9
กระตุ้นความเป็นแม่
กระตุ้นความเป็นแม่
ในขณะที่สองหนุ่มต่างวัยกำลังเจรจาเรื่องสถานะพ่อตาลูกเขย ทางด้านสองแม่ลูกก็กำลังคุยเรื่องรักและหัวใจอยู่เช่นกัน
“ฮั่นแน่ แม่ขา รักรู้สึกว่าวันนี้แม่กับพ่อดูโซอินเลิฟแปลกๆ นะคะ”
“อินเลิฟอะไรเล่า รักนี่” แหวแก้เขินไปแล้ว แรมใจก็โดนลูกสาวหรี่ตามอง เลยต้องจำยอมพยักหน้ารับอายๆ “คือ...พ่อเขาบอกว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับแม่น่ะ”
“อร๊าย...พ่อโซสวีตจัง” ร้อยรักแกล้งเย้า หัวเราะคิกคักมองมารดาอย่างหยอกเอิน สีหน้าของท่านดูอิ่มเอิบราวกับสาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังมีความรักอย่างไรอย่างนั้น
“พอเลย ไม่ต้องมาล้อแม่เลยนะ ถือจานผลไม้ไปหาพวกเขากันเถอะ”
แม้จะดูออกว่าแม่จงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ร้อยรักก็ยอมเออออตาม ยกจานผลไม้แล้วพากันเดินไปหาสองหนุ่ม พลันเอะใจพอสมควรที่พวกเขาดูรื่นเริงแปลกๆ
ครั้นทยอยนั่งกันเรียบร้อยแล้ว รวีก็มองอดีตภรรยาเสียหวานหยดย้อยชนิดที่ผลไม้หวานๆ ยังพ่ายแพ้ พลางบอกเสียงนุ่ม
“แรม...วีจะไม่บ่นเรื่องงานของแรมอีกแล้ว จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ไม่เอามาเป็นปัญหาระหว่างเราอีก”
จากนั้นก็หันไปหาลูกสาว “รัก ที่ผ่านมาพ่อเอาแต่คิดในมุมมองของพ่อว่าไม่อยากให้ลูกล้ม ไม่อยากให้ลูกเจ็บหรือต้องเผชิญความทุกข์ยากอะไร แต่ตอนนี้พ่อจะปรับใหม่นะ พ่อจะไม่บ่นเรื่องงานหนูอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่หนูเลือก ไม่ว่าหนทางข้างหน้าหนูจะเจออะไร ถ้าหนูล้ม พ่อจะเป่าแผลและคอยพยุงให้หนูลุกขึ้นมาเอง”
ร้อยรักอึ้งงัน...น้ำตาคลอที่นัยน์ตาทั้งสอง เพียงเท่านี้เองที่เธอต้องการจากพ่อ เธอไม่เคยร้องขออะไร เธอเพียงแต่อยากให้พ่อยอมรับในสิ่งที่เธอเลือก
“อีกเรื่องที่พ่ออยากจะบอกรัก...รักจะอนุญาตไหม ถ้าพ่อจะขอจีบแม่”
ร้อยรักอมยิ้มจนแก้มแทบปริ แกล้งเย้า “อยากจีบแม่ก็ขอแม่สิค้า คุณทนายรวี”
ทนายรวียิ้มมุมปาก ยื่นหน้าไปใกล้คนในหัวใจ “แรม...ให้วีจีบได้ไหม”
“ก็...อืม”
รวียิ้มกว้าง ยื่นหน้าไปหอมแก้มแรมใจหนึ่งฟอด จนเธอหน้าตื่น ก่อนจะดึงหูเขาจนเขาร้องโอ๊ย “สมน้ำหน้า ใครใช้ให้มาหอมแก้มกันฮึ ร้ายตั้งแต่หนุ่มยันแก่ สมัยเรียนก็ชอบถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เลย”
“แรมเองก็โหดตั้งแต่สาวยันแก่ ชอบดึงหูวีตลอดเลย”
รวีบ่นอุบพลางสบตากับแรมใจ พากันตกอยู่ในภวังค์แห่งรักกันทั้งคู่ จนร้อยรักแกล้งกระแอมเย้านั่นแหละ ถึงได้ผละออกจากภวังค์ และเริ่มรับประทานผลไม้แก้เขิน
“อยากให้แรมป้อนจัง”
แรมใจมองค้อนใส่คนอ้อน ก่อนจะแกล้งส่งสายตาเข้มนิ่งให้เขากินเอง พอเขาทำหน้ามุ่ย เธอก็หลุดขำพลางมองเขาด้วยความรักอย่างเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่
ดูท่าแล้ว...เธอคงจะได้กลับมาเป็นเมียตาแก่งี่เง่าในไม่ช้าไม่นานนี้แน่
ทำไงได้ เขาทั้งเป็นพ่อของลูก ทั้งยังเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่เธอรักเสมอมา
ทว่า...ก่อนจะคืนดี ขอแกล้งสักนิดละกัน โทษฐานที่ปล่อยให้เธอรอมานานจนเธอใจหายใจคว่ำ คิดว่าเขาจะไม่มาง้อกันเสียแล้ว
สายเรียกเข้าและชื่อคนโทร. มาทำคนที่กำลังนอนเล่นบนเตียงถอนใจเฮือกใหญ่ แสนจะลำบากใจ...ด้วยเขาคือวรุตม์ ผู้ชายที่เธอเบี้ยวนัดดินเนอร์ และเขาก็คงจะโทร. มาตัดพ้อเธอแน่นอน
“ฮัลโหล ค่ะ...”
