7

ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ


ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ

 

หลังจากออกคำสั่งเพียงไม่นานทีมช่างจากแผนกซ่อมบำรุงก็มายืนอยู่ในห้องเอ็มดีกว่าห้าคน แสนศรันย์แจ้งจุดประสงค์ที่ต้องการแล้วกำชับให้จิตราคอยดูแลความเรียบร้อย ส่วนตนเองก็มุ่งหน้าไปยังตึกคลังสินค้าเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

ประตูที่ถูกเปิดออกทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านในกว่าสามคนสะดุ้ง โดยมีสองคนที่หน้าขาวซีดทันทีที่สบตากับผู้มีอำนาจสูงสุดของบริษัท

“เรียบร้อยไหมคุณตรี” แสนศรันย์ถามทันทีที่เดินไปนั่งหัวโต๊ะ

“ครับ ทั้งสองคนยอมสารภาพแล้วครับว่าเป็นคนปิดไฟ”

แสนศรันย์เบนสายตาไปยังคนก่อเรื่องด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ปิดทำไม”

“คือ…ฉันคิดว่าไม่มีคนอยู่ กะ…ก็เลยปิดไฟตามนโยบายบริษัทค่ะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวในนั้นเอ่ย ส่วนชายอีกคนได้แต่นั่งคอตก

“แค่นั้น?”

“ค่ะ”

เกิดความเงียบทันทีหลังจับประโยค จู่ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเย็นขึ้นจนเสียวสันหลัง

“ผมไล่พวกคุณออก!”

“อะไรนะครับ!อะไรนะคะ!” พนักงานคลังทั้งสองหันมองหน้ากัน ริมฝีปากแห้งผากขึ้นมาทันที

“คุณแสน ผมว่า…” ตรีภพเตรียมจะออกโรงปกป้องพนักงานในความรับผิดชอบของตน แต่จำต้องหยุดคำพูดใดๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำถัดมาของผู้บริหารสูงสุด

“เรื่องส่วนตัวพวกคุณผมจะยุ่ง แต่ความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผมคงยอมไม่ได้”

“พวกเราไม่ได้ทำนะคะ พี่เจิดปิดไฟเพราะกลัวคุณเลขาฯ จำหน้าได้แค่นั้นเองค่ะ”

คำสารภาพที่หลุดออกมาทำให้แสนศรันย์กำมือแน่น เพราะคำว่า ‘แค่นั้น’ มันทำให้เลขาฯ ของเขาถึงขั้นเป็นลมหมดสติ

“นี่พวกคุณสองคน...” ตรีภพหันมองลูกน้องพร้อมกับกุมขมับ เพราะตอนที่สอบถามทั้งสองนั่งยันนอนยันว่าเพียงไปหาเลนส์ตามออร์เดอร์ พอเสร็จก็ปิดไฟตามปกติ ไม่นึกเลยว่าจะแอบทำอะไรที่ไม่เหมาะสม

“และในฐานะผู้บังคับบัญชา ผมคงต้องทำทัณฑ์บนคุณตรีหนึ่งครั้ง”

“ครับ” ตรีภพน้อมรับโดยไร้คำทักท้วงใดๆ

“งั้นรบกวนคุณตรีช่วยจัดการที่เหลือด้วยนะครับ ถ้าต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายก็จัดไปตามสมควรเลยครับ” แสนศรันย์กำชับทิ้งท้ายแล้วลุกออกไปทันที

ใครที่บังอาจทำให้ผู้หญิงของเขาเดือดร้อน เขาไม่เก็บไว้ทั้งนั้น

 

ฟากฝั่งมินนภัสก็ตกกระไดพลอยโจนร่วมกิจกรรมไปกับมารดาและดารินจนถึงช่วงบ่าย ทั้งๆ ที่ใช้เวลาดูสถานที่ไม่ถึงชั่วโมงถัดจากนั้นมีทั้งทำสปาผิวเข้าคอร์สนวดหน้า แล้วยังมีแพลนจะไปชอปปิงกันต่ออีก เธอจึงต้องยกมือเพื่อขอสิทธิ์ออกเสียงอีกหน

“คือมิน…ขอไปทำธุระได้ไหมคะ”

“ธุระอะไรกันลูก อย่าบอกนะว่าจะกลับไปทำงานอีก” ดารินย้อนถามลูกสาวเพื่อนที่เอ็นดูราวกับลูกของตนเอง

“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณป้า คือมิน…เอ่อ มินจะไปหาพี่พิชค่ะ”

“เอาไงดีมิ่ง หรือเราจะไปชอปกันที่ร้านหนูพิช” ดารินหันไปทางเพื่อนสนิท ด้วยรู้จักมักคุ้นกับพิมพ์พิชเป็นอย่างดี

