5

เผด็จการ


เผด็จการ

 

แสนศรันย์มาถึงบริษัทในเวลาเก้าโมงกว่า มินนภัสปล่อยให้เจ้านายได้มีเวลาส่วนตัวประมาณสิบนาทีก็ถือไอแพดเดินเข้ามาเพื่อจะแจ้งคิวงานตลอดทั้งวันของเขา แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากก็โดนคนหน้านิ่งยิงคำถามใส่เสียก่อน

“เมื่อวานไปไหนมา”

คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ก็ตอบไปอย่างไม่คิดอะไรมาก

“กินข้าวกับพี่พิชค่ะ”

“สองคน?”

“บังเอิญไปเจอหมอแทนกับเพื่อนเขาด้วยค่ะ”

“บังเอิญ?”

ถ้อยคำซักไซ้ที่แสนศรันย์ใช้ทำให้มินนภัสรู้สึกไม่พอใจ จากที่ตอบๆ ไปก็เริ่มจ้องหน้าคนถามพร้อมกับมือที่ยกขึ้นกอดอก

“หลังเลิกงานเป็นเวลาส่วนตัว ฉันไม่ต้องรายงานคุณทุกเรื่องก็ได้มั้งคะ”

คนเซ้าซี้เสหลบตา ไม่เอ่ยถามอะไรอีก

มินนภัสมองบนแล้วจึงแจ้งคิวงาน พอเสร็จสรรพแสนศรันย์ก็ออกคำสั่งแรกทันทีแถมไม่ได้อยู่ในคิวที่เธอแจ้งด้วย

“เลื่อนให้หมด วันนี้ผมจะลงไปดูไลน์ผลิต”

“คะ?”

เขาเงยหน้าขึ้น สายตาที่มองผ่านกรอบแว่นตาคล้ายถามกลับว่า ‘ไม่เข้าใจเหรอ’

“ทำไมไม่บอกฉันล่วงหน้าคะ” มินนภัสรู้สึกหงุดหงิด อุตส่าห์จัดคิวงานไว้อย่างดิบดี จู่ๆ ก็โดนเลื่อนทั้งหมด

“ก็วันนี้ไม่มีประชุมอะไร”

“แต่ก็ต้องออกไปพบลูกค้ากับซัพพลายเออร์อีกหลายเจ้านะคะ ไหนจะดูสถานที่สำหรับเปิดชอปใหม่อีก”

“เรื่องพบลูกค้าก็ให้ผู้จัดการฝ่ายขายไปแทน ซัพพลายเออร์ผู้จัดการฝ่ายซัพพลายเชนก็จัดการได้ส่วนสถานที่สำหรับเปิดชอปใหม่กำหนดเปิดอีกเป็นปีไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวค่อยหาเวลาไปดูก็ได้” เขาเว้นจังหวะแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอ “ยังติดอะไรอีกไหม”

มินนภัสเม้มปาก ก็จริงอยู่ที่เรื่องพวกนี้ไม่ต้องถึงมือระดับผู้บริหารก็ได้ แต่ช่วงที่สรวิศอยู่หากมีเวลาก็จะจัดการด้วยตนเองเสมอ เธอจึงจับใส่ไว้ในคิวงานด้วยความเคยชิน

“ผมอยากรู้กระบวนการผลิตเลนส์ เพราะที่อเมริกาไม่ได้ผลิตเอง รับจากที่นี่แล้วไป…”

“โอเคค่ะ” มินนภัสตัดบท ให้เหตุผลมาขนาดนี้เธอจะขัดอะไรได้ นอกจากเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้

“ขอห้านาที” เธอหมุนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ประตูกำลังจะปิดก็ไม่ลืมตวัดค้อนใส่คนเป็นเจ้านายอีกหน

‘คนอะไรเผด็จการที่สุดในโลก’

ห้านาทีไม่ขาดไม่เกินแสนศรันย์ก็เดินออกมาจากห้อง มินนภัสจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำโดยไม่พูดอะไร คนเอาแต่ใจกระชับแว่นแล้วยกยิ้มมุมปาก ก้าวเท้าเดินตามไปห่างๆ พอมาถึงชั้นล่างก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลยืนรออยู่หนึ่งคน

“นี่คุณขิงค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่สัมพันธ์ จะพาเราเข้าไปดูไลน์ผลิต”

จบประโยคแนะนำ เจ้าหน้าที่สาวก็ยกมือไหว้พร้อมทั้งแจกยิ้มพิมพ์ใจ

“สวัสดีฮะ”

“สวัสดีครับ” แสนศรันย์ทักทายตามมารยาท สายตาแอบประเมินเจ้าหน้าที่สาวตั้งแต่หัวจดเท้า การแต่งกาย ทรงผม คำพูดคำจาบ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

“เราเริ่มที่แผนกแพลนนิงดีไหมฮะ”

“ดีค่ะ” มินนภัสตอบแทน แล้วเดินเคียงคู่ไปกับพนักงานสาวหล่อ ปล่อยให้แสนศรันย์เดินตามด้วยสายตาที่ดูยังไงก็ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่

 

อาณาเขตของบริษัทเลนส์ออฟติกค่อนข้างกว้างขวาง เพราะนอกจากจะมีส่วนของสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่ด้านหน้าแล้ว พื้นที่ทางด้านหลังเป็นไลน์ผลิตทั้งหมดซึ่งมีมากกว่าสิบเฟส แต่ละ

