3
คุณคือภาพจำที่เห็นได้แจ่มชัดแม้ว่าจะหลับตา
“แกมีเวลาเปลี่ยนชุดห้านาที ลอกคราบไฮโซออกให้หมดแล้วเอาของมีค่า เอกสารสำคัญ โทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋าใบเล็กนั่น เสร็จแล้วก็ทิ้งทั้งหมดไว้ในห้องน้ำนั่นละ เดี๋ยวพอแกไปแล้ว ฉันจะเข้าไปเคลียร์และเก็บของทั้งหมดให้เอง อ้อ...อย่าลืมล่ะว่าแกต้องไปถึงจุดนัดหมายภายในยี่สิบนาที โชคดีเพื่อน” มาริษาพูดเร็วปรื๋อ และเมื่อพูดจบก็หันมองซ้ายขวาข้างละสองครั้ง ก่อนจะกระชับคอเสื้อโคตตัวยาวให้ปิดมาถึงคาง ซึ่งเมื่อรวมกับหมวกใบใหญ่และแว่นดำอันโต ปรีชญาณ์ก็อดหัวเราะความเพี้ยนของเพื่อนไม่ได้
“นังเหมียว แกถอดแว่นตา หมวก และเสื้อโคตออกดีไหม แผนหนีจะพังก็เพราะแกแต่งตัวพิลึกเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้างนี่แหละ”
ก้มลงมองตัวเองแล้วมาริษาก็เริ่มเห็นว่าจริง แม้อากาศในห้างสรรพสินค้าจะเย็นฉ่ำ แต่การสวมเสื้อโคตหนังตัวยาวในประเทศไทยก็ดูเด่นเกินไปจริงๆ แต่แล้วไง เสื้อตัวนี้ให้ความรู้สึกเป็นนักสืบ และเธอก็อยากใส่มันปฏิบัติภารกิจลับอะไรสักอย่างมาตั้งนานแล้ว ฉะนั้นสาวอวบของกลุ่มจึงขอแสดงจุดยืน
“ไม่ถอด ให้คนมองแต่ฉันก็ดีแล้วไง จะได้ไม่มีใครสนใจแก อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย เข้าไปเปลี่ยนชุดและทำตามแผนได้แล้ว เดี๋ยวจะคลาดกับนังจุ๊บ” พูดจบมาริษาก็รุนหลังปรีชญาณ์เข้าไปในห้องน้ำ ส่วนตนเองก็ยืนปักหลักสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่ายืนหันหลังสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวยาว ณ ตำแหน่งหน้าห้องน้ำนั้นสะดุดตาใครบางคนเข้าอย่างจัง
เพราะห้องน้ำที่ปรีชญาณ์เข้าไปใช้ไม่มีคนพลุกพล่านนัก มาริษาจึงสบโอกาสซ้อมแอกติงนักสืบอัจฉริยะ อาชีพในฝันที่เธอคาดหวังว่าสักวันจะต้องได้สวมชุดนี้ออกปฏิบัติภารกิจลับบางอย่าง สาวร่างอวบกระชับปีกหมวกให้กดลงต่ำ มือสองข้างเลื่อนมาจับสาบเสื้อก่อนกางออกตามจินตนาการว่ามีปืนและมีดพร้อมสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด ไม่ได้เอะใจเลยว่าท่ายืนกางขา เปิดเสื้อคลุมตัวยาวโชว์อ้าซ่าไม่ได้คล้ายท่านักสืบ แต่เหมือนท่าทางของคนโรคจิตมากกว่า และบังเอิญว่าคนที่ก้าวมายืนอยู่ด้านหลังเธอก็คิดว่าเธอคือคนจำพวกนั้น
ปัณณ์ หรือ สารวัตรปัณณ์ รัตนสุชาติ หรี่ตามองภาพที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสนใจ ราวสองสัปดาห์ก่อนเขาได้รับแจ้งว่าที่ห้างแห่งนี้มีบุคคลโรคจิตเข้ามาก่อกวนด้วยการแอบซุ่มโชว์ของลับหน้าห้องน้ำ และหากสบโอกาสก็จะทำอนาจารลูกค้าสาวๆ ด้วย แต่เมื่อส่งตำรวจเข้ามาติดตามก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนเขาเริ่มคลายใจว่าไอ้โรคจิตเลิกก่อกรรมทำชั่วแล้ว นึกไม่ถึงว่าบทจะเจอก็เจอง่ายถึงเพียงนี้
ใช่แน่ๆ ปัณณ์สรุปกับใจตนเมื่อร่างท้วมสวมเสื้อคลุมตัวยาวขยับเสื้อเข้ารัดตัวแล้วกางออกโดยไวพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ ไม่มีคนปกติดีคนไหนหรอกจะมายืนเปิดเสื้ออ้าซ่าแล้วหัวเราะร่าอย่างนั้น ติดเพียงว่าไม่เห็นหน้า และรูปร่างก็ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นชายอกสามศอก ช่างเถอะ จะเป็นใครอย่างไรก็ช่าง จับก่อน ถามทีหลัง ดีกว่าปล่อยให้ประชาชนตาดำๆ ต้องเป็นตากุ้งยิง
“หยุด! ชูมือขึ้นแล้วหันหน้ามาช้าๆ” ปัณณ์ร้องสั่งไอ้โรคจิตด้วยเสียงดังและเข้มจัด พลางระแวดระวังภัยเต็มที่หากมันมีอาวุธมาด้วย แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดนัก เพราะแทนที่ไอ้โรคจิตจะหันมาโดยดีเพื่อเจรจา มันกลับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบบางอย่างออกมาต่อสู้