“แต่ร้านหนูพิชมีแต่เสื้อผ้าหนุ่มๆ สาวๆ เราไปร้านประจำกันน่าจะดีกว่านะ”

ฟังมิ่งกมลแล้วดารินก็พยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งแฟชั่นสมัยนี้สีฉูดฉาดไม่เข้ากับวัยตนเป็นแน่

มิ่งกมลเห็นเพื่อนคล้อยตามแล้วก็หันมาทางบุตรสาว “แล้วลูกจะไปหาหนูพิชยังไงล่ะ รถก็ไม่มี”

“มินนั่งรถไฟฟ้าไปก็ได้ค่ะคุณแม่ ส่วนขากลับนั่งแท็กซี่ก็คงได้”

“จะดีเหรอ เป็นสาวเป็นแซ่นั่งแท็กซี่อันตราย ป้าว่า…”

ไม่ทันที่ดารินจะเอ่ยจบ มิ่งกมลก็ยื่นมือมาจับเชิงห้ามปราม

“ก็ได้จ้ะ อย่ากลับดึกนักล่ะ”

“ค่ะคุณแม่ มินไปนะคะคุณป้า” มินนภัสรีบขอตัวอย่างรวดเร็วก่อนผู้ปกครองทั้งสองจะเปลี่ยนใจ ระหว่างเดินออกมายังได้ยินดารินบ่นตามหลัง

“จะดีหรือมิ่งให้หนูมินกลับแท็กซี่น่ะ มันอันตรายนะ”

“เถอะน่า ลูกฉันโตแล้วจะไปกะเกณฑ์อะไรเยอะแยะ ทีเธอยังปล่อยตาเสือตาแสนให้ทำตามใจเลย”

“ตาเสือตาแสนเป็นผู้ชาย มันเหมือนกันที่ไหน” ดารินยังชะเง้อมองหลานสาว จากนั้นก็คว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งถึงใครบางคน

“ทำอะไรน่ะ” มิ่งกมลยื่นหน้าไปมองหน้าจอ จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับสรวิศอยู่

“บอกตาเสือ”

“บอกทำไม” คนได้ฟังคำตอบสีหน้าแปลกใจ

“เผื่อตาเสือจะบอกตาแสนอีกที”

“คิดว่าคราวนี้จะสำเร็จไหม” คนอยากเกี่ยวดองถามถึงเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ เนื่องจากพลาดหวังจากสรวิศมาแล้วหนหนึ่ง

“เชื่อมือฉันกับตาเสือเถอะน่า” ดารินหัวเราะคิก ก่อนจะก้มไปพิมพ์ข้อความสนทนากับลูกชายคนเล็กต่อ

“ก็ได้ ฉันจะเชื่อเธออีกสักครั้ง”

ดารินขยิบตา ก่อนจะลากเพื่อนสนิทเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มไลน์ที่ชื่อ ‘กามเทพเฉพาะกิจ’

 

เมื่อพ้นจากสายตาผู้ปกครองทั้งสอง มินนภัสก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออก แต่ปลายสายกลับไม่ใช่พิมพ์พิชดั่งที่บอกมารดาไว้

“สวัสดีค่ะหมอแทน สะดวกคุยไหมคะ” พอธนวัฒน์ตอบกลับมาว่าสะดวก เธอจึงเข้าเรื่องโดยทันที “อาการของมินกลับมาอีกแล้วค่ะหมอ”

ธนวัฒน์เป็นจิตแพทย์ประจำตัวที่เธอเคยปรึกษาเรื่องอาการตื่นตระหนก เพราะเคยอาการกำเริบในช่วงที่ทำงานกับสรวิศ จึงต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“ค่ะ เดี๋ยวมินเข้าไป” มินนภัสวางสายพร้อมกับถอนหายใจ แม้วันนี้จะทำตัวเป็นปกติเพื่อปกปิดไม่ให้มารดาล่วงรู้ แต่สภาพจิตใจเธอไม่อยู่ในสภาวะปกติแบบที่แสดงออกนัก เธอใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาลเตโชดม และเนื่องจากได้โทร. ติดต่อกับธนวัฒน์เอาไว้แล้วจึงสามารถเข้าพบได้ทันที ทั้งสองทักทายกันเพียงเล็กน้อยแล้วธนวัฒน์ก็เริ่มเข้าประเด็น

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทำไมอาการถึงกำเริบขึ้นมาได้”

