำให้สาวๆ ในบริษัทตามติดเรื่องราวของเขาราวกับเป็นติ่งดารา ในความโชคร้ายที่ต้องรับฟังเรื่องของคนที่เราอยากตัดขาดออกจากชีวิต ปรีชญาณ์ค้นพบ ‘โชคดี’ ที่แฝงมาในทุกข่าว นั่นคือไม่มีแหล่งข่าวคนไหนระบุว่าเขาคบหากับผู้หญิง ไม่เช่นนั้นเธอคงรู้สึกแย่กว่านี้

รู้สึกแย่...เพราะจนถึงทุกวันนี้หัวใจของปรีชญาณ์ก็ยังปักหลักอยู่ที่ ‘ผู้ชายนิสัยดี...ที่ไม่รักเธอ’

    

“อาธัชเขารับปากจะดูแลหนูเป็นอย่างดีนะ ฉลามน้อย”

ปรีชญาณ์ชะงักไปนิดเมื่อได้ยินบิดาพูดอย่างนั้น ก่อนจะแสร้งหัวเราะเบาๆ แล้วแก้ว่า “คุณป๋าขา ลูกสาวคุณป๋าอายุยี่สิบหกแล้วนะคะ ไม่ใช่ห้าขวบ คุณป๋าไม่จำเป็นต้องจูงหนูไปฝากไว้กับเพื่อนตอนตัวเองไม่อยู่บ้านหรอกค่ะ หนูดูแลตัวเองได้”

เสียงถอนหายใจยาวของคนเป็นพ่อดังขึ้น ซึ่งมันทำให้ปรีชญาณ์อยากจะถอนหายใจเช่นกัน เธอรู้และเข้าใจคำถามของท่าน เหมือนกับที่ท่านเองก็รู้และเข้าใจการบ่ายเบี่ยงของเธอเช่นกัน แต่เหตุใดเธอกับท่านยังต้องเถียงกันเรื่องเดิมก็ไม่รู้

“ฉลามน้อยเอ๊ย...พ่อเข้าใจว่าเราคุยเรื่องนี้กันมาแล้วหลายครั้ง แต่พ่อก็อยากให้ฉลามน้อยเข้าใจพ่อบ้าง คนเป็นพ่อย่อมต้องการฝากลูกสาวไว้ในมือคนที่ไว้ใจได้ และอาธัชก็คือคนคนนั้น”

เวลาดูละครที่มีพลอตเรื่องคลุมถุงชนหรือมีความจำเป็นต้องบีบบังคับให้นางเอกต้องแต่งงานกับพระเอกที่หล่อรวย โพรไฟล์เริด เปรียวหรือปรีชญาน์มักจะพูดเล่นกับเพื่อนว่า ‘เมื่อไหร่พ่อฉันจะจับฉันคลุมถุงชนอย่างในทีวีบ้างนะ’ ตอนพูดก็ขำดีและรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มีได้แต่ในจอสี่เหลี่ยม แต่เมื่อชีวิตจริงเริ่มคล้ายละคร พ่อของเธอต้องการรักษาเสถียรภาพของบริษัทด้วยการแต่งงานของเธอกับผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ ปรีชญาณ์ก็เข้าใจหัวอกของนางเอกขึ้นมาทันที 

แน่นอน...คู่หมายของเธอหล่อและรวยราวกับโขลกมาจากนิยาย แต่ที่ไม่เป๊ะและไม่ใช่สเปกอย่างแรงคือหนึ่ง คู่หมั้นของเธอมีอายุสามสิบแปด เขาแก่กว่าเธอสิบสามปี และในอดีตเธอก็ยกมือไหว้เขาพร้อมกับเรียกว่า ‘อาธัช’ อาธัชในวันวานหรือคุณมนต์ธัชในวันนี้เป็นผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ที่ทำอย่างไรปรีชญาณ์ก็ไม่รู้สึกว่าเขาเป็น ‘ผู้ชาย’ คนหนึ่ง เธอรู้สึกเคารพและเกรงใจเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่เสียมากกว่า แล้วใครกันจะอยากได้คนที่ตัวเองเคารพเหมือนอามาเป็นสามี เฮ้อ!!!

