๔
เนื้อหอม
มินนภัสขัดคำสั่งแสนศรันย์โดยการส่งอีเมลไปยังฝ่ายบุคคลเพื่อแจ้งให้จัดหาเจ้าหน้าที่พาแสนศรันย์ลงไปดูไลน์ผลิต โดยไม่ลืมลงท้ายว่าถ้าได้กำหนดการที่แน่นอนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
คนหนีเอาตัวรอดอมยิ้มพลางเหลือบไปทางคนในห้องด้วยสายตามาดมั่น ‘อย่าคิดว่าจะบังคับเธอได้’ เมื่อแก้ปัญหาไปได้เปลาะหนึ่งแล้วเธอก็กลับมาเคลียร์งานสลับกับคอยรับโทรศัพท์แล้วโอนเข้าไปด้านใน ทุกอย่างมะรุมมะตุ้มจนทำให้เวลาในช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“คุณมิน เที่ยงกว่าแล้ว ไปทานข้าวดีกว่าค่ะ”
จิตราเดินเข้ามาเตือนด้วยความเป็นห่วง มินนภัสถึงได้เหลือบไปมองนาฬิกาบนมุมขวาของหน้าจอคอมพิวเตอร์
“งานเยอะจนลืมหิวไปเลยค่ะป้า”
“แบบนี้ประจำเลย ไปค่ะ ป้าอุ่นกับข้าวไว้ให้แล้ว เดี๋ยวป้าไปตามคุณแสนก่อน”
“ป้าคะ ไม่…” ประโยคห้ามดูเหมือนจะไม่ทันเมื่อคนสูงวัยเปิดประตูเข้าไปแล้วส่งเสียงเจื้อยแจ้วแบบเดียวกับที่เอ่ยกับเธอเมื่อครู่ แล้วก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบรับมาเช่นกัน
“ป้าอะ” มินนภัสพ้อ แค่คิดว่าต้องนั่งกินกับเขาตามลำพังความหิวก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เอ่อ ป้าทำอะไรผิดเหรอคะ”
มินนภัสไม่ทันตอบร่างสูงก็เดินออกมาพอดี เธอจึงได้แต่มองด้วยหางตาแล้วคว้าโทรศัพท์เดินนำลิ่วออกไป
แสนศรันย์มองตามด้วยสายตาที่เป็นคำถาม หันมาทางแม่บ้านอีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินตามไปอีกคน คนไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงเดินตามไปอย่างงงๆ แต่พอไปถึงห้องรับประทานอาหารก็ถึงบางอ้อ เพราะกับข้าวจากทั้งสองบ้านถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะโดยมีจานข้าวควันลอยกรุ่นวางอยู่ตรงข้ามกัน และดูเหมือนมีคนกำลังงอแงอยู่
“ทานที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอคะ ป้าเห็นเอกสารบนโต๊ะเต็มไปหมดพื้นที่ไม่พอหรอกค่ะ” จิตราท้วงเมื่อมินนภัสหยิบถาดมาวางข้างจานข้าว
“ไม่ค่ะ มินจะไปทานคนเดียว”
สีหน้าภายใต้เครื่องสำอางบางเบานั่นเอาเรื่องไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ
“คุณมิน…”
“มีอะไรกันเหรอครับ” แสนศรันย์ตีหน้าเซ่อ เดินเข้าไปท่ามกลางการถกเถียงแล้วนั่งประจำที่คล้ายไม่รู้ไม่ชี้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“ก็คุณมินน่ะสิคะ”
“ป้าจิต…” หญิงสาวส่ายหน้าดิก ส่งซิกซ์ว่าห้ามพูดอะไรต่อ
แสนศรันย์มองสองสาวต่างวัยสลับกัน เมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรจึงหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมรับประทาน
“นั่งสิ ยืนอยู่ทำไม”
“ฉันจะไปกินที่อื่นค่ะ” มินนภัสหยิบข้าวมาวางไว้บนถาดแล้วเอื้อมไปหยิบกับข้าวของบ้านตน
แต่แสนศรันย์ก็คว้าไว้อย่างทันท่วงที
“ผมอยากกินน้ำพริกของป้าเนียม”
จานดังกล่าวเป็นน้ำพริกลงเรือซึ่งมีทั้งผักลวก ผักสด และไข่ต้ม ซึ่งแม่ครัวก็จัดเตรียมมาให้อย่างครบถ้วน
มินนภัสตวัดค้อน ตัดใจวางจานน้ำพริกลงแล้วเอื้อมไปหยิบไข่ตุ๋น กับข้าวอีกอย่างของบ้านตนมาแทน
“ไข่ตุ๋นก็อยากกิน”
มินนภัสมองคนยุ่งกับกับข้าวของตนอย่างเอาเรื่อง
“โอเค ผมไม่กินก็ได้”
เขายอมปล่อยมือแต่โดยดี เธอจึงรีบคว้าไปวางใส่ถาด
“คุณมินแบ่งให้คุณแสนด้วยเถอะค่ะ คุณแสนไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งหลายปี คงอยากรับประทานจริงๆ” ถ้อยคำของป้าแม่บ้านทำให้มินนภัสดูเป็นคนใจดำขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้าจิต มินคงลำบากใจ”
‘ดูพูดเข้า ฟังแล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ’ มินนภัสมองบน จำยอมยกจานกับข้าวออกมาวางไว้ที่เดิมแล้วเหลือบมองไปยังกับข้าวของฝั่งบ้านเขา เห็นมีแกงเขียวหวานไก่กับหมูทอดก็หน้าเหย เพราะช่วงนี้เธอคุมน้ำหนักอยู่จึงไม่อยากกินของทอดของมันมาก
“ทานด้วยกันนี่แหละคุณมิน ยกไปทานที่โต๊ะทำงานกลิ่นมันจะคลุ้งเอานะคะ”
ใครๆ ก็ดูจะไม่เข้าข้าง มินนภัสจึงจำยอมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วตักข้าวใส่ปากโดยไม่สนใจใคร
มุมปากของแสนศรันย์ยกขึ้นน้อยๆ ยื่นมือหวังตักไข่ต้มที่มีอยู่สองฟองมาไว้ในจาน แต่ก็โดนชิงตัดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