“มีอุบัติเหตุที่บริษัทนิดหน่อยค่ะ มินบังเอิญไปพบเห็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรเข้า” แค่หวนนึกถึงมินนภัสก็รู้สึกมือไม้เย็นจนต้องกำมือแน่น “พอจะถอยกลับจู่ๆ ไฟก็ดับอีก แล้วมิน…อยู่ตรงนั้นคนเดียว”

ธนวัฒน์อยากได้ความกระจ่างถึงเรื่อง ‘ไม่เหมาะไม่ควร’ ที่มินนภัสว่า แต่ดูแล้วอีกฝ่ายคงไม่พร้อมเล่าแน่

“แล้วน้องมินรู้สึกยังไงบ้างคะ”

“ตอนนั้นมิน…หายใจไม่ออกค่ะ รู้สึกกลัวไปหมด เหมือนได้ยินประโยคเดิมๆ ดังอยู่รอบตัว”

ใบหน้าคนเล่าขาวซีดจนธนวัฒน์อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาได้คุยกับมินนภัสในฐานะหมอกับคนไข้มาหลายครั้ง ทุกครั้งเธอจะเล่าเพียงอาการที่เกิดขึ้นแต่ไม่ยอมลงลึกถึงต้นสายปลายเหตุ การรักษาจึงทำได้แค่เน้นสนทนาเพื่อให้เธอสบายใจขึ้นเท่านั้น ซึ่งในฐานะหมอก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้มินนภัสไว้วางใจจนยอมเล่าทุกอย่างออกมาได้

“แล้วน้องมินออกมาจากตรงนั้นได้ยังไงคะ”

“เอ่อ คือ…”

แม้จะมีท่าทีอึกอักแต่สีหน้าของมินนภัสกลับดูกระจ่างขึ้นจนคนถามนึกสนใจ

“ลำบากใจที่จะเล่าหรือเปล่า”

มินนภัสส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ คือ…คุณแสนเข้าไปช่วยมินค่ะ”

“คุณแสน…เหรอคะ” ธนวัฒน์ทวนชื่อเพื่อให้แน่ใจ

“ค่ะ คุณแสนพี่ชายฝาแฝดพี่เสือ”

“ฮ้า นายแสนกลับมาแล้วเหรอคะ” จิตแพทย์หนุ่มทำเสียงตื่นเต้น แสนศรันย์คือเพื่อนกลุ่มเดียวกับตนและมีสรวิศกับเตวิชร่วมก๊วนด้วย ทว่าตั้งแต่อีกฝ่ายไปเรียนต่อและทำงานที่ต่างประเทศก็ไม่ค่อยได้พบเจอกันนัก

“มาได้เกือบอาทิตย์แล้วค่ะ หมอแทนยังไม่ได้เจอเหรอคะ”

“ยังเลยค่ะ นายแสนนี่จริงๆ เลย กลับมาก็ไม่บอก” หมอหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ แม้จะรู้ดีว่าแสนศรันย์ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ถึงขนาดไม่บอกกันเลยนี่ก็เกินไป

“สงสัยจะยุ่งๆ นะคะ คุณแสนต้องสานต่องานที่บริษัทแทนพี่เสือ”

ธนวัฒน์มองคนไข้สาวอย่างจับสังเกต แล้วก็เห็นว่ามีบางอย่างเรืองรองอยู่ในดวงตาดำขลับคู่นั้น

“น้องมินกับนายแสนสนิทกันมากใช่ไหมคะ”

“คะ? เอ่อ ก็ไม่สนิทหรอกค่ะ” มินนภัสปฏิเสธแทบจะทันที อย่างเธอกับเขานี่หรือเรียกสนิทแทบจะกินหัวกันทุกครั้งที่เจอด้วยซ้ำไป

“แต่พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนน้องมินกับนายแสนตัวติดกันตลอดเลยนะ”

ธนวัฒน์นึกย้อนไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มินนภัสชอบติดรถสรวิศกับแสนศรันย์มาเที่ยวกับก๊วนบ่อยๆ ในช่วงวันหยุด พวกตนยังแอบแซวเลยว่าหนึ่งในสองนี้ต้องแอบคบหากับมินนภัสแน่ๆ แต่สรวิศก็ปฏิเสธว่าเป็นเพียงพี่น้องเท่านั้น

‘คบยายมุมิเนี่ยนะ เห็นมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยใครจะไปรักลง’

ประโยคนั้นทำให้มินนภัสงอนสรวิศอยู่หลายวัน แต่ก็ได้แสนศรันย์นั่นแหละเป็นกาวใจให้

“เวลาน้องมินพูดถึงนายแสนดูมีชีวิตชีวาขึ้นนะคะ พี่ว่านายแสนอาจช่วยให้อาการน้องมินดีขึ้นได้นะ” ธนวัฒน์เสนอในฐานะหมอ เพราะการได้อยู่กับคนคุ้นเคย สถานที่ที่คุ้นเคย ย่อมทำให้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจ

“มินกลัวจะหนักกว่าเดิมน่ะสิคะ รายนั้นใช้งานมินอย่างเดียว แถมโหดกว่าพี่เสืออีก” มินนภัสหน้ามุ่ย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเซ็งๆ

“หมอแทนจ่ายยาให้มินแบบครั้งที่แล้วดีกว่าค่ะ”

“เอางั้นเหรอคะ”

“ค่ะ” มินนภัสยืนยัน เธอไม่รักษาอาการตื่นตระหนกของตนเองด้วยการไปอยู่ใกล้แสนศรันย์แน่ๆ

“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่สั่งยาให้นะคะ”

ธนวัฒน์หันไปคีย์ข้อมูลเข้าระบบ ยาของมินนภัสเน้นไปทางบำรุงร่างกายมากกว่าการรักษาเพราะอาการไม่ได้หนักถึงขั้นต้องเฝ้าระวัง “เรียบร้อยค่ะ น้องมินไปนั่งรอหน้าห้องจ่ายยาได้เลย”

“ขอบคุณค่ะหมอแทน” มินนภัสยกมือไหว้ แล้วหยิบกระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้อง แต่จู่ๆ ธนวัฒน์ก็เรียกเธอไว้

“น้องมินคะ”

“คะ” มินนภัสเหลียวกลับมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“คือ…เย็นนี้มีนัดหรือยังคะ เราไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อดีไหม”

มินนภัสชะงักเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ “มินชวนพี่พิชไปด้วยได้ไหมคะ” เพราะจุดมุ่งหมายต่อไปของเธอคือการไปพบพิมพ์พิชจึงไม่อยากเสียความตั้งใจ

ใบหน้าธนวัฒน์หมองลงเล็กน้อย แต่ก็ส่งยิ้มและตอบตกลง

“ได้สิคะ น้องมินรอพี่สักครู่นะคะ เดี๋ยวพี่ตามออกไป”

มินนภัสรับคำแล้วเดินไปรอหน้าห้องจ่ายยา ระหว่างนั้นก็อดนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับหมอแทนไม่ได้

‘พี่ว่านายแสนอาจจะช่วยให้น้องมินอาการดีขึ้นได้นะคะ’

“ช่วยเหรอ” จู่ๆ ภาพที่เขาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวก็เด่นชัดในความรู้สึก โดยเฉพาะความใกล้ชิดในห้องเล็ก

“ไม่ได้ๆ” เธอสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อขับไล่ความรู้สึกที่ก่อขึ้นในจิตใจ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่าง เธอจะไม่อภัยให้เขาง่ายๆ แน่

 

เมื่อรับยาและจ่ายค่ารักษาพยาบาลเสร็จสรรพ มินนภัสก็นั่งรอธนวัฒน์ที่บริเวณล็อบบีของโรงพยาบาลเตโชดม ระหว่างนั้นก็ติดต่อพิมพ์พิชเพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทร. บอกล่วงหน้าเลยว่าจะไปหา

เธอกดโทร. ออกหลายครั้งและทุกครั้งก็รอจนสัญญาณตัดไปแต่ก็ไม่มีคนรับสาย

“สงสัยพี่พิชจะไม่ว่าง” มินนภัสคาดเดาเพราะครั้งก่อนที่เจอกันอีกฝ่ายก็เปรยๆ ถึงคอลเล็กชันใหม่ของแบรนด์ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปีเลยคิดว่าต้องเปลี่ยนแผนไปรับประทานมื้อค่ำกับหมอแทนเพียงลำพัง แต่ระหว่างที่ยังนั่งรอธนวัฒน์อยู่ก็มีสายเรียกเข้ามา พอยกขึ้นดูก็พบว่าเป็นกรชวัล เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนแบรนด์เสื้อผ้าของพิมพ์พิช

“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง เพราะคิดว่ารุ่นพี่สาวใช้เบอร์ของเพื่อนสนิทโทร. กลับมาหา

“มินได้ติดต่อพิชบ้างหรือเปล่า”

พอเป็นเสียงของกรชวัลแถมไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรเลยก็เข้าเรื่องทันทีทำให้มินนภัสนึกแปลกใจ

“เมื่อกี้มินพยายามโทร. หาอยู่เลยค่ะ แต่ก็ไม่มีคนรับ พี่กรไม่ได้อยู่กับพี่พิชเหรอคะ”

“เปล่าครับ ตอนนี้พี่อยู่อังกฤษ มิน…ช่วยอะไรพี่หน่อยได้ไหม”

