6

บทที่ 5 ถนอมน้ำใจกับโกหก เส้นแบ่งเขตแดนช่างเลือนราง

5

ถนอมน้ำใจกับโกหก เส้นแบ่งเขตแดนช่างเลือนราง


ปกติแล้วปรีชญาณ์ไม่ใช่คนตื่นเช้า เอาละ สารภาพเลยว่าเธอตื่นสาย ถ้าวันจันทร์ถึงศุกร์ก็แปดโมงตรงเพราะห้องพักของเธออยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมที่เธอทำงาน และถ้าเป็นวันหยุดปรีชญาณ์จะตื่นหลังสิบโมงเช้าเท่านั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่ร่วมชายคากับคนที่ชอบและต้องสร้างภาพเป็นแม่ศรีเรือน ปรีชญาณ์จึงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังจะชงกาแฟ ปิ้งขนมปังไว้รอท่า แต่เช้าของเธอคือสายของบุริศร์ ทันทีปรีชญาณ์ออกจากห้องมา บุริศร์ก็ยืนใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว

บุริศร์ทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานของบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์แห่งหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารมีนโยบายจัดเวลาการเข้าทำงานตามช่วงเวลาทีโอยู (TOU)1 เพื่อลดการต้นทุนค่าไฟฟ้า ฉะนั้นบุริศร์จึงมักถึงที่โรงงานในเวลาไม่เกินเจ็ดโมงเช้า เพื่อจะได้สนทนากับหัวหน้าฝ่ายผลิตในผลัดดึก และดูการเริ่มไลน์ผลิตในผลัดเช้า ก่อนจะกลับถึงบ้านในเวลาทุ่มตรง 

“จะไปทำงานแล้วหรือคะ” ปรีชญาณ์รีบร้องออกไป ใจจริงอยากรั้งเขาไว้เพราะอยากกินข้าวเช้าร่วมกันสักมื้อ แต่ดูจากท่าทางของบุริศร์แล้วคงไม่มีทางเป็นไปได้ แค่เขาไม่ดุ ไม่บ่นที่เธอตื่นสายกว่าก็ถือว่าดีแล้ว

บุริศร์ที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหันมามองปรีชญาณ์ด้วยสีหน้างุนงง เพราะเธอถามเขาแบบนี้ทุกวัน ถามแล้วก็ทำท่าทีอ้ำอึ้ง จะพูดก็ไม่พูด “ครับ...ทำไมหรือ คุณมีอะไรหรือเปล่า” 

“คือฉันอยาก...” 

คำว่า ‘อยาก’ เงียบลงเพราะคนฟังพุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์ ซึ่งเป็นสายเรียกเข้าจากลูกน้องคนสนิทของบุริศร์ สนทนากันไม่นานนักบุริศร์ก็รับคำว่าจะรีบเดินทางไป ปรีชญาณ์ที่จินตนาการว่าตนเองเป็นภรรยามายืนส่งสามีไปทำงานจึงฝืนยิ้มหวานให้สุดความสามารถ

“ขอโทษที เมื่อกี้คุณว่าอย่างไร”

ปรีชญาณ์โบกไม้โบกมือทันทีและยิ้มแย้มอธิบาย “ฉันแค่จะอวยพรให้พี่ริศร์ตั้งใจทำงานค่ะ โชคดีนะคะ”

บุริศร์ไม่ได้ตอบรับ เขามองปรีชญาณ์ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ถ้าไม่มีอะไรด่วน ผมกลับจากทำงานแล้วค่อยคุยกันละกัน อาหารเช้าอยู่ในครัวนะ ส่วนมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น โทร. ไปสั่งจากร้านหน้าหมู่บ้านก็ได้ ผมจดเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้แล้ว”

คำบอกซ้ำจากเมื่อวานและเมื่อสองวันก่อนทำให้ปรีชญาณ์พยักหน้ารับคำอย่างเซื่องซึมเต็มที โบกมือตามหลังอย่างหงอยเหงาแล้วหญิงสาวก็ยื่นริมฝีปากล่าง พึมพำบ่นคนที่เดินดุ่มไปขึ้นรถว่า ‘เช้ามืดก็ไปทำงาน เย็นก็กลับเสียค่ำ แล้วเมื่อไหร่ความรักมันจะเกิดเล่าคะคุณบุริศร์!’