“อยากกินน้ำพริกไม่ใช่เหรอคะ”
สาวเจ้าตวัดค้อนให้อีกหนึ่งหน แสนศรันย์จึงได้แต่ส่ายหน้าหันไปตักน้ำพริกกับผักสดมาใส่จานตนแทน
แม้ท่าทีมินนภัสบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากร่วมโต๊ะด้วยเลย แต่การได้นั่งกินข้าวด้วยกันสองคนตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาทำงานก็ถือว่าเกินคาดสำหรับแสนศรันย์มากแล้ว
‘นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีเลยทีเดียว’
การทำงานช่วงบ่ายยังคงวุ่นวาย แพลนที่จะลงไปดูงานในไลน์ผลิตของแสนศรันย์ก็พลอยถูกลืมไปด้วย จนเกือบถึงเวลาเลิกงานจู่ๆ มินนภัสก็โดนโทร. ตามให้เข้าไปหา
“คลับนี้อยู่แถวไหน”
คนโดนถามขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปมองรูปในสมาร์ตโฟนที่ถูกยื่นมาตรงหน้า
“อยู่แถวเกษตรฯ ค่ะ”
“ขับรถไปนานไหม”
“ก็ราวๆ ชั่วโมง เพราะตอนเย็นรถค่อนข้างติด”
แสนศรันย์หันมองเวลาแล้วบอกให้ช่วยส่งแผนที่ให้หน่อย คนรับคำสั่งเลยยืนมองด้วยสายตามีคำถาม
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่ไปนะคะ” มินนภัสออกตัวไว้ก่อน เพราะปกติเลขาฯ ต้องติดตามเจ้านายแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง สำหรับสถานที่อื่นๆ เธอสามารถไปได้หากเกี่ยวกับงาน แต่สำหรับสถานที่อโคจรเหล่านั้นเธอไม่มีทางไปเหยียบอีกแน่นอน
“ผมไม่ให้คุณไปด้วยอยู่แล้ว เลิกงานก็กลับบ้านได้เลย”
“แล้วพรุ่งนี้ก็มีประชุมเช้า”
“ผมรู้”
มินนภัสยังไม่ละสายตา มองแสนศรันย์อย่างค้นหา เพราะเขาช่างต่างไปจากเมื่อก่อนมากจนเหมือนคนละคน แสนศรันย์ตอนนี้ดูเย็นชา เข้าถึงยาก เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล แถมนี่ยังจะออกไปเที่ยวกลางคืนอีกทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน
“หรืออยากไปด้วย”
“เปล่าค่ะ! ฉันแค่สงสัย”
“เรื่อง…”
“คุณมีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ ทำไม…”
“สนใจเรื่องของผมด้วยเหรอ”
คำถามที่ถูกย้อนถามกลับมาทำให้มินนภัสพูดไม่ออก ไหนจะดวงตาใต้กรอบแว่นของคนที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องนั่นอีก แม้สีหน้าจะดูเรียบเฉยแต่ดวงตาที่ทอดมองมาทำเอาเธอใจสั่น
มินนภัสเม้มปาก รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่อะไรบางอย่างจึงรีบสงบปากสงบคำ
“ฉันจะรีบจัดการให้ค่ะ” เธอรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป ถึงเขาจะนิ่งๆ เงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาแต่พอเอ่ยอะไรออกมาแต่ละคำเธอก็เถียงกลับไม่ออกเช่นกัน
เย็นวันนั้นพอสิบเจ็ดนาฬิกาปุ๊บแสนศรันย์ก็เดินออกมาจากห้องทันที มินนภัสมองตามด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“คอยดูนะ ถ้าพรุ่งนี้มาสายแม่จะบ่นให้ยับเลย” เธอบ่นอุบ ก่อนจะเก็บของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างกระแทกกระทั้น
แล้วก็ไม่ผิดจากที่มินนภัสคิด การเที่ยวของแสนศรันย์สร้างปัญหาขึ้นมาจริงๆ เพราะช่วงสายของวันต่อมาเขาไม่เข้าร่วมประชุมที่มีการนัดหมายล่วงหน้ามากว่าสองอาทิตย์ ผู้เข้าร่วมประชุมล้วนเป็นผู้จัดการฝ่ายทั้งนั้นจนการประชุมเกือบล่ม ดีที่สรวิศวิดีโอคอลเข้ามาทำหน้าที่แทน
พอการประชุมจบเธอจึงกลับมาที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าถมึงทึง
“คุณแสนมาแล้วนะคะ เพิ่งถึงเมื่อครู่นี่เอง”
เป็นถ้อยคำกระซิบกระซาบของจิตราที่อุตส่าห์วิ่งมาบอก พอเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเกือบจะเที่ยงเข้าไปแล้ว
“ท่าทางจะยังแฮงก์อยู่เลยค่ะ นี่ป้าว่าจะยกกาแฟไปให้”
มินนภัสเก็บความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด บอกให้คนสูงวัยส่งถาดกาแฟมาให้แล้วเข้าไปจัดการคนไร้ความรับผิดชอบด้วยตัวเอง
แสนศรันย์ที่ยังนั่งกุมขมับอยู่รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่คนเข้ามาไม่ใช่แม่บ้าน
“ฉันแจ้งแล้วไงคะว่าวันนี้มีประชุม” น้ำเสียงเอาเรื่องดังขึ้นทันทีที่ถาดกาแฟวางลงบนโต๊ะ
“ผมตื่นไม่ไหว” เขายื่นมือหวังไปหยิบแก้วกาแฟมาดื่ม แต่คนยกมากลับเลื่อนถาดหนี
“ก็รู้ว่ามีงานแล้วจะไปเที่ยวทำไมคะ!”