เฟสผลิตเลนส์แยกชนิดกันไปตามคุณสมบัติ เช่นการกรองแสง การเปลี่ยนสี เลนส์กันแดด ฯลฯ โดยการผลิตทั้งหมดเน้นส่งออกต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครือที่ผลิตกรอบและอุปกรณ์ต่างๆ ของแว่นตา โดยผู้คนภายนอกจะรู้จักภายใต้แบรนด์ซีเคลียร์ซึ่งเป็นร้านวัดสายตาประกอบแว่น รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายคอนแทกต์เลนส์และแว่นกันแดดแบรนด์เนม ซึ่งมีหน้าร้านกระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

“เที่ยงกว่าแล้วมินว่าพอแค่นี้ก่อนก็เถอะค่ะคุณขิง” มินนภัสก้มมองนาฬิกาข้อมือขณะเจ้าหน้าที่สัมพันธ์พามายืนหน้าห้องผลิตแม่พิมพ์สำหรับหล่อน้ำยาผลิตเลนส์

“ก็ได้ฮะ งั้นสักบ่ายโมงครึ่งผมจะมารอที่นี่นะฮะ”

มินนภัสเหลือบมองไปทางคนด้านข้าง เห็นไม่แสดงท่าทีคัดค้านใดจึงตอบตกลงแทน

“ค่ะ แล้วคุณขิงทานข้าวที่ไหนคะ”

“คงโรงอาหารฮะ”

“ป่านนี้แล้วจะมีกับข้าวเหลือเหรอคะ มินว่าขึ้นไปทานด้วยกันข้างบนดีกว่าคือมินเอากับข้าวมาจากที่บ้าน มีหลายอย่างเลยค่ะ”

แสนศรันย์ที่ยืนฟังอยู่คิ้วกระตุก มินนภัสกล้าดียังไงชวนไอ้หน้าหล่อขึ้นไปร่วมโต๊ะด้วย แถมไม่ถามความเห็นเขาสักคำ

“จะดีเหรอฮะ” ปากถามหยั่งเชิงไปแบบนั้น แต่ใบหน้ายิ้มกว้างไปแล้วแถมยังฉวยโอกาสคว้ามือมินนภัสไปกุมอีก

“คุณมินใจดีจังเลยฮะ”

“ใจดีอะไรกันคะเรื่องแค่นี้เอง อีกอย่างมินก็เป็นฝ่ายรบกวนคุณขิงจนเลยเวลาพักด้วย”

ปฏิกิริยาของคนทั้งสองทำให้แสนศรันย์ไม่อาจอยู่เฉยจึงส่งเสียงกระแอมกระไอ ให้ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน

มินนภัสเงยหน้ามองคนขัดจังหวะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ว่าจะคุยกันอีกนานไหม”

“หิวก็เดินไปก่อนสิคะ” มินนภัสตอบเสียงห้วน

คนโดนไล่พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเจ้าหน้าที่สัมพันธ์อย่างคาดโทษแล้วเดินนำออกไป

“ผมว่า…ผมไปหาอะไรทานที่โรงอาหารน่าจะดีกว่า”

“จะดีกว่าได้ยังไงคะ ทานด้วยกันนี่แหละค่ะ เชิญค่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวหล่อหมดหนทางปฏิเสธ จึงเดินตามเลขาฯ ผู้บริหารไปด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ

 

กับข้าวที่ถูกจัดใส่จานไว้บนโต๊ะอาหารขนาดย่อมมีหลากหลายดั่งมินนภัสว่า แถมหน้าตาอาหารยังดูดีแตกต่างจากอาหารในโรงอาหารของบริษัทอย่างเห็นได้ชัด ทั้งฟักทองผัดไข่ ทอดมัน กะเพราอกไก่ แกงส้มชะอมไข่ และสเต๊กอกไก่ราดน้ำจิ้มแจ่ว เห็นแค่เมนูก็รู้ว่ากินสองคนยังไงก็ไม่หมด

“ตามสบายนะคะคุณขิง ไม่ต้องเกรงใจค่ะ” มินนภัสตักกะเพราใส่จานให้แขกซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ

“ขอบคุณฮะคุณมิน”

“ลองชิมสเต๊กอกไก่ดูค่ะ สูตรของแม่บ้านที่บ้านมินเอง อกไก่นุ่มมาก”

ทั้งสองดูจะเข้ากันได้ดีจนแทบลืมบุคคลร่วมโต๊ะอีกคนไปเลย กระทั่งมีเสียงกระแอมดังขึ้นมาแต่มินนภัสก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจหันไปมองเลยสักนิด

“เอ่อ คุณแสนไม่ทานเหรอฮะ” ขิงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็อีกฝ่ายเอาแต่นั่งกอดอกแล้วจ้องหน้าตนเขม็ง

มินนภัสหันไปมองบ้าง เห็นแสนศรันย์ยังนั่งนิ่งจึงกลับมาสนใจอาหารต่อ

“คุณขิงรีบทานเถอะค่ะ บ่ายนี้ยังต้องเดินอีกเยอะ”

“ฮะ” เจ้าหน้าที่สาวหล่อตอบรับพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาตามไรผม ฝืนกินไปอีกสองสามคำก็ทนความอึดอัดไม่ไหว

“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะฮะ”

หล่อนผลุนผลันลุกออกไปในทันใด จนแม้แต่มินนภัสยังรั้งไว้ไม่ทัน

“คุณขิงคะ คุณขิง…” เธอมองตามคนที่เดินออกไป ก่อนจะหันขวับมาทางคนที่นั่งตีหน้ายักษ์ใส่แขก

“เสียมารยาท”

แสนศรันย์ทำไม่ได้ยิน คว้าช้อนส้อมมาตักกับข้าวใส่จานตัวเอง

“ทำแบบนี้เกินไปนะคะ!”