สามวันแรกที่เข้ามาอยู่ร่วมชายคากับบุริศร์ ปรีชญาณ์พยายามทำทุกอย่างที่ผู้อาศัยที่ดีควรทำต่อเจ้าบ้านเพื่อสร้างความประทับใจ แต่ทุกอย่างที่เธอแตะต้องมักตามมาด้วยสารพันปัญหา เป็นต้นว่าปิ้งขนมปังแล้วเผอเรอจนไหม้ไปทั้งขนมปังและเครื่อง ขัดล้างกาต้มน้ำร้อนเสียจนแผงไฟฟ้าชำรุด ทำความสะอาดบานกระจกที่ใสให้กลายเป็นฝ้ามัว และเมื่อวานเธอเพิ่งทำที่คว่ำจานร่วง โดยมีถ้วยกระเบื้องใบโปรดของมารดาบุริศร์แตกรวมอยู่ในนั้น ซึ่งหากบุริศร์จะตำหนิหรือทำหน้าบึ้งใส่ ปรีชญาณ์ก็พร้อมจะยอมรับ แต่เขากลับพยักหน้ารับรู้และทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ จนปรีชญาณ์รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีก

วันนี้ปรีชญาณ์ตั้งใจว่าจะปัดกวาดทำความสะอาดบ้านอีกครั้ง แม้ว่าผลงานของเมื่อวานจะเข้าข่ายย่ำแย่ เพราะเธอทำให้พื้นบ้านของบุริศร์เป็นคราบและมีกลิ่นอับ แต่จากการเซิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและดูวิดีโอในยูทิวบ์อย่างคร่ำเคร่งมาทั้งคืน ก็ทำให้ปรีชญาณ์สรุปวิธีทำความสะอาดพื้นกระเบื้องได้คร่าวๆ นั่นคือ กวาดให้สะอาด ถูด้วยน้ำเปล่าผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม และถูอีกครั้งด้วยม็อบดันฝุ่น ซึ่งบ้านของบุริศร์ไม่มีอย่างหลัง ปรีชญาณ์จึงตั้งใจว่าจะใช้ผ้าสะอาดแทน

‘“มหาวาตภัยเข้าประเทศไทยหรือยังไงกันนะ”

ปรีชญาณ์บ่นพลางวิ่งไล่ต้อนกวาดฝุ่นจากทุกมุมมารวมกันไว้ แต่ไม่นานลมก็พัดใหม่ กองฝุ่นทั้งหมดจึงกระจัดกระจายไปอีกครั้ง สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อปิดกั้นทางลม ซึ่งกว่าเธอจะจัดการกวาดฝุ่นได้เป็นที่พึงพอใจ ปรีชญาณ์ก็แทบจะหมดแรงข้าวต้มที่บุริศร์ทำไว้เป็นมื้อเช้า

พักเหนื่อยได้ไม่นาน ร่างบางก็เดินไปหยิบผ้าถูพื้นที่เตรียมไว้ ตามสูตรบอกให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่ไม่บอกอัตราส่วน ปรีชญาณ์จึงกะเอาเองว่าสามฝาต่อน้ำสะอาดห้าแกลลอน หยิบผ้าใส่ไม้ถูพื้นแล้วหญิงสาวก็ขยำๆ พอเป็นพิธีด้วยกลัวเล็บมือหัก หลังจากนั้นหญิงสาวก็เริ่มต้นถูบ้านอย่างขะมักเขม้นตั้งใจ ไม่ไยดีว่าข้างนอกนั้นเมฆฝนเริ่มครึ้มต่ำ และฟ้าก็คำรามดังขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากบางเปิดยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อเห็นว่าพื้นกระเบื้องที่ผ่านการถูดูสะอาดเป็นมันวาวระยับ และยังมีกลิ่นหอมละมุนชวนให้จินตนาการว่ากำลังยืนอยู่กลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์

‘จ๊อก 

เสียงท้องครางประท้วงทันทีที่การถูบ้านด้วยน้ำสะอาดผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มเสร็จสิ้นลง มองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายคล้อยแล้วปรีชญาณ์ก็พบว่าเธอหิวมาก ใจหนึ่งนั้นก็อยากถูพื้นให้เสร็จ แต่อีกใจที่กระเพาะอาหารบงการก็สั่งให้กินก่อนดีกว่า อีกทั้งคิดเอาเองว่าการปล่อยพื้นให้เปียกก็เหมือนการแช่ผ้า คราบสกปรกจะต้องหลุดออกมาดีกว่าถูด้วยผ้าบิดแห้งแน่นอน!

คิดดังนั้นร่างบางก็เดินไปคว้าโทรศัพท์เพื่อสั่งอาหารเหมือนดังเช่นทุกวัน แต่พอคิดว่ากว่าแม่ค้าจะมาส่งเธอคงหิวตาลายเสียก่อน ปรีชญาณ์จึงตัดสินใจทำเมนูง่ายๆ รับประทาน โดยมีวงเล็บตอนท้ายว่าเมนูนั้นต้องดีต่อสุขภาพด้วย ซึ่งเมนูนั้นก็คือ... ไข่ต้ม!


ปรีชญาณ์มีสูตรการต้มไข่ให้เป็นยางมะตูม คือเธอจะต้มน้ำให้เดือดก่อนแล้วจึงจะหย่อนไข่ลงไปแช่เป็นเวลาเจ็ดนาที ซึ่งตอนที่เริ่มต้มน้ำนี้เอง สายฝนก็เทกระหน่ำลงมา เสียงลมกระแทกประตูผสานเสียงฝนกระทบหลังคาทำให้ปรีชญาณ์หูแว่วคล้ายคนเรียก

“กึก กึก กึก!