“นายเสือวิดีโอคอลมาประชุมแทนแล้วไง” แสนศรันย์ยังคงให้เหตุผล แม้จะไม่ได้เข้าประชุมแต่สรวิศก็ทำหน้าที่แทนแล้ว แถมหัวข้อในการประชุมวันนี้ยังเป็นเรื่องต่อเนื่องที่ฝ่ายนั้นรับผิดชอบและยังดูแลอยู่ เขาจึงคิดว่าไม่เข้าร่วมก็คงได้
“แต่คุณก็ควรจะเข้ามาฟัง ไม่งั้นเมื่อไหร่จะรู้ระบบทั้งหมด” มินนภัสยกมือขึ้นกอดอก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เธอวีนเขาแบบที่เคยวีนสรวิศ
“เป็นห่วง?”
“ไม่ใช่ค่ะ!” มินนภัสตอบกลับทันที หลังจากบทสนทนาโดนลากมาทางนี้บ่อยครั้งเธอจึงเริ่มตั้งหลักได้ “ฉันแค่อยากให้คุณรู้ระบบงานทั้งหมดเร็วๆ จะได้ลาออกสักที”
เธอว่าพร้อมสะบัดหน้าหนีเดิมดุ่มๆ ออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนฟังมองตามด้วยสายตาทอดนิ่ง พึมพำประโยคหนึ่งออกมาเบาๆ
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมิน”
“ฮะ! นายว่าอะไรนะ” คนที่นั่งอยู่ในหน้าจอท้วงออกมาทันทีหลังจากนั่งฟังสงครามขนาดย่อมจบลง
“เปล่า”
เมื่อพี่ชายฝาแฝดบอกเช่นนั้นสรวิศก็พยักหน้า ก่อนจะเริ่มนินทาคนที่เพิ่งเดินออกไป
“ยายมุมินี่โหดได้ใจจริงๆ ด่าเป็นชุดไม่เว้นที่ว่างให้แก้ตัวเลย”
“นายก็เคยโดนเหรอ”
“ประจำ! ฉันนี่อยากเปลี่ยนเลขาฯ วันละสิบรอบ เป็นเลขาฯ หรือเป็นเมียก็ไม่รู้ บ่นเก่งจริงๆ”
แสนศรันย์กระตุกยิ้ม เงยหน้ามองประตูที่มีคนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงนั่งอยู่อีกฝั่ง
“นี่ๆ สายตาดูแปลกๆ นะ”
แสนศรันย์หันกลับมาที่หน้าจอ รู้สึกรำคาญน้องชายขึ้นมาตงิดๆ
“สรุปว่าเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เรียบร้อยดี และนายจะดูงานส่วนนี้ต่อเอง?” เขาสรุปผลการประชุมสั้นๆ ตามที่อีกฝ่ายบอกมาก่อนหน้านี้
“เปลี่ยนเรื่องเร็วจริงๆ”
“งั้นก็แค่นี้แหละ อ่อ! คราวหลังก็บอกมินด้วยสิว่าฉันไม่ต้องประชุมเรื่องนี้”
“กลัวหรือไง”
“ไม่ได้กลัว! แค่ไม่อยากทำให้ไม่พอใจ” แสนศรันย์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วตัดสัญญาณการเชื่อมต่อทันที เพราะรู้ว่าสรวิศต้องล้อเลียนอีกพักใหญ่แน่ๆ
มินนภัสยังคงอารมณ์เสียที่แสนศรันย์บกพร่องต่อหน้าที่ แถมช่วงเที่ยงยังตีมึนมานั่งกินข้าวด้วยทั้งๆ ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงชั่วโมง
“ทำไมไม่กินก่อนที่จะมาคะ” เธอบ่นลอยๆ ก็เขามาเกือบเที่ยงแล้วจะหิ้วท้องมากินที่นี่ทำไมกัน
แสนศรันย์ไม่ตอบ แถมยังยื่นมือไปตักแกงจืดลูกรอกเข้าปากหน้าตาเฉย
“ทำไมไม่กินของบ้านตัวเอง” จากเรื่องงานชักบานปลายไปเรื่องอื่น มินนภัสเริ่มหวงของเมื่ออีกฝ่ายจ้องจะกินแต่กับข้าวบ้านเธอ
“แล้วทำไมมินไม่กินของบ้านผม”
คนโดนถามไม่ตอบ ไม่อยากให้เขายุ่งเรื่องส่วนตัว
“คุณมินกำลังควบคุมน้ำหนักค่ะ เลยไม่อยากทานของมันของทอด” จิตราที่เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเพื่อคอยบริการเติมน้ำเติมข้าวเป็นคนเฉลย
มินนภัสหันขวับเมื่อโดนขายเรื่องส่วนตัว พอหันกลับมาก็เห็นสายตาคนฝั่งตรงข้ามกำลังพินิจพิจารณารูปร่างของเธออยู่
“ห้ามมองค่ะ!”