คำพูดของกรชวัลทำให้มินนภัสเริ่มไม่สบายใจ “ได้สิคะ พี่กรจะให้มินช่วยอะไรเหรอคะ”

“ไปหาพิชที่คอนโดหน่อย พี่เป็นห่วงพิชมากเลย”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ” มินนภัสถามกลับ ร้อยวันพันปีกรชวัลไม่เคยขอร้องอะไรแบบนี้

ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะยอมเอ่ยถึงต้นเหตุที่แท้จริง “พิชโดนพี่พีบอกเลิกครับ”

“อะไรนะคะ!” เสียงที่แว่วมาตามสายทำให้มินนภัสตะลึงงัน เพราะพิมพ์พิชกับพีระพัฒน์คบหากันมาหลายปีและก็ดูรักกันมากด้วย

“เห็นว่าเมื่อเช้าทะเลาะกันหนักเลย นี่พี่พยายามโทร. หาพิชตลอดทั้งวันก็ไม่รับสาย”

สมองมินนภัสอื้ออึงไปชั่วขณะ เฝ้าแต่คิดว่ารุ่นพี่สาวจะไปอยู่ที่ไหนและจะเสียใจมากขนาดไหน

“น้องมินเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ธนวัฒน์ที่เข้ามาสะกิดไหล่ มินนภัสถึงได้รู้สึกตัว

“ปละ...เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปคุยกับกรชวัลที่ยังอยู่ในสาย “พี่กรไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวมินไปดูพี่พิชที่คอนโดเอง ค่ะๆ ได้เรื่องยังไงแล้วจะส่งข่าวค่ะ”

มินนภัสวางสาย แล้วหันไปทางธนวัฒน์

“มินคงไปทานข้าวกับหมอแทนไม่ได้แล้วค่ะ มินต้องไปหาพี่พิช”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” ธนวัฒน์ถาม เพราะจับประเด็นจากถ้อยคำสนทนาที่ได้ยินช่วงท้ายและท่าทีของมินนภัสได้

“เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ มินต้องรีบไปแล้ว”

“พี่ไปด้วยดีกว่าค่ะ”

มินนภัสลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมเดินตามธนวัฒน์ไปที่รถ ทั้งสองเผชิญกับการจราจรที่ติดขัดบนถนนนานนับชั่วโมงกว่าจะมาถึงคอนโดของพิมพ์พิช ระหว่างทางมินนภัสก็เล่าให้ธนวัฒน์ฟังคร่าวๆ ในฐานะที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

เมื่อถึงจุดหมายเธอก็พุ่งไปหาประชาสัมพันธ์เพื่อขอให้ช่วยพาไปยังห้องของพิมพ์พิชหน่อยแต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ใจหายมากกว่าเดิม

“คุณพิชออกไปข้างนอกตั้งบ่ายแล้วค่ะ ยังไม่เห็นเข้ามาเลย” เนื่องจากเป็นคอนโดหรูที่ค่อนข้างไพรเวตการเข้าจะออกจึงไม่รอดพ้นสายตาประชาสัมพันธ์และพนักงานรักษาความปลอดภัยไปได้

“ไปไหนเหรอคะ”

“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ” มินนภัสถอนหายใจยาว พอหันกลับไปก็พบว่าธนวัฒน์เดินเข้ามาสมทบพอดี

“คุณพิชไม่อยู่เหรอคะ”

เธอผงกศีรษะแทนคำตอบ ความวิตกกังวลเริ่มมากขึ้นเพราะรู้ว่าพิมพ์พิชจริงจังกับความรักขนาดไหน แถมพีหรือพีระพัฒน์ก็คบหากับพิมพ์พิชมาตั้งแต่เรียนอยู่เมืองนอก เธอยังเคยได้ยินรุ่นพี่สาวเปรยถึงเรื่องการแต่งงานด้วยซ้ำ

“มินขอโทร. บอกพี่กรก่อนนะคะ” มินนภัสบอกผู้ร่วมชะตากรรมแล้วเลี่ยงไปต่อสายถึงคนที่อยู่ต่างประเทศ ครู่ใหญ่ก็เดินกลับมาสมทบกับธนวัฒน์

“พี่กรกำลังติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ค่ะ เพราะเวลาพี่พิชทะเลาะกับพี่พีทีไรชอบโทร. ชวนเพื่อนไปแฮงก์เอาต์ประจำเลย” มินนภัสกล่าวอย่างเป็นกังวล “นี่มินขอที่อยู่ร้านที่พี่พิชชอบไปมาด้วย ว่าจะลองไปตามหาดู”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนนะคะ”

