7

บทที่ 6 จำไม่ได้กับไม่ใส่ใจ ความหมายคล้ายคลึงกัน

6

จำไม่ได้กับไม่ใส่ใจ ความหมายคล้ายคลึงกัน


“ข้าวของข้าพเจ้า ขาวดังดอกบัว ยกขึ้นเหนือหัว ถวายแด่พระพุทธ ถวายแด่พระธรรม ถวายแด่พระสงฆ์ ตั้งจิตจำนง ตรงต่อพระนิพพาน” 

ปรีชญาณ์กล่าวคำถวายของใส่บาตรตามบุริศร์และยกขันใส่ข้าวขึ้นจบเหนือศีรษะ ระหว่างรอพระสงฆ์ก็อดถามในสิ่งที่สงสัยไม่ได้ “เราต้องอธิษฐานถึงนิพพานเลยหรือคะ ฉันนึกว่าเราใส่บาตรเพื่อสั่งสมบุญไว้ใช้ชาติหน้ากับทำบุญให้ญาติที่ล่วงลับไป” 

บุริศร์มองดวงตาใสแจ๋วของคนอยากรู้แล้วก็ยิ้มบางพลางอธิบายว่า “อันที่จริงแล้วผมใส่บาตรเพราะตั้งใจสืบทอดศาสนาเป็นสำคัญที่สุดนะ เพราะพระสงฆ์ท่านดำรงชีพด้วยปัจจัยที่พุทธศาสนิกชนถวาย เมื่อท่านแข็งแรงดีทั้งกายใจ ท่านก็จะศึกษาพระธรรมคำสอนมาปฏิบัติ มาสอนให้เราเข้าใจและทำตาม ส่วนเรื่องนิพพาน เราทุกคนก็ต้องการพ้นจากทุกข์ไม่ใช่รึ แต่ไม่ใช่จะถึงได้โดยง่ายเพียงแค่ใส่บาตรหรอกนะ คุณต้องหมั่นสะสมเสบียงบุญ”

“เพราะอย่างนี้นี่เองพี่ริศร์ถึงได้ตื่นมาหุงข้าวทำอาหารเองทุกเช้า เพื่อให้พระคุณเจ้าท่านมีอาหารที่มีประโยชน์ให้เลือกฉัน ในระยะยาวท่านจะได้ไม่ต้องอาพาธโดยมีสาเหตุจากอาหารที่เราใส่บาตรไป ขออนุญาตสาธุดังๆ อีกครั้งค่ะ”

บุริศร์มองกิริยายกมือขึ้นไหว้จบของแม่สาวปริศนาด้วยความพึงพอใจ ยินดีที่เธอเข้าใจว่าบุญจากการใส่บาตรนั้นไม่ได้เกิดจากรสชาติหรือมูลค่าของอาหาร แต่เกิดจากเจตนาบริสุทธิ์และความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของผู้ใส่ เพื่อที่เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วจะได้เกิดความยินดีในทานที่ได้ถวายไปแล้วนั้น

“พระมาแล้วค่ะ” เสียงหวานเรียกและกระวีกระวาดยื่นขันให้บุริศร์ใส่บาตร ก่อนจะหันมาถือกล่องใส่กับข้าวเพื่อส่งให้บุริศร์ถวายพระเป็นลำดับถัดไป 

“แตะแขนผมสิ” บุริศร์เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงปรานี มองท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคนข้างตัวอย่างขบขัน

ปรีชญาณ์เป็นคนห่างวัดห่างวาเพราะบิดาของเธอแทบไม่เคยพาไปตักบาตรทำบุญที่วัด บุญที่รู้จักคือการใส่ซองกฐินผ้าป่า และการหยอดเงินบริจาคลงในกล่องเวลาไปเที่ยวถ่ายรูปที่วัดเท่านั้น ฉะนั้นพอบุริศร์บอกให้แตะแขนเขา เธอจึงงงเป็นไก่ตาแตก

เพราะพระสงฆ์เดินมาหยุดตรงหน้าแล้ว บุริศร์จึงไม่มีเวลาอธิบาย เขายื่นแขนไปใกล้มือปรีชญาณ์เพื่อให้เธอจับแขนเขาไว้ ก่อนจะเริ่มต้นตักบาตร ท่าทีของเขาเป็นธรรมชาติและคล่องแคล่วอย่างคนที่ปฏิบัติเป็นประจำ พลอยทำให้ปรีชญาณ์รู้สึกว่าการใส่บาตรเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดี


แม้รู้ดีว่าไม่เป็นที่ต้องการ แต่ปรีชญาณ์ก็ยังอดมีความสุขกับความใกล้ชิดนี้ไม่ได้ ทุกเช้าของเธอเริ่มต้นด้วยการนั่งมองใบหน้าคล้ามคมสะอาดสะอ้านของผู้ชายที่รักในโต๊ะอาหาร ไต่สายตามองมือยาวๆ ที่หยิบจับ ผัด ทอดอาหารเช้าอย่างคล่องแคล่ว และมีความสุขกับการกินอาหารสุขภาพที่บุริศร์ทำ กลางวัน...ปรีชญาณ์มักขลุกตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่ออ่านหนังสือที่บุริศร์ซื้อไว้ เบื่อจากหนังสือก็เปิดดูอัลบัมรูปถ่ายเก่าๆ เพื่อสืบเรื่องราวตลอดสิบสองปีที่ผ่านมาว่าบุริศร์เคยไปที่ไหน ทำอะไร พบเจอใครมาบ้าง ซึ่งบางครั้ง... เรื่องราวที่รับรู้ก็ทำให้เธอหงุดหงิด