เสี้ยววินาทีที่ไอ้โรคจิตหันกลับมาพร้อมอาวุธในมือ ปัณณ์ก็พุ่งตัวเข้าชาร์จมันจนเสียหลัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักหรือส่วนสูงเขาเหนือกว่าทั้งนั้น พริบตาเดียวไอ้โรคจิตก็ถูกเขารวบตัวไว้ได้ แต่มันก็ไม่วายสู้ยิบตา
“ย้าก”
เสียงร้องแหลมเกินกว่าชายทำให้ปัณณ์ชะงักในทีแรก ก่อนจะแสบไปทั้งตาทั้งปากและคอเมื่อไอบางอย่างถูกพ่นออกจากกระป๋องขนาดเล็ก กระนั้นปัณณ์ก็ยังไม่ยอมปล่อย เขาพลิกตัวเจ้าวายร้ายไปชิดผนัง ก่อนจะขู่เสียงเข้ม
“วางอาวุธทุกอย่างที่แกมี แล้วอยู่นิ่งๆ ไม่งั้นพ่อยิงไส้แตก”
“แกต่างหากปล่อยฉันเสียดีๆ เพราะถ้าแกไม่รีบไปล้างตาตอนนี้ สเปรย์ที่ฉันพ่นใส่จะเข้าไปทำลายเยื่อบุทุกอย่างที่มันซึมผ่าน ไม่ถึงสิบนาทีทั้งดวงตา จมูก ปอด ปาก หลอดลม ไปจนถึงอวัยวะภายในจะกลายเป็นเนื้อตายทั้งหมด”
ปัณณ์ไม่มีเวลาใส่ใจว่าทำไมไอ้โรคจิตเสียงใสและแหลมเกินกว่าบุรุษเพศ เพราะตอนนี้เขากำลังขมคอและวิงเวียนกลิ่นสารเคมีที่รับเข้าไปเต็มกำลัง ฉับพลันที่สมองคิดภาพตามที่ไอ้โรคจิตว่า ปัณณ์ก็คลายแรงที่รัดอีกฝ่ายลง จังหวะนั้นเองที่ร่างค่อนข้างท้วมแต่ปราดเปรียวใช้เป็นโอกาสในการต่อสู้
เพราะมึนงงจากกลิ่นสเปรย์เป็นทุนเดิมจึงทำให้ปัณณ์กลายเป็นหุ่นให้อีกฝ่ายใช้เข่ากระทุ้งจนตัวงอ หนำซ้ำยายตัวร้ายที่เขารู้แน่ว่าไม่ใช่ผู้ชายยังร้องแรกแหกกระเชอเรียกคนทั้งห้างให้เข้ามาดูอีกด้วย
“เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา มาดูอ้ายโจรวิตถารลวนลามผู้หญิงหน้าห้องน้ำค่า” มาริษาเต้นเหยงๆ ร้องเรียกให้คนในห้างเข้ามามุงดูตัวเธอเองกับคู่กรณีร่างสูงใหญ่ ซึ่งเพราะอีกฝ่ายกำลังจุกจึงก้มหน้า เธอจึงยังไม่เห็นหน้าตา สังเกตแต่เพียงว่าผิวคล้ำและรูปร่างก็คุ้นพิลึก
“เฮ้ย! ใครวิตถารกัน แกต่างหากที่เป็นโรคจิต จงใจยืนโชว์ของลับหน้าห้องน้ำ” ปัณณ์เถียงดังลั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อหวังเอาเรื่อง จังหวะนั้นเองที่ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสเห็นใบหน้ากันและกันชัด และเพียงเลนส์ตาโฟกัสแก้มอูมใสกับดวงตาเรียวรีร้ายกาจชัด ปัณณ์ก็ร้องลั่น
“ยายแมวอ้วน!”
“นายดำเหนี่ยง!”
เมื่อมาริษาเห็นหน้าไอ้วิตถารชัดก็รู้ได้ทันทีว่าคือเหตุการณ์เข้าใจผิด คนตรงหน้าของเธอคือนายปัณณ์ คู่อริตลอดกาลที่หากนับความเกี่ยวดองกันเขาคือเพื่อนของสามีของเพื่อนสนิทเธออีกทีหนึ่ง แต่...รู้ว่าเข้าใจผิดแล้วไง รู้ว่ารู้จักกันแล้วไง ใช่ว่าจะลบล้างแรงกระแทกจนเธอจุกกับข้อกล่าวหาว่าเธอเป็นโรคจิตได้ ดีเสียอีก การทำให้นายปัณณ์อับอายเป็นเรื่องที่เธอพอใจอยู่แล้ว
“ช่วยด้วยค่า ช่วยด้วย ตำรวจหน้าดำรังแกประชาชนค่า ทั้งยัดเยียดข้อหา ตั้งศาลเตี้ย ข่มขู่ ข่มเหง แถมยังคิดเคลมความสาวของหนูด้วยค่า”
ฟังเสียงร้องปาวๆ แล้วปัณณ์ก็อยากเอาหัวโขกกำแพงนัก นึกชังความใจร้อนของตนเองที่ไม่ไตร่ตรอง พิจารณายายแมวอ้วนตรงหน้าให้นานอีกนิด ใครจะนึกว่าเขาจะมาเจอคู่อริอีกครั้ง และยังเจอกันในสภาพที่เขาเป็นฝ่ายผิด เปิดโอกาสให้แม่คุณเล่นงานเต็มๆ
“เบาหน่อยสิยายแมวอ้วน แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ก็ใครใช้ให้เธอแต่งตัวพิลึกแบบนี้มายืนทำลับๆ ล่อๆ หน้าห้องน้ำกันเล่า”ปัณณ์ร้องห้ามพลางจุปาก ใบหน้าคล้ามคมที่ถูกกล่าวหาว่า ‘ดำ’ ซับสีเลือดจนคล้ำขึ้นไปอีก รอบตัวเขาตอนนี้มีทั้งเด็กสาว สาวรุ่น ไปยันคนแก่ ซึ่งทุกคนกำลังรอฟังการแก้ต่างของเขาอยู่
