3

หลบไม่พ้น



หลบไม่พ้น

 

การชอปปิงต่อด้วยรับประทานอาหารค่ำกับพิมพ์พิชไม่ทำให้มินนภัสอารมณ์ดีขึ้นนักเพราะยังพะวงอยู่กับเรื่องลาออก เมื่อกลับมาถึงเธอจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปเจรจากับมารดาซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ในห้องโถงใหญ่ของบ้าน

“คุณแม่คะ”

“กลับมาแล้วเหรอลูก” มิ่งกมลละสายตาจากสารคดีช่องดังหันไปทางบุตรสาวปรี่เข้ามาหา

“คุณแม่ดูไม่แปลกใจเลยนะคะที่มินกลับผิดเวลา” ปกติมินนภัสกลับบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่ม ทว่าตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มกว่าแล้วแต่มารดาดูไม่มีท่าทีกังวลแม้แต่น้อย “คุณแม่รู้แล้วใช่ไหมคะว่าคุณแสนกลับมาแล้ว”

“จ้ะ ดาบอกแม่แล้ว” มิ่งกมลเอ่ยถึงเพื่อนสนิทที่โทร. มาหาตั้งแต่เช้า เพื่อบอกข่าวดีเรื่องบุตรชายคนโตกลับมาจากต่างประเทศ

“รู้แล้วด้วยว่ามิน เอ่อ…ทะเลาะกับเขา?” มินนภัสหยั่งเชิง ซึ่งมารดาก็พยักหน้า เธอจึงค่อนข้างเบาใจ คิดว่าคงเอ่ยเรื่องลาออกได้ง่ายขึ้น

“แต่แม่ไม่รู้หรอกนะว่ามินทะเลาะกับพี่แสนเรื่องอะไร”

คนสูงวัยเอื้อมไปจับมือลูกสาวมากุม มิ่งกมลเลี้ยงมินนภัสมาเพียงลำพังเพราะแยกทางกับสามีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งสองจึงผูกพันกันมาก มีอะไรก็ปรึกษากันแทบทุกเรื่อง ตอนเด็กๆ ก็เห็นลูกสาวสนิทกับลูกชายฝาแฝดของดารินดี แต่จู่ๆ ทั้งหมดก็ห่างเหินกันไป เธอพยายามหาสาเหตุแต่ก็จนปัญญา ถามมินนภัสก็ได้คำตอบแค่ว่าต่างคนต่างโตขึ้นจึงห่างๆ กันไปและเธอก็เชื่อแบบนั้น เพราะหลังจากมินนภัสเข้าไปทำงานที่บริษัทเลนส์ออฟติกก็ดูสนิทสนมกับสรวิศเช่นเดิม จนเธอกับดารินยังแอบหมายมั่นปั้นมือว่าอยากให้ตกล่องปล่องชิ้นกันด้วยซ้ำ

“มินมีอะไรอยากบอกแม่ไหมลูก”

ศีรษะเล็กส่ายไปมา แต่ก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“หรือว่าที่มินกับพี่แสนทะเลาะกันเพราะเรื่องนั้น”

คำว่า ‘เรื่องนั้น’ ของมารดาทำให้มินนภัสหัวใจกระตุกวูบ

“ระ…เรื่องไหนคะ”

“ก็เรื่องที่หนูไปค้างคอนโดพี่แสนแล้วไม่บอกแม่ไง”

เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์เดียวที่มิ่งกมลทำโทษลูกสาว เหตุผลไม่ใช่แค่การไปค้างที่คอนโดแสนศรันย์ แต่เพราะทั้งสองไม่ยอมบอกว่าหายไปไหน ทำไมถึงติดต่อไม่ได้กว่าค่อนคืน พอกลับมาในช่วงสายของวันต่อมาจึงโดนทำโทษและคนที่โดนหนักที่สุดก็คือแสนศรันย์

“มะ…ไม่ใช่หรอกค่ะแม่” ปากปฏิเสธแต่มินนภัสกลับจำได้ไม่เคยลืมว่า ‘คืนนั้น’ เกิดอะไรขึ้น