“เห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่ตรงนี้ไหมปริศนา” บุริศร์ชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นซึ่งเดิมเคยมีกรอบรูปบานเล็กใหญ่หลายขนาดกับของกระจุกกระจิกที่มีคนรู้จักบ้าง เพื่อนร่วมงานบ้างซื้อมาฝากจากที่ต่างๆ 

“อ้อ...ฉันเห็นมีฝุ่นสะสมเลยเอาออกไปทำความสะอาดค่ะ” ปรีชญาณ์ตอบตาใส เรื่องอะไรจะบอกตรงๆ ว่าเธอเก็บยัดใส่กล่องไปแล้ว ก็กรอบรูปที่เขาว่าคือรูปคู่ของเขากับยายผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ สวมชุดนักเรียนมัธยมต้น ที่แก่แดดแก่ลมเขียนบอกผู้ชายว่า ‘คิดถึงกันบ้างนะ...จากฝ้าย’

เชอะ...สมัยพระเจ้าเหาอย่างนั้นใครจะเสียเวลาระลึกถึงเธออยู่ยะ ป่านนี้ลูกเจ็ด สามีแปดไปแล้วก็ไม่รู้

“แล้วการ์ดกับของที่ระลึกตรงนี้ล่ะ” บุริศร์ถามต่อ ท่าทีเหมือนคนตามหาอะไรบางอย่าง

“ก็เก็บออกไปพร้อมๆ กันค่ะ ตั้งใจว่าทำความสะอาดเสร็จแล้วจะจัดให้ใหม่” 

ปรีชญาณ์บอกพร้อมกับวงเล็บในใจ จัดใหม่แปลว่าโละของเก่าทิ้งให้หมด ก็เรื่องอะไรจะเก็บไว้ให้บาดอารมณ์ ในเมื่อการ์ดที่บุริศร์ตามหาคือแฮนด์เมดฝีมือพี่ก้อย ผู้หญิงจากที่ทำงานเก่าที่เคยประกาศทั่วบริษัทว่า ‘คุณบุริศร์เนี่ย...ผู้ชายในฝันของพี่เลยนะ’ ย่ะ...เชิญฝันต่อไปเถอะ ผู้ชายคนนี้คือชีวิตจริงของเธอเท่านั้น และยังมีของที่ระลึกกระจุกกระจิกต่างๆ ที่เดาได้ว่าคนให้มาเป็นผู้หญิง

ใช่...คนเราคบหาเพื่อนต่างเพศได้ และบุริศร์ก็ไม่ได้ผิดที่เก็บรักษาน้ำใจของพวกเธอเหล่านั้นไว้ ถ้าจะมีเรื่องที่บุริศร์ผิด ก็ตรงที่เขาเก็บความทรงจำเรื่องอื่นๆ เอาไว้ แต่ไม่ใส่ใจเรื่องของเธอ!

หลายครั้งที่ปรีชญาณ์เกือบจะพลั้งปากถามบุริศร์ว่าเขาจำเด็กผู้หญิงที่เขาเรียกว่า ‘หนูเปีย’ ได้บ้างไหม แต่เธอก็กลัวคำตอบเกินกว่าจะถามออกไป เพราะจำไม่ได้กับไม่ใส่ใจความหมายคล้ายคลึงกัน


ปกติในวันเสาร์บุริศร์จะเข้าร่วมกิจกรรมจิบน้ำชายามบ่ายกับกลุ่มผู้สนใจธรรมะเพื่อสนทนาธรรมและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์สังคม แต่สัปดาห์นี้หลังจากประชุมเสร็จในช่วงเช้า บุริศร์ก็ขอตัวกลับบ้านด้วยตั้งใจว่าจะพาปรีชญาณ์ไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องการฟื้นความจำ และหาที่พักที่เหมาะสมให้เธอต่อไป

“ปริศนา...” คำเรียกติดอยู่เพียงริมฝีปากเมื่อบุริศร์กวาดสายตาไปพบร่างโปร่งระหงของปรีชญาณ์ในท่าคุกเข่าหน้าแข้งติดกับพื้น เธอหันหลังใช้มือยันกำแพงจนแขนเหยียดตึง เผยให้เห็นสัดส่วนอิ่มเอิบ

บุริศร์ไม่รู้ว่าเขายืนมองเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยนั้นสลับสับเปลี่ยนอิริยาบถอยู่นานเท่าไร คล้ายถูกสะกดให้จดจ่ออยู่กับใบหน้าชื้นเหงื่อเชิดหงายที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะและสงบนิ่ง เขาเพิ่งสังเกตว่าผิวของเธอขาวอมชมพู ยิ่งเมื่อออกกำลังกายจนเลือดสูบฉีดจะเห็นเส้นเลือดฝอยกระจายจนแก้มแดงปลั่ง ขนตาของเธอค่อนข้างยาว เมื่อหลับตา แพขนตาจึงทาบทับตัดกับผิวขาวสร้างความรู้สึกร้อนรุ่มในใจ

ฟุ้งซ่านหนอ! ฟุ้งซ่านหนอ! 