แสนศรันย์ไม่กล่าวอะไรเช่นเคย มีเพียงมุมปากที่กระตุกขึ้นน้อยๆ จากนั้นก็ไม่ตักกับข้าวบ้านมินนภัสมากินอีก เน้นกินแต่ของบ้านตนด้วยไม่อยากให้คนขี้หวงโวยวาย
สถานการณ์แง่งอนระหว่างคนสองคนยังไม่ทันได้คลี่คลาย ช่วงบ่ายจู่ๆ ก็ต้องเข้าประชุมด้วยกันในหัวข้อเร่งด่วนอีก สาเหตุก็เพราะลูกค้าต้องการซื้อเลนส์ราคาถูกกว่าเดิมซึ่งมีผลทำให้บริษัทเกิดความเสียหายเนื่องจากราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ทำรายได้ให้บริษัทกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์จึงต้องร่วมหาทางออกกันสุดฤทธิ์
“บริษัทนู้นทำไม่ถูกนะครับ ไม่เห็นใจคู่ค้าอย่างเราเลย”
“มันก็เป็นไปตามกลไกของตลาดนั่นแหละ คุณก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้เลนส์จากจีนราคาถูกขนาดไหน”
“แต่คุณภาพก็สู้ของเราไม่ได้”
“ใครสนกันล่ะ เดี๋ยวนี้คนเขาขี้เบื่อกันจะตาย ราคาถูกๆ เปลี่ยนเลนส์เดือนละครั้งยังได้เลย”
แสนศรันย์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะฟังการโต้เถียงจากบรรดาผู้จัดการฝ่ายต่างๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเสนอทางออกให้
“เราลองสั่งน้ำยาที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับตัวเดิมมาให้ทางอาร์แอนด์ดีทดลองดีไหมครับ”
“แต่มันอาจทำให้คุณสมบัติของเลนส์บริษัทเราด้อยลงนะครับ” ผู้จัดการฝ่ายวางแผนแย้ง
“เรายังไม่ได้ลองเลยนี่ครับ ไม่แน่อาจไม่ส่งผลกระทบมากก็ได้” แสนศรันย์เสริม เลนส์ไม่ได้ใช้แค่น้ำยาเพียงตัวเดียว แต่ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อีก ทั้งน้ำยาเคมีตัวอื่นๆ และอุณหภูมิ
“ผมเห็นด้วยกับคุณแสนครับ” คุณเป็ดสนับสนุน
“ครับ ผมก็ว่าดี”
เมื่อผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้อง ทางออกนี้จึงถือเป็นข้อสรุปที่ดี แสนศรันย์จึงสั่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้รีบดำเนินการจัดหาและสั่งซื้อเพื่อบริษัทจะได้ไม่ต้องแบกรับค่าส่วนต่างของราคามากนัก
“คุณแสนนี่เก่งเหมือนกันนะครับคุณมิน”
มินนภัสสะดุ้งเมื่อคุณเป็ดหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมเอนหน้ามาใกล้จนน่ากลัว เธอส่งยิ้มเล็กน้อยแล้วขยับเก้าอี้ออกห่าง ทว่าเขาก็ยังขยับตามมา
“แบบนี้ถ้าผมได้คุยด้วยบ่อยๆ คงจะดี ผมมีแผนการจัดการดีๆ มานำเสนอเยอะเลยครับ”
“ค่ะ” มินนภัสตอบสั้นๆ เพราะเคยได้ฟังแผนงานร้อยแปดของอีกฝ่ายมาหลายรอบแล้ว ถึงจะเป็นวิธีที่ดีแต่ยากในการลงมือปฏิบัติ หลายๆ โครงการก็เคยถูกสรวิศเบรกไว้ด้วยไม่คุ้มกับการลงทุน
“คุณมินก็จบจากต่างประเทศนี่ครับ ผมว่าเราควรนัดทานข้าวเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกันบ่อยๆ นะครับ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนชวนและมินนภัสก็ปฏิเสธตลอด เธอไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับเขา เพราะวีรกรรมเรื่องผู้หญิงไม่ธรรมดาเลย
“คงไม่ได้มั้งคะ ฉันเรียนจบมาคนละสายงานกับคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เล่าประสบการณ์เฉยๆ ก็ได้ เอาเป็นว่าเย็นนี้เลยดีไหมครับ”
คำชวนแบบหน้าด้านๆ เล่นเอามินนภัสไปไม่เป็น แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากปฏิเสธจู่ๆ แสนศรันย์ก็ลุกมายืนข้างๆ
“คุณเป็ดมีอะไรสงสัยเหรอครับ”
“อ๋อ! เปล่าหรอกครับ ผมแค่กำลังชวนคุณมินไปดินเนอร์นะครับ” ประโยคตรงไปตรงมาทำให้คนในห้องประชุมหันมามองอย่างสนใจ
“มินไม่สะดวกหรอกครับ เธอยังมีงานต้องทำ”
“ผมชวนตอนเลิกงานนี่ครับ ไม่ใช่ตอนนี้สักหน่อย” คุณเป็ดยืนขึ้นจ้องประสานสายตา แม้จะเกรงๆ แสนศรันย์อยู่บ้างในฐานะผู้บริหาร แต่ถ้าเรื่องผู้หญิงคงยอมกันไม่ได้
“ท่าทางคุณจะมีเวลาว่างสินะครับ” ใบหน้าแสนศรันย์เรียบเฉย สองมือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง จ้องคู่สนทนาไม่วางตา