‘พี่แสน มินไม่อยากกลับบ้าน’ เธอซุกอยู่กับอกเขาเมื่อถูกพาออกมาจากห้องที่เหม็นอับนั้น ‘มินไม่อยากให้คุณแม่รู้’

‘ครับ พี่จะพามินไปที่ปลอดภัยนะ’

หลังประโยคมีสัมผัสอุ่นชื้นทาบลงที่หน้าผาก…อุ่นไปจนถึงหัวใจ

‘พี่แสนอย่าบอกเรื่องนี้ใครนะ มิน…’ มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่อธิบายทุกสิ่งภายในใจได้ เมื่อสิบนาทีก่อนเธอทั้งหวาดกลัว ทั้งขยะแขยง คิดถึงทุกจุดที่มือสากลากผ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองสกปรก “เธอจะฆ่าตัวตาย” นั่นคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวเมื่อคิดว่าตนต้องยอมจำนนกับชะตากรรม

‘พี่จะไม่บอกใคร พี่สัญญา…’ สัมผัสอุ่นชื้นทาบมาที่หน้าผากอีกหน มือเล็กตวัดรอบลำคอคนตัวสูงแน่น เธออยากหลบเร้นไปให้ไกลไม่ให้ใครพบเจอ ไม่ให้ใครในสถานที่นี้รู้ว่าเธอเคยมาเหยียบที่นี่

คนที่รู้เรื่องคืนนั้นจึงมีเพียงสามคน เธอ เขา และไอ้เลวคนนั้น

...

“มิน!”

คนโดนเรียกสะดุ้งเฮือก ขยับหนีมือของมารดาโดยอัตโนมัติ

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูกสีหน้าไม่ดีเลย” มิ่งกมลขยับตาม เธอเรียกอยู่หลายครั้งแต่บุตรสาวเหมือนจะไม่ได้ยิน

“ไม่เป็นไรค่ะ มินคิดอะไรเพลินไปหน่อย” มินนภัสเบี่ยงหน้าหนี ยกมือขึ้นมาซับหยาดน้ำที่หัวตา ยามนึกถึงเรื่องนั้นทีไรเธอเหมือนถูกเงามืดคุกคาม รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

“เราคุยกันถึงไหนแล้วนะคะ” เธอหันมาหามารดาด้วยท่าทีปกติ พยายามกลบฝังบาดแผลในใจเอาไว้

“เรื่องมินทะเลาะกับพี่แสน”

“อ๋อ เราทะเลาะกันเรื่องงานค่ะความคิดเห็นไม่ตรงกัน แล้วมินว่ามินจะลาออกด้วยค่ะ”

“ฮะ!”

“มินลาออกได้ไหมคะแม่” มินนภัสย้ำเสียงหนักแน่น

“ทำไมล่ะลูก แม่ไม่เห็นว่างานที่นั่นจะหนักหนาอะไรเลยนะ หนูจะได้เรียนรู้งานไปด้วยไง”

“แต่มินไม่อยากทำนี่คะ” มินนภัสพ้อ เธอจบบริหารก็จริงแต่อยากเปิดบริษัทของตัวเองมากกว่า ที่ยอมรับปากทำก็เพราะเห็นแก่มารดาและเงินก้อนโตที่จะมาลงทุนทำธุรกิจของตนเอง แถมตอนแรกๆ ยังมีเลขาคนเก่าของสรวิศอยู่งานของเธอจึงไม่หนักมากแต่ตอนนี้เลขาคนนั้นลาออกไปแล้วเธอจึงต้องทำทุกอย่างเพราะสรวิศไม่ยอมหาเลขาคนใหม่

“แต่มินก็ทำมาได้ตั้งนานแล้วนี่ลูก”

คนฟังหน้ามุ่ย ด้วยแนวโน้มมารดาจะไม่ยอมคล้อยตามง่ายๆ

“อีกอย่างพี่แสนเขาเพิ่งกลับมา ถ้ามินไม่อยู่อีกคนพี่เขาคงรับมือไม่ไหวหรอก แม่ว่าลูกอยู่ช่วยพี่แสนอีกหน่อยดีไหม”

