4

ผู้พิทักษ์ตัวน้อย


4

ผู้พิทักษ์ตัวน้อย

 

เพราะศึกทางวาจาระหว่างพิชัยยุทธกับพันรบรุนแรงเกินกว่าที่ก่อเกียรติจะจัดการได้ ชายสูงวัยเลยเดินทางมาที่โรงเรียนพิริยศึกษา แล้วตรงไปยังห้องทำงานของพิธาน ด้วยอยากจะปรึกษาหารือกับเขาว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดี

เขาเล่าทุกอย่างให้พิธานฟัง ทุกฉาก ทุกคำ เท่าที่จะจำได้ ส่วนคนฟังอย่างพิธานก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่แปลกใจเท่าไรนักที่การพบกันระหว่างบิดากับพันรบจะลงเอยแบบนั้น...แข็งกับแข็งมาเจอกัน อะไรๆ จะไปราบรื่นได้อย่างไร

“ตอนที่คุณท่านประชดคุณรบเรื่องที่คุณพิชเคยกลับมาขอยืมเงินคุณท่าน คุณรบนี่ตาวาวเลยครับคุณพอล”

“คุณพ่อไปพูดประชดรบเรื่องนั้น เขาก็ต้องเคืองสิครับ คุณพ่อนี่ก็อ่อนให้หลานบ้างไม่ได้เลย อยากให้หลานรัก แต่ดันชอบพูดชอบทำอะไรให้หลานออกห่างตัวเอง”

“แล้วมันดันไม่ได้มีเท่านั้นน่ะสิครับคุณพอล คุณท่านเขายังให้ผม...เอ่อ...”

อาการอึกอักและสีหน้าลำบากใจของก่อเกียรติทำพิธานขมวดคิ้ว “ให้ทำอะไรครับ”

“คือ...คุณท่านอยากให้คุณรบมาทำงานกับคุณพอล แต่คุณรบไม่ยอม คุณท่านเลยจะบีบคุณรบด้วยการ...เอ่อ...ให้ผมไปคุยกับรวี ทนายความรุ่นน้องของผมครับ”

พิธานมีสีหน้างงงวย จนก่อเกียรติต้องอธิบายขยายความสัมพันธ์ในหลายๆ จุด ไล่ไปตั้งแต่ความเป็นเพื่อนระหว่างพรรณีกับแรมใจ สถานะของแรมใจและรวี ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับรวีที่ก็พอจะรู้จักกันห่างๆ

ก่อเกียรติเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพันรบคงจะไปทำงานกับรวี แต่ที่เขาไม่ได้บอกเจ้านายก็ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าหลานมีหนทางชีวิตในทางอื่น จะได้ไม่หาเรื่องทำอะไรให้หลานเสียความรู้สึก ทว่าพันรบดันพูดออกมาเองเสียได้

พอพันรบกลับไปได้ไม่นาน พิชัยยุทธก็ซักเขาเสียละเอียดยิบว่ารวีเป็นใคร อะไรยังไง และสุดท้ายก็สั่งให้เขา...

“คุณท่านให้ผมไปพูดกับรวี ห้ามไม่ให้รวีรับคุณรบเข้าทำงานด้วยครับ” ก่อเกียรติบอกพิธานไปตามตรง ก่อนจะบ่นระคนขอความเห็น “ผมจะทำยังไงดีครับคุณพอล ถ้าผมไม่ทำ คุณท่านก็คงเอาผมตายเลย แต่ถ้าผมทำก็จะเป็นการทำร้ายคุณรบอีก”

พิธานพยักหน้ารับ เข้าใจความอึดอัดของก่อเกียรติ ด้วยรู้ดีว่านิสัยของพ่อตนนั้น ถ้าอ้าปากสั่งการอะไรแล้วละก็ คนต้องทำตามอย่างไม่มีบิดพลิ้ว ถ้าไม่ทำก็จะเป็นเรื่องเป็นราวให้ปวดหัวกันทั้งบ้าน

“คุณพอล...ช่วยพูดกับคุณท่านได้ไหมครับ ให้คุณท่านเปลี่ยนวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับหลานใหม่ วิธีที่คุณท่านคิดจะทำมีแต่จะทำให้คุณรบแอนตี้หนักกว่าเดิม”

พิธานถอนใจ เห็นด้วยกับก่อเกียรติทุกประการ พ่อเขาพลาดจริงๆ ที่จะใช้วิธีนี้

“งั้นเดี๋ยวผมจะไปช่วยพูดกับคุณพ่อให้เองนะครับ”

“ขอบคุณนะครับคุณพอล ขอบคุณจริงๆ”

พิธานยิ้มบาง ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะทำสำเร็จไหม...คงต้องมาลุ้นกันอีกที

 