กำหนดลมหายใจและเรียกสติได้แล้ว บุริศร์ก็ปั้นหน้าดุใส่ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวเปลี่ยนท่าทางเป็นยืนนิ่งให้ส้นเท้าสองข้างชิดกัน ท่าทางสำรวมของเธอนั้นทำให้เขาคิดได้ว่าแม้ชุดที่ซื้อมาจะเรียบร้อยสักเพียงไหนก็ไม่อาจปกปิดสรีระอันสวยงามของเธอได้ ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนกับงานปั้นของจิตรกรฝีมือเอกที่ต้องยอมรับว่ามีเสน่ห์และดึงดูดสายตาได้เสมอ แต่...ควรเป็นเสน่ห์ที่ใช้ดึงดูดคนอื่นที่ไม่ใช่เขา

“กลับมาไวจังค่ะ” ปรีชญาณ์เปิดยิ้มทักทาย กายสดชื่นจากการออกกำลังกาย ใจสดชื่นเพราะเธอเพิ่งทำให้บุริศร์เสียกิริยาได้ ต้องขอบใจเพื่อนจุ๊บที่แนะนำให้เธอเล่นโยคะ

“ประชุมเสร็จเร็วน่ะ ว่าแต่...คุณเล่นโยคะเป็นด้วยหรือ” บุริศร์ถามพลางจับสังเกตสีหน้าของเธอ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ 

ร่างบางไหวไหล่น้อยๆ บอกกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

“ค่ะ...ฉันคิดออกในหัวว่าต้องทำท่าอย่างไร แล้วก็ทำตามนั้น แต่อย่าถามนะคะว่าแต่ละท่าเรียกว่าอะไร เพราะฉันจำไม่ได้ รู้แค่ว่าทำแล้วสบายตัวดีจัง” 

คำตอบที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มกระจ่างใสทำให้บุริศร์หายใจขัดๆ และยิ่งเมื่อเจ้าตัวเอนลำตัวไปซ้ายทีขวาทีเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บุริศร์ก็วางสายตาไว้ที่ผนังห้องเพื่อปิดกั้นไม่ให้มองความอิ่มเอิบที่พุ่งดันเนื้อผ้า แต่แทนที่เจ้าตัวจะรู้ว่าเสื้อยืดสีขาวที่เธอสวมมันชื้นเหงื่อและแนบเนื้อนวลจนมองเห็นรูปทรงชัด หญิงสาวกลับขยับตัวตามสายตาของเขาและถามตาใส

“พี่ริศร์มองหาอะไรคะ หรือว่าฉันเก็บอะไรผิดที่อีก” 

ไม่เพียงแค่ถาม แต่ปรีชญาณ์ยังจงใจยื่นหน้าเข้าใกล้ ลอบยิ้มกริ่มเพราะเชื่อมั่นว่าบุริศร์ย่อมได้กลิ่นน้ำหอมที่เธอใส่ ฟีโรโมนกระจายขนาดนี้ ถ้ายังอดใจได้ก็ฤๅษีแล้วละ

บุริศร์ขยี้ปลายจมูกไปมา ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วตั้งคำถาม “คุณเก็บดอกนมแมวหรือดอกอะไรเข้ามาในบ้านหรือเปล่า ทำไมเหม็นเวียนหัวจัง เปิดหน้าต่างกว้างๆ สักหน่อยดีกว่า อากาศจะได้โปร่ง”

ปรีชญาณ์ยืนนิ่งไว้อาลัยให้หัวน้ำหอมราคาเฉียดหมื่นสามวินาที เมื่อเห็นว่าบุริศร์เดินไปเปิดหน้าต่างเสียทั่วบ้าน ปรีชญาณ์ก็ยอมแพ้ให้แก่ฆานประสาทของอีกฝ่าย ไม่หลงใหลคลั่งไคล้ก็ว่าตบะแก่กล้าแล้ว ยังประณามว่าเธอเหม็นเสียได้ ประเดี๋ยวเอาคอขาวๆ กดจมูกให้สำลักกลิ่นเสียเลยนี่!

ปรีชญาณ์คิดอย่างแง่งอนแล้วหอบเสื่อขึ้นมาถือไว้ แต่ไม่ทันได้ก้าวออกจากบ้าน เสียงเข้มก็ดังขึ้น “จะไปไหน”

“ก็พี่ริศร์บอกว่าเหม็น ฉันเลยจะออกไปไกลๆ ไงคะ” ปรีชญาณ์บอกเสียงสะบัด ปรายตามองคนที่ยืนหน้าเคร่งอย่างหมั่นไส้ ไม่ได้รู้ตัวว่าอาการกระฟัดกระเฟียดของเธอทำให้ทรวงอกหยุ่นสะท้านไหว ก่อกวนอารมณ์ของคนมอง

“ไม่ต้อง อยากทำอะไรก็ทำในนี้ละ เรื่องกลิ่น เดี๋ยวผมเลี่ยงขึ้นบ้านให้ก็ได้”

คำว่า ‘เลี่ยง’ ของบุริศร์คล้ายแส้ฟาดที่ทำให้ม้าอย่างปรีชญาณ์ดีดผลึงทันใด หน็อย...รังเกียจกันนักใช่ไหม ได้สิ!