ข้อนี้มินนภัสเถียงไม่ออก แค่วันแรกก็รู้แล้วว่าแสนศรันย์ลำบากแน่หากไม่มีผู้ช่วย

“อีกหน่อยนี่เมื่อไหร่คะ หนึ่งเดือนหรือสองเดือน” พอมารดามาอีหรอบนี้ เธอจึงต้องการกำหนดเวลาที่แน่นอนบ้าง

“รอให้พี่เสือเขากลับมาดีไหม”

“แม่ค้า...”

“โอเคๆ งั้นก็จนกว่าพี่แสนดูแลงานต่อไปได้ก็แล้วกัน”

มินนภัสจำยอมตรงข้อเสนอนี้เพราะแสนศรันย์เองก็มีประสบการณ์ดูแลบริษัทลูกทั้งที่ออสเตรเลียและอเมริกามาหลายปี เธอคิดว่าคงปรับตัวได้ไม่ยาก ส่วนโพรเจกต์ล้านแปดที่คิดจะทำร่วมกับพิมพ์พิชคงต้องพับเก็บไปชั่วคราวก่อน

 

แสนศรันย์นั่งวิดีโอคอลกับสรวิศผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊ก มีหลายอย่างที่เขาต้องปรับตัวและเรียนรู้ใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องเวลาที่อเมริกากับที่ไทยเท่านั้นที่ต่างกัน แต่สภาพอากาศ การดำเนินชีวิต งานที่รับผิดชอบ ก็ล้วนแตกต่างจากเดิม

“เริ่มชินหรือยังวะ”

คำถามที่ดังออกมาจากลำโพงทำให้คนฟังคิ้วกระตุก เขาเพิ่งมาถึงเมื่อวานตอนบ่าย หลังจากได้พักผ่อนหนึ่งคืนเต็มๆ ก็เข้าไปดูงานที่บริษัททันทีเพราะสรวิศทิ้งไปหลายวันแล้ว

แค่วันแรกก็เจอทั้งงานทั้งคนที่น่าปวดหัว

“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าราบรื่นดี”

“ราบรื่นกับผีน่ะสิ”

เสียงหัวเราะร่วนของสรวิศทำให้คนอีกฝั่งของหน้าจอนึกฉุน เดาได้เลยว่าเหตุการณ์วันนี้คงถูกรายงานให้ได้รู้แล้วเรียบร้อย

“เมื่อไหร่จะกลับมา”

“อะไรวะ! เพิ่งมาได้ไม่กี่วันเองจะให้กลับละ ยังโว้ย! อีกนาน”

“ทำไมต้องนาน พาไปตรวจดีเอ็นเอก็จบเรื่อง” แสนศรันย์ทราบเหตุผลการหายตัวไปของสรวิศดี จึงไม่ลังเลที่จะถามและไม่คิดว่าเรื่องดังกล่าวจะยุ่งยากด้วย

“คนลูกอะจบเรื่อง แต่คนแม่นี่อีกยาวเลยว่ะ” สรวิศเหลียวมองซ้ายขวาแล้วก้มลงมากระซิบกระซาบคล้ายไม่อยากให้ใครได้ยิน

“สรุปต้องการทั้งแม่ทั้งลูก”

“ใช่น่ะสิ! จะพรากลูกพรากแม่ได้ยังไง อีกอย่างขวัญก็เมียฉัน”

แสนศรันย์มุมปากกระตุก ตั้งแต่เติบโตมาด้วยกันก็เพิ่งได้ยินสรวิศเรียกผู้หญิงสักคนว่า ‘เมีย’ ทั้งๆ ที่ถ้าให้นับทางพฤตินัย เมียของมันคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

“อย่าทำหน้าแบบนั้นนะโว้ย ฉันถอดเขี้ยวเล็บทิ้งไว้กรุงเทพฯ แล้ว ยังไงฉันต้องเอาชนะใจขวัญให้ได้”