    สอง แม้บุคลิกของปรีชญาณ์จะเป็นคนแคล่วคล่องว่องไว กะล่อนไหลราวกับปรอท แต่ปรีชญาณ์ไม่ชอบเสี่ยงภัยและหวาดกลัวอันตรายในทุกรูปแบบ ซึ่งหากเธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้มีอิทธิพล’ มีศัตรูทั้งคนในและนอกตระกูล ปรีชญาณ์คงประสาทเสียแน่ๆ

    สาม ‘อาธัช’ ไม่ได้รักเธอ และเธอก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยรักใคร ข่าวคาวโลกีย์ของเขาดังกระฉ่อน บางคนถึงกับว่ามนต์ธัชยุ่งกับผู้หญิงสวยทุกคนที่เข้าใกล้ และยังเลี้ยงนางเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในบ้านราวกับฮาเร็ม ซึ่งปรีชญาณ์มีความเชื่อว่าโรคเจ้าชู้รักษาไม่หาย มีแต่จะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ยากจะเยียวยา

    สี่ เธอไม่ได้รัก ‘อาธัช’ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ปรีชญาณ์ตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าเธอไม่อาจแต่งงานกับมนต์ธัชได้ แรกนั้นปรีชญาณ์ก็ยังก้ำกึ่ง ลังเลไปตามคำสอนของบิดาที่ว่า ‘อยู่ด้วยกันก็รักกันไปเอง’ หลอกตัวเองว่าเจอกันบ่อยๆ สนิทสนมกันมากขึ้นก็คงรักเขาได้ แต่ยิ่งนานวันเท่าไรเงาของบุริศร์ที่อยู่ในใจก็ยิ่งกระจ่างชัด ทั้งที่เขาควรเป็นเพียงอดีต เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน แต่ปรีชญาณ์ก็ไม่อาจลบลืมเขาได้ และทุกครั้งที่บอกใจให้ลืม เธอกลับยิ่งโหยหา ยิ่งอยากพบ อยากเจอ อยากลองพยายามอีกสักครั้ง เมื่อนำเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมารวมกัน ปรีชญาณ์จึงตัดสินใจว่าเธอจะไม่แต่งงาน

“แล้วถ้าหนูมีคนที่รักอยู่แล้วล่ะคะ”

นายปริญญาหรี่ตามองหน้าลูกสาว “คนไหนล่ะคู่รักของหนู ไอ้หนุ่มวิศวะทำงานอยู่กลางทะเล ที่พอขึ้นบกได้ก็วิ่งลงอ่าง หรือว่าไอ้หนุ่มชื่อเจษที่ทำงานอดิเรกเป็นตำรวจ งานประจำเป็นโจร อ้อ...ไม่ต้องเอาไอ้ว่าที่ดอกเตอร์เพื่อนเรามาอวดอ้างนะ พ่อจำได้ว่ามันเคยแต่งตัวเป็นผู้หญิง”

คำพูดดักคอของบิดาทำให้ปรีชญาณ์กัดริมฝีปาก ขัดเคืองใจที่ท่านรู้ทัน แต่เรื่องจะให้เธอจนมุมนั้นอย่าหวัง ดื้อกว่าคุณป๋าก็เธอนี่ละ “ไม่ใช่ทั้งหมดนั่นแหละค่ะ คนที่หนูรักอาจไม่หล่อ ไม่รวย แต่เขาก็เป็นคนดีมาก อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้มีเมียเต็มบ้านอย่างอาธัช”

เพราะปรีชญาณ์ตลบท้ายด้วยการยกเอามนต์ธัชมาเปรียบเทียบ นายปริญญาจึงไม่ได้สนใจประโยคก่อนหน้า คิดแต่ว่าจะต้องแก้ตัวแทนว่าที่ลูกเขยเท่านั้น “เอ ฉลามน้อยนี่พูดวนแต่เรื่องนี้ ก็เราคุยกันแล้วว่าอาธัชเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าป๊าไม่มั่นใจในตัวเขา ป๊าไม่ส่งหนูไปอยู่กับเขาหรอก”

ปรีชญาณ์ไม่เชื่อคำพูดของบิดาสักนิด เธอเพิ่งได้ข่าวจากเพื่อนที่เป็นญาติห่างๆ ของมนต์ธัชว่ามนต์ธัชตบตีเมียที่มีชู้เสียจนฝ่ายนั้นหนีไป ก่อนที่ตัวเองจะรับวิบากกรรมบ้าง เพราะคนขับรถหลับในพารถตกเขา จนเขาบาดเจ็บสาหัสถึงกับต้องส่งตัวไปผ่าตัดต่างประเทศ ที่ว่านิสัยดีขึ้นคงเพราะเสียโฉมกับเดินเหินไม่คล่องเลยไม่มีผู้หญิงคนไหนสนใจมากกว่า พอหายดีแล้วก็คงไม่พ้นกลับไปเจ้าชู้อีก แต่ถึงจะไม่มีเมียเพิ่ม อีตามนต์ธัชก็มีเมียดั้งเดิมที่สะสมไว้เสียเต็มบ้าน เห็นว่าอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แค่จินตนาการก็เพลียใจแล้ว

“ถึงไม่มีเรื่องเจ้าชู้เพิ่ม แต่เขาก็มีเมียอยู่ในบ้านตั้งหลายคนนี่คะ คุณป๋าไม่สงสารหนูเหรอที่จะต้องไปอยู่ในฐานะเมียน้อย”