“อีกอย่าง...ผมได้รับแจ้งมาว่าห้างนี้มีคนโรคจิตชอบโชว์ของลับหน้าห้องน้ำหญิง ดังนั้นเมื่อผ่านมาเห็นเธอในชุดนี้กับอาการด้อมๆ มองๆ สอดส่องเข้าไปด้านใน ผมจึงต้องขอตรวจสอบ”
ฟังคำอธิบายแล้วมาริษาก็ยิ้มเย็นใส่ นอกจากจะไม่เห็นแววนักสืบอัจฉริยะในตัวเธอแล้ว หมอนี่ยังกล้ากล่าวหาว่าเธอเป็นคนโรคจิต อย่างนี้ต้องสั่งสอนกันเสียหน่อย
“เอาละ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดฉันก็จะให้อภัยละกัน แต่นี่แน่ะ ช่วยขยับเข้ามาใกล้ๆ หน่อย จะบอกอะไรให้”
เมื่อท่าทีเกรี้ยวกราดของแม่สาวร่างอวบกลายเป็นมิตร ปัณณ์ก็คลายใจ และมันคงไม่กระไรนักหากเขาจะยอมลงให้เธอบ้าง เพราะจะว่าไปแล้วเขากับยายแมวอ้วนตรงหน้าก็คนกันเองทั้งนั้น คิดได้อย่างนั้นแล้วปัณณ์ก็สาวเท้าเข้าใกล้คู่อริอีกนิด ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อมาริษายิ้มหวานพร้อมพยักหน้าให้เขาก้มเข้าไปใกล้ๆ และจะด้วยเวทมนตร์กลใดก็ตาม ณ ขณะที่ปลายนิ้วขาวอวบยื่นมาประคองใบหน้าเขาไว้ ปัณณ์ก็เริ่มเห็นว่ายายแมวอ้วนตรงหน้าจัดว่าขาวอวบอัดน่าฟัด และฟันเกๆ ที่มุมปากก็ดูน่ารักใช่หยอก
ความน่ารักคงอยู่เพียงเสี้ยววินาทีเพราะความแสบทบทวีมีมากกว่า มาริษารอจนปัณณ์ก้มหน้าเข้ามาใกล้จนได้ระยะ นิ้วอวบก็จิ้มเข้าที่ตาทั้งสองข้างอย่างไม่ออมมือ ก่อนจะหัวเราะร่าใส่
“โอ๊ย! เธอทำบ้าอะไร” ปัณณ์ร้องในขณะที่หลับตาแน่น ความที่ประสาทสัมผัสไวทำให้เขาหลับตาหนีนิ้วอำมหิตของมาริษาได้ทัน แต่กระนั้นการถูกสองนิ้วกระแทกกระบอกตาก็ทำให้ปวดไม่น้อย
“ฉันช่วยแคะถั่วออกจากตานายให้ไง ต่อไปจะได้มีแวว ไม่มองคนผิดพลาดอีก เป็นตำรวจน่ะนอกจากความสามารถแล้ว ปัญญาก็สำคัญรู้ไหม นายต้องไตร่ตรอง พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนจึงค่อยตัดสิน เพราะคนที่ถูกนายยัดข้อหาให้เขาต้องเสียทั้งชื่อเสียง เสียเวลา และก็เสียความรู้สึก”
ปรีชญาณ์ออกมาทันเห็นเพื่อนสั่งสอนปัณณ์พอดี ซึ่งพอมาริษาเห็นเธอก็อุทานบางอย่างก่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอย่างรวดเร็ว “แกสายแล้วเปรียว ไปรีบไป และระวังตัวให้ดีๆ มีอะไรด่วนก็โทร. มาตามที่นัดกันไว้” บอกพลางรุนหลังปรีชญาณ์ให้รีบก้าวเดินออกไป ส่วนตัวมาริษาเองก็รีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อคว้ากระเป๋าเป้ใส่สัมภาระเดิมของปรีชญาณ์ออกมา
“อย่าเพิ่งไป เธอจะไม่รับผิดชอบหรือไง ทั้งสเปรย์สารเคมีอันตรายใส่ตาและยังจิ้มตาจนผมเจ็บอย่างนี้” ปัณณ์ร้องอุทธรณ์พลางกุมเบ้าตาไว้ทั้งสองข้าง ซึ่งเพราะอาการยืนพิงกำแพงของเขานี่เองที่ทำให้มาริษาเริ่มใจไม่ดีนัก
“สารเคมีอันตรายที่ไหน แค่สเปรย์ดับกลิ่นปาก แล้วตอนที่ฉันจิ้มตา นายก็หลับตาไม่ใช่หรือ”
“ไม่รู้ละ ผมเจ็บนี่ และตอนนี้ก็ลืมตาไม่ขึ้นเลยด้วย ถ้ายังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง ช่วยพยุงผมไปปฐมพยาบาลทีเถอะ”
มาริษาไม่ไว้ใจความเจ้าเล่ห์ของปัณณ์นัก แต่เธอก็รู้ตัวเหมือนกันว่าตอนที่ใช้นิ้วจิ้มเบ้าตาเขานั้น เธออัดจนเต็มแรงเชียวละ เอาเถอะ...เห็นแก่เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เห็นแก่ตำรวจตัว เอ๊ย ตาดำๆ หรอกนะ เอาไปส่งถึงมือหมอแล้วก็ต่างคนต่างไปละกัน บอกตัวเองอย่างนั้นแล้วมาริษาก็คว้ามือหนามาโอบบ่าเธอไว้ ก่อนสอดแขนเข้าไปรับน้ำหนักเพื่อช่วยพยุงพลางบอก “ห้ามตุกติกนะ ไม่งั้นฉันจะ...”