คนฟังรู้สึกโล่งใจมากกว่าเป็นกังวล ถ้าสรวิศทำได้อย่างที่พูดจริงคงจะดีมาก

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“นายมีเรื่องจะด่าฉันเต็มไปหมดซะมากกว่า” สรวิศชี้หน้า แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อจู่ๆ ก็มีเสียงสมาร์ตโฟนดังแทรก “เฮ้ย! น้ามิ่งส่งข้อความมาแล้วว่ะ สรุปยายมุมิไม่ลาออกแล้วนะ น้ามิ่งนี่สุดยอดจริงๆ”

คนพูดก้มลงไปพิมพ์ข้อความตอบกลับ ส่วนคนอีกฝั่งของหน้าจอเผลอยิ้มออกมาแทบจะทันที

“แหม! ข่าวดีละสิ คุณแสนยิ้มยากถึงได้หน้าบานขนาดนั้น”

คนโดนแซวเหลือบมองน้องชาย แต่ใบหน้าก็ไม่ได้ปกปิดความรู้สึก

“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำนะ ยายมุมิมีคนตามจีบเยอะนะจะบอกให้”

“แล้วไง!”

“แล้วไงนี่หมายความว่าอะไรวะ แล้วไงใครแคร์ หรือว่าแล้วไง ยังไงก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ”

ในขณะที่อีกฟากฝั่งกำลังจดจ่อรอคำตอบ แสนศรันย์ก็ตัดบทฉับ คว้าแฟ้มเอกสารขึ้นมาแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ทางอาร์แอนด์ดีเขาสั่งน้ำยาอีกตัวมาทดลองแล้วนะ เห็นว่าเพิ่งเอาลงเตา กว่าผลจะออกคงอาทิตย์หน้า”

“เฮ้ย! อะไรวะ เปลี่ยนเรื่องเฉย”

“ฉันว่าจะให้เขาสั่งมาอีกสักเจ้าสองเจ้า จะได้เห็นข้อเปรียบเทียบเยอะหน่อย ดูแล้วราคาก็ไม่ต่างกันมาก ฉันส่งรายละเอียดไปให้ทางเมลแล้วลองดูสิ”

การท้วงของสรวิศไม่เป็นผลเพราะแสนศรันย์ไม่มีทีท่าจะพูดถึงเรื่องส่วนตัวเพิ่ม คนขัดใจจึงได้แต่บ่นพึมพำแล้วหันไปเปิดอีเมลเพื่ออ่านรายละเอียดงานจะได้ถกปัญหากันตรงจุด

เห็นสรวิศหลงกลไปแบบนั้นคนอีกฝั่งของหน้าจอจึงยกยิ้มมุมปาก แล้วเหลือบขึ้นไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานซึ่งเขานำติดตัวไปด้วยทุกที่

‘เด็กหญิงผมเปียในชุดมัธยมยืนอยู่เคียงข้างกับชายหนุ่มในชุดมหาวิทยาลัย’ ดวงตาคมทอประกายวาววับดั่งคนที่สมหวังกับบางสิ่งบางอย่าง

 

มินนภัสอยากจะลาสักวันสองวันเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจในการร่วมงามกับแสนศรันย์ แต่ความตั้งใจก็ไม่เป็นผล เพราะโดนบรรดาเจ้าหน้าที่แผนกต่างๆ ไลน์ตามตลอดทั้งบ่ายยาวไปถึงช่วงค่ำ ทั้งเจ้าหน้าที่บัญชีที่ต้องการรายงานซึ่งส่งมาให้แสนศรันย์เซ็นแล้วยังไม่ได้คืน ทั้งเจ้าหน้าที่จัดซื้อก็ต้องการเอกสารอนุมัติชิปปิงเจ้าใหม่ ทั้งฝ่ายบุคคลที่อยากได้ผลสรุปเรื่องการจ้างเอาต์ซอร์ซซึ่งทุกคนล้วนฝากความหวังไว้ เธอจึงไม่อาจหลีกหนีได้