ภารดีมองคนที่กำลังโยกตัวอยู่บนเก้าอี้โยกไม้สักในบริเวณมุมพักผ่อนของสวนหย่อมข้างบ้านด้วยความหมั่นไส้...ตาแก่หัวแข็ง คิดทำอะไรแต่ละอย่าง ไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย

“คุณไปแกล้งรบอย่างนั้นได้ยังไงคะ”

พิชัยยุทธหันมองคนหน้าง้ำที่กำลังยืนเท้าเอวใส่ตน ก่อนจะยักไหล่ให้ “ผมไม่ได้แกล้งนะคุณ ผมแค่อยากให้หลานยอมมาทำงานกับเรา มาใกล้เราบ้าง”

“แต่คุณทำผิดวิธี เมื่อไรจะเลิกนิสัยเผด็จการสักที เรื่องของตาพิชมันไม่ได้ให้บทเรียนคุณบ้างเลยเหรอ”

“ผมก็รู้สึกผิดกับตาพิชอยู่นี่ไง ผมเลยจะให้ทุกอย่างกับลูกเขาแทน แต่หลานหัวดื้อมันก็ไม่ยอมรับอะไรจากเราเลย เมื่อไรจะหายโกรธเราสักทีก็ไม่รู้”

“จะหายโกรธได้ยังไง ก็ดูคุณพูดจากับหลานสิ ทำไมชอบประชดเขา ชอบว่าพ่อเขา มันเป็นอะไรนักหนาฮะ”

“ก็ดูเจ้ารบมันพูดจาเข้าสิ ผมน่าให้ผมโมโหไหมล่ะ”

การดึงดันของสามีทำภารดีถอนใจ แต่งงานอยู่ด้วยกันมานาน รู้ซึ้งดีว่ามนุษย์หัวแข็งชอบเอาชนะอย่างเขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองผิดง่ายๆ

พิชัยยุทธมักจะมีข้อแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นคนถูกในทุกการกระทำ จนเธอได้แต่หมั่นไส้ อยากรู้เสียจริงว่าจะมีวันที่เขายอมศิโรราบให้ใครง่ายๆ บ้างไหม

“เอาน่าคุณ ผมเชื่อว่าถ้ารบได้มาทำงานกับพอล รบจะได้ใกล้ชิดเรามากขึ้น การสานสัมพันธ์ของเรากับหลานจะได้ง่ายขึ้นด้วย”

“ค่ะ แล้วแต่คุณเลย อยากทำอะไรก็ทำ เพราะถึงฉันจะแย้งไป คุณก็ไม่ฟังหรอก”

ภารดีเหน็บแนมพิชัยยุทธเสียงเขียว ก่อนจะสะบัดหน้าเชิดใส่แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนพิชัยยุทธก็หน้าจ๋อยที่โดนภรรยาโกรธ ทว่าก็ไม่ได้ตามไปแต่อย่างใด ด้วยรู้ดีว่าง้อในเวลาที่เธอกำลังเหม็นหน้ากัน ง้อเช่นไรก็ไม่สำเร็จ

ชายสูงวัยถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาครุ่นคิดถึงหลานชายหัวดื้อด้วยความรักระคนรู้สึกผิด...ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ลืมตาขึ้นมา เพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมองตนอยู่

ครั้นหันไปเจอก็มีอันได้มึนงง ด้วยคนมองคือเด็กผู้ชายตัวน้อยหน้าตาหล่อเหลาน่ารักซึ่งกำลังมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก

“ตาหนู...หนูคือใครลูก”

คนโดนถามทำปากจู๋ใส่พิชัยยุทธ ก่อนจะตบอกแนะนำตัวเอง “ป๋มคือสุดหล่อฮับ”

“สุดหล่อ?”

“ฮับ ป๋มคือสุดหล่อ” ยืนยันแล้วคนตัวน้อยก็ยกนิ้วโป้งให้เขา “ป๋มมาโป้งๆ คุณทวดฮับ”

“หือ...” สรรพนามที่ตาหนูน้อยใช้เรียกขานกันทำเขาขมวดคิ้ว “ทวดอะไร ทวดใคร ฉันงงไปหมดแล้วนะ”

“คุณทวดใจร้าย ป๋มจะไม่รักคุณทวดแล้ว ป๋มจะแกล้งชิ้งฉ่องใส่คุณทวด จะแกล้งอึ๊ใส่คุณทวด จะร้องไห้แงๆ ใส่คุณทวด จะแกล้งแหวะนมใส่คุณทวดด้วย”

“หา!”