คำขู่ยังไม่ทันจบ คนที่ตั้งใจเอาคืนก็จัดการรวบร่างอวบเข้าไปในวงแขนกว้างพร้อมกับก้มหน้าคล้ามคมลงมาจนชิด ปลายจมูกโด่งอัดลงบนแก้มนวลอิ่มดังฟอดใหญ่ หายใจเข้าลึกจนหนำใจแล้วจึงผละออกบอกเสียงใส ตาเป็นประกายเจ้าชู้
“เสียชื่อเสียงกับเสียเวลา ผมจะชดเชยให้ทีหลัง วันนี้จ่ายค่าความรู้สึกไปก่อนละกัน รู้สึกรู้สามากๆ นะจ๊ะ ยายแมวอ้วน!”
เพราะกลัวตกรถปรีชญาณ์จึงไม่มีเวลาสืบสาวราวเรื่องกับมาริษานัก สำคัญกว่านั้นคือเธอมั่นใจว่าอย่างไรเสียมาริษาก็จัดการปัญหาได้ จากลักษณะภายนอกมาริษาอาจเหมือนสาวอวบอุ้ยอ้ายธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเธอเรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่ประถม และยังเป็นครูสอนไอคิโด ดังนั้นผู้ชายร่างใหญ่เพียงคนเดียวไม่คณนามือมาริษาหรอก และก็จริงดังคาด เพียงปรีชญาณ์ขึ้นรถที่จักรินทร์มาจอดรับ สายเรียกเข้าจากมาริษาก็ดังทันที
“เกิดอะไรขึ้นนังเหมียว มีเรื่องอะไรกัน แล้วตอนนี้แกปลอดภัยดีใช่ไหม” ปรีชญาณ์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ของจักรินทร์ที่เปิดสปีกเกอร์โฟนทิ้งไว้
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ทักทายอริเก่าเท่านั้น เออ...ย้ำกับนังจุ๊บด้วยนะว่าจอดที่ป้ายรถเมล์ป้ายที่ห้า จะได้ไม่คลาดกับไอ้คราม”
“ไอ้ครามมาเกี่ยวอะไรด้วย” ปรีชญาณ์อดถามไม่ได้ กับแค่หนีออกจากบ้าน มาริษาก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยการวางแผนซ้อนแผนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เริ่มจากให้เธอเปลี่ยนชุดเดิมออกเป็นชุดใหม่เพื่อพรางตัว รถยนต์ที่ขับมาก็ต้องจอดทิ้งเพื่อขึ้นคันใหม่ แล้วนี่ยังจะต้องมีการเปลี่ยนยานพาหนะกลางทางอีก
“ไอ้ครามมันจะมารับแกขึ้นรถเมล์ จากนั้นแกสองคนจะไปคลินิกพร้อมกัน”
“มากไปหรือเปล่ายะนังเหมียว ฉันแค่หนีออกจากบ้านนะแก ไม่ใช่ฆาตกรหนีออกจากคุก จะต้องหลบซ่อนอะไรนักหนา ไม่มีตำรวจตามสกัดฉันออกนอกเมืองหรอก และตามตรง...ฉันขึ้นรถเมล์ไม่เป็น แดดก็ร้อน ควันก็เยอะ สงสารเซเลบกระหม่อมบางอย่างฉันเถอะ”
“เอาสิ...ถ้าไม่ลงจากรถ แผนก็ไม่เริ่ม แกอยากกลับไปแต่งงานกับคุณมนต์ธัชก็ตามใจ”
พอโดนมาริษาทำเสียงแข็งใส่ ปรีชญาณ์ก็จำต้องยอม แต่พอวางสายแล้วก็ไม่วายบ่นเอากับคู่หูของมาริษา
“แกควรจะปรามนังเหมียวมันบ้างนะจุ๊บ บ้าหนังสืบสวนสอบสวนจนแยกชีวิตจริงกับฮอลลีวูดไม่ออกแล้ว มีอย่างที่ไหนคิดแผนหนีอย่างกับฉันเป็นโจรปล้นธนาคาร ฉันจะไม่แปลกใจเลยนะถ้าในแผนมีระเบิดภูเขาเผากระท่อมประกอบฉากด้วย”
ฟังการปะทะกันของสองสาวแซ่บประจำกลุ่มแล้วจักรินทร์ก็หัวเราะคิก เติมข้อมูลเพิ่มว่า “ไม่มีระเบิดภูเขาเผากระท่อมหรอกย่ะ แต่ขอบอกว่านี่ยังน้อย ตอนแรกนะนังเหมียวมันเตรียมเสื้อไว้ให้หล่อนใส่ทั้งหมดห้าตัว กะจะให้เปลี่ยนทุกๆ ครั้งที่เปลี่ยนรถเพื่อจะได้ไม่มีใครจำได้ แล้วยังเตรียมติดต่อเรือยาวกับสามล้อไว้ มันว่าคงเก๋ดีถ้าหล่อนจะไปถึงคลินิกด้วยแก๊งมอเตอร์ไซค์ผาดโผน”
“บ้าสิ! ถ้าทำตามสูตรมัน ฉันคงได้ไปเล่นหนังกับจา พนมแน่ๆ” ปรีชญาณ์บ่น แต่เพราะทุกอย่างตระเตรียมไว้หมดแล้วเธอจึงถอยหลังไม่ได้
ไม่ทันให้เธอได้คิดใคร่ครวญใดๆ ทั้งสิ้น จักรินทร์ก็เทียบรถกับฟุตพาทแล้วร้องเร่งให้เธอก้าวลงจากรถ
“ไป ลงไปได้แล้ว โชคดีเพื่อน”
ควันจากท่อไอเสียของจักรินทร์ยังไม่ทันสลายไป ปรีชญาณ์ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอดังขึ้น เงยหน้ามองก็พบว่าทิฆัมพรรออยู่แล้วบนรถประจำทางปรับอากาศคันใหม่เอี่ยม ถึงตอนนี้ปรีชญาณ์ก็ไม่อยากถามอีกแล้วว่าเพื่อนสาวมาได้อย่างไร และนัดแนะรถแบบไหน รถโดยสารประจำทางจึงได้จอดตรงเวลาขนาดนี้ ถือเสียว่าเป็นความสามารถพิเศษอันไม่ควรลอกเลียนแบบของมาริษา ซึ่งเธอตั้งใจแล้วว่าจบแผนนี้เมื่อไร เธอจะไม่ใช้บริการซ้ำ