รถสัญชาติอังกฤษคันเล็กแล่นเข้ามาจอดยังโรงจอดรถของบริษัทเลนส์ออฟติก พื้นที่ข้างเคียงยังคงว่างเปล่าบ่งบอกว่าแสนศรันย์ยังไม่เข้ามา

“พี่เสือนะพี่เสือ คอยดูเถอะมินจะเอาคืน!” เธอได้แต่กัดฟันกรอด เชื่ออย่างสนิทใจว่าทั้งหมดทั้งมวลคือแผนการของสรวิศ แล้วที่เขาหายไปนี่ก็คงไปกกสาวอยู่ที่ไหนแน่ๆ

มินนภัสสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ วันนี้ต้องมีสติให้มั่นเพราะไหนจะต้องเผชิญหน้ากับแสนศรันย์ไหนจะต้องเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จ หากปล่อยให้สมาธิแตกซ่านมีหวังทุกอย่างพังไม่เป็นท่าแน่

ตึกบนชั้นสามเริ่มคึกคักเมื่อมินนภัสออกจากลิฟต์มา วันนี้มารดาให้ป้าเนียมเตรียมมื้อกลางวันมาให้ เธอจึงนำไปฝากไว้กับป้าจิตราเช่นเคย

“เมื่อวานพอคุณมินกลับไปบรรยากาศที่นี่เหมือนตอนพายุจะเข้าเลยค่ะ คุณแสนหน้าบึ้งมาก” แม่บ้านประจำชั้นยกมือป้องปากทันทีที่สิ้นสุดการทักทาย

มินนภัสได้แต่ยิ้มเจื่อนโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด

“คุณแสนนี่นิสัยต่างกับคุณเสือลิบลับเลยนะคะ เป็นคนเงียบๆ แบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยเหรอคะ” แม้จิตราจะเป็นเด็กฝากของดาริน แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันมายาวนานแบบครอบครัวของมินนภัส

“ก็ไม่นะคะ ตอนเด็กๆ ออกจะใจดี พี่เสือต่างหากที่เกเร”

“จริงเหรอคะ ไม่น่าเชื่อเลย ป้าว่าคุณแสนดูเอาเรื่องกว่าตั้งเยอะ”

“จริงสิคะ พี่เสือชอบแกล้งมิน แต่พี่แสนจะช่วยมินตลอด แถมยังใจดีให้…”

“คุณแสน! สวัสดีค่ะ”

คำทักทายของจิตราบวกกับสายตาที่มองผ่านเธอไปทำให้มินนภัสเย็นสันหลังวาบ ชื่อของเขายังติดอยู่ที่ปากเธออยู่เลย

“สวัสดีครับป้าจิต พอดีคุณแม่ทำมื้อกลางวันมาให้ ผมฝากป้าช่วยจัดการด้วยนะครับ”

“ค่ะ คุณแสน”

มินนภัสตัวแข็งทื่อ ยามมือใหญ่ยื่นปิ่นโตสีหวานมาทางด้านข้าง เขาเข้ามาใกล้ชนิดที่เธอรู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาเลยทีเดียว

“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ”

“อ๋อ! ก็คุย…”

“มินไปทำงานก่อนนะคะ” มินนภัสโพล่งทะลุกลางปล้อง รีบเบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วจ้ำหนีอย่างรวดเร็ว หวังเหลือเกินว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เธอพูดก่อนหน้านี้

ลับหลังมินนภัส จิตราที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติก็ไม่เก็บความสงสัยไว้กับตัว

“คุณแสนกับคุณมินมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะ ป้าว่าคุณมินดูหลบหน้าคุณแสนยังไงชอบกล”

“เปล่านี่ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะๆ” คนโดนตัดบทได้แต่ยิ้มแหย มองตามหลังคนที่เดินออกไปไล่เลี่ยกันพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกามุมปาก รู้สึกอยากหาคนเมาท์ด้วยตงิดๆ

 

มินนภัสก้มหน้าก้มตาเดิน แม้รู้ว่าหลบไม่พ้นแต่ขอเวลาหายใจสักนิดก็ยังดี

“พี่มิน!”