“ฮัลโหล...คุณรัก...โผม..อือ...อา...!?<%#$(#@...”
ร้อยรักขมวดคิ้วเมื่อได้ยินภาษาที่ชวนงงงวย หลังจากนั้นสายก็ตัดไป เธอเองก็ไม่ได้โทร. กลับแต่อย่างใด เพราะไม่อยากคุยกับเขาสักเท่าไร แถมยังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนจนหนังตาแทบจะปิดอยู่แล้วด้วย
เธอเอื้อมมือบางไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง หลับตาลง...เข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ข้างๆ เตียงก็ปรากฏร่างจ้อยที่เปล่งประกายออร่าสีขาวเรืองรอง ดวงตาใสแจ๋วมองโทรศัพท์ของมารดาในอนาคตที่มีคนโทร. เข้ามาอีกอย่างไม่ชอบใจ
“เมื่อกี้โดนแกล้งไปแล้วแท้ๆ ตาลุงเห่ยก็ยังจะโทร. มาอีก”
เทวดาน้อยบ่นอุบ ก่อนจะใช้พลังพิเศษจ้องเขม็งจนหน้าจอโทรศัพท์ดับมืดไป
“ฮ่าๆๆ...” หัวเราะอย่างสะใจกับฝีมือของตน “ตาลุงเห่ย อย่าคิดว่าจะมาจีบแม่รักได้อีก ป๋มจะขัดขวางจนถึงที่สุดเลย”
และนอกจากจะมาขัดขวางไม่ให้ตาลุงเห่ยคนไหนมาจีบแม่ตนแล้ว เทวดาน้อยก็ยังมีภารกิจแสนสำคัญที่ต้องจัดการอีกประการ ซึ่งภารกิจนั้นก็คือ...การกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นแม่ของแม่รัก
ไออุ่นและสัมผัสแสนละมุนแผ่วเบาที่กำลังนัวเนียแก้มตนอยู่ทำร้อยรักสะดุ้งตื่น ใจหายวาบ คิดว่ามีโจรที่ไหนย่องเบาเข้ามาลวนลามตนหรือเปล่า ครั้นลืมตามองเธอก็ได้คำตอบว่าเป็นฝีมือของ...เจ้าโจรน้อยตัวจ้อย
“จ๊ะเอ๋ กุ๊กๆ กู๋ สวัสดีฮับแม่รัก แก้มแม่รักหอมจังเลยฮับ”
บอกแล้วก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มร้อยรักอีกรอบ ทำเอาร้อยรักเขินจนต้องโวยแก้ความกระดากอาย
“นี่ เลิกเรียกฉันว่าแม่ได้แล้วนะ ฉันยังไม่อยากมีลูก”
“ไม่เอา ป๋มไม่ยอม ป๋มจะมาเป็นลูกแม่รัก”
“อย่ามาเอาแต่ใจนะ ฉันไม่ให้หนูมาอยู่กับฉันหรอก”
ได้ฟังเสียงหนักที่แสดงถึงการปฏิเสธตัวเองแล้ว เจ้าตัวจ้อยก็หน้าจ๋อย เบะปาก “ไม่อยากให้ป๋มมาเป็นลูกแม่รักจริงๆ เหรอฮับ”
เสียงสั่นเครือของแกทำร้อยรักใจอ่อนยวบ “มันก็...มันก็ไม่เชิงว่าไม่อยากหรอก ฉันยังไม่พร้อมน่ะ ตอนนี้ฉันยังเป็นแม่ใครไม่ได้จริงๆ”
“ไม่จริงเลยฮับ แม่รักเป็นแม่ป๋มได้...นะฮับแม่รัก ยอมมาเป็นแม่ป๋มเถอะนะ”
“ถึงฉันจะยอม แล้วมันจะยังไงต่อล่ะเจ้าจอมดื้อ ฉันยังไม่มีวี่แววว่าจะมีสามีได้เลย”
“เดี๋ยวแม่รักก็จะมีสามีแล้วฮับ ไม่ต้องห่วง”
เจ้าจอมดื้อหัวเราะคิกคัก ก่อนจะโผกอดร้อยรัก เอาหน้ามาถูไถซุกซบอกอุ่นอย่างมีความสุข เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อรบชอบอ้อนแม่รัก...อกแม่รักอุ่นอย่างนี้นี่เอง
“แน่ะ มากอดกันเฉยเลยนะ”
“ก็ป๋มรักแม่รักนี่ฮับ แม่รักคนฉวย”
คำบอกรักอย่างออดอ้อนของคนตัวจ้อยทำร้อยรักใจละลาย เผลอยกมือกอดตอบตามสัญชาตญาณ พลันอมยิ้มละไม ชื่นใจไปทั้งอก...รู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักเด็กดื้อเข้าเสียแล้ว
ช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงมาก...