“คนป่วยบอกว่ารู้จักผมหรือครับ”
บุริศร์ถามย้ำรอบที่สองเมื่อได้รับการยืนยันเชิงขอร้องให้ไปพบผู้ป่วยความจำเสื่อมรายหนึ่งที่คลินิกชานเมือง เพราะเธอคนนั้นจำได้เพียงชื่อของเขากับเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งเมื่อเขาตอบรับว่าชื่อบุริศร์จริง และเบอร์โทรศัพท์ที่โทร. มาก็เป็นของเขา นางพยาบาลก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเขาเป็นญาติของผู้ป่วย
“ค่ะ ทั้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่เธอบอกตรงกับข้อมูลของคุณทุกอย่าง แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลยนะคะ แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง”
พยาบาลบอกแล้วก็ยิ้มให้ บุริศร์จึงต้องยิ้มตอบออกไป ทั้งที่กำลังมึนงงเต็มแก่ ความจำเสื่อมแบบไหนกันนะ จำเรื่องของตัวเองไม่ได้เลย แต่กลับจำเรื่องเขาได้ ที่สำคัญคือเธอเป็นใคร เกี่ยวข้องอย่างไรกับเขา
“ทางนี้ค่ะ เธอฟักฟื้นอยู่ในห้องนี้” พยาบาลบอกแล้วพาเขาเดินเข้าไปที่เตียงด้านในสุดเพื่อหยุดลงตรงหน้าผู้หญิงรูปร่างโปร่งบางคนหนึ่ง
“พี่ริศร์” ใบหน้าขาวแดงเรื่อ ดวงตาเปล่งประกายความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อน้ำเสียงหวานใสนั้นเรียกเขาโดยไม่มีใครแนะนำ พยาบาลสาวทั้งสองคนก็หันมายิ้มให้แก่กันด้วยต่างเข้าใจว่าผู้ป่วยได้เจอญาติ มีเพียงบุริศร์ที่ยิ้มไม่ออกเพราะไม่คุ้นหน้า จึงยังยืนนิ่งดูท่าทีของคนป่วยก่อน
บุริศร์พินิจพิจารณาหญิงสาวเพื่อจะพบว่าเธอมีดวงตาเรียวรี ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดคล้ายมีเชื้อสายจีน ต่างกับเขาและญาติพี่น้องที่มีเครื่องหน้าคมเข้ม นัยน์ตาโต หน่วยตาลึก ผิวสองสี จากลักษณะภายนอกนี้บุริศร์เชื่อมั่นว่าเธอไม่ใช่ญาติ แต่หากเป็นเพื่อนหรือคนเคยรู้จักก็น่าจะคลับคล้ายคลับคลาบ้าง ไม่ใช่รู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า
“พอจะรู้จักเธอไหมคะ” พยาบาลถามเสียงเบาเมื่อเห็นว่าบุริศร์เขม้นมองนิ่งไม่พูดไม่จา
บุริศร์มองดวงหน้าหวานแล้วก็ไม่ตอบในทันที เลือกจะถามหญิงสาวว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อบุริศร์ครับ คุณชื่ออะไร”
บุริศร์อึ้งไปนิดเมื่อดวงตารีเรียวเปี่ยมหวังเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นผิดหวังตัดพ้อ นัยน์ตาคู่สวยมีหยาดน้ำตาคลอก่อนที่เธอจะเมินมองไปที่หน้าต่างด้วยท่าทีเซื่องซึม
“ฉัน...ฉันจำชื่อตัวเองไม่ได้ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร” เสียงตอบของเธอเบา ใบหน้านวลก้มลงต่ำจนคางแทบจะเกยอก
บุริศร์พยายามตัดอคติว่าเธอเป็นสิบแปดมงกุฎออกไป แต่ก็ยังคลางแคลงใจกับการกล่าวอ้าง
“ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากอุบัติเหตุค่ะ ทำให้เธอจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากชื่อของคุณกับเบอร์โทรศัพท์ ทางโรงพยาบาลสอบถามเรื่องอื่นๆ จากเธอหลายรอบแล้ว แต่เธอไม่สามารถตอบได้”
บุริศร์พยายามมองจ้องลงในดวงตาคู่สวยเพื่อหาความผิดปกติ ลับลมคมในหรืออะไรสักอย่างที่สื่อความว่าผู้หญิงตรงหน้าเสแสร้งแกล้งทำ ซึ่งเธอก็จ้องมองเขาตอบราวกับจะส่องกระจก
“พี่ริศร์จำฉันไม่ได้เหรอคะ” เธอถามแผ่วเบา เมื่อเขาส่ายหน้า ใบหน้างามก็หมองลง เธอหันไปสบตากับพยาบาลสาวแล้วตั้งคำถาม “ถ้าพี่ริศร์ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันจำเขาได้ยังไงคะ”
คำถามจากปากผู้ป่วยทำให้พยาบาลสาวหันไปหาบุริศร์แล้วเค้นถามอีกครั้ง “คุณไม่รู้จักเธอจริงๆ หรือคะ ลองมองดีๆ นะคะ เธออาจหน้าเปลี่ยน อย่างเช่นไปทำศัลยกรรมมาแล้วคุณจำหน้าเธอไม่ได้ก็ได้” ผู้รับบทพยาบาลพยายามโน้มน้าว