เพียงแค่เลี้ยวพ้นมุมตึกจู่ๆ ก็โดนเรียกชื่อจนสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังสินค้าที่ติดต่องานกันเป็นประจำ

“อ้าวแพท มาแต่เช้าเลย มีอะไรหรือเปล่า” เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ก้าวเข้าไปยังโต๊ะทำงานของตน

“แพทมาตามเอกสารการสั่งซื้อเครื่องแพ็กเลนส์ตัวใหม่ค่ะ” เจ้าหน้าที่สาววัยยี่สิบสามตอบด้วยความฉะฉาน

“เรื่องแค่นี้ต้องมาเองเลยเหรอ โทร. มาถามก็ได้มั้ง เดี๋ยวพี่ให้คนเดินเอกสารเอาไปให้” มินนภัสแซวทีเล่นทีจริง ด้วยสาวน้อยคนนี้ชอบเสนอตัวมาแถวนี้บ่อยๆ จุดประสงค์ก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก

“แหม อันที่จริงก็มีเรื่องอื่นด้วยนิดหนึ่ง คือเมื่อวานแพทลาเลยยังไม่เห็นหน้าบอสคนใหม่ เห็นเขาเมาท์กันว่าหน้าตาเหมือนคุณเสือเปี๊ยบ แต่บุคลิกดูลึกลับและมีเสน่ห์มากกว่า จริงไหมคะ” ดวงตากลมใต้แพขนตาปลอมกระพือน้อยๆ ริมฝีปากที่ทาลิปแดงจือขึ้นหน่อยๆ แสดงความสนอกสนใจอย่างไม่ปิดบัง

“ไม่รู้สิ พี่ก็เห็นว่าปกตินะ” มินนภัสปฏิเสธในที ‘มีเสน่ห์’ เหรอ มองยังไงก็ไม่เห็นสักนิด

“แล้วเขาจะมาหรือยังคะ แพทจะได้รอ”

มินนภัสเหลือบมองไปทางด้านหลังก็เห็นว่าคนถูกถามหากำลังเดินเข้ามาพอดีจึงได้แต่นิ่งเงียบ

แพทหรือพัชรดาจึงรู้ในทันทีว่าเป้าหมายมาแล้ว เธอรีบก้มดูการแต่งตัวของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมคอสามเม็ดกับกระโปรงเอวสูงเข้ารูปสีแดง

“แพทดูดีหรือยังคะ”

มินนภัสพยักหน้าแล้วหันไปเก็บสัมภาระของตน ไม่สนใจบุคคลทั้งสองแม้จะได้ยินคำสนทนาทุกถ้อยคำก็ตาม

“สวัสดีค่ะคุณแสน ดิฉันแพทค่ะ เป็นเลขาฯ คุณตรี อยู่ฝ่ายคลังสินค้าและจัดส่งค่ะ”

“ครับ แล้วมาทำอะไรที่นี่ครับ” ประโยคตอบกลับทำให้คนที่ตั้งใจแนะนำตัวผงะ รู้สึกหน้าชานิดๆ

“แพทมาตามเอกสารค่ะ”

“ครับ” เขากล่าวเพียงเท่านั้นก็เดินผ่านพัชรดาไปหยุดข้างโต๊ะทำงานของมินนภัส

“คุณมิน เสร็จธุระแล้วเข้าไปพบผมด้วย”

เจ้าของชื่อยังเฉย รอจนประตูปิดลงถึงได้พ่นลมหายใจออกยืดยาว

“โหว! พี่มิน เย็นชาจริงๆ ด้วย เมื่อกี้แพทขนลุกเลย”

มินนภัสยังนิ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นใดเช่นเคย

“แต่แบบนี้ก็เร้าใจดีค่ะ แพทชอบ!” สาวเจ้ายิ้มหวาน ดวงตามองผ่านกระจกประตูเข้าไปด้านในอย่างหมายมั่น