เมื่อดวงตาคมกล้าเห็นว่าร่างบางในชุดนอนแบบกระโปรงกำลังเดินเข้ามาในครัว คนที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็หันไปยิ้มให้ ทักทายเสียงนุ่ม “วันนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะครับพี่รัก”
“เมื่อคืนพี่นอนเร็วน่ะ” หญิงสาวตอบรับ หันหน้ามองไปรอบๆ ห้องครัว ก่อนจะถาม “แม่พี่ออกไปแล้วเหรอ”
“ครับ ป้าแรมออกไปสักพักแล้ว เดี๋ยวผมก็จะเตรียมตัวออกไปบ้างเหมือนกัน”
ร้อยรักยิ้มรับ ก่อนจะสังเกตรูปลักษณ์ใหม่ของพันรบด้วยนัยน์ตาเป็นประกายชื่นชม “ใส่ชุดทำงาน เซตผมให้ดูเป็นทางการเข้า รบก็ดูโตขึ้นมากจริงๆ นะ”
พันรบแย้มยิ้มน้อยๆ พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ นำถ้วยโจ๊กไปใส่ในอ่างล้างจาน ก่อนจะหันมาวอนขอคนสวยของตน “พี่รักครับ ขอผมกอดพี่รักเป็นกำลังใจก่อนไปทำงานได้ไหมครับ”
“ก็...ได้สิ”
ร้อยรักกางแขนรับคนร่างสูงที่โผมากอดตน ลูบหลังเขาเบาๆ อวยพรให้ด้วย “ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว พี่ก็ขอให้การทำงานวันแรกของรบราบรื่นนะจ๊ะ”
“ขอบคุณนะครับ ผมรัก...พี่รักนะครับ พี่รักคนสวยของผม”
หัวใจของคนเป็นพี่สาวเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกรัก พลันนึกขันตัวเองนัก ก็แค่คำบอกรักของน้องชาย...จะมาใจตงใจเต้นแรงอะไรเนี่ย
“แล้วนี่จะไปยังไง เอารถพี่ไปใช้ได้นะ ของของพี่ก็เหมือนของของรบ พี่ไม่หวง” หลังจากผละออกจากกัน ร้อยรักก็เอ่ยกับเขาอย่างมีน้ำใจ เธออยากให้เขารู้สึกถึงความเป็นครอบครัว อยากทดแทนอะไรในใจที่ขาดหายของเขา
“ไม่ดีกว่าครับ ผมไปเองดีกว่า ถ้าจะขับรถไปทำงาน ผมก็ขอซื้อมันด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเอง”
ร้อยรักพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปส่งเขาที่หน้าบ้าน พอเขาออกไปแล้วก็นึกเอะใจในอะไรบางอย่าง ด้วยท่าทางและแววตาออดอ้อนของพันรบนี่มันช่างเหมือนใครสักคนจนเธอตงิดใจแปลกๆ
เหมือนใครน้อ...นึกสิ...นึก...
อ้อ นึกออกแล้ว!
เหมือนตาหนูน้อยในฝันเป๊ะเลย!
‘วินนี่ อย่าทำให้ใครเข้าใจผิดอย่างนี้อีกเลยนะครับ พี่ขอร้อง’
นึกถึงคำพูดก่อนวางสายของพิธาน วิมพ์วิภาก็โมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ปาโทรศัพท์ลงพื้นและกรี๊ดจนลั่นห้อง
คราที่ได้เห็นว่าชายหนุ่มโทร. มาหากันตั้งแต่เช้า เธอก็เริงร่าในอก คิดว่าเขาใจอ่อนพิศวาสเธอบ้างแล้ว แต่เธอก็มีอันต้องหน้าแตกยับเยิน เพราะเขาโทร. มาตำหนิเธอ เรื่องที่เธอเป็นคนหนุนหลังให้วิคเตอร์เกเร ด้วยการบอกหลานชายว่าเธอคือแฟนของเขา
แล้วก็ช่างเป็นความบังเอิญอะไรก็ไม่รู้ที่ยายปริมอะไรนั่น ดันเป็นน้าของเด็กนักเรียนที่หลานเธอมีปัญหาด้วย
ตำหนิเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็วางสายไปเลย พอเธอโทร. กลับเขาก็ไม่ได้รับ หนทางที่เธอจะรู้ว่ายายปริมคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร บ้านอยู่ที่ไหน เลยต้องจบเห่ลงทันควัน
