5

บทที่ 4 ช้าๆ ได้ผู้ชายใจงาม

4

ช้าๆ ได้ผู้ชายใจงาม


ปรีชญาณ์กวาดสายตามองรอบบ้านด้วยความพึงพอใจ บ้านของบุริศร์เป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่อายุเกินสิบปี แต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดูจากตัวบ้านที่เพิ่งทาสีใหม่และสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งสม่ำเสมอ เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านส่วนใหญ่ทำจากไม้ แม้จะโปร่งโล่ง ตกแต่งด้วยหลักน้อยแต่มาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีรายละเอียดยิบย่อยซ่อนอยู่ ตามตู้กระจกตั้งโชว์มีสิ่งละอันพันละน้อยที่คงไม่มีค่านักในสมัยเก่า แต่เมื่อวันเวลาช่วยขัดเกลา สัญลักษณ์แห่งความทรงจำเหล่านั้นก็มากค่าขึ้นมา

“งานอดิเรกของแม่ผมเอง ท่านชอบสะสมงานกระเบื้อง เซรามิก โลหะเก่าๆ บางชิ้นก็ซื้อเพราะชอบ บางชิ้นก็ได้มาจากของที่ระลึกในงานต่างๆ และมีไม่น้อยที่เป็นของฝาก” เสียงบุริศร์บอกมาเมื่อเห็นว่าปรีชญาณ์หยุดอยู่หน้าตู้เก็บจานรองแก้วและตุ๊กตาเซรามิกนิ่งนาน 

จากเงากระจกปรีชญาณ์เห็นว่าร่างสูงใหญ่ของบุริศร์ยืนเยื้องเธอไปไม่มากนัก เงาทาบทับสร้างความรู้สึกชิดใกล้ จนทำให้เธอโหยหาวันเวลาเก่าๆ จะดีเพียงใดหากเขาจำเธอได้ หากเขาทักทายเธอด้วยไมตรีดังเดิม แต่...ไม่ใช่เพียงบุริศร์ไม่รู้ แต่เขาไม่เอะใจ ไม่จดจำเธอไว้เลยต่างหาก คิดเพียงเท่านี้ปรีชญาณ์ก็ฝืนยิ้มออกมา ปั้นแววตาใสแจ๋วถามเขาในเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่

“แม่ของพี่ริศร์ไม่ได้อาศัยที่นี่หรือคะ” 

จากการสืบเสาะหาข้อมูลของมาริษาทำให้เธอทราบแล้วว่าบ้านนี้มีเขาอยู่เพียงลำพัง ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปรีชญาณ์ตัดสินใจทำตามแผนของมาริษา ด้วยเธอไม่อยากหลอกลวงผู้ใหญ่ และกลัวว่าจะเผลอแสดงพิรุธ

“ไปๆ มาๆ ครับ ตอนนี้ท่านไปเยี่ยมคนรู้จักที่สุราษฎร์ ซึ่งผมได้แจ้งคุณแล้วล่วงหน้าว่าผมอยู่คนเดียว” 

เพราะความเคร่งขรึมของคนตรงหน้าแท้ๆ เชียวที่ทำให้ปรีชญาณ์เกิดความหมั่นไส้ขึ้นมา ย้ำอยู่นั่นละว่าอยู่คนเดียว อยู่คนเดียว อยากให้เรากลัวละสิท่า นี่ถ้าไม่ห่วงว่าไก่จะตื่นเสียก่อน จะลอยหน้าบอกให้รู้เลยว่า ‘ปล้ำไม่กลัว กลัวไม่ปล้ำ’

“ฉันจำได้ค่ะว่าพี่ริศร์อยู่คนเดียว แล้วก็...เชื่อใจพี่ริศร์ค่ะ แต่ย้ำบ่อยแบบนี้ก็เริ่มระแวงแล้วเหมือนกัน” บอกด้วยรอยยิ้มหวานแล้วปรีชญาณ์ก็ทำเป็นไม่เห็นว่าบุริศร์หน้าเครียดทันควัน ลอบยิ้มขันว่าสิบสองปีที่แล้วหัวโบราณอย่างไร ปัจจุบันเขาก็ยังคร่ำครึอยู่อย่างนั้น น่ารักเหลือเกินพี่ฤๅษี

เพราะคิดเพลินปรีชญาณ์จึงก้าวขึ้นบันไดไปชั้นสองโดยไม่รู้ตัว แต่ก้าวได้เพียงสามขั้น เสียงห้าวเรียบกริบก็เตือนว่า “ด้านบนเป็นพื้นที่ส่วนตัว ผมขอสงวนสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปครับ ห้องนอนของคุณอยู่ชั้นล่าง มีห้องน้ำในตัวเรียบร้อย”

ได้ยินคำว่า ‘ส่วนตัว’ แล้วปรีชญาณ์ก็เม้มริมฝีปากแน่น ความน้อยอกน้อยใจที่พยายามเก็บซ่อนพากันกระโจนออกมาทางสีหน้า เรื่องจำเธอไม่ได้ก็ว่าร้ายแล้วนะ แต่ถึงกับกีดกันเธอไว้เป็นคนนอกนี่มันน่าจับมาทำความสนิทสนมให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ 

“โอ...ขออภัยค่ะ ขาของฉันมันทำไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีเจตนาละลาบละล้วงเลย” ยิ้มฝืนๆ บอกไปแล้ว ปรีชญาณ์ก็ได้แต่ท่องคาถาประจำใจ ‘ช้าๆ ได้ผู้ชายใจงาม’ ปลอบตัวเองให้ตามแผนไปก่อน เอาเถอะ เรื่องอื่นแย่ไม่เป็นไร ขอแค่น้ำจิตน้ำใจยังดีงามเหมือนเดิมก็พอแล้ว พี่บุริศร์ของหนูเปรียว!