“ป๋มไม่ได้ขู่นะฮับ ป๋มเอาจริง”

พิชัยยุทธเบิกตาโต ก่อนจะหลุดหัวเราะร่วน ด้วยขันท่าทางขึงขังของแกนัก ช่างน่าเอ็นดูจนเขานึกรักเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

“นี่หนูมาจากไหน บอกฉันมาซิ”

“แบร่ ไม่บอกฮับ”

พิชัยยุทธอมยิ้ม มันเขี้ยวคนตัวน้อยจนอยากจะดึงตัวแกมาหอมแก้มสักที

“ป๋มไปก่อนนะฮับ บ๊ายบายฮับ”

“จะไปแล้วเหรอ อย่าเพิ่งไปได้ไหม” วอนขอเสียงอ่อน แต่แกกลับไม่รับคำขอนี้ แล้วหมุนตัววิ่งหนีหายเข้าไปในบริเวณหลังพุ่มไม้ เขาเลยรีบลุกขึ้น วิ่งตามเจ้าตัวจ้อยไป แต่พอถึงหลังพุ่มไม้กลับกลายเป็นว่าไม่มีแม้แต่เงาของแก

“ตาหนู อยู่ที่ไหน”

ปากร้องเรียกเสียงสั่นพลางกวาดตามองไปรอบๆ ใจหายวาบเหมือนตนกำลังจะสูญเสียสายใยอะไรบางอย่างไป

“ตาหนู กลับมาได้ไหม กลับมา!”

...

ท่าทางชูไม้ชูมือเหมือนคนกำลังไขว่คว้าอะไรบางอย่างของสามีทำภารดีหน้าตื่น รีบซอยเท้าออกจากข้างในบ้านด้วยความรวดเร็ว พลางส่งเสียงถามนำตัวไปอย่างเป็นห่วง

“คุณ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”

ปรากฏว่าไม่มีการตอบรับใดๆ จากสามี เธอเลยเร่งความเร็วมากกว่าเดิม และเมื่อเดินไปถึง...

“อ้าว ละเมออยู่หรอกเหรอ”

หญิงสูงวัยหัวเราะออกมา พร้อมกันนั้นคนละเมอก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี เขาหน้าซีดเผือด มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใครสักคน

“คุณ เห็นตาหนูไหม”

“ตาหนู?”

“ใช่ ตาหนู” ตอบรับแล้วชายสูงวัยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก เดินไปยังหลังพุ่มไม้ที่ตาหนูหายไป พอไม่เจอเข้าก็ถอนใจ นึกขันตัวเอง...‘เรานี่บ้าจริงๆ มันคือความฝันนี่ จะไปมีตาหนูตัวเป็นๆ โผล่มาได้เช่นไร’

เขาเดินกลับไปหาภรรยาด้วยสีหน้าเจื่อนสุดขีด ส่วนเธอก็ขมวดคิ้วแปลกใจ

“ตาหนูไหนคะคุณ คุณหมายความว่ายังไงคะ”

“คือ...เมื่อกี้ผมฝันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แกน่ารักมาก บอกว่าตัวเองคือสุดหล่อ แถมเรียกผมว่าคุณทวดด้วยนะ”

“หือ...คุณทวดเหรอ”

“ใช่” พิชัยยุทธพยักหน้ารับ นึกถึงท่าทางขึงขังของแกแล้วก็ยิ้มบางออกมาอย่างเอ็นดู “แกน่ารักน่าหอมมากเลยคุณ แต่แกบอกว่า แกมาโป้งผม บอกว่าจะไม่รักผมแล้ว ผมจะทำยังไงดี...ผมอยากให้แกรักผม จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมจะยอมทำทุกอย่างเลย”

วาจาท้ายประโยคบวกกับสีหน้าร้อนใจและท่าทางการยอมแพ้อย่างสิ้นท่าของสามีทำภารดีขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม...นี่มันเรื่องอะไรกัน

ตาหนู...คุณทวด...

คนที่จะมาเรียกพิชัยยุทธว่าคุณทวดได้ ก็มีเพียงแค่ลูกของพันรบเท่านั้น...

หือ?

หรือนี่จะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง...เบื้องบนจะส่งคนมาปราบตาแก่หัวแข็งแล้วหรือนี่

 

“ฮ่าๆ แกล้งพ่อป๋ม ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ”

ท่านเทพชรามองเทวดาน้อยที่กำลังหัวเราะคิกคักด้วยความเหนื่อยใจเหลือแสน...ตัวป่วนเอ๊ย แอบลงไปข้างล่างมาอีกแล้ว

“ถ้าทำร้ายจิตใจพ่อรบอีกละก็...ป๋มจะแกล้งให้หนักเลย”

“เทวดาน้อยองค์นี้ซุกซนเหลือเกิน ยังไม่ถึงเวลาให้ไปก็ดื้อจะลงไป”

ตาหนูน้อยของพันรบหน้าง้ำเมื่อได้ยินเสียงแหบเครือที่ต่อว่าตนเอง ก่อนจะหันมาเถียง “ก็ป๋มอยากไปพิทักษ์ปกป้องพ่อรบของป๋มนี่ฮับ”

“แต่มันผิดธรรมชาติ เราต้องให้เขาแก้ไขกันเอง และมันก็ยังไม่ถึงคราวให้เจ้าลงไปด้วย”

“ไม่รู้ ไม่สน ป๋มจะไป แบร่!”