ปรีชญาณ์เหลียวมองประตูที่ถูกลมกระแทกดังโครมครามอย่างกังวลใจ ก่อนจะกลายเป็นตระหนกตกใจเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังดึงประตูจากด้านนอก อยากคิดว่าเป็นบุริศร์ แต่เมื่อเช้าเขาก็บอกชัดเจนว่าจะกลับช่วงค่ำ อีกทั้งเขามีลูกกุญแจ จึงน่าจะไขประตูเข้ามามากกว่า ฉะนั้นคนที่กำลังจะเข้ามาต้องเป็นผู้บุกรุกแน่นอน!

ความคิดของปรีชญาณ์หยุดลงเมื่อสังเกตว่าประตูกำลังถูกงัด มือบางยกขึ้นปิดปากตัวเองห้ามเสียงกรีดร้อง ในขณะที่สมองมีแต่ภาพข่าวอาชญากรรม เธอจะทำเช่นไรหากคนที่มาเคาะเป็นชายฉกรรจ์กล้ามใหญ่ไม่ใส่เสื้อผ้า เอ่อ...เปลี่ยนเป็นใส่กางเกงเสียหน่อยดีกว่า จะได้ไม่อุจาดตานัก เอ...แล้วเธอควรจะหนีไปหลบซ่อนหรือว่าใช้วิชาป้องกันตัวตามที่มาริษาเคยสอนไว้ แล้วถ้า...มันไม่ใช่โจรกระจอก แต่เป็นมือปืนของมนต์ธัชล่ะ เธอจะถูกฆ่าหมกถังส้วมไหม หรือว่า...ที่วันนี้มาริษากับจักรินทร์พากันเงียบไปเพราะพวกนั้นถูกมนต์ธัชสั่งเก็บ!

ปรีชญาณ์รวบรวมสติสตังที่ฟุ้งซ่านของตัวเองกลับมา ตอนนั้นเองที่เธอพบว่าในมือยังถือฝาหม้ออะลูมิเนียมเอาไว้ ปลุกใจตนเองให้ฮึกเหิมแล้วปรีชญาณ์ก็คว้าม็อบถูพื้นมาวาดปลายไม้ไปในอากาศด้วยท่วงท่ามั่นใจ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า ‘ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง’

ทันทีที่ประตูถูกกระแทกจนกลอนหลุดออก ปรีชญาณ์ก็ตัดสินใจวิ่งเต็มฝีเท้าเข้าใส่ผู้มาเยือน แต่เพราะพื้นที่เธอถูทิ้งไว้ทั้งลื่นทั้งเปียก ร่างปราดเปรียวจึงถลาเข้าใส่คน (ที่คิดว่า) ร้าย ในลักษณะลื่นไถล และเมื่อคนในเงาตะคุ่มขยับเข้ามายืนใต้แสงไฟ ปรีชญาณ์ก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้แล้ว

ปิดบ้านทำไม”/“พี่ริศร์หลบ!”

สองเสียงตะโกนประสานกัน ในภาวะจวนตัวนั้นบุริศร์มีสติพอจะหลบเลี่ยง แต่เขากลับเลือกยืนขวางร่างบางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มบาดเจ็บ ผิดกับปรีชญาณ์ที่ทำได้เพียงร้องเตือนโหวกเหวก แต่สองมือยังคงตั้งท่าทำร้าย

เคร้งเคล้ง! แก๊ก! เสียงฝาหม้อและม็อบถูพื้นร่วงลงพื้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนที่สองมือของปรีชญาณ์จะประคองใบหน้าของบุริศร์ไว้อย่างตกใจสุดขีด หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกเพราะม็อบถูพื้นเฉี่ยวศีรษะของบุริศร์ไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ในขณะที่ฝาหม้อไม่เฉี่ยว แต่นาบเข้าใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเต็มรัก!

“พี่ริศร์เจ็บมากไหม เค้าขอโทษ เค้าไม่ได้ตั้งใจ ฮือ! เจ็บมากแน่ๆ หน้าผากเป็นรอยเลยอะ” พูดพลางจับใบหน้าคล้ามคมนั้นเอียงไปมาอย่างเบามือ เมื่อเห็นว่าที่กลางหน้าผากมีรอยกดลึก ปรีชญาณ์ก็เป่านิ้วโป้งตัวเองก่อนจะยกขึ้นคลึงรอยแผลให้เขา “เพี้ยง...ไม่บวม ไม่เขียว ไม่เป็นแผลเป็นด้วยเถิด”