เมื่อเกินกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วหญิงสาวยังไม่ออกมาจากห้อง บุริศร์ก็เกิดความกังวลขึ้นมา ความเข้าใจว่าเธอเป็นคนป่วยทำให้เขาอดห่วงไม่ได้ว่า เธออาจหน้ามืดเป็นลม หรือวิงเวียนศีรษะ จึงตัดสินใจเคาะประตูเรียกในจังหวะเดียวกับที่คนข้างในเปิดประตูออกมา บุริศร์พบว่าร่างโปร่งบางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ

“...” สายตาของเขาตั้งคำถามแทนปาก 

บอกอ้อมแอ้มว่า “ฉันจะล้างเท้า แต่เปิดก๊อกผิด น้ำจากฝักบัวเลยรดตัว แล้วพอฉันจะปิด ก๊อกก็หลุดออกมา และตอนนี้น้ำก็ไหลไม่หยุดเลยค่ะ” 

บุริศร์เผลออุทานอะไรสักอย่างแล้วตรงเข้าไปในห้องน้ำ สถานการณ์ตรงตามที่เธอบอกทุกอย่าง บุริศร์จึงพยายามปิดก๊อกน้ำแต่ก็พบว่ามันชำรุดไปแล้ว สุดท้ายเขาจึงวิ่งออกไปหน้าบ้านเพื่อปิดวาล์วน้ำใหญ่ กว่าเหตุการณ์ชุลมุนจะจบลง บุริศร์ก็พบว่าตัวเขาเองก็เปียกปอนไม่แพ้เธอ

บุริศร์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพยาบาลเล่าว่าผู้หญิงตรงหน้าโดยสารรถตู้ประจำทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วประสบอุบัติเหตุ ข้าวของและเอกสารสำคัญของเธอหายไปทั้งหมด มีเพียงกระเป๋าเป้ใบเล็กใส่ของกระจุกกระจิกเท่านั้น และนั่นก็ทำให้เขาพบข้อแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับแมวว่า แมวไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้า แต่ผู้หญิงต้องสวมใส่ และคงดีไม่น้อยถ้าเสื้อผ้าที่เธอสวมจะปกปิดมิดชิด

“รอเดี๋ยวนะ ผมจะลองหาเสื้อผ้าของแม่มาให้คุณผลัดเปลี่ยน” บอกแล้วบุริศร์ก็รีบหันหลังเดินดุ่มขึ้นไปยังห้องนอนของผู้เป็นมารดา แต่พบว่าชุดลำลองส่วนใหญ่มีเนื้อผ้าบางเบา หรือไม่ก็เป็นเสื้อลูกไม้ลายฉลุที่ไม่เหมาะต่อการสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง ส่วนชุดนอนนั้นก็ตัวใหญ่และคอกว้างมากเกินไป เมื่อไม่มีทางเลือกบุริศร์จึงต้องไปที่ห้องของตัวเองแล้วหยิบเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มตัวยาวมาให้เธอ

ด้วยคิดไปเองว่าหญิงสาวยังคงรอเขาอยู่ในสภาพชุดเปียก และเพราะเนื้อใจบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความห่วงใย บุริศร์จึงไม่ได้เอะใจว่าประตูห้องที่เขาเปิดทิ้งไว้ตอนขาไปขณะนี้กลับปิดสนิท มือเรียวแข็งแรงคว้าลูกบิดเปิดประตูห้องนอนของแขกออกเพื่อส่งเสื้อผ้าให้ 

“ใส่ชุดนี้ก่อนได้...”

เสียงพูดค้างคล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่หลอดลม พร้อมกันนั้นบุริศร์ก็รู้สึกเหมือนเลือดที่หมุนเวียนในร่างกายทวีองศาจนร้อนไปหมด น่าจะแค่เสี้ยววินาที หรือหากนานกว่านั้นก็ไม่เกินสิบวินาทีที่สติไม่ทำงาน แต่เพียงใจตื่นรู้ บุริศร์ก็ตัดสินใจปิดประตูบานนั้นลงพร้อมถอนหายใจหนักๆ กำชับกำชากับตัวเองว่า ‘ห้ามเปิดประตูบานนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก’

ใช้สองมือลูบหน้าเพื่อลบภาพแผ่นหลังเปลือยเปล่าขาวนวลเนียนออกจากความทรงจำแล้วบุริศร์ก็ตะโกนบอกคนในห้องด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเรียบปกติ “ขอโทษที่เปิดประตูโดยพลการ ถ้าไม่รังเกียจก็สวมเสื้อผ้าผมก่อนนะ ผมวางไว้ให้แล้วที่หน้าห้อง และตอนเย็นผมจะพาคุณไปหาซื้อชุดใหม่”

เสียงห้าวที่ตะโกนพูดเร็วปรื๋ออยู่หน้าห้องทำให้ปรีชญาณ์ต้องปิดปากกั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดออกมา อ๊ะๆ อย่าใส่ร้ายกันเชียวนะ เธอยังไม่เก่งกาจถึงขนาดทำท่อประปาแตกได้ด้วยมือเปล่าหรอก ของมันจะพังเองบวกกับเหตุการณ์พาไปมากกว่า ก็ใครจะไปคิดว่าเขาจะเดินกลับมาไวขนาดนั้น แถมไม่รู้จักเคาะประตูอีกด้วย แต่เอาละ...จะสารภาพนิดก็ได้ว่าเธอได้ยินตอนเขาบิดลูกบิดเปิดประตูแล้ว แต่ที่ยังยืนโชว์แผ่นหลังขาวๆ ก็เพราะอยากทดสอบอะไรบางอย่าง หากจะติดเรตไปนิด แก่นซ่าไปบ้าง ก็โปรดจงอภัยนะคะคุณฤๅษี