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ คือถ้านอกเวลางานผม…”
“งั้นเรื่องการหาน้ำยามาทดลองผลิตเลนส์แทนน้ำยาตัวเดิมคงไม่ยากสำหรับคุณเป็ด”
“ก็ไม่ยากหรอกครับ เรามีซัพพลายเออร์เจ้าหลักๆ อยู่แล้ว” คนมั่นใจกล่าวอย่างลำพอง หัวไหล่ยกขึ้นสูงนิดๆ
“หนึ่งเดือนก็คงทราบผลใช่ไหมครับ”
“ครับ…ฮะ!” ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึงกับร้องเสียงหลง หนึ่งเดือนกับการหาน้ำยาและการทดลองยังไงก็ไม่มีทางทัน
“มินช่วยนัดประชุมเดือนหน้าด้วย ใครมีอะไรสงสัยอีกไหมครับ”
ทุกคนในห้องหันมองหน้ากันแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
“ผมขอจบการประชุมเท่านี้นะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ”
แสนศรันย์กวาดสายตามองรอบห้องก่อนจะเก็บไอแพดประจำตัวแล้วออกไปจากห้องประชุม มินนภัสจึงรีบเก็บของแล้ววิ่งตามไปติดๆ
“คุณแสนคะ หนึ่งเดือนมันเร็วไปนะคะ” แม้จะไม่ชอบบางพฤติกรรมของผู้จัดการฝ่ายวิจัยฯ แต่มินนภัสก็รู้สึกไม่ดีที่แสนศรันย์เอาเรื่องงานไปบีบบังคับพนักงาน
“ก็ไม่เห็นคุณเป็ดปฏิเสธอะไร”
“คุณไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธมากกว่า ฉันว่า…”
ปึ้ก!
มินนภัสเอ่ยไม่ทันจบใบหน้าก็กระแทกกับหน้าอกของคนที่หยุดเดินแล้วหันกลับมาแบบกะทันหัน เสียงร้องไม่ทันหลุดออกจากปากและก็ดีที่ไม่ล้มลงไปเพราะมีมือแกร่งตวัดมาโอบอยู่ที่เอวแทบจะทันที
“หยุดทำไมไม่บอก!” เธอบ่นฉุนๆ พร้อมกับยกมือลูบหัวตัวเองป้อยๆ
“ทำไมไม่ระวัง”
“ก็รีบเดินตามคุณอยู่” ดวงตาคมมองบนแล้วรีบดันตัวเองออกมา “ปล่อยได้แล้วค่ะ จะรอให้คนมาเห็นทั้งบริษัทหรือไง”
มินนภัสตวัดค้อนแล้วเดินลิ่วนำไปก่อน หลงลืมเรื่องพูดค้างไปเสียสนิท
รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนศรันย์ อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนอยู่ในห้องประชุมมาก สองขายาวก้าวตามไปห่างๆ ยังไม่ทันเลี้ยวหัวมุมตึกก็ได้ยินเสียงของมินนภัสดังขึ้น
“พี่พิช! ลมอะไรหอบมาถึงนี่คะ”
คนอารมณ์ดีหน้าตึงขึ้นทันตา จากที่ก้าวช้าๆ ก็เร่งความเร็วขึ้นจนทันได้เห็นสองสาวโผเข้ากอดกันแถมยังแนบแก้มซ้ายขวา คิ้วเข้มจึงกระตุกนิดๆ ปรี่เข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังมินนภัส
“สวัสดีค่ะคุณแสน เจอกันอีกแล้วนะคะ” พิมพ์พิชส่งยิ้มทักทายเจ้านายของรุ่นน้อง แต่ก็ได้เพียงสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับมา
“สวัสดีครับ”
“ฉันขอพามินออกไปก่อนเวลางานได้ไหมคะ”
แสนศรันย์ยกมือขึ้นดูเวลา ตอนนี้สี่โมงกว่าแล้ว ใกล้เลิกงานเต็มที
“ผมว่า…”
“มินไม่มีงานด่วนอะไรค่ะ ไปได้อยู่แล้ว” มินนภัสตัดบทก่อนที่แสนศรันย์จะทันให้คำตอบ แถมยังหันกลับไปจ้องคนตัวสูงคล้ายถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า
โดนมองขนาดนั้นมีหรือแสนศรันย์จะหืออือได้ ขืนไม่ให้ไปคงโดนวีนอีกรอบจึงทำได้เพียงเดินเข้าห้องไปเงียบๆ
“พี่จะไม่โดนคุณแสนกินหัวหรอกใช่ไหม” พิมพ์พิชทำท่าสยอง ทั้งแววตาทั้งท่าทางดูเอาเรื่องเธอเหลือเกิน
“กินหัวอะไรกันคะ พี่พิชก็พูดไปเรื่อย”
“พี่ว่าสายตาเขาดูแปลกๆ เขาไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับมินใช่ไหม” พิมพ์พิชถามอย่างเป็นห่วง
มินนภัสชะงักมือ หัวใจของเธอเพิ่งสงบจากการถูกแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่คาดฝันเมื่อครู่นี่เอง
“จะมีอะไรได้ยังไงคะ เราเกี่ยวข้องกันแค่เรื่องงานเท่านั้นแหละ” ใบหน้าเนียนเมินหนี แสร้งเดินไปเก็บของบนโต๊ะทำงาน
“จริงเร้อ” พิมพ์พิชเสียงสูง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีพิรุธ
“จริงแท้แน่นอนค่ะ” มินนภัสยืนยันเสียงหนักแน่น คว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินไปคล้องแขนรุ่นพี่คนสนิท
“พี่พิชไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มินแข็งแกร่งมาก รับรอง!”