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่พิธานดูหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับเธออย่างผิดสังเกต ราวกับว่าเขากำลังปกป้องยายนั่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำเอาเธอมีลางสังหรณ์แสนหวาดหวั่นขึ้นมาในอกว่า...นี่มันไม่ใช่แค่การรับผิดชอบดูแลในฐานะผู้อำนวยการของโรงเรียนพิริยศึกษาที่มีต่อผู้ปกครองของเด็กนักเรียน มันต้องเป็นอะไรที่พิเศษเกินกว่านั้นอย่างแน่นอน
หญิงสาวกัดฟันกรอด ร้อนรนจนอกแทบระเบิดที่จู่ๆ ก็มีศัตรูหัวใจโผล่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพยายามควบคุมสติ แล้วก็ไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเดรสลำลองแสนสวย
พอออกจากห้อง เดินลงบันไดไปยังโถงกลางบ้าน ก็เจอน้องชายที่กำลังทำหน้าหงิกไม่แพ้กัน พร้อมกันนั้นพี่สาวคนโตก็กำลังเดินตรงมาหาพอดี
“เป็นอะไรกันหือ ทั้งสองคน ทำไมดูเบื่อๆ กันทั้งคู่เลยล่ะ”
“พี่พอลโทร. มาว่าวินนี่เรื่องวิคเตอร์น่ะสิคะ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรด้วยก็ไม่รู้ ก็แค่เรื่องของเด็กๆ”
ฟังคำบ่นของน้องสาวแล้ว แวววิไลก็หันมาถามน้องชายคนเล็ก “แล้วตาวุตม์ล่ะ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น”
วรุตม์ถอนใจ ระบายความเหนื่อยหน่าย ก่อนบอก “กำลังเซ็งๆ น่ะครับ โดนสาวเบี้ยวนัดหลายครั้งละ”
“สาวที่ว่า...ใช่สไตลิสต์หน้าตาสวยๆ ที่ชื่อรัก ที่เคยมาดีลเสื้อผ้าของเราใช่ไหม” วิมพ์วิภาถามหาความกระจ่าง เธอกับน้องชายเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า W-Brand ร่วมกัน คิดว่าน้องน่าจะได้รู้จักกับสไตลิสต์คนนั้นก็เมื่อได้ติดต่อกันเรื่องเสื้อผ้านี่เอง
“ใช่ครับ คนนั้นนั่นแหละ ผมตามจีบมาสักพักแล้ว ช่วงสองสามวันมานี้ผมโดนเบี้ยวนัดหลายรอบมาก พอโทร. หาเมื่อคืน ยังไม่ทันจะคุยกันให้รู้เรื่องก็ติดขัดสัญญาณแย่ขึ้นมาซะงั้น จะมีปัญหาอะไรนักหนาก็ไม่รู้”
แรงอารมณ์ที่แสดงถึงความโมโหของน้องชายทำแวววิไลถอนใจ ยื่นมือไปลูบหัวน้องสาวน้องชายอย่างรักใคร่ ความที่เธอกับน้องๆ อายุห่างกันนับยี่สิบปี พอแม่เสียชีวิต และได้มาดูแลน้องแทนแม่ เธอเลยโอ๋และตามใจน้องมาก เพราะอยากลบปมที่ไม่เคยได้ทำตามใจตัวเอง
“พี่แววคะ...พี่แววเองก็ดูเซ็งๆ เหมือนกันนะคะ โดนคุณพ่อว่าแน่เลย ใช่ไหมคะ”
พอพี่สาวพยักหน้า วิมพ์วิภาก็ฮึดฮัดถึงบิดา “คุณพ่อนี่ก็ชอบว่าพี่แววอยู่ได้ ตัวเองนั่นแหละที่ทำให้ชีวิตพี่แววเป็นแบบนี้”
เธอบ่นอย่างเข้าข้างพี่สาวสุดหัวใจ นอกจากจะรักพี่สาวอย่างแม่แล้ว เธอยังสงสารจับใจที่ชีวิตของแวววิไลมีแต่ความทุกข์เสมอมา ไร้ซึ่งความสดใสในชีวิตโดยสิ้นเชิง
“พี่แววขา หาความสุขใส่ตัวบ้างดีไหมคะ พี่แววทุกข์มานานเกินพอแล้วนะคะ”
“ตอนนี้การดูแลวิคเตอร์ก็คือความสุขของพี่ไง”
“ไม่ใช่ค่ะ ความสุขส่วนตัวของพี่แวว เพื่อตัวพี่แววเองน่ะ”
แวววิไลชะงักกึก...ความสุขเพื่อตัวเธอเองงั้นหรือ เธอไม่ได้สัมผัสกับเจ้าความรู้สึกนั้นมานานมากแล้ว...