เหตุการณ์ในช่วงบ่ายสร้างความอิหลักอิเหลื่อให้กับบุริศร์มากพอดู ยิ่งเมื่อต้องเดินวนรอบห้างสรรพสินค้าโดยมีจุดมุ่งหมายเป็นเสื้อผ้าหลากชนิดของผู้หญิง บุริศร์ก็พบความจริงข้อที่สอง นั่นคือผู้หญิงต้องสวมเสื้อผ้า และเสื้อผ้าของผู้หญิงก็มีมากชิ้น มากชนิดจนน่าเวียนหัว โดยเฉพาะอาภรณ์ชิ้นบางๆ ที่เรียกขานกันในนาม ‘ชุดชั้นใน’

ปรีชญาณ์มองเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสลับกับมองหน้าบุริศร์ และเมื่อเขาพยักพเยิดให้เธอเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า หญิงสาวก็กระซิบบอกเสียงเบา “แค่ชุดเดียวก็พอมั้งคะ คือ ฉัน... ”

บุริศร์เห็นท่าทีของหญิงสาวแล้วก็ส่งยิ้มอารีให้ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก เลือกซื้อไปให้พอใช้ แล้วดูชุดนอนผ้าหนาๆ ติดไปด้วยสักสองชุด”

ปรีชญาณ์รีบโบกมือ แล้วแก้ว่า “ไอ้เกรงใจฉันก็เกรงใจอยู่หรอกค่ะ แต่ที่จะให้ซื้อชุดแขนยาวชุดเดียวเนี่ย เป็นเพราะฉันคิดว่าเสื้อกับกางเกงพวกนี้ไม่เหมาะกับสภาพอากาศ ถ้าจะกรุณา ฉันขอเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสั้นสักสามชุดนะคะ”

ปรีชญาณ์ยิ้มออกเมื่อบุริศร์พยักหน้า แต่รอยยิ้มก็จืดจางลงเมื่อเขาเดินไปหยิบเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงเจ็ดส่วนขากระบอกมาส่งให้ เห็นแล้วขัดตาขัดใจสาวแฟชั่นนิสตาเป็นที่สุด ซึ่งอาการหน้างอทำปากคว่ำของเธอนี่เองที่ทำให้บุริศร์อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นราวกับเทศนา

“ถึงเราจะบริสุทธิ์ใจในการอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ด้วยเพศสภาพที่แตกต่างทำให้เราต้องสำรวมกาย วาจา และใจให้มากครับ ซึ่งการนุ่งห่มมิดชิดจะเหมาะสมกว่า และอยากให้เข้าใจว่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมีไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันการอุจาดตาเท่านั้น หากต้องการความโก้เก๋ตามสมัยนิยม ผมคงไม่สะดวกสนับสนุน” 

ปรีชญาณ์เกือบจะยกมือขึ้น ‘สาธุ’ ดีว่ายั้งไว้ทัน ยิ้มจืดเจื่อนตามคำแนะนำแล้วมือบางก็รับกางเกงที่บุริศร์เลือกให้มาใส่ตะกร้า ก่อนจะหยิบเสื้อยืดตัวโคร่งใส่ตามลงไป และไม่ลืมคว้ากระโปรงยาวกรอมเท้ากับเสื้อแขนสามส่วนเพิ่มอีกชุด มองเสื้อผ้าในตะกร้าแล้ว หญิงสาวก็หายใจเข้าลึก 

มิดชิดกว่านี้ก็แม่ชีแล้วละ!

“ผมไปรอตรงนั้นนะ เลือกเสร็จแล้วให้พนักงานมาเก็บเงินที่ผมละกัน” 

ปรีชญาณ์ยืนงงเพราะเมื่อพูดจบบุริศร์ก็เดินดุ่มออกไป ก่อนจะเริ่มเข้าใจเมื่อหันไปเห็นว่าตรงหน้าเธอคือแผนกขายชุดชั้นในที่มีให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์ และหลากสีสัน ชะเง้อมองร่างสูงที่หนีไปยืนรอในร้านหนังสือแล้วปรีชญาณ์ก็หรี่ตา ยิ้มร้าย

... 

“คุณบุริศร์คะ คุณผู้หญิงให้มาเชิญค่ะ”    

บุริศร์ที่เดินเตร่อ่านหนังสือในร้านหนังสือนานกว่าครึ่งชั่วโมงหันตามคำเรียก คนที่ยืนตรงหน้าเขาคือพนักงานขายวัยกลางคน แต่ก่อนที่บุริศร์จะสอบถาม ฝ่ายนั้นก็ชี้มือไปที่ร้านจำหน่ายชุดชั้นในแทนการบอกว่าเธอเป็นพนักงานขายที่ร้านนั้น

“อ้อ...ครับ เท่าไรครับ” ถามพลางหยิบบัตรเดบิตจะส่งให้ จงใจทำเหมือนไม่ได้ยินคำบอกว่าหญิงสาวต้องการให้เขาไปพบ

“ยังไม่ได้คิดเงินค่ะ คุณผู้หญิงให้มาเชิญคุณไปที่ร้านก่อน”