“เลื่อนเปื้อนไปใหญ่แล้ว เราจะเป็นเมียน้อยได้อย่างไร อาธัชเขารับปากแล้วว่าจะจัดงานแต่งงานให้รู้ทั่วกันและจะจดทะเบียนสมรสด้วย เชื่อใจพ่อเถอะน่า พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกสาวของพ่อเสมอ”

เมื่อบิดาเริ่มเสียงดัง ปรีชญาณ์ก็ยั้งฝีปากของตัวเองไว้ ต่อให้มีทะเบียนสมรสแล้วอย่างไร เป็นเมียหลวงก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นหรอกนะ

“แล้วถ้าหนูบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดของคุณป๋าไม่ใช่สิ่งที่หนูต้องการละคะ...” ปรีชญาณ์พูดค้างไว้แค่นั้น ต่อคำเองในใจว่า ‘ดีที่สุดไม่มีจริงหรอก เกณฑ์ตัดสินของแต่ละคนเท่ากันเสียที่ไหน’ พ่อเธอคิดว่ามนต์ธัชดีเพราะเอาทรัพย์สมบัติเป็นตัวตั้ง แต่เธอมีเกณฑ์มาตรฐานเป็นความดี

นายปริญญาสบสายตาวอนขอของลูกสาวด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ปรีชญาณ์ค่อนข้างดื้อรั้น ซึ่งเขาจะไม่โทษลูกที่เป็นอย่างนี้ แต่โทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกคิดเองทำเองจนเคยชินเสียมากกว่า

“ฟังพ่อนะฉลามน้อย บริษัทของเราต้องการคนเก่งมาช่วยงาน และอาธัชก็เป็นคนคนนั้น เขาจะทำให้ธุรกิจของเราก้าวหน้าไปได้ไกล อีกทั้งการที่เรากับอาธัชแต่งงานกันก็เปรียบเสมือนค้ำยันบริษัทไว้ รวมหุ้นกันแล้วมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้เราได้สิทธิ์ในการบริหารงานต่อ

“ส่วนตัวหนู ถึงหลายปีมานี้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่เคยกำเริบ แต่หนูก็รู้ตัวเองดีว่าหนูไม่ได้แข็งแรงเหมือนใครเขา สำหรับคนเป็นพ่อ ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่า ส่งไม้ต่อให้ผู้ชายที่พร้อมจะดูแลหนูหรอกนะลูก อาธัชจะไม่ดีกับคนอื่นก็ช่างเขาปะไร ขอแค่เขารักลูกของพ่อ ดีกับลูกของพ่อ พ่อก็พอใจแล้ว”

ปรีชญาณ์นั่งฟังก็จริง แต่คิดค้านทุกคำ เธอจะแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเธอเป็นของบุริศร์เท่านั้น และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป


อาการยกโทรศัพท์ขึ้นกดแล้ววางสลับกับถอนหายใจยาวของปรีชญาณ์อยู่ในสายตาของจักรินทร์โดยตลอด ชายหนุ่มมองเพื่อนสาวด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ โทรศัพท์ที่ปรีชญาณ์ถือเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่าที่เธอเคยใช้โทร. หาบุริศร์เมื่อหลายปีก่อน

“ยังเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้อีกหรือแก”

“ไม่ใช่แค่เก็บ แต่ยังคอยชาร์จแบตและเปิดเครื่องทิ้งไว้เสมอด้วย” ปรีชญาณ์ตอบเสียงเนือย รู้ตัวดีว่าหวังลมๆ แล้งๆ ไม่เข้าท่า เฝ้าฝันว่าสักวันเขาอาจจะเปลี่ยนใจและโทร. มา ทั้งที่เขาอาจจะลบเบอร์โทรศัพท์เธอออกตั้งแต่วันที่บอกไม่อยากมีเธอในชีวิตนั่นแล้ว

‘โอย...ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ แต่ยิ่งเจ็บก็ยิ่งคิด’

จักรินทร์มองหน้าจ๋อยๆ ของเพื่อนแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ทรุดตัวลงนั่งแล้วโอบบ่าอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ

ฉันผิดเองก็ได้ ฉันขอโทษที่เคยยุให้หล่อนไปบอกรักพี่ริศร์ ฉันแค่อยากให้หล่อนไปจบเรื่องที่ค้างคาใจ ไม่ใช่เพิ่มความหวังลมๆ แล้งๆ อย่างนี้ คนรักเดียวใจเดียวน่าชื่นชมก็จริงนะแก แต่การเฝ้ารัก เฝ้ารอทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่มีทางชอบเรามันเสียเวลาเปล่า เก็บพี่ริศร์ลงซอกใจไปซะทีเปรียว แกกับเขาเดินคนละทางกันแล้ว”