“บร๊ะ! เทวดาน้อยองค์นี้ทำไมดื้อนัก” เข่นเขี้ยวใส่เจ้าตัวป่วนประจำสรวงสวรรค์ ก่อนจะกำชับเสียงหนัก “ห้ามลงไปอีกนะ เพราะอีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้ไปเกิดแล้ว”

เทวดาน้อยทำหน้าง้ำปากจู๋ บ่นอย่างไม่ชอบใจระคนไม่อยากจะเชื่อ “เกิดยังไงฮับ แม่รักยังเด๋อๆ อยู่เลยอะ โดนพ่อหลอกกอด แม่ยังไม่รู้เรื่องเลย”

“ก็เพราะความเด๋อของว่าที่แม่เทวดาน้อยนั่นแหละ เทวดาน้อยถึงจะได้ไปเกิด”

“อีกนานไหมฮับ”

“อีกไม่เกินสองเดือนของโลกข้างล่าง”

“อะโห!” เทวดาน้อยตาโต แล้วก็กระโดดโลดเต้นดีอกดีใจ “พ่อรบเก่งสุดยอดเลย”

ท่านเทพชราส่ายหน้าอ่อนใจอีกครา ก่อนจะเหลือบไปเห็นเทพธิดาน้อยน่ารักที่กำลังเดินมาหา “เทพธิดาน้อย...ว่าไง ตื่นเต้นไหม หนูเองก็จะได้ไปเกิดพร้อมๆ กับเทวดาน้อยด้วยนะ”

“หนูจะได้ไปเกิดจริงๆ เหรอคะคุณตา พ่อแม่หนูยังไม่เจอกันเลย”

เทวดาน้อยยิ้มเผล่ใส่เจ้าของเสียงใสที่บ่นอุบออกมา ก่อนจะชักชวน “เราก็ไปทำให้พวกเขาได้เจอกันสิ ไปป่วนพวกเขากัน”

“อ๊ะๆ ตัวเองซ่าไม่พอ ยังจะมาชวนเทพธิดาน้อยซ่าด้วยอีก” ท่านเทพชราชี้นิ้วกำราบตัวป่วน ก่อนจะแกล้งขู่ “มาให้ตีก้นสักทีซิ ดื้อเหลือเกิน”

“คุณตาวิ่งตามป๋มไม่ทันหรอกฮับ แบร่” เทวดาน้อยแลบลิ้นล้อเลียน แล้วก็หันหลังส่ายก้นดุ๊กดิ๊กใส่อีกฝ่ายอย่างต้องการจะยั่วเย้า “กิ๊วๆ จ้างให้ก็จับไม่ทัน”

“หน็อย เจ้าตัวป่วน บังอาจมาดูถูกเทพแก่เรอะ”

ท่านเทพชรากัดฟันกรอด แล้วก็วิ่งไล่จับเจ้าตัวป่วนที่กำลังวิ่งหนีเข้าไปในสวนทิพย์ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ส่วนเทพธิดาน้อยก็หัวเราะคิกคักเมื่อเห็นศึกของสองเทพสองวัย พลันลองเหลือบมองไปยังเบื้องล่างด้วยชักอยากรู้อยากเห็นตามเทวดาน้อยว่าครอบครัวที่ตนกำลังจะไปอยู่ด้วยนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็มีอันได้เบิกตากว้างอย่างดีใจ...

‘ว่าที่พ่อแม่เราได้เจอกันแล้ว’

 

แผนที่พิธานวางไว้ว่าจะรีบกลับบ้านไปคุยกับบิดาให้ยกเลิกแผนการแกล้งพันรบนั้นมีอันต้องระงับไว้ เพราะได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงหลังเลิกเรียนที่หน้าโรงเรียนพิริยศึกษา

มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นฝ่าไฟแดงมาจนเกือบจะชนนักเรียนหญิงที่กำลังจะข้ามถนน โชคดีที่ได้ผู้ปกครองของนักเรียนชายคนหนึ่งมาช่วยนักเรียนหญิงคนนั้นโดยการดึงตัวเด็กเอาไว้ได้ทัน เด็กเลยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ทว่า...คนช่วยกลับได้รับบาดเจ็บเสียเอง เพราะในจังหวะที่ดึงตัวเด็กเข้ามานั้น เธอเสียการทรงตัวจนล้มกระแทกพื้นอย่างแรง และดูเหมือนว่าแขนเธอจะหักเข้าเสียแล้ว

“โอ๊ย...เจ็บฉิบ ไอ้คนขับเวร อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร แม่จะไปเอาเรื่องถึงบ้านเลยโว้ย!”