บุริศร์นิ่วหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ไม่ทันได้สอบถามเพิ่ม พนักงานวัยห้าสิบกว่าก็รีบเดินจ้ำกลับไปยังชอปของตัวเอง เป็นเหตุให้คนที่ตั้งมั่นว่าจะไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ร้านจำหน่ายชุดชั้นในสตรีต้องเสียความตั้งใจ

เดินมาหยุดกลางชั้นแขวนชุดชั้นในสารพัดสีแล้วบุริศร์ก็พยายามจะรักษาระดับสายตาให้สูงเข้าไว้ กำหนดลมหายใจประกอบไม่ให้ไขว้เขวไปกับความบางเบาของผ้าลูกไม้และดีไซน์เย้ายวน

“เธออยู่ไหนครับ” บุริศร์ถามเสียงขรึม กวาดตามองหาหญิงสาวไปทั่วร้าน

“คุณผู้หญิงน่าจะอยู่ในห้องลองชุดค่ะ แต่เธอเลือกแล้วว่าต้องการแค่นี้ก่อน” แค่นี้ของพนักงานขายคือชุดชั้นในหลากสีสันเจ็ดชุดเจ็ดวัน และปรีชญาณ์ยังกำชับกำชาให้พนักงานขายวางซีทรูสีแดงเพลิงเทินไว้ด้านบนเพื่อยั่วอีกฝ่าย ซึ่งเมื่อบุริศร์เห็นก็รีบตวัดสายตาไปทางอื่นแล้วบอกเสียงขรึม

“ถ้าเขาเลือกครบแล้วก็คิดเงินเลยครับ” พูดจบบุริศร์ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ของตนเองออกมา คาดหวังให้การซื้อขายครั้งนี้จบลงให้เร็วที่สุด

“ทั้งหมดราคาสี่พันห้าร้อยเจ็ดสิบห้าบาทค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานบอกราคาเพียงหนึ่งในสามของทั้งหมดตามที่ตกลงกับปรีชญาณ์ไว้ โดยปรีชญาณ์ใช้บัตรเดบิตที่มาริษาให้ไว้ชำระส่วนต่าง ถึงบุริศร์จะมีเงินเดือนสูงเพราะเป็นพนักงานระดับผู้บริหาร แต่ปรีชญาณ์ไม่อยากรบกวนเขามากนัก เธอตั้งใจว่าเมื่อครบกำหนดสามเดือนแล้วจะจ่ายเงินคืนให้บุริศร์ทุกบาททุกสตางค์

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”

บุริศร์มองถุงใส่ชุดชั้นในในมือพนักงานอึ้งๆ ก่อนจะหายใจเข้าลึกเมื่อพนักงานขายส่งถุงให้เขาอีกครั้ง ดวงตาคมดุหรี่มองถุงพลาสติกพิมพ์ยี่ห้อชุดชั้นในแล้วเพียรบอกตัวเองว่าเครื่องนุ่งห่มคือปัจจัยสี่ของมนุษย์ และเขากำลังสงเคราะห์ให้ใครคนหนึ่งมีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย และชุดชั้นในก็เป็นรสนิยมส่วนบุคคลที่ไม่ควรก้าวก่ายแสดงความคิดเห็น

ปรีชญาณ์ที่แอบดูอยู่หัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อเห็นว่าบุริศร์รับถุงใส่ชุดชั้นในไปถือด้วยสีหน้าเครียด ถึงจะไม่มีอาการหงุดหงิดให้เห็น แต่ปรีชญาณ์ก็เชื่อว่าเขาคงอยากโยนถุงชุดชั้นในของเธอทิ้งเต็มแก่ ยิ่งเมื่อกลุ่มนักศึกษาสาวเดินเข้ามาในร้านแล้วพากันมองเขาพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใบหน้าคมเข้มก็ยิ่งทวีความดุ

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ” ปรีชญาณ์ตีหน้าซื่อขออภัย แต่ลับหลังบุริศร์นั้นเธอยิ้มเย้ยใส่บรรดาสาวๆ ที่มองเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน เหลือซื้อของใช้อีกสองสามอย่างก็จะเสร็จแล้ว” พูดแล้วบุริศร์ก็ก้าวยาวๆ ออกจากร้าน เดินเร็วราวกับกลัวว่าพนักงานสาวจะมาตามเข้าไปในนั้นอีก

“ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คนอื่นๆ เข้าใจพี่ผิด คือ...ฉันเห็นว่าราคาค่อนข้างสูง เลยอยากให้พี่ทราบก่อนจ่าย” เมื่อเร่งฝีเท้ามาทันบุริศร์ ปรีชญาณ์ก็บอกเสียงอ่อย ทั้งที่ในใจกำลังลิงโลดด้วยความพึงพอใจ เพราะพนักงานคิดว่าเธอกับบุริศร์เป็นคู่สามีภรรยา

“อย่าคิดมาก ก่อนตกลงรับคุณมาอยู่ด้วย ผมก็ทำใจแล้วว่าจะต้องมีคนเข้าใจผิด เอาเป็นว่าเรารู้ตัวเองก็พอว่าต่างอยู่ในสถานะไหน และที่ผมช่วยคุณ ผมก็ช่วยโดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ ต่อให้เป็นเด็ก คนแก่ หรือกระทั่งหมาแมวจรจัด หากช่วยสงเคราะห์ได้ผมก็ยินดีทำ”

ปรีชญาณ์อ้าปากค้างเมื่อถูกนำไปเทียบกับแมว จากที่เดินตัวปลิวราวกับมีแก๊สวิเศษอัดในอก ก็กลายเป็นเดินลากเท้าหนักอึ้งไปทั้งใจ แต่คนข้างตัวอย่างบุริศร์ไม่ละเอียดอ่อนพอจะจับสังเกต ยังคงตั้งใจพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเนิบเป็นงานเป็นการ