“ครับ ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย” บุริศร์ตอบอย่างมั่นใจ
เมื่อพยาบาลได้รับการยืนยันทั้งคำพูดและแววตาก็ยิ้มแหยก่อนขอตัวออกไปตามนายแพทย์เจ้าของไข้
บุริศร์กำลังมึนงงว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เขากำลังถูกหมอและพยาบาลกล่าวหาด้วยสายตาว่าเขาไม่รับผิดชอบ คนพวกนี้คงคิดว่าเขาจงใจปกปิดความสัมพันธ์ของเขากับผู้ป่วยรายนี้ เขาอยากหัวเราะทั้งที่ไม่ขำสักนิด เพียงเพราะคนไข้จำชื่อเขาได้ เขาก็กลายเป็นญาติของเธอแล้ว และทั้งที่เขาปฏิเสธความสัมพันธ์ทุกทางด้วยความสัตย์จริง แต่ก็ยังไม่วายถูกมองว่าเพิกเฉยต่อคนรู้จัก
“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหานะครับ ปัญหาคือผมไม่รู้จักเธอจริงๆ” บุริศร์ยืนยันอีกครั้งเมื่อนายแพทย์เจ้าของไข้พูดเป็นนัยเหมือนกับว่าค่ารักษาพยาบาลของคนป่วยนั้นทำเรื่องผ่อนจ่ายได้
“ขอโทษนะครับคุณชื่อ บุริศร์ เกษมราช ใช่ไหม” นายแพทย์ถามย้ำ
แต่ด้วยมารยาทเขาจึงตอบสุภาพว่า “ครับ นั่นคือชื่อและนามสกุลผม”
“เบอร์โทรศัพท์ของคุณคือ...ใช่ไหมครับ” เบอร์ที่ถูกต้องของเขาออกจากปากหมอ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเพราะพยาบาลติดต่อเขาได้เพราะเบอร์โทร. เหล่านี้
“ครับ” บุริศร์พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าคนไข้รู้จักคุณจริง” นายแพทย์ยกมือห้ามเมื่อบุริศร์จะพูดอะไรบางอย่าง “และถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็เข้าใจได้ว่าเธออาจจะรู้จักคุณฝ่ายเดียว”
บุริศร์ฟังแล้วจึงพยักหน้า มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
“ทีนี้ผมอยากให้คุณลองคิดหรือลองถามคนรู้จักดูว่ามีใครสักคนรู้จักเธอหรือไม่ บางทีเธออาจเป็นเพื่อนของเพื่อนคุณ หรือเป็นญาติห่างๆ ก็ได้”
บุริศร์นิ่วหน้าเพราะคำสันนิษฐานนั้น สรุปว่านายแพทย์ผู้นี้จะโยงให้เธออยู่ในความรับผิดชอบของเขาให้ได้ใช่ไหม
“ก็ได้ครับ ผมจะช่วยหาคนรู้จักให้เธอ แต่คงต้องใช้เวลาสักนิด” บุริศร์รับปากในที่สุด บอกตัวเองว่าเขาเคยช่วยคนตกทุกข์ได้ยากมาแล้วมากมาย แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกคนหนึ่งทำไมเขาจะช่วยไม่ได้ เขาจะช่วยกระจายรูปถ่ายของเธอไปทางสื่อออนไลน์ แล้วไม่นานคงมีญาติของเธอติดต่อมาเอง
“เกรงว่าทางคลินิกต้องรบกวนให้คุณเร่งดำเนินการด่วน หรือทางที่ดีก็ขอให้คุณรับเธอไปดูแล” นายแพทย์พูดในที่สุด โดยกล่าวอ้างว่าการที่เธอพักรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งนี้ก็ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งในความเห็นของแพทย์ ร่างกายของเธอหายเป็นปกติดีแล้ว สมควรกลับบ้านได้
“แต่ผมไม่สะดวกพาเธอไปอยู่ด้วย คือ...ผมอยู่คนเดียว เกรงว่าจะไม่เหมาะ” บุริศร์ตอบอย่างอึดอัดใจ ความที่เขาเป็นลูกคนเดียวและมีชีวิตโสดในรูปแบบของเขา ทำให้เขาไม่อยากมีใครเป็นภาระ เหนือกว่านั้นผู้หญิงคือสิ่งที่เขาพยายามห่างไกลให้มากที่สุด
“ทางเราก็ไม่รู้จะส่งเธอไปไว้ที่ไหน จะให้เธอไปอยู่สถานสงเคราะห์ก็เห็นใจว่าเธอปกติดีทุกอย่าง”
บุริศร์รับฟังความเห็นของหมอและคำแนะนำอีกมากมาย สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเขาจึงขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักครั้ง
ปรีชญาณ์บีบมือตัวเองแน่นระหว่างรอบุริศร์สนทนากับแพทย์เจ้าของไข้ ทั้งลุ้นว่าบุริศร์จะรับเธอไปอยู่ด้วยหรือไม่ และลุ้นว่าหมอเก๊ของมาริษาจะถูกจับได้หรือเปล่า อันที่จริงจะบอกว่าเป็นแพทย์ปลอมก็ไม่ถูกนักเพราะเขาเป็นถึงสัตวแพทย์ คิดถึงตรงนี้แล้วปรีชญาณ์ก็อยากจะบีบคอมาริษาที่ให้หมอหมามารักษาเธอ
...