“ก็ไม่ได้ทำอะไร”

มินนภัสรู้สึกจนคำพูด ก็จริงที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งกอดอกมองเฉยๆ

“จะไปไหน”

ร่างบอบบางที่กำลังลุกตวัดสายตามองคุณพูดด้วยสีหน้างอง้ำ

“อิ่มค่ะ”

“เพิ่งกินไปไม่กี่คำ”

“กินไม่ลง”

แสนศรันย์วางช้อนส้อมแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนดื้อดึง

“นั่งลง”

มินนภัสแสร้งไม่ได้ยิน เอื้อมไปคว้าจานเพื่อนำไปใส่ซิงก์แต่ยังไม่ทันถึงจู่ๆ ข้อมือก็โดนกระตุกจนเสียหลัก

“ว้าย!”

สิ้นเสียงร้องเธอก็ลงไปนั่งปุกบนตักแกร่ง มินนภัสหน้าตาตื่นพอจะลุกขึ้นก็โดนแสนศรันย์สอดมือมารัดรอบเอวไว้อีก

“คุณจะทำอะไร ปล่อยนะ!” เธอทั้งหยิกทั้งตีแต่มือที่รัดแน่นปานเข็มขัดนิรภัยก็ไม่สะทกสะท้าน ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรู้สึกว่ารัดแน่นขึ้น

“ถ้ายอมกลับไปกินข้าวดีๆ แล้วจะปล่อย”

“ฉันไม่กิน!”

แสนศรันย์ยักไหล่ ใช้มือข้างที่ว่างตักอาหารใส่ปากหน้าตาเฉย ไม่สนใจคนที่ยังนั่งอยู่บนตักแม้แต่น้อย

“คุณแสน!”

“ครับ หรืออยากให้ผมป้อนเหมือนตอนเด็กๆ” เขาไม่พูดเปล่ายังเอื้อมไปตักผัดฟักทอง ตักข้าวขึ้นมาจ่อปากให้อีก

มินนภัสเบี่ยงหน้าหลบ แสนศรันย์จึงส่งเข้าปากตัวเอง ยื้อยุดกันอยู่อีกเกือบนาทีจนมินนภัสเป็นฝ่ายทนไม่ไหว

“ปล่อยค่ะ”

แสนศรันย์ยังเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยิน

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามระงับอาการกรุ่นโกรธ นึกโทษตัวเองที่ตัวเล็กไม่มีพละกำลังพอจะสู้แรงเขาได้

“ฉันจะกินข้าว”

มุมปากคนเผด็จการยกยิ้ม ใช้ช้อนตัวเองตักข้าวมายื่นให้มินนภัสอีกครั้ง

“ฉันกินเองได้”

“กินคำนี้ก่อน” น้ำเสียงแสนศรันย์อ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้ วงแขนก็กระชับเชิงเร่งเร้าให้คนดื้อทำตาม

มินนภัสฮึดฮัดแต่ก็จำต้องยอมกินข้าวที่จ่อปากอยู่แต่โดยดี ซึ่งแสนศรันย์ก็รักษาคำพูดโดยการปล่อยให้เธอเป็นอิสระ

“หนีไม่พ้นหรอก มานั่งกินข้าวให้อิ่มจะดีกว่า”

ประโยคดักคอทำให้มินนภัสหน้าตึง นี่เขารู้ได้ยังไงว่าเธอกำลังหาทางหนีทีไล่ คนเหลือบมองประตูอยู่หลายครั้งจึงตะบึงตะบอนนั่งลงแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยดวงตาที่มีน้ำคลอหน่วย

แสนศรันย์มองคนดื้อดึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่อยากเลยที่ต้องใจร้ายขนาดนี้

“ชิมทอดมันสิ ผมบอกแม่บ้านทำแบบคลีนมาให้เห็นว่าใช้อกไก่ทำด้วย” เขากล่าวเสียงอ่อนโยน พร้อมกับตักทอดมันวางใส่จานให้

มินนภัสเหลือบมองโดยไม่แตะแม้แต่น้อย ได้แต่นั่งกินข้าวเปล่า พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ล้นขอบตาออกมาเป็นระยะๆ

บริเวณหลังประตูห้องครัว จิตราลดโทรศัพท์ที่ถ่ายคลิปลงแล้วกดส่งให้แก่ใครคนหนึ่ง ซึ่งจ่ายค่าจ้างพิเศษให้เธอจับตาคนทั้งสองไว้

จิตรา ณ โรงแว่น : คุณแสนโหดไปนะคะคุณเสือ คุณมินต้องทานข้าวทั้งน้ำตาแล้ว

สรวิศ : คนมันบ้าน่ะครับ ป้าจิตคอยจับตาดูไปเรื่อยๆ นะครับ

จิตรา ณ โรงแว่น : ค่ะ คุณเสือ

จิตรามองคนทั้งสองด้วยสีหน้ากังวล กินข้าวด้วยกันทุกวันแต่ไม่รู้ทำไมถึงยังห่างเหินกัน ไม่เหมือนตอนสรวิศอยู่ กินข้าวด้วยกันวันเดียวก็กลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม

“สองคนนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ” จิตรายกมือเกามุมปาก ก่อนจะโผล่หน้ามามองทั้งสองคนเป็นระยะ

 

การลงไลน์ผลิตช่วงบ่ายเริ่มหลังจากมื้ออาหารไม่นาน คุณขิงมาทำหน้าที่ต่ออย่างมืออาชีพและคอยแนะนำสลับกับเจ้าหน้าที่ประจำแผนกที่อธิบายความรับผิดชอบในแผนกของตน

แสนศรันย์โฟกัสกับงานสลับกับคอยมองคนที่ไม่ยอมเข้าใกล้เขาในรัศมีหนึ่งเมตรเป็นระยะๆ มินนภัสมึนตึงกับเขาแค่คนเดียว เพราะกับขิงหรือแม้แต่พนักงานคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาเธอส่งยิ้มทักทายและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง

‘วันนี้ยีลด์ต้องดีแน่ๆ เลยคุณมินลงมาถึงที่นี่’

‘คุณมินน่ารักจังเลยครับวันนี้’

‘คุณมินร้อนไหมครับ มายืนตรงผมก็ได้ ตรงนี้โดนแอร์’

‘ไม่เจอกันไม่กี่วันเอง คุณมินสวยขึ้นอีกแล้วนะคะ’

‘ดื่มน้ำหน่อยไหมคะคุณมิน ดูท่าทางเหนื่อยๆ’

ผู้คนที่พบเจอล้วนคุณมิน คุณมิน แล้วก็คุณมิน ช่างมีเสน่ห์กับคนทุกเพศทุกวัยจริงๆ

แสนศรันย์เห็นดังนั้นก็ไม่มีอารมณ์ลงรายละเอียดในงานมาก เขาดูแค่เฟสการผลิตแรกแล้วข้ามที่เหลือไปทันที ด้วยรู้ว่าขั้นตอนคล้ายๆ กันแตกต่างเพียงสัดส่วนน้ำยาที่ใช้ เวลาในการเข้าเตาอบและกระบวนการเคลือบเลนส์ ประมาณบ่ายสามโมงจึงมาหยุดอยู่ที่ฝ่ายสโตร์และจัดส่ง

“คุณแสนอยากดูตรงไหนบอกแพทได้เลยนะคะ เดี๋ยวแพทพาไป” พัชรดาผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ถลาเข้ามายืนประชิด ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงยิ้มกว้าง

แสนศรันย์ไม่หือไม่อือ แต่แอบขยับไปยืนข้างตรี ผู้จัดการฝ่ายคลังสินค้าและจัดส่งเพื่อความปลอดภัย

ตรีส่งสายตาปรามเลขาฯ ก่อนจะหันไปถามแสนศรันย์อย่างเป็นการเป็นงาน

“คุณแสนดูแผนงานโดยรวมของฝ่ายผมก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยลงพื้นที่”

“ครับ” แสนศรันย์รับคำแล้วมองไปทางผู้ติดตามที่ดูท่าจะเดินห่างจากตนไปเรื่อยๆ

“คุณมินจะไปไหนคะนั่น” เป็นพัชรดาที่ปากไวกว่า ตะโกนถามได้อย่างตรงใจแสนศรันย์

“ว่าจะเดินดูแถวๆ นี้หน่อยค่ะ”

“อ๋อ เชิญค่ะ แต่อย่าไปไกลนักนะคะ แถวนี้ผีดุ”

“คะ?” คนฟังสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

“ผีสามขาน่ะค่ะ แล้วก็มีผีกระดิ่ง แล้วก็ผี…”

“คุณแพท!” ตรีปรามลูกน้องเสียงเข้ม ก่อนจะมองเลยไปทางมินนภัสอย่างขอโทษขอโพย

“คุณมินอย่าไปฟังแพทมากเลยครับ ที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”

มินนภัสยิ้มแหย พอได้ยินว่ามีผีก็แอบขนลุก แม้เวลานี้จะกลางวันแสกๆ ก็ตาม

“มินก็อยู่แถวๆ นี้แหละค่ะ”

“เชิญตามสบายเลยครับ”

มินนภัสเอ่ยขอบคุณ ทำเมินสายตาของแสนศรันย์ที่มองอยู่ เธอให้ความสนใจงานฝ่ายนี้เป็นพิเศษเพราะถ้าจะเปิดบริษัทนำเข้าจริงการสต็อกสินค้าถือว่าจำเป็นอย่างมาก จึงเดินดูเพื่อเก็บข้อมูลไปพลางๆ เวลาไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัยตรงไหนก็สามารถถามพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณนั้นได้โดยตรง เพราะไม่ง่ายนักที่จะได้ลงมาในพื้นที่จริง

ความเพลิดเพลินนี่เองทำให้มินนภัสลืมสนใจสิ่งรอบข้าง กว่าจะรู้ว่าตนเองอยู่มุมไหนของบริษัทก็เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วไม่พบใครเลยนอกจากชั้นเก็บเลนส์ที่ทอดยาวจนไม่เห็นผนังแถมยังแบ่งเป็นซอยเล็กๆ ที่สลับซับซ้อน