หากพอจะนึกย้อนไปถึงช่วงที่มีอิสระทางความสุขที่สุด...ก็คงเป็นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงที่ได้คบกับรวี หนุ่มหล่อเนื้อหอมประจำคณะนิติศาสตร์
ในตอนนั้น แม้เขาจะเจ้าชู้ มีสาวๆ ที่คบอยู่หลายคน แต่ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ในตัวเอง แวววิไลก็มั่นใจว่าเธอน่าจะได้เขามาครอบครอง
แต่สุดท้าย...เขาก็หักอกเธอและสาวๆ คนอื่นอย่างเด็ดขาด แล้วก็ไปตามจีบยายแรมใจ ผู้หญิงบ้านๆ หน้าตาธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรเทียบเธอได้เลย
ทำเอาลูกสาวนายทหารใหญ่เช่นเธอเจ็บปวดและเสียหน้าจนแทบกระอัก ทั้งยังไม่สามารถละทิ้งสถานภาพคนเคยคบให้กลายมาเป็นมิตรกันดังที่เขาต้องการ ขอวางท่าเชิดหน้าเป็นศัตรูที่ไม่แม้แต่จะชายตามองทั้งเขาและยายแรมใจไปจนเรียนจบ
ทว่า...ในเสี้ยวลึกของความรู้สึกภายใต้อกข้างซ้ายนี้ แวววิไลก็รู้ดีว่าเธอยังคงมีจิตเสน่หาในตัวเขา อาจเพราะเขาคือผู้ชายคนแรกของความรู้สึกในช่วงวัยสาวแรกรุ่น อีกทั้งก็เป็นคนที่ใจของเธอเลือกเอง ไร้ซึ่งการควบคุมของผู้เป็นพ่อ เธอเลยปักอกปักใจกับเขามากเหลือเกิน
และเพราะคนในหัวใจไปให้ใจแก่คนอื่น เลยเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่แวววิไลยอมถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับพิชานและสามีที่เพิ่งหย่าไป ด้วยไหนๆ ก็ไม่ได้ครองคู่กับรวีอยู่ดีนั่นเอง
พอแต่งงานไปได้สักพักใหญ่ เธอก็รู้มาจากเพื่อนๆ ว่าเขาหย่ากับแรมใจแล้ว โดยมีลูกสาวที่ต้องดูแลร่วมกันหนึ่งคน ครานั้นเธอแสนเสียดายที่เวลาในการโสดของเขาและเธอมันดันสวนทางกัน และด้วยสถานะที่มีพันธะของตัวเอง เลยจำต้องปล่อยให้ความรู้สึกที่มีต่อรวีเป็นเพียงแค่ความทรงจำในใจ...
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะหย่ากับสามีแล้ว แต่ด้วยวัยและความกระดากอายต่อสายตาและความคิดของผู้คน แวววิไลก็ไม่กล้ากลับไปหาเขาอยู่ดี
ความที่โดนตีกรอบชีวิตมานาน แวววิไลเลยเผลอคิดไม่ตกไปเสียทุกสิ่ง เธอไม่สามารถทำเหมือนวิมพ์วิภาที่อยากทำอะไรก็ทำแบบนั้น ชอบพิธานก็แสดงออกว่าต้องการเขา และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ดังใจตน
อนิจจา...ปากก็ตัดพ้อบิดาต่างๆ นานาว่าท่านชอบทำอะไรโดยอิงจากการรักษาหน้าตาและภาพลักษณ์ แต่เธอก็ดันได้นิสัยนี้จากท่านมาเต็มๆ
นี่ถ้าวันหนึ่งเธอจะลุกขึ้นมาทำอะไรตามใจตัวเองอย่างน้องๆ บ้าง...มันจะเป็นอย่างไรหนอ
สำนักทนายความของรวีตั้งอยู่ที่ตึกแถวสามชั้นใกล้ที่พักของเขา มีพื้นที่กว้างขวางและมีทีมงานอยู่หลายคน พอพันรบเดินทางมาถึง รวีก็ให้ชายหนุ่มมานั่งประจำการที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของตน โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและเรียนรู้วิชากับเขาโดยเฉพาะ
พอได้สอนงานกันมาตั้งแต่เช้าจนเวลาล่วงเข้าสิบเอ็ดโมง รวีก็พบว่า...เด็กเจ้าเล่ห์พันรบเก่งกว่าที่คิดมากโข
แววตาเวลาทำงานนั้นดูเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้งานเร็ว หัวไวกว่าเขาตอนอายุเท่ากันเสียอีก หากได้เป็นทนายความแล้ว เด็กนี่ต้องไปได้ไกลแน่นอน
“รบ เตรียมตัวสอบตั๋วทนายแล้วใช่ไหม มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณนะครับคุณลุง...จริงๆ แล้วคุณลุงใจดีเหมือนป้าแรมเลยนะครับเนี่ย” ปะเหลาะว่าที่พ่อตาแล้ว พันรบก็เอ่ยถึงลูกสาวของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงรักใคร่อย่างเปิดเผย “พี่รักนี่เหมือนทั้งพ่อและแม่ ได้หน้าตามาจากพ่อ ได้ความเป็นตัวของตัวเองสูงมาจากป้าแรม ได้นิสัยใจดีเอื้อเฟื้อผู้คนจากทั้งพ่อและแม่ ถึงท่าทางภายนอกจะดูเด๋อๆ กระโดกกระเดกติงต๊อง แต่ภายในอ่อนโยนมาก”
ถ้อยคำที่ชมลูกสาวคนสวยทำรวีหลุดยิ้มอย่างไม่อาจห้ามปากไว้ได้ ก่อนจะถามกลับ “แล้วเธอล่ะ เหมือนใคร”
“ผมเหรอครับ ใครๆ ก็บอกว่าผมเหมือนพ่อเป๊ะเลย ข้างนอกดูเป็นคนหัวอ่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วหัวแข็งมาก” คนหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงพ่อตน ก่อนเอ่ยต่อ “แต่ผมก็อ่อนเป็นนะครับ ผมจะอ่อนให้คนที่ผมยอมลงให้”
ได้ฟังแล้วรวีก็เข้าใจโดยพลัน จากบทสนทนาระหว่างตนกับก่อเกียรติ และพฤติกรรมของพันรบที่ตนได้เห็น รวีก็รู้ได้ชัดว่าคนหนุ่มจะทำตัวเป็นเด็กน่าเอ็นดูเฉพาะเวลาได้อยู่กับภรรยาและลูกสาวเขา นอกนั้นเหรอ...เด็กร้ายกาจดีๆ นี่เอง
ทว่าเด็กร้ายกาจคนนี้ก็แสดงความสามารถช่วยเขาได้แล้วเรื่องหนึ่ง...