มินนภัสได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ หากการเข้าหาสรวิศว่ายากแล้ว การเข้าหาแสนศรันย์ยากยิ่งกว่าเป็นพันเท่า

“แพทมาเอาเอกสารอะไรนะ” เธอหันมาสนใจกองเอกสารที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ

“การสั่งซื้อเครื่องแพ็กเลนส์ค่ะพี่มิน”

“นี่ไงเจอละ คุณแสนเซ็นแล้วละ”

มินนภัสยื่นเอกสารให้แล้วรอจนอีกฝ่ายขอตัวกลับจึงค่อยเดินไปเคาะประตูที่อยู่ทางด้านหลัง รอเพียงอึดใจก็ได้ยินประโยคอนุญาตจากแสนศรันย์ เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

อุณหภูมิภายในห้องที่เคยเดินเข้าเดินออกเป็นประจำดูจะต่ำกว่าปกติ มินนภัสรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งเด่นอยู่กลางห้อง

เธอวางเอกสารที่จัดเรียงมาอย่างดีลงบนโต๊ะ แล้วขยับถอยห่างออกไปเป็นเมตร

“รบกวนเซ็นเอกสารพวกนี้ด้วยค่ะ”

เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร

นานหลายวินาทีจนมินนภัสเป็นฝ่ายทนไม่ไหว บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เธออึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก

“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”

“แค่นึกได้ว่าเรายังไม่ได้ทักทายกันอย่างเป็นทางการเลย มินสบายดีไหม”

“ค่ะ”

“มินเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ”

“ค่ะ” มินนภัสไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่านี้ เธอยังไม่พร้อมสนทนาเรื่องใดๆ นอกจากเรื่องงาน

“ไม่มีอะไรจะถามพี่บ้างเหรอ”

คำว่า ‘พี่’ ที่ออกจากปากแสนศรันย์ทำให้หัวใจดวงน้อยคล้ายถูกเข็มที่มองไม่เห็นทิ่มแทง ห้าปีกว่าอาจทำให้เขาลืมเรื่องราวต่างๆ ไปแล้ว แต่สำหรับเธอ ทุกความรู้สึก ทุกเหตุการณ์มันยังตราตรึงและเจ็บแปลบทุกครั้งที่หวนนึกถึง

มินนภัสเชิดหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่มีค่ะ แล้วฉัน…ก็ไม่มีพี่ช่ายด้วย”

สถานการณ์ระหว่างคนสองคนคล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้น ณ เวลานี้คงไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดทลายกำแพงนั้นลงได้ และความดื้อดึงที่ฉายชัดในแววตาของมินนภัสก็ทำให้แสนศรันย์ยอมแพ้

“โอเคงั้นเราก็แนะนำตัวกันแค่นี้ จะให้ผมทำอะไร” มือหนาคว้าปากกามาเตรียมพร้อมแต่สายตายังคงจ้องนิ่งอยู่บนใบหน้าเฉี่ยว

“เซ็นเอกสารค่ะ”

“ใบไหนบ้าง” คนถามหยิบมาเปิดผ่านๆ เพื่อตรวจสอบว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง

“ใบสุดท้ายในทุกชุดค่ะ”

“ตรงไหนนะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวกับว่าหาไม่เจอ คนยืนรอจึงหมดความอดทน เดินเบี่ยงเข้าไปหยิบเอกสารออกมาจากมือแล้วเปิดหน้าที่ต้องเซ็นให้

“ผมยังไม่ได้อ่านเลย”

‘กวนไปอีก’ นั่นคือคำที่ผุดขึ้นมาในหัวของมินนภัส

“งั้นก็เชิญอ่านก่อนค่ะ อีกสักชั่วโมงดิฉันจะเข้ามาเอา”

มินนภัสหมุนตัวเตรียมเดินกลับ แต่ข้อมือก็โดนคว้าไว้อย่างทันท่วงที

“จะไปไหน”

เธอมองที่ข้อมือแล้วบิดออกอย่างรวดเร็ว

“ดิฉันยังมีงานต้องทำ”