‘ผีสามขา กับผีกระดิ่ง’ แวบเข้ามาในหัวทันที แม้จะไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเท่าไหร่แต่ในสถานการณ์ที่มองไปก็ไม่พบใครเช่นนี้ทำให้มินนภัสรู้สึกขนลุกแปลกๆ เธอจึงเดินย้อนไปทางทิศที่คิดว่าตนเองเดินเข้ามาเพื่อหาทางออกหรือไม่ก็ใครสักคนให้พออุ่นใจ

“เอซีสิบ เอซีเก้า เอซีแปด…” ตัวเลขบ่งบอกล็อกที่ลดลงเรื่อยๆ พอให้มินนภัสใจชื้น มั่นใจว่ามาถูกทางและใกล้พบทางออกเต็มที แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ

“แรงอีก ขอแรงๆ”

“อือ! สะ…เสียว”

มินนภัสหันขวับ เสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ไกลนักแถมยังฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ด้วยความสงสัยใคร่รู้และต้องการใครสักคนพาออกไปจากตรงนี้อยู่แล้วจึงลองเดินตามเสียงไป

“ใกล้แล้ว อ๊ะ!”

เสียงสวบสาบที่ชัดเจนขึ้นทุกขณะทำให้มินนภัสยิ่งเร่งฝีเท้า เบื้องหน้าคือบันไดเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับชั้นเก็บเลนส์ด้านบน เธอเห็นขาสามข้างเป็นลำดับแรก พอขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นก็ทำให้ใบหน้าถอดสี เลือดในกายเย็นเฉียบ ‘ผีสามขา’ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับแต่อย่างใดแต่เป็นชายหญิงที่กำลังนัวเนียกันอย่างถึงพริกถึงขิง

เธอก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติทำให้ชนกล่องเลนส์ที่วางอยู่บริเวณพื้นจนล้มกระจัดกระจาย ชายหญิงสองคนในคลองจักษุหันมองมายังเธอเป็นตาเดียว

“เฮ้ย!”

“ว้าย!”

มินนภัสสติหลุดไปแล้วกับภาพตรงหน้า เนื้อตัวสั่นเทา ภาพยามตนเองโดนล่วงละเมิดผุดขึ้นมาในหัว

พึ่บ!

จู่ๆ พื้นที่บริเวณนั้นก็มืดสนิท มินนภัสเข่าอ่อนทรุดนั่งลงบนพื้น เธอกลัวความมืด ตากลมโตกลอกไปมา หันมองซ้ายขวาก็ไร้ซึ่งแสงสว่าง

“ชะ…ช่วยด้วย” เสียงของมินนภัสดังผ่านลำคอออกมาแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ดังขึ้นทุกขณะ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”

กึก! กึก! กึก!

มีเสียงคล้ายฝีเท้าดังใกล้เข้ามา มินนภัสยกมือขึ้นปิดหูพร้อมกับดวงตาที่ปิดแน่น บรรยากาศช่างเหมือนกับ ‘คืนนั้น’

‘อย่า! อย่าทำอะไรฉัน’

‘ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย เรากำลังจะมีความสุขด้วยกันต่างหาก’

กลิ่นน้ำหอมเหม็นฉุนที่ชัดเจนในความรู้สึกทำให้สะอิดสะเอียน มินนภัสขยับหนีไปจนชิดชั้นวางเลนส์ราวกับต้องการหลบซ่อนจากทุกสิ่ง

‘ใจเย็นๆ นะทูนหัว อีกไม่นานฉันจะพาเธอไปถึงสวรรค์เอง’

“ไม่นะ! ไม่! พี่แสน!” มินนภัสหวีดร้องโวยวาย สองมือผลักไสสิ่งที่มองไม่เห็น

ปัง!

“กรี๊ด!”

จู่ๆ แสงสว่างก็เจิดจ้า มินนภัสยังคงตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นคนสารเลวคนนั้น

“มิน!”

เสียงเรียกมาพร้อมกับมือที่เอื้อมมาแตะ ทำให้มินนภัสสะดุ้งเฮือกถอยกรูดอย่างไร้สติ

“ไม่นะ! อย่า! อย่าแตะต้องตัวฉัน!”

ท่าทีตื่นตระหนกจนตัวสั่นงันงกทำให้แสนศรันย์เจ็บร้าวในอก สองมือยื่นไปจับไหล่เล็กเขย่าเบาๆ ให้มินนภัสได้สติ

“มิน! นี่พี่เอง พี่แสน”

“พี่แสน พี่แสน…” เสียงของมินนภัสราวกับเพ้อ ใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขาจริงๆ

“พี่แสน!” มือบางแตะบนผิวหน้าแสนศรันย์ก่อนจะโผเข้าอ้อมกอดด้วยหัวใจที่โล่งขึ้น

แสนศรันย์ตวัดรัดร่างบอบบางไว้แน่น เอ่ยกระซิบกระซาบอย่างปลอบประโลม

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับคนดี ไม่เป็นไร”

“ช่วยมินด้วย คนพวกนั้น…คนพวกนั้น” มินนภัสเพ้ออย่างไร้สติ ดวงตาเหม่อลอย ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

“พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีใครทำอะไรมินได้ทั้งนั้น”

ใบหน้าเรียวพยักเบาๆ แล้วเปลือกตาก็ค่อยๆ ปิดลง จากนั้นสติสัมปชัญญะก็ปิดรับทุกสิ่ง

 

แสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้มินนภัสเริ่มรู้สึกตัว ดวงตากลมโตกะพริบสองสามครั้งเพื่อปรับประสาทการรับรู้แล้วพิศดูสิ่งรอบกาย เห็นเพดานห้องสีขาวสะอาดตาและโคมไฟห้อยระย้าก็ยังรู้สึกไม่คุ้นจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมา

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงร้องทักทำให้คนมึนงงสะดุ้ง แล้วก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อหันไปสบตากับคนที่ลุกมาจากเก้าอี้ที่ปลายเตียง

“คุณแสน!”