“นี่ ขอบคุณมากนะ ที่ช่วยแนะนำฉัน”
เอ่ยแล้วก็ระบายยิ้มบางเมื่อนึกถึงเหตุแห่งการขอบคุณที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนสองแม่ลูกจะออกมาจากในครัว พันรบบอกกับรวีว่า ‘คุณลุงลองอยู่ข้างเดียวกับพี่รักดูสิครับ คุณลุงทำตัวอยู่คนละฝ่ายกับลูกมานาน พี่รักเลยอึดอัดที่จะอยู่กับคุณลุง’
พอรวีทำตามคำแนะนำของพันรบ ลูกสาวก็มองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ทำเอาเขาตื้นตันจนน้ำตาแทบไหล ทั้งดีใจทั้งขัดใจตนเอง...ที่ผ่านมาทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าหนทางง่ายๆ ที่ลูกจะไม่อึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน มันก็คือการที่เขาอยู่ข้างเดียวกับลูก ลูกจะเลือกอะไร จะทำอะไร ก็คอยสนับสนุน ไม่ใช่ไปขัด แล้วยกเอาฐานะของความเป็นพ่อไปทำตัวมีอำนาจเหนือลูกอย่างที่ตนเคยทำมาตลอด
“นั่นแน่...คุณลุงขอบคุณผมอย่างนี้ แสดงว่าคุณลุงยอมรับผมแล้วใช่ไหมครับ”
“ยัง! เธอนี่ เปิดช่องให้ไม่ได้เลยนะ”
รวีพูดเสียงแข็งใส่คนเจ้าเล่ห์ที่กำลังมองมาอย่างเย้าหยอก ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายอ่านเอกสารและเรียนรู้งานต่อ ลอบมองสีหน้าจริงจังยามทำงานของคนหนุ่ม แล้วก็พลันยิ้มบางออกมา...ได้เด็กนี่มาเป็นลูกเขยก็คงไม่เลวเท่าไร
แววตาและท่าทางออดอ้อนออเซาะของพันรบกับตาหนูน้อยในฝันที่เหมือนกันราวกับถอดแบบกันมา สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจของร้อยรักจนหญิงสาวไม่สามารถอยู่บ้านได้ เธอเลยออกจากบ้าน เดินทางมาหาปริมา พอเพื่อนเปิดประตูต้อนรับก็เอ่ยทัก
“เป็นไงบ้างจ๊ะ เดี้ยงศรีของฉัน”
“ฉันก็โอเคโว้ย” ปริมาตอบพลางยิ้มแยกเขี้ยวใส่คนที่ล้อตน ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าไม่สดชื่นของอีกฝ่าย “แกเป็นไรหรือเปล่าเนี่ยยายคนสวย”
ร้อยรักยิ้มขำความช่างรู้ใจกันของเพื่อนสนิท แล้วถอนใจก่อนจะเอ่ยปาก “ปริม...ช่วงนี้ฉันฝันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
“ฝันแปลกๆ...ยังไง”
ร้อยรักยังไม่ตอบ สองขาเรียวเดินไปนั่งบนโซฟาแล้ว ถึงค่อยเอ่ยกับคนที่ก็กำลังทรุดตัวลงนั่ง “ฉันฝันว่ามีเด็กมาขอเป็นลูกอะแก๊”
“เฮ้ย!” ปริมาอุทานหน้าตื่น “ฉันก็ฝันแบบนี้เหมือนกัน”
“จริงเหรอ แกฝันยังไง ฉันฝันถึงเด็กผู้ชาย บอกว่าจะมาอยู่ด้วย อยากมาเป็นลูกฉัน อยากให้ฉันเป็นแม่ แถมยังบอกว่าเดี๋ยวฉันก็จะมีสามีแล้ว ฉันนี่ทั้งหลอนทั้งงงไปหมด”
“ของฉันเป็นเด็กผู้หญิง ติ๊งต่างเรียกฉันว่าแม่ บอกว่าจะมาเป็นลูกฉัน น่ามันเขี้ยวมากแกเอ๊ย” ปริมาจ้อกลับอย่างตื่นเต้น ทีแรกเธอคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอเพื่อนฝันแบบเดียวกันเช่นนี้ ก็ทำเอาหวาดหวั่นอยู่บ้างเหมือนกัน
“ปริม เราคง...ไม่ได้จะมีผัวมีลูกกันในเร็วๆ นี้หรอกเนอะแก”
ร้อยรักถามเสียงเบา แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด และในขณะที่กำลังพากันสับสนอยู่นั้นเอง เสียงของรายการโทรทัศน์ที่ปริมาเปิดแช่ไว้ก็ดึงความสนใจของสองสาว ทำให้พวกเธอหันไปมอง ด้วยเป็นรายการดูดวงชื่อดัง แถมยังกำลังเอ่ยถึงดวงชะตาราศีของร้อยรักและปริมาที่เกิดในราศีเดียวกันอีกด้วย
“ราศีนี้ ดวงชะตามีเกณฑ์กำลังจะมีบุตรค่า ยินดีกับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่เกิดในราศีนี้ด้วยนะคะ”
สองสาวเพื่อนซี้หน้าตื่นตาเหลือก พลันเปล่งเสียงพร้อมกัน
“กรี๊ด!/ว้าก!”