ตอนถูกฝาหม้อกระแทกเข้าที่หน้าผาก บุริศร์คิดว่าตัวเองมีสติครบถ้วนดี แต่เริ่มครองสติไม่อยู่ก็ตอนที่ถูกมือนุ่มนิ่มประคองใบหน้ากับถูกนิ้วเล็กๆ คลึงหน้าผากให้นี่ละ และผิวที่เย็นเยียบเพราะตากฝนก็คล้ายจะร้อนรุมๆ ไปทั้งหน้า ซึ่งแหล่งให้ความร้อนก็คือริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ห่างเพียงฝ่ามือกั้น

ปรีชญาณ์เลิกคิ้วเมื่อรู้สึกถึงมืออุ่นที่วางบนบ่า ก่อนจะชาไปทั้งหน้าเมื่อบุริศร์ใช้สองมือตรึงบ่าเธอไว้ หากแค่ดันออก ปรีชญาณ์คงไม่เสียความรู้สึกนัก มาอับอายขายหน้าหนักตอนที่บุริศร์าก้าวถอยหลังราวกับกลัวศีลขาด

“เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา หรือว่าความจำเลอะเลือน จำผมไม่ได้ฮึ!”

เสียงดุนั้นทำให้ปรีชญาณ์สะอึก เพราะรู้ตัวว่าผิด เธอจึงอ้อมแอ้มแก้ต่างว่า “ฉันเปล่าคลุ้มคลั่งนะคะ คือ...ฝนตกหนักมากและฉันก็อยู่ในครัวเลยไม่ได้ยินที่พี่ริศร์เรียกค่ะ มาได้ยินอีกทีก็ตอนที่พี่ริศร์พยายามจะงัดประตูเข้ามา ฉันกลัวก็เลยคว้าไม้ถูพื้นมาเตรียมป้องกันตัว อ้อ... แล้วทำไมไม่ไขกุญแจเข้ามาล่ะคะ ทุบเรียกทำไม”

ปรีชญาณ์ย้อนถามแล้วก็ต้องย่นคอเมื่อบุริศร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบติดจะเชือดเฉือนว่า “ผมไขลูกบิดแล้ว แต่ที่เปิดไม่ได้เพราะคุณล็อกกลอนด้านในไว้อีกชั้น จะเรียกทางหน้าต่าง คุณก็ลงกลอนไปเสียทุกบาน ตะโกนเรียกเท่าไรก็ไม่ขานรับ”

ปรีชญาณ์หัวเราะแหะๆ คล้ายยอมรับ แต่ในใจนั้นคิดค้านว่า ‘ก็เรียกแต่ คุณ คุณ คุณ แล้วเธอจะรู้ไหมล่ะว่าเรียกใคร ทำเป็นดุอยู่ได้ ประเดี๋ยวโน้มคอลงมาบดจูบให้ดุไม่ออกเสียเลยนี่’

 บุริศร์มองริมฝีปากที่เชิดขึ้นนั้นอย่างคุ้นตาคุ้นใจ พยายามคิดว่าเขาเคยเห็นใครทำแบบนี้และที่ไหน แต่ก็คิดไม่ออก ซึ่งเพราะเพ่งมองนี้เอง บุริศร์จึงเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวมีฟันเรียงเป็นระเบียบราวกับเมล็ดข้าวโพด พิจารณาดวงหน้าสะสวยอีกครั้ง บุริศร์ก็ได้ข้อสรุป...ไม่เคยรู้จัก!

ด้านปรีชญาณ์ถึงจะขุ่นมัวอยู่บ้าง แต่ความห่วงใยและรู้สึกผิดมีมากกว่า และยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเมื่อเห็นรอยชื้นบนเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

“ฉันขอโทษที่ทำให้พี่ตากฝนนะคะ  ไปค่ะ เข้าบ้านอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่า เปียกไปทั้งตัวแบบนี้เดี๋ยวไม่สบาย” พูดพลางขยับห่างจากประตูให้บุริศร์เดินผ่านเข้ามา ซึ่งพอเขาเหยียบย่างบนพื้น บุริศร์ก็ตีหน้ายุ่งใส่

    “ทำไมพื้นลื่นแบบนี้ ฝนสาดหรือไง” บุริศร์ชี้พื้นกระเบื้องที่มีหยดน้ำเกาะเป็นดวงๆ ทั่วบ้าน ก่อนจะเข้าใจได้เองเมื่อกวาดตาไปเห็นม็อบถูพื้นกับถังใส่น้ำ เมื่อประมวลผลไปถึงเมื่อวานที่บ้านมีกลิ่นอับและพื้นเป็นคราบ บุริศร์ก็เอ่ยเตือนเสียงเรียบ “ถ้าคุณยังจำอะไรไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยทำงานบ้านหรอก ผมจัดการเองได้ เพราะถ้าทำแล้วเป็นภาระให้ผมต้องตามแก้ มันเหนื่อยยิ่งกว่า”