“ให้มันจริงเถอะ ถึงคุณแสนเขาจะหล่อ ดูดีมีชาติตระกูล แต่ผู้หญิงเราก็ควรเจ็บแล้วจำ”
“ตกลงด่าหรือชมเขาคะเนี่ย” มินนภัสกลั้นขำ ฟังๆ ดูแล้วเหมือนจะมีคำชมมากกว่าตำหนิติเตียน
“ก็ถ้าไม่นับเรื่องที่เคยทำไว้ เขาก็นับว่าเป็นผู้ชายเพอร์เฟกต์คนหนึ่งเลย” พิมพ์พิชยังไม่วายทิ้งท้าย เสียดายที่เขาใจร้ายเกินไป
“เราอย่าไปพูดถึงเขาเลยค่ะ ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่า”
“ปะ! พี่ก็เริ่มจะหิวแล้วละ จัดบุฟเฟต์กันเลยไหม” พอมีเรื่องปากท้องเข้ามาพิมพ์พิชก็เปลี่ยนหัวข้อโดยง่าย
“แต่มินไดเอตอยู่นะคะ”
“วันนี้ก็กินก่อน พรุ่งนี้ค่อยลดใหม่”
“พี่พิช…”
มินนภัสหน้าง้ำ ทำเอารุ่นพี่สาวหัวเราะร่า แล้วทั้งสองก็เดินควงกันลงไปยังลานจอดรถเพื่อทำกิจกรรมยามเย็นตามประสาสาวๆ ร่วมกัน
ฟากคนที่นั่งอยู่ในห้องทำงานก็ได้แต่หน้าบึ้ง อยากจะห้ามปรามแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่จับปากกาเคาะโต๊ะก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา ค้นหารายชื่อคนที่ต้องการติดต่อแล้วพิมพ์ข้อความลงไป รอเพียงครู่ก็มีข้อความตอบกลับ แสนศรันย์ยกยิ้มพร้อมกับแววตาพึงพอใจ เมื่อความตึงเครียดผ่อนคลายลงก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์งานต่อ และเฝ้ารอข้อความจากใครบางคนที่รับปากว่าจะรายงานความเคลื่อนไหวของมินนภัสให้ได้รู้ทุกครึ่งชั่วโมง
จุดมุ่งหมายของสองสาวในเย็นวันนี้คือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านอาหารให้เลือกหลากหลาย พิมพ์พิชเหมือนมีเป้าหมายอยู่แล้วจึงตรงดิ่งไปยังร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมเจ้าดัง แต่พอเข้าไปสอบถามกลับพบว่าโต๊ะเต็มทั้งหมด
“เราลองไปเดินดูร้านอื่นกันไหมคะ” มินนภัสถอดใจโดยง่าย เพราะในห้างยังมีร้านบุฟเฟต์สไตล์นี้อีกหลายร้านเพียงแต่ไม่ขึ้นชื่อเท่าร้านนี้เท่านั้น
พิมพ์พิชมองเมนูอาหารตาปรอย ลองมองเข้าไปในร้านก็พบว่าคนแน่นขนัด ที่หน้าร้านก็มีคนนั่งรออยู่เยอะพอสมควร เธอเกือบจะถอดใจอยู่แล้วเชียวถ้าไม่บังเอิญพบใครบางคนเข้า
“นั่นหมอแทน เพื่อนคุณเสือใช่ไหม” พิมพ์พิชกระตุกแขนมินนภัส เพราะได้รู้จักธนวัฒน์จากการแนะนำของรุ่นน้องตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ
“ไหนคะ” มินนภัสหันมองตามมือที่ชี้ แล้วก็พบว่าใช่ธนวัฒน์เพื่อนของสรวิศจริงๆ “ใช่ค่ะ แต่เขาน่าจะมากับเพื่อนนะคะ”
“มาเดตหรือเปล่าเนี่ย” พิมพ์พิชตั้งคำถาม มั่นใจมาแต่ไหนแต่ไรว่าธนวัฒน์ไม่ใช่ผู้ชายแท้แถมที่เห็นนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันยังเป็นผู้ชายสไตล์ตี๋หน้าตาดีอีกต่างหาก
“พี่พิช” มินนภัสได้แต่ส่ายหน้า
“เราไปนั่งกับเขาเถอะ”
“จะดีเหรอคะ”
“เถอะน่า” พิมพ์พิชไม่ฟัง จูงมือมินนภัสเข้าไปยังโต๊ะของคนทั้งสอง ซึ่งเมื่อธนวัฒน์หันมาเห็นก็มีสีหน้าดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“น้องมิน คุณพิช มากันได้ยังไงคะ”
พิมพ์พิชอมยิ้ม คำพูดของธนวัฒน์ที่ ‘คะ’ ‘ขา’ ทุกคำยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่แมนร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอจับแขนมินนภัสแล้วดึงมายืนข้างๆ เอ่ยกับคนที่นั่งอยู่แบบไม่อ้อมค้อม
“ตั้งใจมาทานอาหารร้านนี้แหละค่ะแต่โต๊ะเต็มหมดเลย เราสองคนขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ เชิญเลย” ธนวัฒน์ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรีทั้งสอง ก่อนจะแนะนำเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนให้ได้รู้จัก