ปกติปรีชญาณ์เป็นคนจำพวกเถียงคำไม่ตกฟาก แต่เรื่องนี้เธอยอมรับ เธอหวังลมๆ แล้งๆ ไม่เข้าท่า รักเขาโดยที่เขาไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ คิดตามเพื่อนแล้วปรีชญาณ์ก็คู้เข่าขึ้นมากอดแล้วซบหน้าลงบนนั้น

“อยู่กับปัจจุบันหน่อยสิแก เลิกนึกถึงอดีต และอย่าไปกังวลกับอนาคตให้มากนัก ไปซื้อคอร์สเสริมสวย ร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์หน้า หรือว่าไปต่างประเทศกันไหมล่ะ น่าเปรียว...มีความสุขกับชีวิตแต่ละวันดีกว่า เก็บพี่ริศร์ไว้เป็นความทรงจำดีๆ ก็พอ”

“ใช่...ความทรงจำสามดี ชัดลึกทุกมิติ แถมยังรีเพลย์ได้เอง ไม่จบไม่สิ้น ถ้าโลกนี้มีปาฏิหารย์ก็ดีสินะ ฉันอยากเจอพี่ริศร์อีกสักครั้ง อยากกลับไปมีเวลาดีๆ ร่วมกันอีก”

จักรินทร์มองหยาดน้ำใสที่คลอคลองหน่วยตาของเพื่อนแล้วก็สงสารจับใจ ปรีชญาณ์ที่เขารู้จักเป็นคนสดใส ร่าเริง อารมณ์ดีเป็นนิจ มีนิสัยแสบ เซี้ยว แก่น ซ่า จอมวางแผนเบอร์หนึ่งของกลุ่ม ทว่าตั้งแต่ถูกบิดาหมายมั่นปั้นมือจะให้แต่งงานกับมนต์ธัช ปรีชญาณ์ก็เอาแต่นั่งซึม ไม่กินข้าวกินปลา พร่ำพูดแต่เรื่องของบุริศร์

ใคร่ครวญอยู่อึดใจ จักรินทร์ที่ทั้งรักและสงสารเพื่อนก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “ชีวิตเรา เราก็ต้องสร้างปาฏิหารย์เองสิยะ เอาอย่างนี้ดีไหม...ฉันจะพาแกไปเจอพี่ริศร์เอง”

จักรินทร์อมยิ้มเมื่อคำพูดของเขาทำให้ปรีชญาณ์ที่นั่งเหงามานานหันมองด้วยความสนใจ แต่ครู่เดียวดวงตาเรียวรีของสาวหมวยก็ปิดลงคล้ายคนสิ้นหวัง

“ขอบใจแกมากจุ๊บ แต่อย่ามาเสียเวลาเพราะฉันเลย ถ้าพ่อรู้ขึ้นมาแกจะพลอยโดนดุไปด้วย” 

“ลำบากลำเบิกอะไรกัน กะอีแค่ไปเจอพี่ริศร์เท่านั้น ไม่ได้หนีตามเขาไปเสียหน่อย ฟังฉันนะเปรียว ชีวิตเราสั้นจะตาย ไม่หาความสุขใส่ตัวตอนนี้จะหาตอนไหน ถ้าไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมหรือทำคนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจก็ทำไปเถอะ” จักรินทร์พูดพลางหยิบขนมใส่ปากพลาง คิดว่าจะได้ยินปรีชญาณ์แสดงความคิดเห็นอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มี หรือถ้าจะมี ก็มีแต่...รอยยิ้มพึงพอใจ เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบายที่จักรินทร์เห็นบ่อยครั้ง

“หล่อนยิ้มอะไรนังเปรียว” จักรินทร์ถามงงๆ และงงมากขึ้นเมื่อปรีชญาณ์ยักคิ้วให้ “เดี๋ยวนะ...นี่หล่อนไม่ได้เสียใจจริงใช่ไหม หล่อนแกล้งหลอกพวกฉันใช่ไหม หน็อย...นังเปรียว นังอสรพิษ”

ปรีชญาณ์หัวเราะร่วนขำจักรินทร์ สลัดมาดเศร้าซึมทิ้งกลับมาสู่มาดร้าย “แหม...เพื่อนจุ๊บที่รัก แผนชั่วที่แกว่าก็ได้มาจากคำแนะนำของแกนั่นแหละ แกเคยบอกฉันเองนี่นะว่ารักพ่อต้องเลิกพี่ รักพี่ต้องหนีพ่อ ฉันไตร่ตรองดีแล้วว่าฉันรักคุณป๋า แต่ฉันจะไปบอกรักพี่ริศร์ก่อน ให้รู้กันไปว่าเขาจะเฉยชากับผู้หญิงที่รักเขาหัวปักหัวปำคนนี้ได้ลงคอ”

คำยอกย้อนของปรีชญาณ์ทำให้จักรินทร์หน้าเสีย เขาเคยพูดอย่างนั้นก็จริง แต่เพียงต้องการหยอกเย้าให้ขบขัน ไม่นึกว่าปรีชญาณ์จะคิดเป็นจริงเป็นจัง