ปรีชญาณ์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำว่า ‘ภาระ’ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนพูดตรงคือคนจริงใจ แต่ใจส่วนหนึ่งก็ค้านว่าคนจริงใจรู้จักถนอมน้ำใจคนอื่นบ้างก็ได้ เพราะต่อให้เนื้อใจแท้จริงจะหวังดีและจริงใจ แต่คำพูดบั่นทอนนั้นก็บาดลึกลงหัวใจคนฟังไปเรียบร้อยแล้ว

“ฉันขอโทษที่ทำโดยพลการค่ะ แค่คิดว่าตนเองเป็นผู้อาศัยจึงอยากทำประโยชน์บ้างเท่านั้น ไม่นึกว่ายิ่งทำจะยิ่งแย่ กลายเป็นภาระซ้ำซากให้คุณต้องลำบากเพราะฉัน เอาเป็นว่าฉันจะจัดการปัญหาที่ก่อไว้เองค่ะ”

พูดแล้วปรีชญาณ์ก็รีบหมุนตัวซ่อนน้ำตาที่เจียนจะหยดมิหยดแหล่ ใช่...เธอผิดที่ทำงานบ้านไม่ได้เรื่อง ผิดที่ไม่ได้ยินเสียงเขาเรียก ผิดที่จินตนาการฟุ้งซ่านจนพลั้งมือทำร้ายเจ้าของบ้าน ผิดมันไปเสียทุกอย่าง ผิดตั้งแต่พาตัวเองมาเป็นภาระเขาแล้ว!

ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทอย่างศิวัชเคยวิจารณ์บุริศร์เอาไว้ว่า เขาเป็นคนนิสัยดีที่ปากเสีย พูดจาขวานผ่าซาก ไม่ค่อยรักษาน้ำใจใคร บุริศร์จึงพยายามกลั่นกรองความคิดก่อนพูดให้มากที่สุด เขาพบว่าการปั้นคำให้เจริญหูคนฟังช่างเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก ถนอมน้ำใจกับโกหกมีเส้นแบ่งเขตแดนเลือนรางมาก ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่บุริศร์พูดลุ่นๆ ออกไปอย่างใจคิด แล้วคำพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น

ถึงจะเป็นเพียงผู้ชายทื่อๆ ทึ่มๆ ที่ไม่ละเอียดอ่อน แต่บุริศร์ก็มองออกว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ อันที่จริงใช้คำว่ามองเห็นว่าเธอร้องไห้ดีกว่า เพราะเธอยืนตะแคงข้าง ยกมือป้ายน้ำตา และส่งเสียงสะอื้นเบาๆ ประกอบ เห็นอย่างนั้นแล้วบุริศร์ที่ถูกมารดาพร่ำสอนให้เป็นสุภาพบุรุษ ห้ามทำร้ายผู้หญิงไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า

“ถูแล้วย่ำเท้าตามแบบนั้น พื้นไม่สะอาดหรอกนะ ส่งม็อบมาสิ ผมจะสอนวิธีที่ถูกต้องให้”

ถึงจะไม่นุ่มนวลชวนฝันอย่างที่คาดหวัง แต่การที่บุริศร์ขันอาสาจะสอนเธอถูบ้านก็ทำให้ปรีชญาณ์หันไปขยิบตาให้ผนังบ้าน ไม่เสียแรงแกล้งสะอื้นอยู่ตั้งนานสองนาน วันนี้เธอมีความคืบหน้าไปรายงานผองเพื่อนแล้ว

“ไม่ต้องทำให้ดูหรอกค่ะ แค่บอกว่าทำอย่างไรก็พอ หรือไม่ก็...ช่วยแนะนำทีว่าฉันจับม็อบถูพื้นถูกไหม” 

ตีหน้าซื่อและเบี่ยงตัวน้อยๆ เปิดทางเพื่อให้บุริศร์ขยับเข้ามาชิดแล้ว ปรีชญาณ์ก็ทำท่าทางให้เก้ๆ กังๆ เข้าไว้ เพื่อนเหมียวเอ๋ย ถ้าพี่ริศร์จับมือหรือโอบบ่าฉันสมพรปากแกจริงๆ เมื่อไหร่ ฉันจะให้นังจุ๊บเอาผ้าแพรเจ็ดสีผูกเอวแก!

หากแต่ บุริศร์ยังไม่ทันได้เริ่มต้นสอน เขาก็ร่อนจมูกไปมาแล้วถามว่า “คุณทำอะไรไว้ในครัวหรือเปล่า”

ปรีชญาณ์กะพริบตาปริบๆ เกือบจะส่ายหน้าไปแล้วถ้าไม่ติดว่าเห็นฝาหม้อเสียก่อน ใช่...เมื่อครู่เธอต้มน้ำ น้ำที่เมื่อได้รับความร้อนถึงจุดเดือดแล้วจะเปลี่ยนสถานะเป็นไอระเหยไปในอากาศ!