การอาสาของธนวัฒน์ทำให้มินนภัสเบาใจขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องตระเวนหาพิมพ์พิชเพียงลำพัง

 

ระหว่างเดินทางไปยังสถานบันเทิงตามรายชื่อที่กรชวัลส่งให้ อีกฝ่ายก็โทร. เข้ามาอีกครั้งแล้วแจ้งว่ามีเพื่อนคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากพิมพ์พิชในช่วงหัวค่ำให้ไปหาที่ผับประจำ แต่เพื่อนคนนั้นดันติดธุระไม่สามารถปลีกตัวไปได้ กรชวัลได้โทร. เข้าไปสอบถามที่ร้านแล้วพบว่าพิมพ์พิชยังอยู่ที่ผับนั้นในสภาพที่เมามายมาก

“พี่กรไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ มินจะไปเดี๋ยวนี้” มินนภัสบอกคนในสาย จากนั้นก็บอกให้ธนวัฒน์เปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที

ทั้งสองใช้เวลาค่อนข้างเยอะกว่าจะมาถึงเพราะเป็นคืนวันศุกร์ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักออกเที่ยวเพื่อคลายเครียดกับปัญหาที่เจอมาตลอดทั้งอาทิตย์ เมื่อมาถึงผับหรูลานจอดรถก็เกือบเต็มหมดแล้ว

มินนภัสหน้าตาตื่นเมื่อต้องมาเยือนแหล่งที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายในชีวิตเธอเมื่อเกือบหกปีก่อน แม้จะไม่ใช่สถานที่เดียวกันแต่บรรยากาศไม่แตกต่างจากความทรงจำของเธอเลย

“น้องมินคะ”

คนโดนเรียกสะดุ้ง สีหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสียงสลัวขาวซีด มือไม้เย็นเฉียบ

“เราเข้าไปกันเลยไหมคะ”

“เอ่อ คือ…” ตอนแรกเธอมัวแต่ห่วงรุ่นพี่สาวจนลืมขีดจำกัดของตนเอง พอมาถึงจุดนี้จริงๆ แม้แต่แรงที่จะก้าวลงจากรถยังแทบไม่มี

“หมอแทนเข้าไปคนเดียวได้ไหมคะ คือมิน…มิน…”

น้ำเสียงอึกๆ อักๆ ทำให้ธนวัฒน์ต้องยื่นมือไปเปิดไฟภายในรถ พอเห็นสีหน้า แววตา และท่าทีของมินนภัสก็รู้โดยทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ‘ปฏิกิริยาเริ่มต้นของอาการตื่นตระหนก’

“พี่เข้าไปคนเดียวได้ค่ะ แต่น้องมินอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอคะ”

มินนภัสเหลียวมองโดยรอบ ลานจอดรถมีไฟสว่างอยู่เป็นระยะและบรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบ

“ดะ…ได้ค่ะ” ปากบอกไปแบบนั้นแต่ก็มีคำว่า ‘ต้องได้’ ดังขึ้นในใจ หากเธอทนไม่ไหวธนวัฒน์ก็จะห่วงหน้าพะวงหลังเสียเปล่าๆ

“แน่ใจนะคะ” ธนวัฒน์ถามย้ำอีกครั้ง เพราะดูแล้วสีหน้าไม่สอดคล้องกับคำพูดเลย

“ค่ะ ถ้าไม่ไหวมินจะโทร. บอกนะคะ” มินนภัสยกโทรศัพท์ขึ้นชูเพื่อให้ธนวัฒน์มั่นใจ

แม้จะพะว้าพะวังแต่คนฟังข้อเสนอก็ยินยอม เพราะถ้าไม่รีบพาพิมพ์พิชออกมา มินนภัสก็ต้องอยู่ที่นี่นานขึ้นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

“พี่จะรีบมานะคะ”

“ค่ะ” มินนภัสยืนยันเสียงหนักแน่นเพื่อให้อีกฝ่ายเบาใจ พอธนวัฒน์ลงไปเธอก็จัดการล็อกรถทันที ในใจก็ภาวนาให้เขาใช้เวลาไม่นานมากเพราะกรชวัลติดต่อกับพนักงานที่คุ้นเคยกันเอาไว้แล้วว่าจะมีคนมารับพิมพ์พิช