“โอ...ไม่นะนังเปรียว หล่อนไม่ได้คิดหนีไปใช่ไหม ตาย ตาย ตาย พ่อแกกับคุณมนต์ธัชต้องเล่นงานพวกฉันแน่ๆ” จักรินทร์ร้องพลางโบกมือไปมา 

เห็นดังนั้นปรีชญาณ์ต้องรีบตะครุบปากจักรินทร์ไว้เมื่อเพื่อนชายใจสาวดูจะตื่นตกใจจนเกินเหตุ อืม...ก็ไม่เกินหรอก คุณป๋าของเธอกับมนต์ธัชคงโมโหจริงๆ นั่นละ แต่แล้วไง เธอก็โมโหเหมือนกันที่ถูกบังคับ เธออยากเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะสิทธิ์ในการเลือกคู่ครอง

“อย่าเสียงดังสินังจุ๊บ ฉันไม่ได้บอกว่าจะหนีเสียหน่อย” ปรีชญาณ์ปรามและปล่อยมือออกเมื่อเห็นว่าเพื่อนระงับความตระหนกตกใจได้แล้ว 

เห็นอาการมุ่งมั่นเกินร้อยของปรีชญาณ์แล้ว จักรินทร์ก็ถอนหายใจ นึกเคืองตัวเอง ไม่น่ายุให้ปรีชญาณ์คิดเอาชนะใจบุริศร์เลย คนอย่างปรีชญาณ์ถ้าลงได้ตั้งใจทำอะไรแล้วมักจะทุ่มไปจนสุด ไม่รู้จักหรอกคำว่าพอดี

“แต่หล่อนกำลังจะแต่งงาน และคุณธัชคงไม่ยอมแน่ถ้าหล่อนจะมีกิ๊ก เคยได้ยินไหม กิ๊กไม่ใช่ชู้ แต่สามีรู้ไม่ได้น่ะ” ปรีชญาณ์ค้อนเพื่อนแต่ไม่โต้แย้ง สมองเธอกำลังทำงานอย่างหนักในการชั่งใจ

“ฉันไม่ได้คิดจะมีชู้เสียหน่อย ก็แค่...อยากเจอพี่ริศร์อีกสักครั้ง มันจะเลวจะชั่วช้าแค่ไหนกันเชียวกับการทำตามหัวใจตัวเอง” ปรีชญาณ์รำพัน ใบหน้านวลหมองเศร้าราวกับไม่ใช่ปรีชญาณ์จอมป่วนที่ทุกคนรู้จัก เห็นอย่างนั้นแล้วจักรินทร์ก็ทอดถอนใจ แต่เพื่อนที่ดี ต้องทั้งปลุกปลอบให้กำลังใจ และรั้งเพื่อนไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิด

“เอาให้แน่นะเปรียว ฉันสนับสนุนให้หล่อนไปจัดการเรื่องพี่ริศร์ให้จบก็จริง แต่ไม่ได้ยุให้หนีการแต่งงานนะยะ แล้วถ้าระหว่างที่แกหายไป พ่อแกมาคาดคั้นถามเรื่องแกจากพวกฉันล่ะ พวกฉันจะทำยังไง พวกเราสนิทกันจะตาย พ่อแกไม่เชื่อคำพูดพวกฉันหรอก ไหนจะงานโรงแรมของแกอีก แกจะทิ้งงานทิ้งการไปเลยหรือไง” จักรินทร์แหวใส่ เพราะรู้จักรู้ใจเพื่อนดีนี่แหละจึงค่อนข้างมั่นใจว่าปรีชญาณ์หนีแน่ๆ

“งานที่โรงแรม พ่อแต่งตั้งคนอื่นมาทำงานแทนฉันแล้วละ ส่วนที่ว่าถ้าท่านมาถามอะไรพวกแก พวกแกก็แค่ยืนกรานว่าไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น น่า...ฉันรับรองว่าจะไม่มีใครเดือดร้อนกับเรื่องนี้ แกอย่ามาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเปลี่ยนความตั้งใจเลยจุ๊บ ฉันตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” อันที่จริงแล้วปรีชญาณ์อยากใช้คำว่า ‘หวังว่าจะไม่มีใครเดือดร้อน’ มากกว่า แต่ก็นั่นละ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที ถ้าขืนเธอมัวห่วงนั่นพะวงนี่ ก็คงไม่แคล้วแต่งงานแต่งการไปโดยไม่ได้บอกรักบุริศร์

“เอางั้นเหรอ แล้วหล่อนจะไปเมื่อไหร่ล่ะ ฉันจะไปเป็นเพื่อน”

“แกไม่ต้องไปกับฉันหรอก คอยประสานงานทางนี้เพื่อช่วยไอ้ครามดีกว่า”