“วันจันทร์ถึงศุกร์ผมต้องไปทำงาน คงไม่มีเวลาดูแลคุณนัก แต่ถ้าขาดเหลืออะไร คุณสามารถบอกกับน้าพิณที่อยู่ข้างบ้านเราได้ เอาไว้กลับถึงบ้านแล้วผมจะพาไปแนะนำอีกที ส่วนเรื่องความทรงจำของคุณ ผมคิดว่าวันเสาร์นี้จะพาไปตรวจที่โรงพยาบาล เผื่อหมอจะมียาหรือวิธีฟื้นความทรงจำที่เร็วขึ้น คุณจะได้กลับบ้าน ป่านนี้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ของคุณคงเป็นห่วงแย่แล้ว” 

บุริศร์หยุดพูดเมื่อก้าวออกจากประตูห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง ส่วนหญิงสาวเจ้าปัญหานั้นยังคงเดินตาลอยอยู่ “คุณ” บุริศร์เรียกเสียงเข้มจากด้านหลัง และเมื่อปรีชญาณ์ยังคงเดินห่างออกไป เขาก็เร่งฝีเท้า “คุณจะไปไหน หยุดก่อน” เสียงห้าวดังจนคนในห้างพากันหันมา ยกเว้นปรีชญาณ์ที่ถูกเรียก เมื่อเรียกเท่าไรก็ไม่มีทีท่าจะได้ยิน บุริศร์ก็ตัดสินใจคว้าแขนหญิงสาวไว้และยื้อให้หยุด

“คุณ... ไม่ได้ยินที่ผมเรียกหรือไง เป็นอะไรหรือเปล่า”

ปรีชญาณ์กะพริบตาถี่ อยากบอกใจจะขาดว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่เธอกำลังงอนและน้อยใจมากๆ ต่างหาก เคยเห็นแต่พระเอกตะลึงโฉมนางเอกจนนำไปเปรียบกับดอกไม้หรือพระจันทร์ เพิ่งมีอีตาบุริศร์นี่ละที่เปรียบเธอเป็นหมาแมว

อาการฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าแต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาของปรีชญาณ์ทำให้บุริศร์ตีความตามที่เข้าใจแล้วเปรยขึ้นว่า “ระหว่างที่คุณจำอะไรไม่ได้ เรามาตั้งชื่อให้คุณใหม่ดีไหม เวลาผมเรียกคุณ คุณจะได้หันมา” 

    ปรีชญาณ์ยิ้มบาง พยายามตอบโดยไม่ใส่อารมณ์ลงไปว่า “ใช้ชื่อเดียวกับหมาแมวจรจัดที่พี่ริศร์เคยเลี้ยงไว้ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระให้พี่ริศร์ต้องคอยจดจำ” 


ผู้อ่านนิยายจะคาดหวังอะไรบ้างเมื่อรู้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาหญิงชายอยู่ร่วมชายคากันเพียงสองต่อสอง อย่างหวานแหววพาฝันก็ต้องต่างฝ่ายต่างนอนไม่หลับแล้วพากันนั่งมองแสงจันทร์ หรือหากร้อนแรงอีกนิด พระเอกต้องหน้ามึน ตีขลุมยัดเยียดตัวเองเข้ามานอนร่วมเตียงกับนางเอก และแม้ว่าผู้อ่านจะไม่คาดหวังอะไรเลย แต่นางเอกอย่างปรีชญาณ์วาดฝัน เธอหวังจะได้รับความห่วงใยของบุริศร์ผ่านทางผ้าห่มอุ่น แล้วบอกราตรีสวัสดิ์เขาอย่างอ่อนหวาน ไม่ใช่กินข้าวมื้อค่ำเสร็จแล้วเขาก็ปลีกตัวเข้าห้องพระไปอย่างนี้!

“ไงยะหล่อน มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง รายงานมาให้ละเอียด ห้ามเซ็นเซอร์ ห้ามตัดตอน ขอจัดเต็มทุกฉากทุกเม็ดเลยนะจ๊ะ”เสียงแปร๋นของจักรินทร์ดังผ่านโทรศัพท์เครื่องเล็กที่ปรีชญาณ์ซ่อนไว้ ดูจากจอโทรศัพท์ จักรินทร์กับมาริษาอยู่ด้วยกัน ส่วนทิฆัมพรไม่ได้เข้าร่วมสนทนา

“แผนแรกประสบความสำเร็จดีมาก ฉันได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคากับพี่ริศร์แล้ว และอยู่กันสองต่อสองตามที่ไอ้เหมียวสืบมาทุกอย่าง เมื่อเย็นเขาก็เพิ่งพาฉันไปชอปปิง ซื้อของเข้าบ้านกันกะหนุงกะหนิง” 

“คืบหน้าสิยะ ฉันได้เข้ามาอยู่บ้านเขาแล้ว สองต่อสองด้วย แถมวันนี้ยังได้โชว์เนื้อหนังมังสาตามที่แกสอนมาเป๊ะๆ” พูดจบแล้วปรีชญาณ์ก็กลั้นยิ้มเมื่อเพื่อนตอบรับเป็นเสียง อู้ว และเฮ้ย ตามนิสัยของแต่ละคน และเป็นจักรินทร์เช่นเคยที่ปากไวถาม