“นี่หมอเอกค่ะ เป็นรุ่นน้องที่โรงพยาบาล ส่วนนี่น้องมินกับคุณพิชครับ” คำลงท้ายของธนวัฒน์เปลี่ยนไปตามเพศสภาพของคู่สนทนา
ทั้งสามเอ่ยทักทายกันพอเป็นพิธี แต่สิ่งที่พิมพ์พิชเห็นได้ชัดคือหมอเอกดูจะไม่ต้อนรับพวกเธอสักเท่าไหร่
“เขาต้องมาเดตกันแน่ๆ”
ถ้อยคำกระซิบกระซาบทำให้มินนภัสต้องกระตุกแขนเสื้อรุ่นพี่เป็นเชิงปรามด้วยกลัวว่าบุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่จะได้ยิน
“น้องมินทานอะไรดีคะ เดี๋ยวพี่ไปตักให้”
“ไม่เป็นไรค่ะหมอแทน เดี๋ยวมินไปตักเองดีกว่า” มินนภัสบอกปัดด้วยความเกรงใจ แค่มานั่งร่วมโต๊ะด้วยก็รู้สึกว่าเสียมารยาทมากแล้ว
“งั้นเราไปด้วยกันดีไหมคะ พี่ก็อยากหาอะไรทานเพิ่มเหมือนกัน”
มินนภัสหันมองทางพิมพ์พิชเห็นฝ่ายนั้นพยักพเยิดเป็นเชิงให้ไปก่อนจึงยอมลุกไปพร้อมธนวัฒน์ ที่โต๊ะจึงเหลือคนแปลกหน้าสองคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“หมอเอกดูไม่ค่อยเจริญอาหารเลยนะคะ”
“ทานไม่ค่อยลงน่ะครับ มันฝืดคอไปหมด” หมอเอกหยิบน้ำมาดื่ม สายตาก็คอยมองไปยังธนวัฒน์กับหญิงสาวผู้มาใหม่ ทั้งสองดูสนิทสนม คุยกันกะหนุงกะหนิงอย่างเป็นธรรมชาติ
“สองคนนั้นเหมาะสมกันดีว่าไหมคะ” พิมพ์พิชเอ่ยขณะมองตามสายตา พอกล่าวจบหันกลับมาก็เห็นคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจิกสายตามองเธออยู่
“เขาสนิทกันมานานแล้วนะคะ หมอเอกไม่รู้เหรอ”
“ไม่รู้ครับ”
“แสดงว่าคุณเพิ่งเริ่มงานได้ไม่นาน”
“ครับ”
“แล้ว…คุณคิดว่าหมอแทนเป็น…” พิมพ์พิชหยุดประโยคไว้แค่นั้น แต่คู่สนทนาก็เหมือนจะดูออกว่าเธอหมายถึงอะไรจึงหรี่ตา โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ผมว่าใช่”
“ใช่ไหมคะ ฉันก็ว่าใช่” คราวนี้สองสาวต่างเพศสภาพดูเหมือนจะเข้ากันได้อย่างดี โดยมีหัวข้อสนทนาเป็นชายหนุ่มหน้าสวยที่กำลังสาละวนเดินถือจานคอยบริการให้มินนภัสอยู่ที่เคาน์เตอร์อาหาร
“หมอแทนอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมคะ เดี๋ยวมินตักเผื่อ”
“พี่กินได้หมดเลยค่ะ น้องมินตักตามสบายเลย” ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง
แค่บังเอิญได้มาเจอมินนภัสก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เขาแทบจะกราบขอบคุณพิมพ์พิชกับมินนภัสที่เข้ามานั่งด้วย เพราะกำลังลำบากใจกับการแสดงออกของหมอเอกอยู่พอดี มีที่ไหนชวนคุยแต่เรื่องแฟน
ถามเซ้าซี้ว่าคบใครอยู่หรือเปล่าและชอบผู้ชายแบบไหน ฟังไม่ผิด! มาถามว่าเขาชอบผู้ชายแบบไหน ผู้ชายแมนทั้งแท่งแต่หน้าหวานปานผู้หญิงจึงได้แต่หัวร้อน จะปฏิเสธฝ่ายนั้นก็ไม่เปิดยอมเว้นช่องว่างให้เลย
“ดูท่าพี่พิชจะเข้ากับหมอเอกได้ดีนะคะ” มินนภัสตักอาหารไปพลางหันมองทางรุ่นพี่ไปพลาง บทสนทนาท่าทางออกรสชาติแถมยังหันมองมายังเธอแล้วโบกไม้โบกมือเป็นระยะ
“คงงั้นมั้งคะ” หมอแทนยิ้มแหยโดยไม่แสดงความคิดเห็นอะไร เมื่อตักอาหารครบก็พากันกลับไปนั่งที่โต๊ะ ผลัดเปลี่ยนให้พิมพ์พิชมาตักอาหารที่ต้องการบ้าง
ทั้งสี่รับประทานกันไปสนทนากันไปจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ธนวัฒน์อารมณ์ดีขึ้นเมื่อมินนภัสมาร่วมวง แถมเธอดูจะไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์เหมือนหมอเอกกับพิมพ์พิชที่คอยแต่จะลากเขาไปร่วมบทสนทนาเกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ น้ำหอม และแฟชั่น
“อิ่มมาก! พุงจะแตกแล้ว” พิมพ์พิชเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ตรงหน้ามีจานตั้งซ้อนกันอยู่หลายสิบใบ
“ก็กินเยอะเสียขนาดนั้น” มินนภัสไม่วายแซว ดูรุ่นพี่สาวกินแล้วเธอก็แทบจะอิ่มตาม พิมพ์พิชเจริญอาหารมากจริงๆ