‘ถึงไอ้ภพจะเป็นหมอหมา แต่มันก็คุ้นเคยกับศัพท์แพทย์และเครื่องมือทางการแพทย์นะยะ คิดเอาเองแล้วกันว่าระหว่างพี่วินมอเตอร์ไซค์ของนังจุ๊บกับไอ้ภพเพื่อนฉัน ใครจะแสดงเป็นหมอได้เนียนกว่า’
ใช่สิ...หมอภพแสดงได้แนบเนียนมาก จริงจังถึงขนาดจับเธอใส่สายน้ำเกลืออยู่นี่ไ งและยังกระซิบว่าจะฉีดยาบำรุงขนให้เธอด้วย!
ปรีชญาณ์ลุ้นระทึกเมื่อบุริศร์เดินตรงมา ใบหน้าเรียบเฉยของเขาทำให้ยากจะเดาว่าเขายินดีรับเธอไปอยู่ด้วยหรือไม่ บุริศร์เป็นคนใจดีมีเมตตาก็จริง แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาที่ตัดรอนคนอื่นอย่างไร้เยื่อใย ซึ่งเธอพร้อมจะยอมรับผลการตัดสินนี้
บุริศร์พินิจร่างโปร่งบางในชุดคนไข้อย่างใช้ความคิด ดวงตารีเรียวที่สานสบมานั้นมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลูกแก้วใส จมูกเธอเป็นสันสวยรับกับริมฝีปากบางเฉียบ เมื่อรวมกับผิวพรรณผุดผ่องและร่างบางระหง บุริศร์ก็พบว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เพียงแต่เขาไม่ใช่บุรุษที่มัวเมาในความงามของกายหยาบ เพราะงามกายนั้นมิเทียบเทียมงามใจ
“คุณมีความจำอะไรเกี่ยวกับผมบ้าง” บุริศร์ถามและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ สังเกตว่าเธอเป็นคนมีบุคลิกดีไม่น้อย จากการนั่งตัวตรง ยืดบ่าผึ่งผาย และกล้าประสานสายตา
“อย่าเรียกว่าความจำเลยค่ะ เพราะคุณคือภาพจำที่เห็นได้แจ่มชัดแม้ว่าจะหลับตา ฉันจำคุณทั้งใบหน้า ท่าทาง รอยยิ้ม และแววตา บางทีสมองอาจคัดเลือกแล้วว่าจะจดจำสิ่งที่สำคัญมากที่สุด” บอกออกไปอย่างซื่อตรงแล้ว ปรีชญาณ์ก็ช้อนตามองบุริศร์อย่างเปิดเปลือยหัวใจ ริมฝีปากบางเผยอพริ้มยิ้มหวานพร้อมจะปริคำว่า ‘รัก’ ออกไป แต่ต้องชะงักเพราะถูกตั้งคำถามว่า
“แล้วนอกจากผมล่ะ จำใครได้อีกไหม”
เห็นท่าทีเคร่งขรึมจริงจังของบุริศร์แล้ว ปรีชญาณ์ก็แสนจะอ่อนอกอ่อนใจ กระชากหนูเปรียวออกจากโหมดโรแมนติกได้หน้าตาเฉยเลยนะพี่ริศร์!
“ฉันจำได้แค่ชื่อของพี่กับเบอร์โทรศัพท์ค่ะ นอกเหนือจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย แต่คุณหมอบอกว่าถ้าได้อยู่ในที่คุ้นเคย กับพบเจอคนรู้จักบ่อยๆ ความจำจะค่อยๆ กลับมา”
บุริศร์ถอนหายใจบางเบา หนักใจว่าเขาควรทำอย่างไรกับผู้หญิงตรงหน้า จะไม่ไยดีก็ผิดวิสัย แต่จะช่วยเหลือด้วยการพาไปพักที่บ้านก็ตะขิดตะขวงใจ อย่างไรเสียเธอก็คือคนแปลกหน้า
“คุณหมอก็แนะนำผมอย่างนั้นเหมือนกัน เขาอยากให้ผมช่วยฟื้นความจำให้คุณ” บุริศร์พูดพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวรีมีแววยินดีปรากฏวาบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหลุบตาลงต่ำแล้วยกมือบางขึ้นกรีดหางตา
“แต่พี่ริศร์ไม่รู้จักฉันไม่ใช่หรือคะ ฉันเป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับพี่เท่านั้น แค่พี่ยอมมาพบฉัน ฉันก็เกรงใจมากแล้วค่ะ ไม่กล้าหวังให้พี่รับฉันไปดูแลหรอก” ปั้นคำเจียมเนื้อเจียมตัวออกไปแล้ว ปรีชญาณ์ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเพราะยาหม่องที่ใช้ป้ายตา รอจนน้ำตารื้นแล้วจึงกะพริบถี่สองครั้งให้หยาดน้ำใสกลิ้งตัวลงมา ไม่เสียแรงที่ซ้อมฉากนี้เป็นสิบครั้ง
บุริศร์ทำหน้าไม่ถูกเมื่อหลายคนในห้องพักผู้ป่วยหันมองเขากับหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาใคร่รู้ ยิ่งเมื่อเธอสูดน้ำมูกพลางเช็ดน้ำตาพลาง คนในห้องก็ส่งสายตาประณามราวกับเขาเป็นผู้ก่อการร้าย
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิคุณ อย่าเพิ่งร้องไห้” บุริศร์เตือนเสียงเบา ก่อนจะถอนหายใจเมื่อคำเตือนนั้นกระตุ้นให้น้ำตาร่วงเผาะแล้วเผาะเล่าไล้แก้มนวล “เช็ดน้ำตาแล้วตั้งสติเสียที ได้โปรดเถอะ” บุริศร์บอกเสียงเบาพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มให้ ทันทีที่เขาเมินมองไปทางอื่น ปรีชญาณ์ก็ลอบพรมจูบลงบนผ้าเช็ดหน้าเสียอย่างนั้น