“อยู่ในนี้ก่อน”

มินนภัสอ้าปากจะเถียง แต่คนหน้านิ่งเป็นนิจกลับเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรจะได้คอยตอบ”

มินนภัสไร้เหตุผลจะโต้แย้งอีกเช่นเคย เพราะงบประมาณต่างๆ ในเอกสารเหล่านี้ถูกดำเนินการตั้งแต่สรวิศอยู่ แน่นอนว่าแสนศรันย์ย่อมไม่รู้รายละเอียด

“ระหว่างนี้ก็ไปหาแฟ้มพวกนี้มาให้หน่อยก็แล้วกัน” เขาพูดพลางไสแผ่นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือมาให้

มินนภัสหยิบขึ้นมาอ่านเห็นว่าเป็นรายงานจำพวกยอดการผลิต การส่งออกเลนส์ การนำเข้าน้ำยาตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน จึงลุกเดินไปทางฝั่งซ้ายซึ่งมีตู้เอกสารตั้งอยู่หลายหลัง

จากนั้นทั้งห้องก็เงียบไร้เสียงพูดคุย ต่างจมอยู่ในมุมของตัวเอง มีบ้างที่แสนศรันย์มีข้อสงสัยมินนภัสก็มาช่วยอธิบายจนเข้าใจ ห้วงเวลานั้นเหมือนทั้งสองละทิ้งความบาดหมางแล้วจมอยู่กับงาน จนเวลา

ล่วงเลยไปพักใหญ่มินนภัสก็ทยอยนำเอกสารทั้งหมดมาวางไว้ให้ข้างโต๊ะ พร้อมๆ กับแสนศรันย์ที่เซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเสร็จพอดี

“ผมอยากลงไปดูไลน์ผลิต”

“ค่ะ ดิฉันจะแจ้งทางฝ่ายบุคคลให้”

“ทำไมต้องแจ้งฝ่ายบุคคล” แสนศรันย์เงยหน้ามองเลขาฯ ประจำตัวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

“เขาจะได้จัดเจ้าหน้าที่พาคุณลงไปไงคะ” มินนภัสกระแทกเสียงเล็กน้อย ดวงตาเฉี่ยวตวัดมองคล้ายจะบอกว่า ‘ไม่น่าถาม’

“คุณต้องพาผมไป”

“คะ?”

“ไม่เข้าใจ?”

มินนภัสเผลอมองบนแล้วยกมือขึ้นกอดอก เจ้านายก็เจ้านายเถอะ หากไม่มีเหตุผลแบบนี้เธอก็รับไม่ได้

“ทำไมดิฉันต้องเป็นคนพาคุณไปด้วยล่ะคะ งานของดิฉันก็กองรออยู่บนโต๊ะตั้งเยอะ คุณควรให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพาไปมากกว่า”

“ผมไม่ได้ต้องการคนอื่น ผมต้องการแค่คุณ!”

มินนภัสอ้าปากค้าง คำพูดของเขานี่มัน!

“กรุณาพูดดีๆ หน่อยค่ะ ถ้าคนอื่นได้ยินอาจเข้าใจผิดได้”

แสนศรันย์มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ยิ่งวูบไหวก็ยิ่งเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างภายในใจ

“ผมพูดอะไรผิด”

“ถ้าภาษาไทยไม่แข็งแรง พูดภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ”

เขาอาศัยอยู่เมืองนอกมาหลายปี มินนภัสจึงคิดว่าอาจจะเลือกใช้คำในภาษาไทยผิดจากที่ต้องการสื่อ

“มีคำไหนผิดก็อธิบายมาสิ”

ริมฝีปากสีพีชเม้มเข้าหากัน นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือต้องการกวนใจกันแน่

“ผิดทุกคำค่ะ!” เธอว่าแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ คนอะไรหน้ามึนได้ขนาดนี้

แสนศรันย์มองร่างบางที่ลับหายไปพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมุมปาก ดวงตาหลังกรอบแว่นทอประกายมาดมั่น

ระหว่างเราสองคนมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น