ผู้ปกครองสาวห้าวที่โดนมุงอยู่ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดผสมเคียดแค้น ข้างกายมีหลานชายของเธอคอยดูแลแขนที่หักอย่างใกล้ชิด

“ฮือ...ถ้าฉันต้องลางานหลายวันนะ แกต้องตายคาตีนฉันแน่!”

พิธานยิ้มขัน โดยปกติเขาไม่ชอบผู้หญิงพูดไม่เพราะสักเท่าไร แต่เธอคนนี้กลับทำให้เขามองข้ามข้อบกพร่องทางวาจา แล้วมาให้ความสำคัญแก่การกระทำของเธอแทน รู้สึกได้เลยว่าภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างที่เธอแสดงออกมานั้นแฝงความอ่อนโยนแสนดีไว้ข้างใน

“ขอบคุณพี่มากๆ นะคะที่ช่วยหนูไว้ แล้วหนูก็ต้องขอโทษพี่ด้วยนะคะ ที่หนูทำให้พี่เดือดร้อน”

นักเรียนหญิงที่ได้รับการช่วยเอาไว้เอ่ยเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิด และด้วยความที่ไม่อยากให้เด็กใจเสีย ปริมาเลยรีบปรับสีหน้าที่กำลังโกรธเกรี้ยวเจ้าของรถเฮงซวยมาเป็นยิ้มหวาน แล้วก็ปลอบประโลมเด็ก

“หนูไม่ผิดหรอกลูก ไม่ต้องเสียใจนะ”

พิธานเกือบจะหลุดหัวเราะที่เธอสลับโหมดจากวาจาเจ็บแค้นมาเป็นวาจาแสนหวานได้อย่างรวดเร็ว แต่ดีที่ยั้งปากไว้ทัน เพราะหากหัวเราะขึ้นมาในสถานการณ์นี้ นักเรียนและครูที่กำลังมุงกันอยู่คงคิดว่าเขาเยาะเย้ยคนเจ็บเป็นแน่

“เดี๋ยวผมพาคุณไปโรงพยาบาลเองครับ มาเถอะ...มาขึ้นรถผมเลย” ผู้อำนวยการหนุ่มเอ่ยเสียงหนัก ก่อนจะค่อยๆ พยุงร่างบางให้ลุกขึ้นเดิน แล้วเปิดประตูหลัง พาเข้าไปนั่งในรถ ส่วนตัวเองก็รีบไปฝั่งคนขับ และพยักหน้าให้หลานชายของเธอตามมานั่งด้านหน้าคู่กัน

“ขอบคุณ ผอ. มากๆ เลยนะครับที่พาน้าผมไปโรงพยาบาล”

พิธานยิ้มให้เด็กชาย “ไม่เป็นไร...น้าเธอเดือดร้อนในสถานที่ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันก็ต้องช่วยจนสุดความสามารถอยู่แล้ว ว่าแต่...เธอคือเด็กชายปราชญ์ นักเรียนทุนที่สอบเข้ามาด้วยคะแนนสูงที่สุดใช่ไหม”

“ครับ”

“เก่งมาก ตั้งใจเรียนต่อไปนะ”

“โอ๊ย...มาชื่นชมคะแนนสอบอะไรกันตอนนี้”

เสียงครวญที่ดังแทรกมาจากทางด้านหลังทำสองหนุ่มต่างวัยหยุดคุยกันทันควัน แล้วคนเป็นหลานก็หันไปถามน้าสาวอย่างเป็นห่วง

“น้าปริม เจ็บมากไหมครับ”

แววตาตื่นตระหนกของปราชญ์ทำปริมาชะงัก ด้วยนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ควรทำให้หลานกังวล เธอเลยพยายามข่มกลั้นความเจ็บ ก่อนจะยิ้มแฉ่ง

“น้าไม่เป็นไรมากหรอก แกล้งแอกติงเจ็บไปงั้นเอง น้าถึกขนาดไหนปราชญ์ก็รู้นี่ แขนหักแค่นี้ สบายมาก จิ๊บเจรงๆ”

ปราชญ์ถอนใจโล่งอก แต่ก็ยังหวาดหวั่นอยู่ ส่วนพิธานหลุดยิ้มเมื่อได้ยินศัพท์ไม่ถูกหลักทางภาษานั่น ก่อนจะหุบยิ้มเพราะประโยคถัดมา

“แต่ถ้า ผอ. ของปราชญ์ขับรถเร็วกว่านี้ก็จะดีมากเลย”

“นี่ผมก็พยายามเร่งแล้วนะครับ”

“นี่เร่งแล้วเหรอ อย่างกับเต่าคลาน ไม่ซิ่งเลย”

โวยเสียงเขียวจนเขาหน้าแห้งแล้ว ปริมาก็ต้องหยุดโวยไว้ก่อน ด้วยมีคนโทร. เข้ามาพอดี เธอใช้มือข้างที่ไม่เจ็บล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนขายาวตัวโคร่ง แล้วก็กดรับสาย “โหลๆ ว่าไงยายคนสวย”

“ปริม ว่างไหม ว่าจะชวนไปกิน...”