“หมอคิดว่าคุณอาจเป็นคนรู้จักของใครสักคนที่ผมรู้จัก” บุริศร์กลับเข้าประเด็นเดิมเมื่อปรีชญาณ์หยุดร้องไห้
“แล้วถ้าไม่มีใครสักคนรู้จักฉันล่ะคะ พี่ริศร์จะทำอย่างไรต่อไป”
“ก็คงต้องดูว่าตอนนั้นคุณจะจำใครหรืออะไรได้บ้าง และช่วยเหลือตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน “บางที...ผมอาจให้คุณไปอยู่กับคนรู้จักของผมที่สำนักปฏิบัติธรรม”
คำตอบตรงไปตรงมาของบุริศร์ทำให้ปรีชญาณ์หลุบตาลงต่ำ ในความเจ้าเล่ห์เพทุบายยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องมารับรู้ว่า บุริศร์จำเธอไม่ได้สักนิด และไม่คิดจะรื้อฟื้นความทรงจำเลยด้วย
“ฉันรู้ค่ะว่ากำลังทำให้พี่ริศร์ลำบากใจ แต่...ฉันเองก็อยากได้ความทรงจำคืนมาเหมือนกัน และพี่ก็เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้ฉันฟื้นความทรงจำได้ นะคะ ขอฉันไปอยู่กับพี่สักพัก สักสัปดาห์เดียวก็ได้” ปรีชญาณ์ดึงเข้าบทดรามาพลางสังเกตท่าทีของบุริศร์ เมื่อเห็นว่าเขายังคงทอดตามองเธอเงียบๆ อย่างครุ่นคิด ปรีชญาณ์ก็วางไพ่ใบสุดท้าย
บุริศร์ถึงกับสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มือนุ่มก็เกาะกุมมือของเขาไว้ แววตาออดอ้อนคาดหวังที่สบประสานนั้มานทำให้เขาชะงักงันเพราะรู้สึกคุ้นใจ เพียงแค่คิดไม่ออกว่าเคยเห็นท่าทางแบบนี้ที่ไหน เธอคือใครกันแน่
“ช่วยฉันด้วยนะคะพี่ริศร์ ฉันสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหา จะไม่เป็นภาระของพี่เด็ดขาด นะคะ อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่”
“ปล่อยผมก่อน”
เสียงบอกเรียบกริบกับการดึงมือออกอย่างสุภาพของบุริศร์ทำให้ปรีชญาณ์หน้าม้าน ถึงจะไม่ใช่คำปฏิเสธตรงๆ แต่ท่าทีเฉยชาไว้ตัวก็ชัดเจนว่าบุริศร์ไม่สนใจ เธอไม่เคยอยู่ในสายตาเขาอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เธอควรยอมรับเมื่อผลลัพธ์ของความพยายามเท่ากับศูนย์
บุริศร์ลุกขึ้นยืนในจังหวะเดียวกับที่ปรีชญาณ์ยืนขึ้นเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนประสานสายตากัน ปรีชญาณ์ยิ้มแห้งแล้งราวกับดอกไม้ถูกแดดเผา น้ำเสียงที่บอกนั้นแม้จะเศร้า แต่ก็แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่รบกวน และขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่ามาพบกัน ขอบคุณจากใจและสวัสดีค่ะ”
บุริศร์มองขอบตาแดงเรื่อกับริมฝีปากสั่นระริกของหญิงสาวแล้วถอนหายใจบางเบาออกมา ตัดสินใจบอกออกไปว่า “ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ในบ้านคนเดียว ถ้าคุณจะไปด้วย เราก็จำเป็นต้องอยู่กันตามลำพัง คุณควรรู้เรื่องนี้ก่อน” บุริศร์แต้มยิ้มบางเมื่อหญิงสาวมองเขางงๆ คล้ายไม่เข้าใจนัก “ถ้าคิดว่าอยู่ได้ก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากับเก็บของใช้ส่วนตัวครับ ผมจะไปจัดการค่าใช้จ่ายให้”
ปรีชญาณ์ประมวลผลอยู่อึดใจก็น้ำตาไหลออกมา แต่ครั้งนี้เป็นการร้องไห้พร้อมกระโดดโลดเต้นจนน่าห่วงว่าสายน้ำเกลือจะหลุด “พี่ริศร์ใจดีจัง” ปรีชญาณ์บอกด้วยรอยยิ้มหวานหยดที่ออกมาจากใจ ถ้าไม่เกรงใจหน้าเคร่งๆ ของเขา เธอจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาให้สาแก่ใจ โทษฐานที่ทำให้เธอเสียน้ำตา
บุริศร์ยิ้มแกนๆ ตอบ แย้งในใจว่าเขาไม่ใช่คนใจดีอะไรเลย เคยเป็นคนใจดำ ไม่มีหัวใจเสียด้วยซ้ำ มองร่างบางกระวีกระวาดเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วบุริศร์ก็ปลอบใจตัวเองว่าการพาผู้หญิงตรงหน้าไปพักฟื้นที่บ้านก็ไม่ต่างอะไรจากเมื่อครั้งที่เขาเคยช่วยแมวบาดเจ็บเอาไว้ พอแข็งแรงดีเมื่อไร แมวหลงทางก็จะกลับบ้านไปในที่สุด
ความคิดเห็น |
---|