“ฉันดีใจด้วยนะนังเปรียว พี่ริศร์ใจดีอย่างที่แกว่าจริงๆ นั่นละ เห็นทำหน้านิ่งๆ คิ้วขมวดตลอดเวลา ฉันกับนังเหมียวยังห่วงว่าเขาจะเอาแกไปทิ้งสถานสงเคราะห์ อ้อ...แล้วนี่แกนอนยังไง อยู่ยังไง อย่าบอกนะว่านอนห้องเดียวกับเขาด้วย อุ๊ย คิดตามแล้วจั๊กจี้”

ปรีชญาณ์หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางสนใจใคร่รู้ของจักรินทร์ ก่อนจะดับจินตนาการติดเรตของเพื่อนด้วยการเล่าความจริงทั้งหมด “ถ้าได้อย่างที่แกว่า ฉันไม่เสียเวลามานั่งเมาท์หรอกย่ะ พี่ริศร์เขาให้ฉันพักที่ห้องรับรองแขกชั้นล่าง ส่วนตัวเขาเองนอนที่ชั้นสอง แถมยังออกกฎห้ามฉันขึ้นไปชั้นบนเด็ดขาด บอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว ขีดเส้นกันชัดเลยว่าฉันเป็นแค่คนแปลกหน้า” ปรีชญาณ์เล่าลงรายละเอียดว่าบุริศร์พูดอะไรกับเธอบ้าง และแสดงท่าทีห่างเหินอย่างจงใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เขานำเธอไปเปรียบกับแมวจรจัด

มาริษากับจักรินทร์ฟังปรีชญาณ์เล่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกันคนละเฮือกสองเฮือก มองไม่เห็นหนทางชนะใจ จักรินทร์ถึงกับเปรยว่า 

“เฮ้อ! เปรียวศรีนะเปรียวศรี ผู้ชายมีเกลื่อนเมืองดันไม่รัก กลับมาหลงรักฤๅษีเสียนี่ นี่ถ้าฉันเป็นหล่อนนะ หอบเสื้อผ้ากลับบ้านดีกว่า นิสัยดีแต่ปากร้ายก็ไม่ไหวนะ บั่นทอนจิตใจ”

ก่อนจะโทรศัพท์หาเพื่อนๆ ปรีชญาณ์ก็คิดอย่างจักรินทร์เช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงอนาคตอันอับเฉาในบ้านถิรัตโรจน์ก็ให้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงและแววตาที่บอกกับเพื่อนๆ จึงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ

“น้อยใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกจุ๊บ จะโกรธเขาก็ไม่ถูก ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา ฉันจะได้เลิกหลงตัวว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองจะมัดใจเขาได้ ที่สำคัญคือ ลงทุนลงแรงมาถึงขนาดนี้แล้วจะถอดใจง่ายๆ ได้ไง ถ้าจะแพ้ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดก่อน”

เห็นเพื่อนกลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง จักรินทร์ก็ตบมือกราวชอบใจ ในขณะที่มาริษาฟังไปเกาคางไปอย่างใช้ความคิด

“เป็นอะไรนังเหมียว ไหมที่ร้อยไว้โผล่ปลายออกมาหรือไงยะ เกาอยู่ได้” จักรินทร์รำคาญความท่ามากของแม่นักวางแผนประจำกลุ่ม

“ถ้าร้อยไหมแล้วคางยังอูม แก้มยังห้อยแบบนี้ แกไปเผาร้านหมอทิ้งเลยดีกว่า ฟังนะจุ๊บ...ผู้หญิงอวบก็สวยได้ และชั้นก็มั่นใจในรูปร่างของตัวเองมาก ที่เกาคางนี่เพราะใช้ความคิดต่างหากโว้ย” มาริษาโวยใส่เพื่อนหนุ่มใจสาวสมดังใจแล้วก็วกกลับมาที่เรื่องของปรีชญาณ์

“เปรียว ฉันว่าแกกำลังหลงทางว่ะ เป้าหมายของแผนรักของเรา คือการสร้างความใกล้ชิดเพื่อโน้มน้าวให้เกิดความรัก รักแท้อันบริสุทธิ์จากใจ ไม่ใช่ความใคร่” ตรงคำว่าใคร่ สาวอวบใส่ ‘ร’ ชัดเจน “การที่แกไปถอดเสื้อโชว์ผิวโชว์เนื้อน่ะ มันก็ไม่ต่างจากการยั่วเย้า ทดสอบกิเลสตัณหา ถามว่าจะทำให้พี่ริศร์ของแกสนใจได้ไหม ฉันตอบเลยว่า ‘ได้’ แต่สิ่งที่แกจะได้รับกลับมาคืออารมณ์ชั่ววูบ ความพึงพอใจชั่วคราว แต่ไม่ใช่ความรัก แกอย่าดูถูกคนที่แกรักด้วยวิธีนี้อีก เพราะคนที่เสียใจจะเป็นตัวแกเอง”

หน้าที่สำคัญของการเป็นมิตรแท้คือกล้าปรามเมื่อเพื่อนทำผิดหรือหลงไปในทางไม่ถูกไม่ควร ในขณะเดียวกันผู้ถูกเตือน ถูกทักท้วงในเรื่องไม่ถูกต้องก็ต้องไม่โกรธเพื่อน ต้องใช้ปัญญารั้งสติให้กลับมาตั้งอยู่ในหนทางอันถูกต้องได้ ซึ่งทั้งมาริษาและปรีชญาณ์ก็เป็นเช่นนั้น ปรีชญาณ์คิดตามคำเตือนของมาริษาแล้วก็เห็นว่าจริง บุริศร์ไม่ใช่ผู้ชายที่จะรักใครฉาบฉวย เขาเป็นคนมีกรอบ มีแบบแผนการดำเนินชีวิตชัด เสน่หาไม่มีทางผูกมัดเขาไว้ได้ คนอย่างนี้ต้องร้อยรัดด้วยใจ ด้วยศีลที่เสมอกันเท่านั้น