“บ่ว่างโว้ย!” รีบโพล่งบอก “ยายรัก...ฉันจะซี้แล้ว ฉันมีเรื่องให้ต้องแขนหัก เจ็บหนัก กำลังจะไปโรงพยาบาล...ผอ. ของโรงเรียนเจ้าปราชญ์พาฉันไป เออ...มาหาฉันด้วย เป็นเพื่อนที่ดีเหมือนกันนะแกเนี่ย นึกว่าจะแรดไปวันๆ เสียอีก”

คนปลายสายโวยวายที่โดนปริมาค่อนแคะ ส่วนเธอก็หัวเราะร่าที่แกล้งอีกฝ่ายได้ ก่อนจะเจื้อยแจ้วชวนเพื่อนคุยต่ออย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันเห็นเลยว่า...พิธานลอบมองเธอด้วยนัยน์ตาพราวระยับขบขันเพียงใด

 

เห็นเฝือกสีขาวที่แขนข้างซ้ายของตัวเองแล้ว...ปริมาก็หน้ามุ่ย เซ็งเหลือแสน ความเจ็บปวดเริ่มหายไป ความเบื่อหน่ายเริ่มเข้ามาแทนที่ ด้วยต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกสักพักเลย

หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะละสายตาจากเฝือกไปมองแผ่นหลังของชายร่างสูงที่กำลังจ่ายค่ารักษาพยาบาลอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยความขอบคุณจากหัวใจ จริงๆ เขาไม่ต้องมารับผิดชอบขนาดนี้ก็ได้ แต่เขาก็ดึงดันจะจัดการให้ทุกอย่างเลย

ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลจนสิ้นสุดการรักษา เขาดูทุ่มเทและเอาใจใส่เธออย่างจริงจัง จนทำให้คนที่มักจะรำคาญเพศตรงข้ามและไม่เคยนึกพิศวาสชายใดประทับใจเขาไม่หยอก

“ผอ. ผมใจดีไหมน้าปริม”

ปริมาพยักหน้ารับ...

ส่วนปราชญ์ก็ยิ้มร่า เอ่ยต่อ “เนอะๆ น้าปริมรู้ไหม ผอ. น่ะ เป็นคนดีมากเลย อบอุ่น ใจเย็น เป็นกันเองกับนักเรียน”

ปริมายิ้มบางเมื่อปราชญ์ปลาบปลื้มผู้อำนวยการหนุ่มอย่างออกนอกหน้า หลังจากนั้นไม่กี่วินาที คนที่หลานชายเธอชื่นชมก็เดินมาหาพร้อมถุงยาของหญิงสาว

“ขอบคุณนะคุณ ที่จัดการทุกอย่างให้ฉัน ทั้งที่คุณไม่ได้ผิดอะไรเลย ไอ้คนขับเฮงซวยนั่นต่างหากที่ควรชดใช้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีรับผิดชอบเอง ว่าแต่...คุณอยากรู้ไหมว่าคนขับเป็นใคร หน้าโรงเรียนมีกล้องวงจรปิดนะ เช็กได้”

“อืม...” ปริมาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนบอกอย่างปลงได้แล้ว “ช่างมันเถอะ ถือว่าซวยไปละกัน ใส่เฝือกอย่างนี้ บู๊ไม่ถนัด”

พิธานยิ้มบาง ก่อนจะถามอย่างมีน้ำใจ “แล้วนี่จะกลับกันยังไง ให้ผมไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไร เพื่อนฉันกำลังมาหา เดี๋ยวให้เพื่อนฉันไปส่ง” เอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ปริมาก็เหลือบไปคนสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เธอเลยพยักพเยิดให้เขาหันไปมองทางด้านหลัง “โน่น เพื่อนฉันมาพอดีเลย”

พิธานหันหน้าไปตามทิศทางที่ปริมาบอก แล้วก็ตกตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าละอ่อนที่กำลังเดินเคียงคู่มากับหญิงสาวหน้าตาสะสวย

“รบ!” เขาร้องเรียกหลานชายอย่างตกใจ อีกฝ่ายก็หน้าตื่นมิแพ้กัน

“อาพอล!”