ตอนที่ปรีชญาณ์เดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง น้ำในหม้อระเหยไปจนหมดแล้ว ตัวหม้อจึงสะสมความร้อนไว้จนไฟลุกไหม้ ทันทีที่สมองตระหนักถึงเปลวไฟ ปรีชญาณ์ก็มองหาน้ำ แต่ก่อนที่เธอจะสาดน้ำในขันใส่หม้อเพื่อดับเพลิง เสียงห้วนดุของบุริศร์ก็ดังขึ้น

“อย่าราดน้ำ!” แทบจะพร้อมกับคำสั่ง มือแข็งแรงก็ปลดขันน้ำออกจากมือของปรีชญาณ์ “ถอยออกไปก่อน หรือจะออกไปยืนรอข้างนอกเลยก็ได้ ตรงนี้ผมจัดการเอง” 

บุริศร์สั่งซ้ำแล้วตัวเขาก็คอยสังเกตเปลวไฟที่แลบเลียเพื่อก้มลงปิดวาล์วแก๊ส จากนั้นจึงใช้ตะหลิวยกหม้อที่มีไฟลุกท่วมนั้นออกไปที่ประตูหลังบ้านแล้ววางลงกับพื้น ไม่นานนักไฟที่ลุกท่วมหม้อก็มอดดับ 

ปรีชญาณ์มองวิธีจัดการกับปัญหาอย่างง่ายดายโดยใช้สติของบุริศร์แล้วนึกชื่นชมปนท้อใจ ชื่นชมที่เขาเป็นคนมีสติไม่ตื่นตระหนกง่ายๆ และทดท้อที่ตนเองก่อเรื่องไว้มากมาย เธอคือภาระจริงๆ นั่นละ

“ฉันขอโทษนะคะที่เกือบทำไฟไหม้บ้าน และยังทำให้เครื่องครัวของคุณเสียหาย” ปรีชญาณ์บอกเสียงอ่อย ยกมือไหว้ปลกๆ  เมื่อบุริศร์เอาแต่มองเธอนิ่ง ปรีชญาณ์ก็ยิ่งใจเสียมากขึ้นไปอีก และเพื่อแก้ไขสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ ปรีชญาณ์จึงหันไปคว้าฟองน้ำล้างจานมาเพื่อเช็ดคราบดำบริเวณเตาแก๊สออก แต่เพราะไม่ทันระวังหลังมือจึงนาบเนื้อเหล็กร้อนระอุ

“โอ๊ย!” ปรีชญาณ์ได้ยินตัวเองร้องออกมาพร้อมกับรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หลังมือข้างซ้าย น้ำตาของเธอคลอเบ้าพลางสะบัดมือเร่าๆ หวังไล่อาการเจ็บปวด แต่นอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว รอยแดงที่เป็นทางยาวยังคล้ายจะมีสีเข้มขึ้น

“มีสติหน่อยสิ” 

ปรีชญาณ์ได้ยินเสียงห้าวดุอยู่ข้างหูก่อนที่จะรู้ตัวว่ามือของเธอถูกจับมาแช่ในกะละมังที่มีน้ำไหลผ่าน อึดใจต่อมาก้อนน้ำแข็งก็ถูกเทโครมตามลงมาในกะละมัง ความแสบร้อนค่อยๆ เบาบางแทนที่ด้วยความเย็นจนมือเริ่มชา

“อย่าเพิ่งเอาออก อดทนหน่อย ปริศนา” 

เสียงเตือนราวกับล่วงรู้ความคิดทำให้ปรีชญาณ์จำต้องกดมือที่เริ่มปวดเพราะความเย็นไว้ในน้ำต่อไป ว่าแต่...อะไรคือปริศนา หรือเขากำลังจะทายอะไรกับเธอ

สายตางงงวยเต็มไปด้วยคำถามนี้เองที่ทำให้บุริศร์เม้มริมฝีปากสะกดความประหม่าที่ตีขึ้นมากลางใจ ละเลยที่จะสบดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายเมื่อต้องอธิบายว่า “ผมตั้งชื่อให้คุณว่าปริศนา เพราะว่าเมื่อครู่ตอนที่ติดฝนอยู่ข้างนอก ผมเรียกเท่าไรคุณก็ไม่ยอมเปิดประตู ฉะนั้นระหว่างที่คุณยังจำอะไรไม่ได้ก็ใช้ชื่อปริศนาไปก่อนละกัน ชอบหรือเปล่า”

คำว่า ‘ชอบหรือเปล่า’ ของบุริศร์ เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจให้มีความนัย แต่คนฟังนี่สิคิดไปไกล และยังอุ่นไปทั้งหัวใจเมื่อก้มลงเห็นว่าบุริศร์จับข้อมือของเธอไว้ จะจับเพราะอยากจับ หรือจะจับเพราะปฐมพยาบาลก็ช่างปะไร 

‘เหมียวเอ๋ย...เพื่อนถึงนิพพานแล้ว!’