“ขอบใจนะเหมียว สำหรับคำเตือน ฉันก็รู้ว่าการยั่วยวนให้ท่าน่ะไม่มีทางทำให้พี่ริศร์รักฉันได้ แต่ที่ยังทำก็เพราะต้องการทดสอบว่าเขายังมีความสนใจ ยังหวั่นไหวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเปล่า ไม่ได้คิดใช้เซ็กซ์ผูกมัดเขาหรอก ถ้าเขาไม่เริ่มก่อนอะนะ” หญิงหลิ่วตานิดหนึ่งตอนพูดประโยคสุดคำท้าย และก็ได้เสียงโห่ของเพื่อนตอบ

“เอาเป็นว่าแกอย่าเพิ่งไปยั่วยวนพี่ริศร์นัก เพราะการที่เขาไม่ให้แกขึ้นไปชั้นสองของบ้านก็อนุมานได้ว่าเขาเป็นคนถือตัว ไม่ชอบให้ผู้หญิงรุกไล่ น่าจะเป็นผู้ชายแบบที่ชอบเดินเกมเองมากกว่า ขืนแกแสดงออกนอกหน้าว่าชอบเขา เขาอาจพาแกไปส่งสถานสงเคราะห์เลยก็ได้” 

ปรีชญาณ์รับฟังอย่างตั้งใจและเห็นด้วยทุกอย่าง เธอเองก็สังเกตเหมือนกันว่าบุริศร์สร้างระยะห่างของเขาและเธอไว้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะจำกัดพื้นที่ในบ้านแล้ว เขายังเคร่งเรื่องการแต่งกายของเธอมาก 

“แต่...ถ้าฉันไม่รุก แล้วความสัมพันธ์จะก้าวหน้าไหมล่ะ ถ้าจะรอให้พี่ริศร์เดินเกมเองน่ะรึ อย่าว่าแต่สามเดือนเลย สามปีก็คงไม่ก้าวหน้า” ปรีชญาณ์บ่นเซ็งๆ ตอนแรกคิดว่าแผนเข้ามาอยู่ในบ้านของบุริศร์เป็นไปได้ยาก แต่กลายเป็นว่าแผนเข้าไปอยู่ในใจของเขาต่างหากที่ยากกว่า

“ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกอยู่เฉยๆ ย่ะ แต่กำลังจะบอกให้รุกอย่างมีชั้นเชิงต่างหาก จะมัดใจผู้ชายหัวโบราณก็ต้องใช้วิธีโบราณสิยะ เคยได้ยินคำว่าแม่ศรีเรือนไหม”

ปรีชญาณ์แบะปากใส่คำแนะนำของเพื่อนทันที เพราะทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าเธอทำงานบ้านไม่ได้เรื่องสักอย่าง เธอไม่ชอบให้น้ำมันกระเด็นใส่ตัว ไม่อยากให้ผมเหม็น และยังแพ้ฝุ่นเอามากๆ คิดแล้วปรีชญาณ์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“แม่ศรีเรือนหมายถึงกุลสตรีที่เก่งงานบ้านงานเรือน ตื่นก่อน นอนทีหลัง คอยปรนนิบัติเอาใจ  อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ งานบ้านก็ไม่ใช่แค่เช็ดถูทำความสะอาด แต่ต้องจัดบ้านให้น่าอยู่น่าอาศัย เรื่องอาหารการกินก็ต้องคอยสังเกตว่าพี่ริศร์เขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เดี๋ยวไอ้เปรียว แกอย่าเพิ่งน้ำลายฟูมปาก”

ปรีชญาณ์ค้อนควักใส่เพื่อนแล้วต่อรองว่า “เปลี่ยนแผนเลยนังเหมียว แกก็รู้ว่าฉันทำงานบ้านไม่ได้เรื่องสักอย่าง ถ้ารู้ว่าต้องมาทำงานบ้าน ฉันเอาพี่จรรยาติดมาด้วยเสียก็ดี”

“ไม่ชอบก็ต้องทำ และต้องลงมือทำด้วยตัวเองด้วย เพราะนอกจากจะทำเพื่อมัดใจพี่ริศร์แล้ว แกต้องทำงานตอบแทนในฐานะผู้อาศัย จะนั่งกินนอนกินให้พี่ริศร์เป็นฝ่ายปรนนิบัติไม่ได้” มาริษาเสียงแข็งใส่ก่อนจะผ่อนท่าทีเข้มงวดลงเมื่อเห็นว่าปรีชญาณ์กอดอกเบือนหน้าหนี ไม่ยอมรับวิธีที่เธอเสนอ

“น่านะเปรียวศรี อย่าเพิ่งท้อสิวะ แกลองพยายามดูก่อน เชื่อฉันสิ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของแกไปได้หรอก และถึงแกทำอะไรไม่เป็นเลยมันก็ไม่แปลก เพราะแกเป็นคนความจำเสื่อมไง ดีเสียอีก ทำผิดบ้าง พลาดบ้าง พี่ริศร์จะได้ไม่สงสัย หรือไม่ก็... อ้อนให้เขาช่วยสอนงานบ้านให้เลยเป็นไง จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน”

มาริษายักคิ้วให้เมื่อปรีชญาณ์หันมามองอย่างสนใจ คำโน้มน้าวต่อมาจึงเนิบช้าคล้ายสะกดจิต “ลองคิดภาพพี่ริศร์สอนแกจับมีดหั่นผัก หรือเผลอจับมือแกตอนช่วยกันล้างจาน โอบไหล่ตอนสอนถูบ้าน แล้วก็ประสานสายตากันตอนที่ต่างคนต่างเช็ดกระจกใส...” 