คนโดนเรียกนิ่วหน้า เมื่อสรรพนามแห่งความเหินห่างหวนกลับมาอีกครั้ง แต่มินนภัสก็ไม่อาจมองเห็นเพราะตาเธอหยีจากแสงจ้าของผนังกระจกที่สูงจากพื้นจดเพดานที่อยู่ด้านหลังแสนศรันย์

“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมฉัน…”

“จำอะไรไม่ได้?”

“คะ? เอ่อ…ก็ไม่เชิงจำไม่ได้ แต่เหมือนกับ…ฝันร้าย” มินนภัสยังคงสับสน ดวงตาล่อกแล่ก เริ่มแยกไม่ออกว่าความน่ากลัวที่เกิดขึ้นคือความจริงหรือความฝัน

“ฝัน!” แสนศรันย์ทวนคำแล้วลุกขึ้นมายืนข้างๆ

“ค่ะ ฝัน…ฝันร้ายมาก” ถ้อยคำสุดท้ายแผ่วลง มินนภัสก้มหน้าราวกับอยากเก็บซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น

“แล้วฝันร้ายแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว”

มินนภัสไม่ตอบ มีเพียงดวงตาที่เอ่อคลอพร้อมกับมือที่เริ่มสั่นจนต้องกำแน่น

“ทำไมถึงกลัวความมืด”

เธอยังคงเงียบ ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นและที่สำคัญไม่อยากให้แสนศรันย์รู้ว่าเธอยังฝังใจกับเหตุการณ์เหล่านั้น

“ฉัน…เอ่อ…ไปทำงานดีกว่าค่ะ” เธอสะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกยืนขึ้น แต่คงกะทันหันเกินไปจึงรู้สึกวิงเวียนราวกับโลกหมุนกลับ มินนภัสมึนหัวจนแทบยืนไม่อยู่ และก่อนที่จะล้มลงไปก็สัมผัสได้ถึงท่อนแขนที่ยื่นเข้ามาประคอง

“ปล่อย...” เหมือนเธอตะโกนออกไปสุดเสียง แต่คำที่หลุดออกมาจากปากกลับแผ่วเบาเหลือเกิน

“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”

“งั้นผมคงต้องบอกให้น้ามิ่งทราบว่ามินไม่สบาย” แสนศรันย์ไม่พูดเปล่ายังหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าตั้งท่าจะกดเบอร์

“อย่า…” มินนภัสร้องห้าม เอื้อมไปหยิบสมาร์ตโฟนมาถือไว้เอง

“งั้นเราก็มีเรื่องต้องคุยกัน…ยาว!”

ประโยคกดดันทำให้มินนภัสรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมนั่งลงที่เตียง แม้จะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็ไม่อยากให้มารดาไม่สบายใจ โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พยายามปกปิดมาเกือบหกปี

แสนศรันย์ลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้าม แววตาหลังกรอบแว่นเต็มไปด้วยความห่วงใย

“คุณไม่ได้ฝัน”

“คะ?”

“วันนี้เราลงไปดูไลน์ผลิตด้วยกัน แล้วช่วงบ่ายก็ไปตึกคลังสินค้า”

มินนภัสรับฟังพร้อมกับทบทวนตาม

“คุณเดินเข้าไปในโกดังคนเดียว แล้ว…ไฟดับ”

คำพูดของแสนศรันย์ทำให้มินนภัสเห็นภาพเป็นฉากๆ ความมืดที่เข้าจู่โจมในมโนสำนึกทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับหลับตาปี๋ราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง

“มิน…” ชื่อของเธอถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือที่ถูกเจ้าของเสียงดึงไปกุมไว้

“เกิดอะไรขึ้นเล่าให้ผมฟังได้ไหม”

มินนภัสยังคงเงียบจนมือหนาออกแรงบีบเบาๆ เพื่อส่กำลังใจให้ และการกระทำเพียงแค่นั้นก็เหมือนช่วยปัดเป่าความประหวั่นพรั่นพรึงในใจได้จริงๆ

“ฉะ…ฉันมัวแต่สนใจสต็อกการ์ดที่ติดอยู่ตามล็อก พอเงยหน้ามาอีกทีก็ไม่พบคนอื่นแล้ว ก็…ก็เลยเดินย้อนกลับมาเพื่อหาทางออกแต่ระหว่างทางก็ได้ยิน สะ…เสียงแปลกๆ จึงเดินไปแล้วก็เห็น…เห็น…ผู้ชายผู้หญิง เอ่อ…” มินนภัสก้มหน้างุด ทั้งหวาดกลัวทั้งอับอาย มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบขึ้นมาทันที

แค่ได้ฟังคร่าวๆ แสนศรันย์ก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นิ้วโป้งจึงไล้ที่หลังมือเบาๆ เพื่อบ่งบอกให้เธอได้รู้ว่าไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพัง

“ฉันตกใจมากกำลังจะหนีออกมาแต่จู่ๆ ไฟก็ดับ ฉันเกลียดที่มืดๆ ก็เลยคุมสติตัวเองไม่ได้”

แววตาที่สั่นระริกของคนเล่าทำให้สันกรามของคนฟังเด่นชัดขึ้น มินนภัสยังคงขวัญผวาแม้กระทั่งตอนนี้ และเธอไม่ใช่แค่คุมสติตัวเองไม่ได้แต่ถึงขั้นปิดกั้นความจริง แล้วคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน

“อาการแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

มินนภัสไม่ตอบ ริมฝีปากเม้มหากันแน่น

“ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นใช่ไหม”

คำถามจี้ใจดำทำให้น้ำตาหยดแหมะ เธอดึงมือออกมาแล้วเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ

“ฉันจะไปทำงาน” เธอเห็นประตูแล้ว สถานที่นี้อาจเป็นห้องสักห้องหนึ่งในบริษัทซึ่งหากเปิดออกไปก็น่าจะจำได้ว่าเป็นตึกไหน แต่เพียงแค่ลุกขึ้นข้อมือก็โดนกระตุกจนเซถลา

ความอบอุ่นครอบคลุมทั่วร่าง แสนศรันย์กำลังกอดเธอไว้

“ปล่อยนะ! คุณจะทำอะไร” มินนภัสพยายามดิ้นรนผลักไส แม้จะไม่ได้รังเกียจสัมผัสเหล่านี้เลยก็ตาม

“พี่ขอโทษ…ที่ปล่อยให้มินต้องอยู่คนเดียว”

สีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงและสรรพนามที่แสนคุ้นเค้ยทำให้มินนภัสไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป สุดท้ายเธอก็กลับกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ที่เวลาเสียใจก็วิ่งไปร้องไห้กับอกของเขาเหมือนตอนเด็กๆ

 

ในห้องเล็กขนาดไม่ถึงยี่สิบตารางเมตรเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นสลับกับถ้อยคำปลอบใจอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง เมื่อเริ่มสงบสติอารมณ์ได้มินนภัสก็ขยับหนีเพราะรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมาะไม่ควร

มือหนาลูบอยู่บนแผ่นหลังของเธอ และสัมผัสร้อนชื้นที่วนเวียนแตะขมับเธออยู่หลายครั้ง เธอจึงดันตัวออกมาแล้วยืนมองหน้าเขานิ่ง

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” มินนภัสเมินหลบสายตา พอเข้าสู้สภาวะอารมณ์ปกติก็ทำตัวเหินห่างเช่นเดิม ยามเขาขยับเข้ามาหาจึงก้าวถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ เขาก้าวมาอีกก้าว เธอก็ถอยไปอีกก้าว

“จะไปไหน” ประโยคคำถามมาพร้อมกับร่างหนาที่เข้ามาประชิดตัว

มินนภัสย่นคอเมื่อมือหนาสัมผัสมาที่บริเวณหน้าผาก

“ตัวอุ่นแล้วนี่นา ไม่เย็นเหมือนก่อนหน้านี้” ใบหน้าของเขาก้มต่ำลงมาอีกจนอยู่ระดับเดียวกับดวงตาของเธอ “แก้มก็แดงด้วย”

ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนล้อเลียนอยู่จึงเบี่ยงตัวหนีพลางกระแอมกระไอขับไล่มวลความรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่รอบตัว

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ต้องกลับบ้านแล้ว” มินนภัสหันรีหันขวางก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิดจู่ๆ เธอก็หยุดยืนนิ่ง

คนที่ยืนอมยิ้มอยู่จึงรีบเดินมายืนซ้อนข้างหลังด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

มินนภัสเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา

“ทำไมคุณถึงเลิกกับน้ำหนึ่งคะ”

สีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่เรียบเฉยขึ้น แววตาใต้กรอบแว่นกร้าวขึ้นถนัดตา

“ในเมื่อรักกันมาก ทำไมถึงเลิกกัน”

มินนภัสไม่เคยคิดว่าต้องมาถามคำถามนี้กับคนที่ทำร้ายจิตใจตัวเอง แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธออยากรู้มาตลอดเกือบหกปี

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก”

“อะไรคือไม่ใช่ ช่วยอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมคะ”

แสนศรันย์มองสีหน้าคนถามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ บางสิ่งบางอย่างก็ยากเกินกว่าที่จะพูดออกมา โดยเฉพาะถ้าคำพูดเหล่านั้นมันจะทำให้คนตรงหน้าเขาต้องเจ็บปวด

“เมื่อถึงเวลา ผมจะบอกคุณทุกอย่าง”

“เวลา? เวลาอะไรคะ แล้วทำไมต้องรอ” สีหน้ามินนภัสมึนตึงขึ้นทันที กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อหวนนึกถึงวันที่เขาเดินจากไปโดยไม่ร่ำลา แล้วการที่เธอรวบรวมความกล้าเพื่อถามเขาในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เขากลับพูดแค่ว่า ‘เมื่อถึงเวลา’

“ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าคุณรัก…” คนใส่อารมณ์นิ่งงัน เมื่อริมฝีปากอุ่นชื้นยื่นมาหยุดคำพูดของเธอไว้ เขาแช่นิ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะกระซิบบางคำ

“ผมไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยรัก…”