“ไอ้ครามมาเกี่ยวอะไรด้วย” จักรินทร์ถามทันควัน ทิฆัมพรหรือฟ้าครามเป็นสาวเท่ประจำกลุ่มที่เกลียดผู้ชายเจ้าชู้มาก และยังรักสันโดษ โลกส่วนตัวสูง จนยากจะเชื่อว่าทิฆัมพรจะยอมช่วยปรีชญาณ์ในเรื่องนี้

“ฉันตั้งใจว่าช่วงที่คุณป๋าให้ไปช่วยงานอาธัช ฉันจะให้ไอ้ครามไปทำงานแทน ส่วนตัวฉันจะไปหาพี่ริศร์และบอกรักเขาแล้วปรับความเข้าใจกัน พอสมหวัง สมรักแล้ว ฉันก็จะกลับมาหาคุณป๋า มาบอกยกเลิกการแต่งงาน แต่ถ้าไม่สำเร็จ ฉันก็จะยอมแต่งงานกับอาธัชตามที่คุณป๋าต้องการ”

จักรินทร์อ้าปากค้างเมื่อฟังถึงตรงนี้ แค่รู้ว่าปรีชญาณ์จะหนีว่าที่สามีไปตามหารักแท้ก็ว่ามันสุ่มเสี่ยงแล้ว แต่ยายเปรียวตัวแสบยังวางแผนส่งทิฆัมพรหรือฟ้าครามไปเป็นตัวประกันไว้อีกชั้น ไม่ด่าเสียบ้างก็คงไม่ใช่จุ๊บแจง

“คิดแผนได้เลวมากนังเปรียว” จักรินทร์ลงเสียงหนักให้รู้ว่าจริงจัง “มีอย่างที่ไหน ตัวเองหนีการแต่งงาน แต่กลับส่งเพื่อนไปเข้าถ้ำเสือ ถามจริง หล่อนไม่ห่วงไอ้ครามบ้างหรือไงฮะ ถ้าคุณธัชเขารู้ว่ามันสมคบคิดให้หล่อนหนีการแต่งงาน หล่อนคิดว่าเขาจะเอามันไว้ไหม”

คำตอบของปรีชญาณ์คือ ‘ห่วง’ ซึ่งเพราะความห่วงและกังวลในตัวทิฆัมพรนี้เองที่ทำให้เธอตัดสินใจบอกเล่าแผนการให้อีกสองเพื่อนรักฟัง เพื่อว่าระหว่างที่เธอไม่อยู่ ทิฆัมพรจะได้มีที่ปรึกษา แต่เรื่องอะไรกันล่ะที่เธอจะบอกความกังวลของตนเองให้เพื่อนรับรู้

“แกดูปากฉันให้ดี ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่หาความสุขใส่ตัวก่อนที่จะต้องติดคุกตลอดชีวิตต่างหาก เรื่องเห็นแก่ตัวฉันยอมรับ แต่ก็ไม่ได้คิดจะหาประโยชน์ฝ่ายเดียวหรอกนะ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะตอบแทนน้ำใจด้วยการช่วยไถ่บ้านของแม่ไอ้ครามที่ติดจำนองไว้ ส่วนเรื่องงาน แกเป็นคนเล่าเองไม่ใช่หรือว่าไอ้ครามมันถูกหัวหน้างานแกล้งประจำ และมันก็บ่นอยากจะเปลี่ยนงานอยู่แล้ว น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มันช่วยฉัน ฉันให้เงินมัน วิน-วินทั้งสองฝ่าย มีแต่ได้กับได้ ไม่มีใครเดือดร้อนสักคน”

พูดเหมือนท่อง เหมือนสะกดใจตัวเองให้เชื่อตามนั้นแล้วปรีชญาณ์ก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ไม่มีอะไรหรอกน่า หรือถ้ามี...ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของทิฆัมพรหรอก!

เห็นความดื้อดึงของปรีชญาณ์แล้ว จักรินทร์ก็แสนจะกังวลใจ หนุ่มใจสาวหันไปหาสาวร่างท้วมนามว่ามาริษาด้วยหวังให้ช่วยกันห้ามปราม ติดแต่เพียงตอนนี้กูรูด้านความรักของผองเพื่อนกำลังเพลิดเพลินกับมินิแซนด์วิชทูน่าสเปรดและคานาเป้หน้าไข่กุ้งจึงยังไม่อาจแสดงความเห็นได้

“กลัวไตรกลีเซอไรด์ในเลือดต่ำหรือไงยะนังเหมียว โหมกินเป็นสามล้อถูกสามตัวตรงเชียวนะหล่อน”