“พี่ริศร์นั่นแหละค่ะที่ต้องอยู่ในบ้าน ฉันเป็นผู้อาศัย ควรจะเป็นฝ่ายไปมากกว่า” พูดจบปรีชญาณ์ก็ผลุนผลันจะเดินออกไป แต่เพราะขาสั้นกว่าจึงย่ำเท้าได้เพียงสองก้าวก็ถูกมือแข็งแรงคว้าต้นแขนไว้ ตามด้วยเสียงดุ

“บอกว่าไม่ให้ออกไป เชื่อฟังกันบ้างสิ!” 

บุริศร์ไม่อยากบอกว่าเหตุผลที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องกลิ่น แต่จะโทษชุดที่เธอสวมก็ว่าได้ไม่เต็มปาก เพราะลำพังแค่เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงผ้ายืดห้าส่วน ใครๆ เขาก็สวมกันทั้งนั้น ต้นตอของปัญหาคือรูปร่างได้สัดส่วนยวนเย้าอารมณ์ของเธอต่างหาก ซึ่งถ้าเขาปล่อยให้เธอออกไปเล่นโยคะนอกบ้านก็อาจจะไปเตะตาไอ้หนุ่มกลัดมันจนกลายเป็นภัยต่อตัวเธอเอง

ปรีชญาณ์สบดวงตาดุแล้วก็พบว่าบุริศร์ที่อยู่ตรงหน้าเฉียบขาดและเข้มงวดกว่าพี่ริศร์ที่เธอเคยรู้จัก หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาไม่ได้เมตตาต่อเธอดังเช่นวันวาน และเธอก็ไม่ควรจะดื้อรั้นเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อยในอดีต

“ค่ะ ฉันจะไม่ไป” 

บุริศร์ถอนหายใจยาว มองคนที่เบือนหน้าหนีทำท่าทีปั้นปึ่ง “ฟังผมนะปริศนา ผมไม่มีปัญหาที่คุณจะออกกำลังกายในบ้าน ส่วนเรื่องกลิ่นที่พูดเมื่อครู่ ผมปากเร็วไปหน่อย อย่าถือสาหาความเลยนะ เอาเป็นว่านับจากนี้ไปผมยกห้องนี้ให้คุณใช้เป็นห้องนันทนาการ อยากทำอะไรก็ตามใจ”

คุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อเขาเสียพื้นที่หนึ่งไปแล้วได้รอยยิ้มสดใสกลับมา แต่คงดีไม่น้อยถ้าเสียงหวานใสของเธอจะไม่ตามมาหลอนอนุสติของเขาว่า “ถ้าคุณสนใจเล่นโยคะก็บอกได้นะคะ ฉันคิดว่าฉันพอจะสอนได้”     


หลังจากอิ่มข้าวปลาอาหารแล้วบุริศร์ก็ยกโทรทัศน์จากห้องนอนของตัวเองมาตั้งไว้ที่ห้องนั่งเล่น เพราะคิดว่ารายการทีวีคงจะช่วยคลายความเหงาให้ปรีชญาณ์ได้บ้าง และมันก็เป็นจริงเมื่อคนตรงหน้ามองเจ้าจอสี่เหลี่ยมขนาดสามสิบสองนิ้วด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่ยังมีแก่ใจถามก่อน

“แล้วพี่ริศร์มีดูหรือคะ” 

“ไม่มี” บุริศร์ตอบ และเมื่อเห็นเธอตั้งท่าจะปฏิเสธก็บอกเพิ่ม “ผมไม่ค่อยดูทีวีหรอก ไม่มีเวลา และตอนค่ำก็ชอบเข้าห้องพระสวดมนต์มากกว่า คุณเอาไว้ดูเถอะ” บอกแล้วก็ตั้งท่าจะเดินกลับ แต่เสียงเรียกของเธอก็ทำให้เขาชะงักและมองคนตรงหน้าเต็มตา

“พี่ริศร์คะ ฉันไปด้วยได้ไหม คือ...ที่ห้องพระน่ะค่ะ ฉันอยากจะสวดมนต์” 

คำพูดตะกุกตะกักของปรีชญาณ์ทำให้บุริศร์ยิ้มขัน หลายครั้งที่บุคลิกขัดแย้งในตัวเองของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขานึกกังขาว่าแท้จริงเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ บางครั้งก็เหมือนจะกล้าเกินหญิง ชอบแสดงสีหน้าและแววตายั่วล้อเขา แต่บางครั้งก็ดูประหม่าขัดเขินจนแก้มขาวๆ นั้นเรื่อด้วยเลือดฝาด และเพียงเขาพยักหน้าอนุญาต ดวงตาสุกสกาวก็พราวพร่างน่ามอง 