“รายการนี้มั่วแล้วละ ไม่แม่นหรอก” หลังจากว้ากแล้ว ปริมาก็ให้กำลังใจตัวเองโดยการโบ้ยความผิดไปให้รายการโทรทัศน์เสียเลย เธอไม่มีทางยอมจำนนกับการทำนายนี่เด็ดขาด
“ใช่ๆ เรายังไม่มีผัว เราจะมีลูกไม่ด้ายยย” ร้อยรักลากเสียงยาว พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนรัวๆ “คนเกิดราศีนี้มีตั้งเยอะแยะ คงไม่ใช่เราหรอก ยังไงฉันก็คงยังไม่มีผัวในเร็วๆ นี้ด้วย มันดูไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนไหนจะมาเป็นผัวฉันได้เลย”
“ฉันก็ด้วย หนทางที่จะมีผัวมืดมิดโคตรๆ ชีวิตฉันคงโนผัวไปอีกนาน เรื่องจะมีลูกมันเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้ ยายหนูในความฝันคงจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น”
สองสาวเพื่อนซี้พากันหาเหตุผลมาต่อต้านการมีบ่วงรักอย่างสุดความสามารถ ทว่า...ปลอบใจตัวเองยังไม่ทันขาดคำ เสียงของพิธีกรในรายการก็เอ่ยต่ออีกว่า
“ในกรณีคนที่ยังไม่ได้แต่งงานมีคู่สมรส ก็อาจจะมีเกณฑ์...ท้องก่อนแต่งค่ะ...”
“กรี๊ด!/ว้าก!”
ทั้งคู่กรีดร้องและหน้าตื่นกว่าเดิม ก่อนที่ปริมาจะรีบหยิบรีโมตมาปิดโทรทัศน์ให้มันดับไป เพื่อหลีกเลี่ยงการทำนายทายทักชีวิตในอนาคตที่พวกตนไม่ต้องการ
“แก ดวงบ้าอะไรวะ มีท้องก่อนแต่งด้วยอะ ฉันไม่เอาแบบนี้นะโว้ย”
ปริมาเอ่ยเสียงแข็ง ทำหน้าเบ้ไม่ชอบใจอย่างหนัก ส่วนร้อยรักนั้นก็หน้าเจื่อน และเริ่มวิเคราะห์ความเป็นไปได้
“แก หรือว่าราศีเราในช่วงนี้...ไม่ว่ายังไงก็มีเกณฑ์จะมีลูก คนที่มีคู่แล้วก็จะมีกันปกติ ส่วนคนไร้ผัวอย่างเราก็อาจจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ข้ามขั้นมีลูกก่อนเลย”
“อย่าจินตนาการล้ำลึกสิวะ ไม่ใช่หรอกโว้ย”
พยายามไม่จินตนาการล้ำลึกตามที่เพื่อนบอกอย่างไร ร้อยรักก็ยังสับสนอยู่ เธอเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับเพื่อน “แก ฉันมีอะไรจะสารภาพ”
“ว่า?”
“คือ...ฉันรู้สึกแปลกๆ ว่าตาหนูในฝันเหมือน...เอ่อ...เหมือนน้องรบเลย”
“เฮ้ย!” ปริมาอุทานอย่างตกใจ ก่อนตั้งข้อสังเกต “ระ...หรือว่าน้องรบจะมาเป็นผัวแก มาเป็นพ่อของลูกแก!”
“บะ...บ้า นั่น...น้อง!”
“แต่น้องที่ว่าก็น่ากินไม่ใช่เล่นนะ หล่อใสปิ๊ง วัยกำลังขบเผาะสุดๆ กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะนะแก ไม่สนเหรอ” สาวห้าวแกล้งเย้าเพื่อน แย้มยิ้มล้อเลียนเต็มที่ ก่อนจะเอ่ยถึงหนุ่มหน้าละอ่อน “แต่ดูแล้วน้องเขาจะทำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แกนั่นแหละอาจจะเผลอตัวเผลอใจปลุกปล้ำน้องเขา”
“บ้า ปล้ำอะไรเล่า พอเลยแก หยุดจินตนาการมั่วซั่ว แกกำลังหาเรื่องให้ฉันมองหน้าน้องรบไม่ติดนะยะ”
คนสวยแหวเสียงแหลม ในหัวก็เผลอแวบไปนึกถึงงูใหญ่ของพันรบ...มันบิ๊กบึ้มเสียขนาดนั้น ถ้ามันได้เข้ามาสัมผัสกับรักน้อยของเธอ เธอจะรับไหวไหมนั่น...
‘กรี๊ด! เลิกคิดเดี๋ยวนี้ ยายไก่แก่ลามก!’