บุริศร์ทำหน้าไม่ถูกเมื่อจู่ๆ คนที่ทำหน้าหงอยก็เงยหน้าขึ้นมาส่งประกายตาวิบวับ และยังตอบรับด้วยรอยยิ้มระรื่นว่า 

“ชอบค่ะ...ฉันชอบมากถึงมากที่สุด”


งานบ้านอันยุ่งยากของปรีชญาณ์กลายเป็นเรื่องง่ายดายเพียงแค่บุริศร์เข้ามาจัดการให้ เขาอธิบายว่าเธอผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มในอัตราส่วนมากเกินไป พื้นบ้านจึงลื่นและเป็นคราบ ก่อนจะพาเธอไปยังห้องซักล้างที่อยู่หลังบ้านเพื่อบอกว่าน้ำยาทำความสะอาดทั้งหมดเก็บอยู่ในนั้น หากเธอต้องการทำความสะอาดบ้านให้นำมาใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำยาใช้เองให้ยุ่งยาก

“คุณใช้เบกกิงโซดาผสมน้ำเช็ดคราบเขม่าบนเตาแก๊สออกละกัน ส่วนหม้อต้มไข่ทิ้งไว้อย่างนั้นละ ผมจะล้างให้”

ท่าทีทะมัดทะแมงของบุริศร์ทำให้ปรีชญาณ์อมยิ้ม ผู้ชายคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ ไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขาเพิ่งตำหนิเธอเสียจนปรีชญาณ์แทบถอดใจเก็บข้าวของกลับบ้าน แต่ตอนนี้ นาทีนี้ที่เห็นเขาทำงานของผู้หญิงได้โดยไม่เกี่ยงงอนว่ามันคือความรับผิดชอบของเธอ ปรีชญาณ์ก็ยกหัวใจให้เขาอีกครั้ง เล็บจะพัง มือจะด้านก็ยอมแล้ว

ปรีชญาณ์ขะมักเขม้นขัดคราบเขม่าบนเตาแก๊สออกอย่างตั้งใจ ยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อเตาแก๊สกลับมาสะอาดเหมือนใหม่อีกครั้ง และแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ปรีชญาณ์ก็ภูมิใจมาก รอยยิ้มสดใสจึงระบายทั้งปากและตา “เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ริศร์จะให้ฉันทำอะไรอีก บอกได้เลยนะคะ”

บุริศร์ที่กำลังถูบ้านเงยหน้ามองปรีชญาณ์อยู่อึดใจก่อนจะเสมองทางอื่นแล้วบอกว่า“ไม่มีอะไรแล้วละ คุณไปอาบน้ำเถอะ”

ปรีชญาณ์ที่กำลังสนุกกับงานบ้านและเพลิดเพลินกับการมีกิจกรรมร่วมกับบุริศร์แอบแบะปาก ไปอาบน้ำก็เท่ากับเสียเวลา เสียโอกาสอยู่กับเขาสองต่อสองน่ะสิ

“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันก่อเรื่องไว้ก็ต้องรับผิดชอบผลการกระทำของตัวเองสิคะ จะทิ้งให้พี่ริศร์ทำแทนได้อย่างไร” บอกด้วยท่าทีขึงขัง แต่ในใจนั้นสุดแสนจะชื่นบาน หากไม่เกรงหน้านิ่งๆ จะกระแซะแซวเสียตอนนี้เลยว่า ‘ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ เป็นแฟนกันไหม จะให้ทำอะไรหนูก็ยอมค่ะ’

“แต่ผมกลับคิดว่าผมทำเองจะไวกว่า คุณไปพัก ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”

ปรีชญาณ์กลอกตาบนใส่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหมั่นไส้ คนอะไรเฉยชาได้คงที่คงวา “มาค่ะ ช่วยกันดีกว่า พี่ริศร์บอกมาเลยค่ะว่าจะให้ทำตรงไหน ฉันจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด” 

    บุริศร์ชะงักเมื่อมือบางแย่งไม้ถูพื้นจากเขาไป ราวอึดใจที่ต่างจ้องตากันราวกับวัดใจ บุริศร์บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับการได้มองใครสักคนในระยะใกล้ขนาดนี้

    ปรีชญาณ์เม้มริมฝีปากอย่างเก้อเขินเมื่อจู่ๆ บุริศร์ก็จ้องเธอตาไม่กะพริบ และจะว่าเธอคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ เพราะปรีชญาณ์เห็นแววระยับในดวงตาดำสนิทคู่นั้น แววตาที่อ่านได้ว่าเขากำลังถูกใจหรือชอบใจอะไรบางอย่าง และเพียงบุริศร์อมยิ้มที่มุมปาก ปรีชญาณ์ก็ทิ้งตัวลงก้นหลุมรักที่ลึกที่สุดแต่โดยดี

    โอย...ถ้าพี่ริศร์จะยิ้มได้น่ารักขนาดนี้ ให้เปรียวศรีแบกน้ำ ผ่าฟืน ดายหญ้า ก็จะไม่บ่นเลยค่ะ