ผ่านไปราวสิบห้านาทีจู่ๆ กระจกรถฝั่งที่มินนภัสนั่งอยู่ก็โดนเคาะ เธอสะดุ้งเฮือกพอหันไปดูก็เห็นเพียงชุดสูทสีดำที่มองยังไงก็ไม่ใช่ชุดที่ธนวัฒน์ใส่จึงหันหลังหลบแล้วซุกตัวอยู่กับเบาะรถ แต่เสียงเคาะก็ยังดังต่อเนื่องจนความหวาดกลัวเข้าจู่โจม มินนภัสยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาหวังขอความช่วยเหลือจากธนวัฒน์ แต่ยังไม่ทันกดโทร. ออกจู่ๆ ก็มีสายเรียกเข้า

เธอสะดุ้งในตอนแรก แต่พอเห็นชื่อที่โชว์หราความหวาดกลัวที่มีก็แทบเลือนหายไป

“คุณแสน” เธอเรียกชื่อเขาหลังจากกดรับ ซึ่งก็ได้ยินประโยคห้วนๆ ดังสวนออกมา

“เปิดประตูรถเดี๋ยวนี้!”

“คะ?”

“ผมบอกให้เปิดประตู!”

มินนภัสหันขวับจึงได้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมก้มลงมาอยู่ระดับเดียวกับกระจก ด้วยความโล่งอกจึงปลดล็อกรถอย่างรวดเร็ว

“มาทำบ้าอะไรที่นี่!”

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียวแถมยังดึงแขนเธอให้ลงจากรถ จากความดีใจจึงกลายเป็นโมโหนิดๆ พร้อมกับมีคำถามเกิดขึ้นในหัว

‘เธอทำอะไรผิด แล้ว…เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง’

“กลับบ้าน!”

เหมือนแสนศรันย์จะไม่รอฟังคำตอบ เขากระตุกแขนเพื่อให้เธอเดินตามไปที่รถซึ่งจอดอยู่ข้างๆ

“ไม่ค่ะ ฉันยังกลับไม่ได้” มินนภัสขืนตัวไว้ ทำให้คนตัวโตต้องหยุดเดิน

“ทำไม หรือว่าอยากเข้าไปข้างใน”

“ไม่ใช่ค่ะ!” มินนภัสส่ายหน้าหวือ “ฉันต้องรอหมอแทนกับพี่พิช”

“พี่พิช…พิมพ์พิช?”

“ค่ะ พี่พิชมีปัญหานิดหน่อย พี่กร เอ่อ เพื่อนพี่พิชน่ะค่ะ เขาขอร้องให้ฉันช่วยพาพี่พิชกลับบ้าน”

“โดยมากับไอ้หมอแทน?”

คนฟังเลิกคิ้วสูง เกิดคำถามเดิมขึ้นในหัว ‘เขารู้ได้ยังไง’

“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลย” แสนศรันย์หันมาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กด้วยท่าทีเอาเรื่อง “ยังไงมินก็มีความผิด จะไปไหนมาไหนทำไมไม่บอก รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง!”

จบประโยคยาวๆ ของคนพูดน้อยก็เกิดสภาวะเดดแอร์ มินนภัสจ้องหน้าแสนศรันย์นิ่ง ริมฝีปากสีพีชเผยอออกจากกัน คล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา

“น้องมิน! ช่วยพี่หน่อยค่ะ” ประโยคขอความช่วยเหลือที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้มินนภัสหันไปมอง จึงพบว่าธนวัฒน์กำลังพยุงพิมพ์พิชมาในสภาพทุลักทุเล

“พี่พิช!” มินนภัสวิ่งเข้าไปช่วยหิ้วปีกอีกข้าง แต่กลับโดนพิมพ์พิชที่แทบจะไร้สติผลักไส

“อย่า-มา-ยุ่ง!”

มินนภัสชะงัก ทำหน้าไม่ถูกไม่ชั่วขณะ เธอไม่เคยเห็นรุ่นพี่ในสภาพเมามายไร้สติเช่นนี้เลย

“พี่พิช นี่มินเองนะคะ” เธอเอื้อมไปจับแขนพิมพ์พิชเขย่า แต่ก็โดนปัดมือออกทันที

“เธอใช่ไหมที่จะแย่งพี่พีไป!”

“มะ…ไม่ใช่นะคะ” คนถูกกล่าวหาปฏิเสธรัวๆ

“ฉันรักเขา ฉันรักของฉันมาตั้งนานแล้ว” พิมพ์พิชหาได้สนใจเธอไม่ ยังคงพร่ำรำพันถึงความเสียใจแล้วซุกหน้าลงกับอกของคนช่วยพยุง น้ำหูน้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด

“พี่พีอย่าทิ้งพิชนะคะ พิชไม่เอาแต่ใจแล้วก็ได้ พี่พีอยู่กับพิชนะคะ”

ธนวัฒน์ทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนยกตำแหน่งผู้ชายที่ชื่อ ‘พี’ ให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว แถมสาวเจ้ายังกอดรัดแน่นชนิดแกะยังไงก็แกะไม่ออก

สถานการณ์ตรงหน้าทำให้มินนภัสไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้จึงทำท่าจะขยับเข้าไปอีกรอบ เพราะดูเหมือนธนวัฒน์คนเดียวจะไม่ไหว

“เดี๋ยวผมจัดการเอง” แสนศรันย์ดึงมินนภัสให้ขยับออกห่าง แล้วเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง ทำให้ธนวัฒน์เพิ่งจะได้เห็นหน้าเพื่อนชัดๆ

“นายแสน”

“อือ!”