ด่าตัวเองพร้อมตั้งสติได้แล้ว ร้อยรักก็รีบเบี่ยงเบนประเด็นไปที่เพื่อน “แกล่ะยายปริม มีใครมีวี่แววว่าจะมาเป็นผัวแกบ้างไหม คนที่ใกล้ชิดแกที่สุดในช่วงนี้คือใคร”
“โอ๊ย ไม่มีหรอก พี่ๆ ในบริษัทก็ไม่มีใครพิศวาสฉันสักคน ผู้ชายที่มาใกล้ชิดฉันในช่วงนี้ก็มีแค่...”
ปริมาชะงักกึก ไม่ยอมเอ่ยถึงผู้ชายที่ว่า ทำเอาร้อยรักขมวดคิ้วสงสัยที่เพื่อนหยุดพูดไปเสียดื้อๆ พลันเริ่มคิดต่อว่าคนที่ใกล้ชิดปริมาในช่วงนี้ก็คือ...
“คุณผู้อำนวยการโรงเรียนพิริยศึกษา อาของรบ!”
“ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้หรอกแก” ปริมาค้านเสียงหลง “ฉันว่าเรากำลังสับสนสติหลุดเพราะเด็กน้อยในฝัน บวกกับการทำนายของรายการเมื่อกี้นี้ จริงๆ แล้วมันก็คงไม่มีอะไรหรอกแก ไม่มีทางที่เราจะท้อง เปอร์เซ็นต์มันเท่ากับศูนย์”
“แน่เหรอแก”
“แน่ เชื่อฉันนะ เราจะโนผัวโนลูกกันไปอีกนานเลยเพื่อน”
ปริมายืนยันมาอย่างนั้น ร้อยรักก็เลยพอใจชื้น พยักหน้ารับคำเพื่อน...ใช่ เธอยังไม่เป็นแม่ใครหรอก ‘ตาหนูน้อยเอ๊ย ถึงฉันจะหลงรักหนู ถึงหนูจะน่ารักน่าหอมแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่ให้หนูเกิดมาหรอกนะ จะบอกให้’
ได้รับรู้ถึงจิตใจและการต่อต้านของแม่ๆ ผ่านพลังพิเศษของพวกตน สองเทพน้อยก็ตาวาว ไม่ชอบใจจนอยากจะเสกฝนให้ตกเทกระหน่ำทั่วกรุง แต่เพราะเทพชราห้ามไว้ สองเทพน้อยเลยยอมสงบ ไม่แผลงฤทธิ์ที่จะส่งผลต่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง แล้วมานั่งปรึกษากันที่สวนทิพย์แทน
“ทำไมแม่รักดื้ออย่างนี้ ป๋มจะทนไม่ไหวแล้วนะ อ้อนก็แล้ว กระตุ้นความเป็นแม่ก็แล้ว แม่รักก็ยังไม่อยากมีป๋มอีก”
“แม่ปริมก็ไม่อยากมีเรา ทำไมอะ ทำไมไม่อยากมีลูกกัน พวกเราน่ารักจะตาย”
“ใช่ๆ พวกเราน่ารักที่สุดแล้ว” เทวดาน้อยเออออตามอย่างหลงตัวเอง ก่อนจะชักชวนญาติในอนาคต “เทพธิดาน้อยฮับ...เรามาวางแผนกันเถอะ”
“แผนอะไร เทวดาน้อยจะทำอะไรอะ”
“ป๋มว่า เราต้องทำให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกัน เนื้อแนบเนื้อ กระตุ้นไฟรักให้ลุกพรึ่บ”
เทพธิดาน้อยยิ้มร่า ก่อนจะหุบยิ้ม แล้วเอ่ยถามเสียงเบาซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจอย่างสูง “เอ่อ...เทวดาน้อย มันจะไม่เป็นการละเมิดกฎการไปเกิดเหรอ เรามีกำหนดการลงไปอยู่นะ ถ้าเรากระตุ้นพวกเขา แล้วพวกเขาห้ามใจไม่ไหว เผลอเลิฟๆ กันในตอนนี้เลย มันจะดีเหรอ”
“ดีซี้” เทวดาน้อยรับประกันเสียงใส
“เอ่อ...เราไม่ได้คิดสิบแปดบวกเกินไปใช่ไหม”
“ไม่หรอก เราทำเพื่อพ่อเรานะ พ่อเราอยากมีเราแล้ว แต่แม่ๆ ของเราดื้อกันเหลือเกิน เราเลยต้องปราบแม่ก่อน”
เทพธิดาน้อยนิ่งงัน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแรงๆ เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ตกลง เราจะร่วมมือกับเทวดาน้อย แล้วพวกเราต้องทำยังไงเหรอ”
ผู้เป็นหัวโจกด้านความดื้อยิ้มมุมปาก ก่อนจะประกาศก้อง “เราต้องไปแกล้งผลัก แกล้งขัดขา ทำให้พวกเขาล้มทับกัน จ้องตากัน ทำให้เกิดความสยิวกิ้วในหัวใจ”
“โห เทวดาน้อยเก่งจัง ได้แผนนี้มาจากไหนเนี่ย”
เทวดาน้อยหัวเราะคิกคัก “ได้มาจากพระเอกนางเอกในละครของมนุษย์โลกไง ล้มทับกัน จ้องตากันทีไร สุดท้ายก็อ้วกโอ้กอ้าก มีเบบี๋กันหมดเลย”