เอ...น่ามองอย่างนั้นหรือ

บุริศร์มองใบหน้าเนียนสวยตรงหน้าแล้วก็ปรามตัวเองสถานเบา ‘ผู้หญิงคือความยุ่งยาก’ แต่จะให้เขาห้ามคนมีจิตกุศลคิดจะสวดมนต์หรือก็ใช่ที่ หากห้ามไป ตัวเขาเองนั่นละที่จะบาป ไหนอาจจะต้องถูกแววตาท้าทายนั่นมองเชิงล้อเข้าให้อีก เมื่อไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าฝึกฝนและรักษาความสงบในหัวใจตัวเองไว้ให้อยู่กับร่องกับรอย บุริศร์จึงตัดสินใจพาหญิงสาวปริศนาเข้าไปในห้องพระ แล้วหยิบยื่นหนังสือสวดมนต์เล่มบางให้เธอ จากนั้นก็จงใจอธิบายสั้นๆ หันหน้าเข้าหาโต๊ะหมู่บูชาขนาดกลางเพื่อเริ่มต้นสวดมนต์ตามกิจวัตรประจำวันของตนเอง 

นานนับชั่วโมงที่บุริศร์ตัดความสนใจที่มีต่อผู้หญิงด้านหลังโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มต้นสวดมนต์ด้วยสมาธิอันแน่วแน่จนจบบทเมตตาใหญ่แล้วก้มลงกราบพระสามครั้ง แล้วก่อนที่จะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่านั่งขัดสมาธินั้นเองบุริศร์ก็หันมามองคนด้านหลัง และพบว่าเธอนั่งเท้าแขนอ่อนมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าแจ่มใส ก่อนกล่าวคำรายงานเหมือนเด็กๆ 

“ฉันสวดมนต์เสร็จแล้วค่ะ ให้ทำอะไรต่อไปคะ” 

“ลองนั่งสมาธิดูไหม สมองจะได้ปลอดโปร่ง เผื่อจะนึกอะไรได้” 

คำพูดเขาเข้าทางคนช่างเย้าอีกจนได้ แววตาคนฟังเป็นประกายพราวเหมือนกับเสียงหวานใสที่เอ่ยล้อ “ลองดูก็ได้ค่ะ แต่เอาแค่เรื่องก่อนเกิดอุบัติเหตุก็พอนะคะ อย่าให้ถึงอดีตชาติ” 

รอยยิ้มของปรีชญาณ์เจื่อนลงเมื่อเขามองด้วยสายตาเคร่งครัดมองอย่างเอือมระอา และคำบอกต่อมาก็เรียบกริบเฉือนใจคนฟัง “ยังไม่ต้องกลัวไปถึงขั้นนั้นหรอกครับ เอาแค่ดึงสติได้มากขึ้นก็พอแล้ว”

การถูกตำหนิอ้อมๆ ว่าเธอ ‘ไม่มีสติ’ ทำให้ปรีชญาณ์ยื่นริมฝีปากออกอย่างแสนงอน อยากโต้แย้งเหลือเกินว่า ‘ไม่มีสติยังดีกว่าคนไม่มีหัวใจก็แล้วกัน’

ตอนแรกบุริศร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าถูกงอน แต่พอเห็นปรีชญาณ์กอดอกนิ่ง เชิดหน้าหนี และทำแก้มพอง บุริศร์ก็จำต้องรู้ไปโดยปริยาย และเมื่อรู้แล้วก็อดขันไม่ได้ ‘ตอนเด็กคงจะเอาแต่ใจน่าดู’

ปรีชญาณ์เลิกงอนทันทีเมื่อเห็นว่าบุริศร์มองเธอแล้วยิ้ม จุดเริ่มต้นของความรักมักเกิดจากรอยยิ้มทั้งนั้น คิดแล้วจึงยิ้มกว้างส่งคืนไปบ้าง ยิ้มน่ารักน่าชังที่ทำให้คนมองอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ถ้าคุณออกจากสมาธิแล้วผมยังนั่งสมาธิอยู่ก็กลับไปห้องได้เลยนะ”

ตัดบทแล้วบุริศร์ก็หันหลังให้และเริ่มต้นทำสมาธิ เห็นอย่างนั้นแล้วปรีชญาณ์ก็ขยับท่าทางเลียนอย่างเขาบ้างและเริ่มกำหนดลมหายใจ หลายครั้งที่ความคิดกระเจิดกระเจิง แต่เมื่อรู้ตัวปรีชญาณ์ก็วางสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้านบุริศร์ การนั่งสมาธิของเขาค่อนข้างได้ผลกว่าเพราะผ่านการฝึกฝนตัวเองมานานหลายปี อาจจะมีว่อกแว่กนอกลู่นอกทางเพราะรอยยิ้มซุกซนกับแววตาตัดพ้อของคนข้างๆ ครั้งสองครั้ง แต่เมื่อรั้งสติได้ บุริศร์ก็ครองจิตให้อยู่ในสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ จนเมื่อเขาออกจากสมาธิแล้วก้มลงกราบพระนั่นละ บุริศร์จึงพบว่าหญิงสาวปริศนาพบหนทางของตนเองแล้ว