ร้อยรักหน้าเหลอเมื่อได้ยินคำที่พันรบเรียกผู้อำนวยการหนุ่ม หันไปถามเขาอย่างประหลาดใจ “อาเหรอ ผอ. ของโรงเรียนพิริยศึกษาเป็นอาของรบเหรอ”

พันรบไม่ตอบคำถามหญิงสาว เอาแต่เม้มปาก และมองพิธานด้วยสายตาที่แสดงความเป็นปรปักษ์อย่างเห็นได้ชัด จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พิธานก็ตัดสินใจตอบคำถามแทน

“ครับ ผมคืออาของรบ เป็นอาแท้ๆ ของเขา”

ปราชญ์และปริมาพากันทำหน้ามึนงง ด้วยแปลกใจที่ท่าทางของอาหลานคู่นี้ดูไม่ค่อยจะรักกันให้สมกับความเป็นครอบครัวเดียวกันสักเท่าไร ส่วนร้อยรักหรี่ตามองทั้งคู่สลับกันไปมา...ต่อมสาระแนในตัวเธอกำลังทำงานอย่างหนัก

ต่อมเรียบเรียงเรื่องราวก็กำลังติดไฟทำงานตามมาติดๆ เช่นกัน...แม่เคยบอกว่า ช่วงที่พรรณีรักและแต่งงานกับพ่อของพันรบ เป็นช่วงที่แม่กับพรรณีต่างก็มีชีวิตไปตามเส้นทางของตน ตัวแม่เองก็ทำงานหนักและยุ่งเรื่องการเลี้ยงดูเธอ อีกทั้งด้วยการสื่อสารในตอนนั้นที่ไม่ใคร่จะสะดวกสบายเหมือนในตอนนี้ จึงทำให้แม่และเพื่อนห่างๆ กันไปบ้าง

พอมีช่วงที่ได้ติดต่อกันอีกทีก็คือช่วงที่พรรณีมาอยู่ที่เมืองสองแคว แถมตัวพรรณีก็ดูไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยถึงสามี แม่เลยรับรู้แค่ว่าพ่อของพันรบเสียชีวิตไปแล้ว

และพอได้ไปงานศพพรรณี ลุงของพันรบก็ดูไม่อยากจะเอ่ยถึงพ่อของพันรบเช่นกัน แม่เลยไม่เคยรู้แน่ชัดว่าพ่อของพันรบเป็นใคร

ซึ่งถ้าพินิจพิจารณาจากข้อมูลที่เธอได้ยินเมื่อครู่ พ่อของพันรบก็คงเป็น...พี่ชายของพิธาน

โอ้มาย...ถ้าเช่นนั้น พันรบก็คือทายาทของตระกูลพิริยนารถด้วยน่ะสิเนี่ย!

“คุณคือ...คุณร้อยรักสินะครับ”

คำถามจากพิธานช่วยดึงให้ร้อยรักหายอึ้งจากข้อสรุปของความสัมพันธ์ เธอหันไปหาเขา ก่อนจะถามกลับอย่างประหลาดใจ “รู้จักฉันด้วยเหรอคะ”

พิธานยิ้มบางอย่างมีไมตรี “ครับ หลานผมไปอยู่กับใคร ผมก็ต้องทราบข้อมูลไว้บ้างอยู่แล้ว”

“อย่ามายุ่งกับพี่รัก!”

พันรบโพล่งแทรกขัดจังหวะการสนทนา ก่อนจะรีบเอาร่างมาบังร้อยรักไว้ ท่าทางนั้นทำพิธานขมวดคิ้ว เอะใจในอะไรบางอย่าง เพราะแววตาที่หลานมองร้อยรักนั้นมีทั้งความเป็นห่วงว่าตนจะทำให้เธอเดือดร้อน และหวงอย่างผู้ชายที่ไม่ประสงค์จะให้ใครมาสนใจผู้หญิงที่ตัวเองรัก...พันรบรักเธอคนนี้หรือนี่

“ผมขอสั่งห้าม ทั้งคุณ ทั้งพ่อแม่คุณ ห้ามมายุ่งกับพี่รักและป้าแรมเด็ดขาด”

พิธานกระตุกยิ้ม นัยน์ตาทอประกายหยอกเย้าหลานชายจอมหัวแข็ง “ทำไมไม่เรียกอาว่าอาพอลเหมือนเมื่อกี้ล่ะ”

“มะ...เมื่อกี้ผมหลุดปากหรอก”

“นี่ถ้ารบหลุดปากแบบนี้กับคุณปู่คุณย่าของรบบ้าง พวกท่านคงดีใจจนน้ำตาไหลเลยละ...” คนเป็นอาหัวเราะหึ ก่อนจะสบตากับพันรบด้วยความปรานี “รบ”

“เรียกผมทำไม”

“ไม่ว่ายังไงรบก็คือพิริยนารถนะ...อารู้ว่าคุณปู่คุณย่ารบทำผิด แต่อาก็อยากให้รบเปิดใจรับการแก้ตัวจากคนแก่บ้าง”

“แก้ตัวเหรอ...ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ต้องการ!”