“ไปไงมาไงวะ” ธนวัฒน์อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จู่ๆ ก็ได้พบเพื่อนในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้

“มาพาคนแถวนี้กลับบ้าน”

“หือ!” จิตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วสูง มองผ่านแสนศรันย์ไปยังคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง

“ตกลงจะให้ช่วยไหม”

“ช่วยดิวะ คุณพิชรัดฉันจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วเนี่ย” พอวกมาเรื่องคนที่กอดตนอยู่ธนวัฒน์ก็เลิกสงสัยทันที

แสนศรันย์ขยับเข้าไปช่วยจับแขนของพิมพ์พิช แต่เจ้าหล่อนก็ยังสะบัดออกแล้วกลับไปซุกอกธนวัฒน์เช่นเคย

“อย่ามายุ่งนะกร! ฉันจะอยู่กับพี่พี”

คนหวังดีถอดใจโดยง่าย เพราะจะให้เขาไปถูกเนื้อต้องตัวพิมพ์พิชมากไปกว่านี้ก็ดูจะไม่เหมาะ

“อ้าว! นายแสนอย่ามัวแต่นิ่งสิวะ”

“ก็คุณพิชไม่ให้ช่วย…”

มินนภัสมองคนที่ถอดใจโดยง่ายแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า แล้วลองเสนออีกหนึ่งแนวทางเพราะยังไงพิมพ์พิชก็เห็นว่าอีกฝ่ายคือชายคนรักอยู่แล้ว

“งั้นหมอแทนลองบอกให้พี่พิชเข้าไปนั่งในรถดีไหมคะ พี่พิชอาจจะฟังก็ได้”

ธนวัฒน์ทำหน้าเหมือนกินยาขม แต่คิดแล้วไม่เห็นมีทางออกอื่นจึงยอมทำตามแผนดังกล่าว

“คุณพิช…เราเข้าไปนั่งในรถดีไหม จะได้กลับคอนโดกันไงคะ”

“พี่พีจะกลับกับพีชใช่ไหม ไม่บอกเลิกพีชแล้วใช่ไหมคะ” คนเมาเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับแรงสะอื้นที่ยังมีอยู่เป็นระยะ

“ค่ะ ไม่เลิกค่ะ”

“จริงนะคะ!”

ธนวัฒน์พยักหน้าช้าๆ พอพิมพ์พิชเห็นดังนั้นก็อมยิ้มทั้งน้ำตายอมให้ธนวัฒน์พยุงไปขึ้นรถแต่โดยดี

สถานการณ์ดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดี คนคอยลุ้นจึงพลอยโล่งอกที่อย่างน้อยพิมพ์พิชก็ยอมทำตาม

“เราก็กลับบ้าน” แสนศรันย์เดินมาคว้ามือมินนภัส รั้งเบาๆ ให้เดินไปที่รถ

“กลับได้ยังไงคะ จะทิ้งพี่พิชให้อยู่กับหมอแทนได้ยังไง” มินนภัสตำหนิกลายๆ ก่อนจะดึงมือออกแล้ววิ่งไปขึ้นรถของธนวัฒน์แทน

แสนศรันย์มองตามอย่างฉุนๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินตาม เมื่อมาทันก็จับประตูฝั่งคนขับที่มินนภัสกำลังเปิดแล้วสั่งเสียงเข้ม

“ไปนั่งฝั่งนู้น”

“คะ?” คนถูกสั่งมองอย่างงงๆ เพราะตั้งใจจะเข้าไปทำหน้าที่ขับรถแทนธนวัฒน์

“ผมจะขับให้”

“แล้วรถคุณ…”

“เดี๋ยวเพื่อนพี่ขับตามไป”

มินนภัสเหลือบไปมองทางรถสัญชาติยุโรปที่จอดอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่ามีชายรูปร่างสูงยืนอยู่จึงยอมทำตามคำสั่งโดยการเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่งเพื่อคอยบอกเส้นทางไปคอนโดพิมพ์พิชให้พลขับกิตติมศักดิ์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น