มาริษาหรือเหมียวยักไหล่ไม่แคร์การจิกกัดของจักรินทร์ นิ้วอวบคว้าคานาเป้ปูอัดมาถือไว้พลางบอก “ฉันไม่ได้กินเพราะตะกละย่ะ แต่ที่กินๆ อยู่เนี่ยเพราะต้องการให้สารอาหารขึ้นไปเลี้ยงสมองต่างหาก ไม่เคยได้ยินรึไง ไอเดียดีๆ จะมีได้ก็ต่อเมื่อท้องอิ่ม”

จักรินทร์ส่ายหน้าระอาแม่สาวร่างอวบที่เฉียดคำว่าอ้วนไปทุกขณะ แล้วตัดสินใจดันจานอาหารว่างออกห่างเพื่อนก่อนทำเสียงเข้มใส่ “งั้นก็อิ่มเสียที แล้วก็ช่วยผุดไอเดียดีๆ ออกมาด้วย เพื่อนรอฟัง”

มาริษาหัวเราะเพราะนานๆ ครั้งจะเห็นจักรินทร์เครียด โดยส่วนตัวแล้วมาริษามองว่าการตัดสินใจของปรีชญาณ์ใช้หัวใจนำทางมากเกินไป แต่ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะห้ามปรามกันเพราะต่างก็โตๆ กันแล้ว ส่วนเรื่องที่ปรีชญาณ์จะดึงทิฆัมพรไปช่วยนั้น มาริษาก็เห็นว่าเหมาะ เพราะทิฆัมพรกำลังทุกข์ใจเรื่องหัวหน้างานและไม่มีเงินไถ่ถอนบ้านที่ติดจำนอง อีกทั้งในจำนวนเพื่อนทุกคน สาวเท่อย่างทิฆัมพรน่าจะปลอดภัยจากเสน่ห์ของมนต์ธัชมากที่สุด

“แกรู้ใช่ไหมเปรียว ถ้าพ่อแกกับคุณธัชรู้ว่าแกหนีไปหาผู้ชาย เรื่องนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของพ่อแกกับคุณธัช ไหนจะเรื่องการเงินของบริษัทอีก และต่อให้คุณธัชเขายอมเข้าพิธีแต่งงานกับแก ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นด้วยความคลางแคลงใจก็มักจบด้วยการเลิกรา”

ถึงจะเป็นคนเอาแต่ใจตามประสาลูกคนเดียวที่บิดาปล่อยปละละเลยไว้กับพี่เลี้ยง แต่ปรีชญาณ์ก็ไม่เคยทำให้บิดาเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะรู้ว่าที่บิดาทำงานหนักก็เพื่อให้เธอสุขสบาย และตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาปรีชญาณ์พยายามแล้วที่จะตัดความรู้สึกที่เธอมีต่อบุริศร์ แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งบิดาพยายามโน้มน้าวให้เธอครองคู่กับมนต์ธัชมากเท่าไร เธอยิ่งกระวนกระวายมากเท่านั้น อีกอย่างเธอแค่เอาตัวไปใกล้ชิดคนที่เธอรัก โดยไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ในขณะที่มนต์ธัชนั้นมีเมียอยู่แล้วถึงเจ็ดคน ฉะนั้น ถ้าว่ากันด้วยคำว่าเคลือบแคลงใจ ปรีชญาณ์จึงอดยิ้มหยันไม่ได้

“ฉันยอมรับผลของทุกการกระทำของตัวเองได้ รู้ตัวว่ากำลังจะทำให้พ่อผิดหวัง รู้ตัวว่าอาธัชจะต้องโกรธ แต่...ถ้าไม่ทำวันนี้ สักวันฉันก็คงหนีไปหาพี่ริศร์อยู่ดี ทำตอนนี้ยังแค่ลูกอกตัญญู แต่ถ้าทำวันหน้าจะได้ชื่อว่าวันทองกากีเพิ่มด้วย”

แววตาเด็ดเดี่ยวของปรีชญาณ์ทำให้มาริษาพยักหน้า ปรีชญาณ์เป็นคนซื่อตรงต่อความรู้สึก คิดอย่างไรทำอย่างนั้น และกล้าหาญพอจะยอมรับผลในการทำผิด

“ถามอีกข้อ แกไม่คิดบ้างหรือว่าตัวเองทำเพื่อพี่ริศร์มากเกินไป เขาสำคัญกับแกขนาดนั้นเชียวรึ”

ปรีชญาณ์นิ่งคิดเพียงนิดก็อธิบายว่า “สิบสองปีก่อนมิตรไมตรีของพี่ริศร์สร้างปรีชญาณ์คนนี้ขึ้นมา ความโอบอ้อมอารีของเขาขัดเกลานิสัยก้าวร้าวของฉันออกไป พี่ริศร์เป็นทั้งแรงใจและแรงผลักให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่ ฉันอยากให้เขารักฉันตอบก็จริงนะเหมียว แต่ยิ่งกว่านั้นคือฉันอยากมีโอกาสตอบแทนพี่ริศร์บ้าง และต่อให้เขาไม่รักฉัน พี่ริศร์ก็ยังจะเป็นคนสำคัญของฉันอยู่ดี”

มาริษายิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เอาละ ถ้าแกยืนยันว่าเขาสำคัญจริง ฉันก็จะไม่ห้าม อยากทำอะไรก็ทำ ชีวิตเป็นของแกนะเปรียว จะก้าวกระโดดหรือล้มลุกคลุกคลาน แกเท่านั้นที่กำหนดได้ แต่...แกต้องบอกสิ่งที่แกคิดจะทำให้ไอ้ครามรู้ จะจับมันมัดมือชกไม่ได้ ไอ้ครามมันรักงานที่ทำอยู่มากนะ และคงไม่อยากให้กรรมการบริหารอย่างคุณธัชหมายหัวนักหรอก”

     เห็นแววตามุ่งมั่นของปรีชญาณ์แล้วจักรินทร์ก็ได้แต่ถอนใจ จะว่ากันตามตรง เขาเองก็ผิดตั้งแต่ต้นที่สนับสนุนให้ปรีชญาณ์ไปจัดการเรื่องบุริศร์ให้จบ คือ...ตอนคิดน่ะเอาอารมณ์เป็นตัวตั้งแต่ พอจะทำ เหตุผลสารพันก็ประดังประเดมาหมด จะย้ายข้างเปลี่ยนไปค้านก็ไม่ทันแล้ว คนอย่างปรีชญาณ์เมื่อตั้งใจจะทำ ต่อให้เห็นว่าทางข้างหน้าตัน เจ้าหล่อนก็จะหาทางขุด เจาะ ถากถางทางหาวิธีไปต่อจนได้ ห้ามไม่ไหว รั้งไม่ได้ ก็เหลือแต่ช่วยประคับประคอง 

    “งั้นลองเล่าให้พวกฉันฟังหน่อยสินังเปรียวว่าหล่อนจะพิชิตใจพี่ริศร์ได้อย่างไร เขาจำหล่อนไม่ได้ไม่ใช่รึ”

    ปรีชญาณ์หลบสายตา แสร้งตอบแบบขอไปทีว่า “จำไม่ได้ก็ทำให้จำได้ไง แล้วพอจำได้เดี๋ยวก็รักกันเองละ”

 “ไอ้เปรียว”/    “นังเปรียว”    

    ปรีชญาณ์เหลือบมองเพื่อนแล้วก็รู้ตัวว่าเธอไม่มีทางหลอกทั้งสองคนได้ เสียงที่บอกจึงอ่อยลงอย่างคนรู้ตัวว่าผิด “เออ สารภาพก็ได้ว่าไม่มีหรอกแผนกงแผนการ ฉันแค่พูดหรูๆ ให้ไอ้ครามมันวางใจเท่านั้น มันจะได้ยอมไปขัดตาทัพแทนก่อน พี่ริศร์เขาเข้าถึงยากจะตาย และฉันก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งโทร. หาทุกวัน ตามไปฝึกงานที่บริษัท ไม่รู้สิ ครั้งนี้ฉันอาจจะดับเครื่องชน เดินไปบอกรักเขาตรงๆ ก็ได้ มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่”

    จักรินทร์ฟังแล้วก็ถอนหายใจ “หล่อนสิ้นคิด บ้าบิ่นผิดจากยายเปรียวจอมเจ้าเล่ห์ที่ฉันรู้จักอย่างกับคนละคนเลยนะปรีชญาณ์ ขืนทำอย่างที่หล่อนว่าก็เท่ากับเดินไปให้เขาปฏิเสธหล่อนเท่านั้น ยิ่งฟัง ฉันก็ยิ่งสงสารไอ้คราม มันไม่น่าเสียเวลามาช่วยแกเลย”

    แววตาเศร้าของปรีชญาณ์ทำให้มาริษารู้ว่าเพื่อนเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน ทั้งกังวลเรื่องงานแต่งงานและเคร่งเครียดกับความรักที่แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้

    “หยุดบ่นได้แล้วนังจุ๊บ มาช่วยกันคิดแผนเริดๆ ช่วยชะนีน้อยเพื่อนรักของพวกเราดีกว่า ส่วนเปรียว แกช่วยเล่าประวัติ นิสัยใจคอ หน้าที่การงานของพี่ริศร์แบบละเอียดที่สุดให้ฉันฟังหน่อย แล้วเรามาวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ความเสี่ยง และโอกาสที่จะพิชิตใจด้วยกัน ฉันกับนังจุ๊บจะทุ่มเทกำลังกาย กำลังสมองช่วยแกอย่างถึงที่สุด”

    จักรินทร์กลอกตาเมื่อสองสาวจอมแสบของกลุ่มผนึกกำลังกัน เขาไม่รู้หรอกว่าความสำเร็จจะรออยู่ปลายทางหรือไม่ แต่มั่นใจว่าความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น