“ก็มันอร่อยนี่นา ใช่ไหมคะหมอเอก”
“ครับ อร่อยดี ไว้คราวหน้าเรามาด้วยกันอีกนะครับหมอแทน”
ทั้งสามหันไปมองที่ธนวัฒน์เป็นตาเดียว
“เอ่อ ได้สิครับ”
หมอเอกกับพิมพ์พิชตีมือกันเบาๆ ส่วนมินนภัสก็ได้แต่มองทั้งสองแล้วอมยิ้ม ดูท่าพิมพ์พิชจะได้เพื่อนสาวเพิ่มมาอีกคนแล้ว
“น้องมินกลับยังไงคะ” ธนวัฒน์หันมาสนใจมินนภัส เนื่องจากได้ยินว่าไม่ได้ขับรถมาเองแถมพิมพ์พิชก็เหมือนจะต้องไปทำธุระที่อื่นต่อ
“ยายมินมากับพิช ก็ต้องกลับกับพิชสิคะ”
“แต่เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคุณพิชต้องรีบไปเคลียร์งานไม่ใช่เหรอคะ” ช่วงที่รับประทานอาหารโทรศัพท์ของพิมพ์พิชมีสายเข้าหลายครั้ง จับใจความได้คร่าวๆ ว่าที่ร้านมีปัญหา ธนวัฒน์จึงคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะสะดวกไปส่งมินนภัส
“ก็ใช่ค่ะ แต่พิชไปส่งน้องก่อนได้”
“จะดีเหรอคะ เทียวไปเทียวมา” ธนวัฒน์ออกความเห็น บ้านมินนภัสอยู่บนถนนเส้นที่ออกไปทางปริมณฑล ส่วนคอนโดของพิมพ์พิชนั้นได้ยินว่าตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจเลยทีเดียว
คนเป็นหัวข้อสนทนายกมือขึ้นเพื่อขอโอกาสพูดบ้าง “เอ่อ…มินนั่งแท็กซี่กลับเองได้ค่ะ”
“ไม่ได้!” ทั้งสองผสานเสียงกันแทบจะทันที มินนภัสจึงได้แต่หันมองตาปริบๆ
“เอาเป็นว่าผมไปส่งน้องมินเอง เดี๋ยวขากลับผมขับขึ้นทางด่วน แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว” ข้อเสนอของธนวัฒน์ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพิชไปส่งหมอเอกเอง”
“ตกลงตามนี้ งั้นเราก็กลับกันเถอะ เดี๋ยวมื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“โอเคเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะเจ้ามือ” พิมพ์พิชชิงขอบคุณก่อนคนอื่น มินนภัสที่นั่งฟังเป็นส่วนมากจึงได้แต่หัวเราะ แล้วกล่าวขอบคุณด้วยอีกคน
เมื่อจ่ายเงินเสร็จทั้งหมดก็แยกย้ายตามแผนที่วางกันไว้
ทันทีที่รถสัญชาติอังกฤษออกจากลานจอด ชายในชุดสีดำที่ปฏิบัติหน้าที่มาตลอดทั้งเย็นก็จัดการส่งข้อความถึงใครบางคน จากนั้นจึงสตาร์ตมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ขับตามไปห่างๆ
มินนภัสใช้เวลาอยู่บนรถพักใหญ่กว่าจะถึงบ้าน เธอรู้สึกเกรงใจธนวัฒน์มากๆ เพราะถนนเส้นที่มาบ้านเธอค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องรถติดที่สุด
“หมอแทนเข้าไปดื่มชาก่อนดีไหมคะ”
คนโดนชวนก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธอย่างแสนเสียดาย
“อย่าเลยค่ะ นี่ก็ดึกแล้ว”
“งั้นก็ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขับรถกลับดีๆ นะคะ”
“แล้วเจอกันอีกนะคะ”
มินนภัสยิ้มหวานแทนการตอบตกลง เธอยืนรอจนรถของธนวัฒน์ลับหายจากสายตาจึงหมุนตัวเดินเข้าบ้าน ยังไม่ทันถึงประตูจู่ๆ สมาร์ตโฟนก็ดังขึ้น เบอร์ที่ปรากฏดูไม่คุ้นแต่ก็ยอมกดรับเพราะอาจเกี่ยวข้องกับงานที่บริษัท
“ถึงบ้านหรือยัง”
ประโยคที่ปลายสายเอ่ยถามทันทีทำให้มินนภัสคิ้วขมวด
“ใครพูดคะ”
“จำเสียงผมไม่ได้หรือไง”
มินนภัสก็คิดอยู่ว่าเสียงคุ้นๆ พอเขาย้ำมาแบบนี้ก็ถึงบางอ้อ จะมีใครที่พูดสั้นและห้วนได้ขนาดนี้
“เอาเบอร์ฉันมาจากไหนคะ”
“ถามคุณแม่”
“แล้วโทร. มาทำไมคะ”
“ก็ถามอยู่ว่าถึงบ้านหรือยัง”
“ถึงแล้วค่ะ แค่นี้ใช่ไหม”
“อือ! แค่นี้ก็ได้”
ปลายสายที่ตัดไปเสียดื้อๆ เล่นเอามินนภัสหัวร้อน
“คนบ้า!” เธอกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเพียงแค่ประตูบ้านปิดรถบิ๊กไบค์ที่ซุ่มอยู่บริเวณรั้วก็แล่นออกไปเช่นกัน
ความคิดเห็น |
---|