บุริศร์ทอดตามองคนที่นั่งสัปหงกหลับอย่างพินิจพิจารณา สองวันมาแล้วที่เขาติดต่อแพทย์ประจำตัวของเธอไม่ได้ โทรศัพท์ไปที่คลินิกก็โอนสายหลายต่อหลายทอด แล้วสายก็หลุดไป จะเข้าไปสอบถามเรื่องอุบัติเหตุจากสถานีตำรวจในพื้นที่ บุริศร์ก็เลิกงานค่ำทุกวัน จึงกลายเป็นว่าหญิงสาวอยู่บ้านนี้มาเกือบสัปดาห์โดยที่ความทรงจำไม่ฟื้นคืนมา แต่น่าแปลกว่าเธอดูไม่ทุกข์ร้อนสักเท่าไร ยังคงกินอิ่ม นอนหลับสบาย ดูคล้ายมาพักตากอากาศมากกว่าเป็นคนป่วย

“คุณตื่นเถอะ ไปนอนได้แล้ว” บุริศร์เรียกน้ำเสียงปรานี เมื่อไม่มีเสียงตอบ ชายหนุ่มก็จำต้องแตะต้องตัวของอีกฝ่าย ทันทีที่มือแตะลงบนบ่าบอบบาง ร่างที่โอนเอนอยู่แล้วก็ทิ้งตัวพิงเขา หน้าผากมนซุกซบลงหัวไหล่พอดิบพอดี 

“คุณ ตื่นเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหม” บุริศร์เรียกเสียงเข้ม เม้มริมฝีปากชั่งใจ ใคร่ครวญว่ามีหนทางอื่นให้เลือกอีกไหม นอกจากนั่งเป็นหมอนให้คนนอนหลับสบาย กับปลุกให้ตื่นขึ้นมา 

ปรีชญาณ์ปรือเปลือกตาขึ้นมองแล้วรีบหลับลงใหม่ รอยยิ้มซุกซนประดับบนริมฝีปากบางอย่างสาสมใจ ในที่สุดความบังเอิญก็กลายร่างเป็นวาสนาเสียที!

อันที่จริงปรีชญาณ์มีเจตนาบริสุทธิ์ในการนั่งสมาธิ และเธอก็พยายามเจริญภาวนาแล้วอย่างยิ่งยวด แต่ไม่ทันที่จิตจะเกิดสมาธิ ความเมื่อยขบและเหน็บชาก็ดาหน้าเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา คนที่มีความเพียรน้อยอยู่แล้วจึงออกจากสมาธิแต่โดยดี ครั้นจะหนีกลับห้องไปเสียเลยก็เสียดายโอกาสที่จะได้เฝ้ามองบุริศร์ใกล้ๆ แล้วพอนั่งคิดฝันอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็กลายเป็นว่าเธอเผลอหลับ เพิ่งมาตื่นเต็มตาตอนบุริศร์เขย่าเรียกนี่ละ แล้วไหนๆ ก็สัปหงกซบอกได้ทั้งที จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปก็เสียเชิงหญิงแย่ คิดแล้วหญิงสาวจึงแสร้งหลับต่อ รอจังหวะสำคัญ

ในความเพริศแพร้วแห่งอาณาจักรจินตนาการ ปรีชญาณ์วาดภาพบุริศร์อุ้มเธอไปส่งที่ห้องพักและค่อยๆ วางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม ใต้แสงนวลของดวงจันทร์นั้น ผมของเธอสยายเต็มหมอนล้อมกรอบใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และงดงาม เปลือกตาของเธอหลับพริ้มเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ปิดสนิท แต่นุ่มชุ่มชื้นด้วยลิปปาล์ม และเพียงริมฝีปากหยักก้มลงมาจูบซับ เธอก็จะ...

“ปริศนาตื่น ได้ยินไหม ผมบอกให้ตื่น อะไรกัน นอนหลับไม่รู้เรื่องขนาดนี้ได้อย่างไร” 

เสียงดุของบุริศร์กระชากปรีชญาณ์ออกจากจินตนาการ แต่กระนั้นสาวแสบก็ยังแสร้งหลับตานิ่งคล้ายคนหลับสนิท จริงอยู่ว่า... กุลสตรีไทยที่ดีต้องรักนวลสงวนเนื้อตัว ไม่ควรอยู่ในที่รโหฐานกับผู้ชายสองต่อสอง แต่...เธอเป็นกุลสตรีมาตั้งยี่สิบหกปีเชียวนะ ปีนี้ละเว้นบ้างคงไม่เป็นไรหรอก

บุริศร์มองคนที่หลับคอพับคออ่อนอย่างใช้ความคิด ซึ่งเพราะคิดนานนี่ละ คน (แกล้ง) หลับจึงเบียดตัวซุกซบคล้ายเด็กน้อยหาไออุ่น บุริศร์กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อลมหายใจแผ่วเป่ารดอกแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกับต้องใช้ธรรมะเข้าข่มให้ตนเองอดทนอดกลั้นต่อกิเลสอันมัวเมา ‘ขันติหนอ ขันติหนอ’

ข่มใจได้แล้วบุริศร์จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก อยากจะใจร้ายปลุกคนในอ้อมแขนให้ตื่นขึ้นมาแล้วไล่ให้เดินกลับห้องของตัวเองนัก แต่เพราะเสียงลมหายใจเข้าออกที่ผ่อนยาวสม่ำเสมอและดวงตาหลับพริ้มอย่างแสนสุข บุริศร์ที่มีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอจึงจำต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

“ฝันดี ปริศนา” 