“เดี๋ยวนะนังเหมียว ฉากที่แกว่ามาทั้งหมดนี่มันซีรีส์เกาหลีเมื่อคืนนี่หว่า”

มาริษากลอกตามองบน เข่นเขี้ยวจักรินทร์ที่พูดขัดขึ้นมา เธอรึอุตส่าห์โน้มน้าวจนปรีชญาณ์คล้อยตามแล้ว “ใช่จ้ะ แต่จะลอกละครไทยหรือก๊อปซีรีส์เกาหลีก็ช่างหัวมันเถอะ ประเด็นคือ...นังเปรียวต้องพิชิตใจพี่ริศร์ให้ได้ไวที่สุด เข้าใจปะ”

จักรินทร์ยกมือยอมแพ้ต่อความรั่วความร้ายของสาวอวบเจ้าแผนการประจำกลุ่ม 

หันไปกระตุ้นปรีชญาณ์อีกครั้ง “ตกลงไหมเปรียว ถ้าตกลง เริ่มทำพรุ่งนี้เลยนะ”

ปรีชญาณ์ครุ่นคิดอยู่อึดใจก็พยักหน้า เธอยืดตัวตรง เชิดคางขึ้นนิดแล้วชูสองนิ้วแตะที่หน้าผาก ปฏิญาณตนเสียงหนักแน่น “ด้วยเกียรติของยุวกาชาดกองสอง หมู่เจ็ด ข้าพเจ้าปรีชญาณ์จะปฏิบัติตนเป็นแม่ศรีเรือนให้พี่ริศร์สุดที่รักอย่างเต็มกำลังความสามารถ แม้นว่าเล็บหัก มือด้าน หน้ามัน ข้าพเจ้าก็จะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเด็ดขาด จะขออุทิศตนเพื่อรักพี่ริศร์ตลอดกาลนานเทอญ”

จักรินทร์กลอกตามองบนอย่างระอาความเล่นใหญ่ของเพื่อนทั้งสองที่ความเพี้ยนความป่วนไม่เป็นรองกัน

“โอ๊ย! หมั่นไส้ความทุ่มเท ความมุ่งมั่นเรื่องผู้ชายของแกจังนังเปรียว นี่ถ้าตอนเรียนแกตั้งอกตั้งใจได้สักครึ่งนี้นะ ป่านนี้แกมีคำนำหน้าเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ไปแล้ว”

นอกจากจะไม่ถือสาแล้ว ปรีชญาณ์ยังหัวเราะร่า พูดเสริมเองว่า “แรงบันดาลใจมันต่างกันย่ะ และฉันก็ถือสุภาษิตว่า ดักลอบต้องหมั่นกู้ รักพี่ริศร์ต้องหมั่นเกี้ยว เพื่อพี่ริศร์แล้ว ต่อให้บุกน้ำลุยไฟฉันก็ไม่หวาดหวั่น เปรียวศรีคนนี้พร้อมจะฝ่าฟัน เพื่อรักอันเป็นนิรันดร์ของเรา”

จักรินทร์ทำท่าโก่งคออาเจียนเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งต้นสายและปลายสาย

มาริษาพูดเป็นงานเป็นการว่า “สู้ๆ นะเปรียว ฉันเชื่อว่าความพยายามบวกความตั้งใจดีของแกจะนำความสำเร็จมาให้ คิดเสียว่าซ้อมเป็นภรรยาให้เขาก็ได้ โชคดีเพื่อน ฉันขอให้แกสมหวังทุกประการ”

ปรีชญาณ์ยิ้มรับคำอวยพรของเพื่อน แต่ยังไม่วายทำทะเล้นใส่ “สาธุ ขอให้สมพรปากเจ้าแม่เหมียวด้วยเถิดค่ะ หากว่าข้าพเจ้าได้เป็นภรรยาพี่ริศร์จริงดังเจ้าแม่เหมียวให้พร จะขอนำอาหารคาวหวานมาถวายชนิดละเก้าอย่าง พร้อมด้วยพวงมาลัยเจ็ดสีสี่ทิศ และผ้าแพรพรรณ แถมชุดไทยให้อีกสามชุดด้วยเอ้า!”                                                                                                                                                                                                                                               

พูดแล้วปรีชญาณ์กับจักรินทร์ก็หัวเราะเสียงแหลมชอบอกชอบใจ ปล่อยให้มาริษาบ่นไปตามเรื่อง

“นังเปรียวบ้า นี่เพื่อนนะ ไม่ใช่เจ้าแม่ตะเคียน ทะเล้นไม่เข้าเรื่อง ประเดี๋ยวเถอะ!” 

สนทนาสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง มาริษาที่ติดธุระก็บอกเลิกการสนทนา ทำให้จักรินทร์บอกลาตามไปด้วย 

ปิดโปรแกรมสนทนากับเพื่อนๆ แล้วปรีชญาณ์ก็นอนหงายมองเพดาน จินตนาการว่าตนเองยกชามข้าวต้ม พร้อมกับกาแฟและขนมปังไปวางให้บุริศร์ในมื้อเช้า ยิ้มหวานระบายบนริมฝีปากแล้วปรีชญาณ์ก็หลับไปอย่างเป็นสุข

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น