    เปิดยิ้มหวานตอบแล้วปรีชญาณ์ก็ยกมือขึ้นเกาสันจมูกพลางบอกว่า “ฉันพูดจริงนะคะ พี่ริศร์ใช้ฉันทำอะไรก็ได้ค่ะ ฉันทำได้ทุกอย่างจริงๆ” พูดเองแล้วปรีชญาณ์ก็เขินจนหน้าร้อนเอง รู้ละว่าคำพูดของเธอกินนัยกว้างมาก แต่ไหนๆ ก็มีโอกาสแล้ว ขอเธอลองหยอดดูท่าทีเขาสักหน่อยเถอะ

    บุริศร์ไม่ได้ตั้งใจฟังนัก เพราะมัวมองมือเล็กๆ ที่ขยับยุกยิกไปทั่ว เดี๋ยวแตะปลายจมูกบ้าง เดี๋ยวเกาต้นคอบ้าง และตอนนี้ก็กำลังยกขึ้นกุมแก้มสองข้างของตัวเองไว้ พิจารณาอาการมือไม่อยู่สุขของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจคว้าข้อมือบางไว้ในลักษณะใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้คีบ

    “ผมก็พูดจริงเหมือนกันว่าไม่ต้องการให้คุณช่วยทำงาน” บุริศร์พูดช้าชัดและหนักแน่น เมื่อดวงตาเรียวรีจ้องเขาเป๋ง บุริศร์ก็จับข้อมือของปรีชญาณ์ให้พลิกหงายพร้อมบอกว่า “แต่อยากให้คุณไปล้างมือ ล้างหน้า และถ้าอาบน้ำด้วยจะดีมากๆ เพราะตอนนี้หน้าคุณก็ดำเท่าๆ กับฝ่ามือนี่ละ”

    ปรีชญาณ์ก้มมองฝ่ามือตนเองที่เต็มไปด้วยคราบเขม่าแล้วนิ่งงันไปอึดใจ แทบจะกัดลิ้นตายเมื่อคิดว่าใบหน้าของเธอตอนนี้คงดูไม่จืด เพราะตลอดเวลาที่ทำงาน เธอทั้งปาดเหงื่อ เกาแก้ม เกาหน้าผาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หน้าเลอะเขม่า อยู่ที่ความมั่นหน้าหลงตัวเองของเธอต่างหาก สรุปว่า...ที่บุริศร์มองเธอแล้วยิ้มนั่นก็เพราะเขาขบขัน ไม่ได้ยิ้มเพราะพึงพอใจหรือถูกใจ โธ่เอ๋ย...ยายเปรียวศรีหน้าดำจอมมโน

    “ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” พูดแล้วปรีชญาณ์ก็เตรียมจะสับเท้าวิ่งหนีความอับอาย แต่เสียงขรึมกลับตรึงเธอไว้ด้วยการบอกว่า

    “ผมต้องไปทำงานแต่เช้าและกลับค่ำ อาจไม่มีเวลาวิสาสะกับคุณนัก แต่จะพยายามหาเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนคุณให้มากขึ้นเผื่อว่าคุณจะจำอะไรได้บ้าง ว่าแต่...เมื่อเช้ามีอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”

    ปรีชญาณ์กะพริบตาปริบๆ คิดตาม ประมวลข้อมูลนานกว่าอึดใจจึงนึกออกว่าเมื่อเช้าเธอเรียกเขา แต่ไม่กล้าพูด บุริศร์จึงนึกว่าเธอมีธุระสำคัญ และมันก็ทำให้เขากลับบ้านเร็วกว่าปกติ สรุปได้อย่างนี้แล้วปรีชญาณ์ก็อยากรู้นักว่าบุริศร์จะทำหน้าอย่างไรตอนที่รู้ว่า ธุระของเธอคืออยากมีมื้อค่ำร่วมกับเขาสักมื้อ 

    เมื่อสาวปริศนาเงียบไปนาน บุริศร์ก็ขยับปากจะถามซ้ำ แต่ไม่ทันได้ถาม เธอก็เอ่ยเสียงสดใสขึ้นว่า “เมื่อเช้ามี แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่ยังไงก็ขอขอบคุณพี่ริศร์มากนะคะที่มีน้ำใจกับฉันเสมอ”

    เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มทะเล้นของคนตรงหน้าทำให้บุริศร์นิ่งงัน แต่ก็ตะขิดตะขวงใจว่าหากเคยสนิทสนมกันจริง เขาก็น่าจะจำอีกฝ่ายได้ ไม่ใช่จำไม่ได้เลยแบบนี้

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไป...อาบน้ำก่อนนะคะ” 

    เสียงหวานใสที่เอ่ยขึ้นทำให้บุริศร์รู้ตัวว่าเขาจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป กระแอมเบาๆ แล้วจึงบอกด้วยเสียงขรึมว่า

    “เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วออกมากินข้าวเย็นด้วยกันนะ แล้วจะได้ทำแผลที่มือด้วย”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น