ปรีชญาณ์อึ้งไปครู่หนึ่งจึงรู้ตัวว่าบุริศร์วางเธอลงกับพรมที่ใช้นั่งสมาธิแล้วหยิบหมอนมารองศีรษะให้ ไหนล่ะ...พระเอกอุ้มนางเอก ไหนล่ะ...เจ้าชายจูบเจ้าหญิง มีแต่อีตาฤๅษีจอมเคร่งทิ้งเธอไว้ในห้องพระ ใจคอจะให้เธอหลับจนไปนิพพานเลยกระมัง

หลังจากประตูห้องพระปิดลงครู่ใหญ่ ปรีชญาณ์ที่แสร้งนอนนิ่งก็ลุกขึ้นนั่งอย่างยอมจำนนต่อหัวใจของอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อกวาดสายตามองพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชา ปรีชญาณ์ก็พนมมือขึ้นไหว้อย่างละอายแก่ใจ และอดตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ว่าเธอมาหาเขาเพื่ออะไรกันแน่

แม้จะมั่นใจว่าตนเองตัดสินใจถูก แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ ซึ่งความกังวลนี้เองที่ชักจูงให้บุริศร์ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะไปมองคนนอนหลับในห้องพระอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันออกจากห้อง เสียงประตูห้องพระก็เปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนและหลับสนิทในอีกไม่กี่นาทีต่อมา


ห้าทุ่มตรงโทรศัพท์ที่ปรีชญาณ์ซ่อนเอาไว้ก็สั่นเพราะมีสายเรียกเข้า มือเรียวกดรับแทบจะทันทีเพราะอยากจะระบายให้เพื่อนฟังใจจะขาด

“ว่าไงยะหล่อน เก็บกวาดอาศรมพี่ฤๅษีเรียบร้อยดีไหม เล่ามาสิว่าพลั้งมือทำอะไรพินาศบ้าง หวังว่าคงยังไม่ได้เผาครัวพี่เขาทิ้งหรอกนะ”

ปรีชญาณ์ทำหน้าเมื่อยใส่ความแสนรู้ของเพื่อน ขนาดไม่เล่าให้ฟังยังจะเดาถูก 

“น้อยไปสิจ๊ะ วันนี้ฉันเพิ่งทำเครื่องทำน้ำอุ่นพัง แกเอ๊ย! สัญญาณอัคคีภัยร้องดังไปทั้งหมู่บ้าน พี่ยามเอย ดับเพลิงเอย กู้ภัยเอย มาจอดรถเรียงกันสลอน” 

ฟังแล้วมาริษากับจักรินทร์ก็มองหน้ากัน มาริษาถามด้วยเสียงแหบโหยว่า ‘แกล้อเล่นใช่ไหมเปรียว ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม’

ปรีชญาณ์ปล่อยให้เพื่อนกระวนกระวายใจกันครู่หนึ่งก็หัวเราะขำ ก่อนจะเล่าความจริงทั้งหมด “อันนี้โม้จ้ะ แต่เรื่องจริงก็วินาศสันตะโรไม่แพ้กันหรอกนะ...” ปรีชญาณ์เล่าเรื่องโดยละเอียดให้เพื่อนฟัง ทั้งเรื่องที่เธอพยายามทำงานบ้านแล้วถูกบุริศร์ดุบ้าง สอนบ้าง และเรื่องที่เธอเผลอหลับในห้องพระ 

เมื่อทั้งสองฟังจบก็พากันเงียบงันคล้ายมีเรื่องให้ขบคิดต่อ 

“อารมณ์ฉันขึ้นๆ ลงๆ วันหนึ่งสักยี่สิบรอบได้มัง พี่ริศร์พูดดีด้วย ฉันก็มีความสุข แต่พอเขาดุที ฉันก็เศร้า บางทีเขาเมินเฉยฉันก็น้อยใจ แต่พอเขายิ้มให้ ฉันก็รักเขาใหม่ วนซ้ำไปมา” ปรีชญาณ์เอ่ยขึ้น

“ฉันบอกแกแล้วว่าอย่ายั่วยวนเขา ให้สร้างความประทับใจด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยการประทับกาย เอะอะอะไรก็คิดเคลมผู้ชายตลอดๆ” 

คำบ่นของจักรินทร์ทำให้ปรีชญาณ์นิ่งงัน เธอมั่นใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่ได้ต้องการให้เกิดแรงขับทางเพศ แต่ที่ทำก็เพราะเธออยากเห็นก้นบึ้งของหัวใจเขามากกว่า ซึ่งเธอก็ได้รู้แล้วว่าลึกสุดใจนั้นไม่มีเธอ ไม่มีแม้เงา

ไม่มีเสียงค้านจากปรีชญาณ์ มีเพียงแต่ใบหน้าเศร้าสร้อยที่เห็นผ่านจอสมาร์ตโฟน มาริษาผู้อยู่อีกฝั่งของประเทศจึงรับหน้าที่ปลอบใจ

“อย่าคิดมากนังเปรียว คนเราเริ่มพึงพอใจกันก็เพราะสรีระหน้าตาก่อนทั้งนั้น ต้องตาก่อนแล้วจึงต้องใจ เพราะรูปธรรมมันเข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่รักจะยั่งยืนหรือไม่อยู่ที่ความชอบพอในอัธยาศัยของกันและกันเป็นสำคัญนะ ความใคร่แปรผกผันกับเวลา ในขณะที่ความรักแปรผันตามในลักษณะทวีคูณ”