วาจาต่อต้านนั้นทำพิธานทั้งขันทั้งเครียด...เจ้าหลานตัวดี ท่าทางภายนอกดูเหมือนคนว่าง่าย แต่ข้างในนั้นร้ายไม่เบาเลย

“เลิกยุ่งกับผมกันสักทีได้ไหม”

พิธานพยายามไม่ถือสาคำไล่นั่น แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “รบ อารู้นะว่ารบอึดอัดกับคุณปู่ รบไม่อยากยุ่งกับพวกเราอีกแล้ว แต่อาอยากให้รบรู้ไว้ว่าอาไม่เหมือนคุณปู่นะ”

พันรบเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบอะไรพิธาน ก่อนจะหันไปหาร้อยรักอย่างร้อนรนใจ และรีบบอก “พี่รักครับ ผมว่าเรารีบไปส่งพี่ปริมกับหลานกันเถอะครับ”

ร้อยรักชะงักกึก ลังเลใจเล็กน้อย เพราะต่อมสาระแนยังคงทำงานอยู่ ทว่าเมื่อได้สบตากับแววตาหวาดหวั่นของพันรบ ความอยากรู้อยากเห็นก็มลายไปจนหมดสิ้น

แม้จะอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของอาหลานมากกว่านี้ แต่ร้อยรักก็คิดได้ว่ายังไม่ถึงเวลาอันควร ยิ่งเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพันรบแล้ว ก็ยิ่งสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก

อีกทั้งท่าทางที่แสดงถึงการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เขามีต่อพิธานนั้น ก็เป็นกิริยาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน...น้องรบเมื่อครู่นี้เหมือนเด็กน้อยจอมเกเรที่กำลังตีรวนผู้ใหญ่ในบ้าน ช่างแตกต่างกับน้องรบในเวอร์ชันที่อยู่กับเธอเสียจริง

“นะครับ พี่รัก กลับกันเถอะนะ”

“จ้ะ กลับกันนะ” ร้อยรักตอบรับ ก่อนจะหันไปพยักพเยิดให้ทั้งปริมาและปราชญ์ ค้อมหัวลาพิธาน แล้วก็หมุนตัวพากันเดินออกไปจากโรงพยาบาล

ส่วนพิธานก็มองตามไป ยิ้มมุมปากอย่างสมใจค่าที่เบื้องบนมอบหนทางที่จะเข้าใกล้หลานมาให้ตน

คนหัวแข็งอย่างพันรบ ถ้าเขาเข้าหาตรงๆ โดยการรุกประชิดเข้าไปในชีวิตของหลานและสองแม่ลูกร้อยรักแรมใจ หลานคงจะยิ่งต่อต้าน และไม่มีทางยอมสมานฉันท์ด้วยง่ายๆ

ในเมื่อเข้าตรงๆ ไม่ได้...ก็ต้องไปทางอ้อมที่มีนักเรียนของตนเป็นตัวช่วย

งานนี้...เผลอๆ เขาอาจจะได้ ‘อะไร’ แถมมาด้วย ซึ่งอะไรที่ว่าก็อาจจะเป็นสาวเซอร์ใส่เฝือกที่กำลังหันมาสบตากัน

ปริมาจะรู้ตัวไหมว่าเธอทำให้เขาใจเต้นแรงแค่ไหน

 

เทพธิดาน้อยยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องล่าง แม้ว่าที่แม่ของตนจะต้องเจ็บตัวไปบ้าง แต่เทพธิดาน้อยก็คิดว่าทุกอย่างมีเหตุมีผลที่จะเป็นเช่นนี้

“แอบดูอะไรอยู่ฮับ เทพธิดาน้อย”

เทพธิดาน้อยหันไปยิ้มน่ารักให้เทวดาน้อยที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ก่อนจะถาม “คุณตาล่ะ”

“คุณตาวิ่งตามป๋มไม่ทัน ตอนนี้พักเหนื่อยอยู่ฮับ...เทพแก่ก็เงี้ย” นินทาฝ่ายนั้นแล้ว เทวดาน้อยก็หัวเราะคิกคัก แล้วชักชวนเทพธิดาน้อยอีกครา “ลงไปป่วนพวกเขากันนะ...นะฮับ”

“จะดีเหรอ กลัวโดนดุอะ”

“อะโห กลัวทำไม ไม่ต้องกลัวหรอกฮับ...ตัวรู้ไหม แม่ตัวน่ะคิดเหมือนแม่รักของป๋มเลย ทำเป็นประกาศกันว่าจะไม่มีลูก ตัวต้องไปแกล้งให้ย่าปริมรู้ไว้ว่ายังไงก็หนีตัวไม่พ้น”

เทพธิดาน้อยนิ่งงัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งก็พยักหน้าตกลงให้เทวดาน้อยอย่างเริงร่า ก่อนจะมองลงไปข้างล่างอีกครา พลางแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างหมายมาด...แม่ปริม พ่อพอล เจอหนูป่วนแน่!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น