มาริษาพูดช้าและชัด ต้องการให้ปรีชญาณ์ซึมซับคำบอกของเธอชนิดคำต่อคำ เมื่อเห็นว่าเพื่อนรอฟังอย่างตั้งใจ สาวอวบก็บอกต่อว่า “ฉะนั้นถ้าแกรักพี่ริศร์ แกต้องรักโดยตระหนักในคุณค่าของตัวเองก่อน ให้พูดได้อย่างเต็มปากว่าเพราะเราดีเขาจึงรัก ความรักที่เกิดขึ้นจะได้เป็นรักอย่างมีสติ รักอย่างรู้ตัวและค่อยๆ พัฒนาความรักไปด้วยกัน รักแบบนี้มันจะมั่นคงและถาวรมากกว่า”

“สาธุ” จักรินทร์ยกมือท่วมหัว ก่อนจะแฉมาริษาว่า “ที่มีข้อคิด ข้อแนะนำดีๆ ให้หล่อนเนี่ย นังเหมียวมันเตรียมสคริปต์ไว้นะยะ ทั้งเปิดเน็ต ทั้งอ่านหนังสือธรรมะ จริงจังตั้งใจอย่างกับจะไปสอบนักธรรมเอก”

“จริงหรือเหมียว” ปรีชญาณ์รู้สึกทึ่ง รู้เหมือนกันว่ามาริษาเป็นคนจริงจัง ตั้งมั่นจะทำสิ่งใดก็ต้องทำให้ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะ ‘ล้น’ ถึงเพียงนี้

“จริงสิ ฉันลุ้นแกเต็มที่ อยากได้เพื่อนเขยธัมมะธัมโมกะเขาบ้าง คนหล่อน่ะไม่กี่ปีก็เหี่ยว แต่คนดีน่ะผ่องแผ้วนพคุณ ได้เป็นคู่แล้วถือเป็นบุญเชียวนะ”

“เหี่ยวอะไรกันหล่อน เมื่อวานตอนฉันไปส่งไอ้ครามได้เห็นคุณธัชจังๆ ฉันงี้ขาอ่อนเปลี้ยไปหมด คนอะไรไม่รู้ จะสี่สิบแล้วแต่ยังหล่อล่ำ กำยำ น่าหม่ำ ว่าแล้วก็อิจฉาไอ้คราม รู้อย่างนี้ฉันขันอาสาไปรับศึกแทนดีกว่า” จักรินทร์ระริกระรี้ ตาเป็นประกาย 

“เออใช่ ไอ้ครามไปไร่คุณธัชวันนี้นี่นา เป็นไงบ้าง ไม่มีปัญหาใช่ไหม” คิดถึงสิ่งที่ทิฆัมพรต้องพบเจอแล้วปรีชญาณ์ก็รู้สึกผิด  เธอหวังว่าทิฆัมพรจะจัดการทุกอย่างได้ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าเธอจะทำให้บุริศร์รักเธอ หรือไม่ก็จนกว่าเธอจะถอดใจ ซึ่งตอนนี้อย่างหลังน่าจะมีโอกาสมากกว่า

“มีสิยะ ปัญหาหนักด้วย ทางนั้นเขาคงนึกว่าคนที่ไปคือแกที่เป็นว่าที่คุณนายที่เก้า บรรดาเมียทั้งหลายเลยมารอรับเตรียมฉกกัดจิกตบ แต่พอคนที่ลงรถไปเป็นไอ้คราม เมียๆ คุณธัชทั้งหลายก็ล้อมวงซักประวัติยาวเหยียด ก่อนจะลงมติไล่ไอ้ครามกลับ โชคดีคุณมนต์ธัชเข้ามาไกล่เกลี่ยและรับไอ้ครามเข้าทำงาน ก่อนฉันกลับมานี่ไอ้ครามได้เข้าที่พักแล้ว”

ปรีชญาณ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆ ทิฆัมพรก็ไม่ได้ลำบากนัก ที่สำคัญคือเธอยินดีที่บรรดาเมียของมนต์ธัชออกมากีดกัน เพราะหมายความว่าทิฆัมพรจะมีเกราะกันความเจ้าชู้ของมนต์ธัชอีกชั้น นอกเหนือจากคราบทอมบอยสาวห้าวบ้าอุดมการณ์ที่ทิฆัมพรเป็นอยู่

“ขอบใจแกทุกๆ คนเลยนะที่ช่วยฉัน และฝากพวกแกคอยฟังข่าวไอ้ครามด้วย”

มาริษาและจักรินทร์วางสายไปนานแล้ว แต่ปรีชญาณ์ยังนอนไม่หลับ ภารกิจสลักรักลงในใจยังไม่ก้าวหน้าเมื่อเทียบกับกรอบเวลาที่เหลืออยู่ หรือว่าเธอควรกระตุ้นความทรงจำ ควรทำให้เขาจำวันดีๆ ระหว่างกันได้ วันดีๆ ที่พี่ชายคนหนึ่งเคยสัญญาว่าจะดูแลน้องสาวคนนี้ตลอดไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น