มินนภัสมองหน้าคนที่ยืดตัวขึ้น ระหว่างที่สมองกำลังประมวลผลจู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปเปิดประตูแล้วดันตัวเธอให้เดินออกไปด้านนอก

“โอ๊ย! ออกมากันเสียที ป้าเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดแล้วนะคะ”

เสียงของจิตราทำให้มินนภัสต้องกะพริบตาปริบๆ สมองของเธอยังว่างเปล่ากับคำพูดเมื่อครู่ของแสนศรันย์อยู่เลย

“คุณมินไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ” จิตราปราดเข้าไปประชิด แอบกวาดสายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

‘โอเค ยังไม่มีอะไรสึกหรอ’

“ป้าเป็นห่วงคุณมินม้ากมาก ตอนเห็นคุณแสนอุ้มคุณมินเข้ามานี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ดีนะที่คุณพยาบาลบอกแค่เป็นลม”

“พยาบาลเหรอคะ”

“ค่ะ คุณพยาบาลที่ประจำอยู่ห้องพยาบาลของบริษัทไงคะ คุณแสนสั่งให้ป้าไปตามขึ้นมา พอคุณมินไม่เป็นอะไรเธอจึงขอตัวกลับบ้านไปก่อนน่ะค่ะ”

มินนภัสพยักหน้า แล้วเหลือบมองไปทางคนที่เดินเลี่ยงไปนั่งยังโต๊ะทำงาน

“ป้าก็อยากเข้าไปช่วยคุณมินนะคะ แต่คุณแสนห้ามไว้เสียก่อน”

มินนภัสยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบโต้อีกฝ่ายว่าอย่างไรดี

“แล้วนี่เพิ่งฟื้นเหรอคะ”

“ค่ะ”

“นี่คุณมินหมดสติไปเป็นชั่วโมงเลยเหรอคะ”

“ก็…ค่ะ มินน่าจะแอบหลับด้วย พอดีแอร์มันเย็น”

“แล้วคุณแสนก็หลับด้วย?”

“ค่ะ”

สิ้นคำป้าจิตราก็ยกมือขึ้นทาบอก มินนภัสเลยต้องอธิบายใหม่เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่

“มินหมายถึงคุณแสนก็นั่งหลับบนเก้าอี้น่ะค่ะ คนละที่กัน”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ป้าจิตราทำทีพยักหน้า แต่สายตายังคงฉายแววสงสัยใคร่รู้

“คุณแสนยืนยันได้นะคะ” มินนภัสสำทับอีกเพื่อให้คำพูดมีน้ำหนัก แต่แสนศรันย์กลับเงียบเช่นเคย

ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ

“มินไปเก็บของก่อนนะคะ เย็นมากแล้วเดี๋ยวคุณแม่เป็นห่วง”

จิตรามองคนที่ก้มหน้าเดินหนีออกไปแล้ววกกลับมามองคนที่นั่งเปิดแฟ้มเอกสารที่โต๊ะทำงานอย่างกังขา

“ป้าจิตไม่กลับบ้านเหรอครับ”

“อะ…อ่อ กลับค่ะกลับ” คนขี้สงสัยยิ้มเจื่อน แล้วหมุนตัวไปยังประตู

“ฝากบอกมินด้วยนะครับว่าให้รอก่อน เดี๋ยวผมไปส่ง”

คนสูงวัยรับคำแล้วหลบฉากออกมา เซนส์ของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานทำให้รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

‘ในห้องนั้นต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ’

เมื่อประตูปิดลงแสนศรันย์ก็วางแฟ้มพร้อมกับมุมปากที่ยกสูงขึ้น แม้เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงบ่ายจะวุ่นๆ แต่ท่ามกลางเรื่องร้ายๆ ก็มีเรื่องดีๆ เหมือนกัน

“รออีกนิดนะมิน ถ้าพี่จัดการเรื่องบ้าๆ พวกนั้นจบพี่จะบอกมินทุกอย่าง” แสนศรันย์พูดราวกับตอกย้ำกับตัวเองว่ายังมีอีกหลายอย่างให้ต้องทำ เขาอดทนมาตั้งขนาดนี้แล้ว อดทนอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร

พลันไฟบนหน้าจอสมาร์ตโฟนก็สว่างพร้อมกับแสดงเบอร์ของคนที่โทร. เข้ามา แสนศรันย์จึงรีบหยิบขึ้นมากดรับ

“ว่าไง”

“ไปอยู่ไหนมาวะ โทร. เป็นสิบรอบแล้วทำไมไม่รับ”

เสียงโวยวายทำให้แสนศรันย์ต้องขยับสมาร์ตโฟนออกห่างจากหู

“ยายมุมิเป็นยังไงบ้าง”

เขาไม่แปลกใจนักที่ปลายสายถามเช่นนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าสรวิศมีสายคอยรายงานอยู่

“ข่าวเร็วนะ”

“ไม่ต้องมาโยกโย้ รีบเล่ามาเร็วๆ ใครทำอะไรยายมุมิ”

“เอาไว้ค่อยคุย ฉันจะรีบไปส่งมิน”

“เฮ้ย! เดี๋ยวนี้ถึงขั้นรับส่งแล้วเหรอวะ”

แสนศรันย์ไม่สนใจน้ำเสียงตื่นเต้นเกินเหตุของฝาแฝดผู้น้อง เขาตอบว่า ‘เออ’ เพียงสั้นๆ แล้วกดวางไปทันที ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าคนบางคนจะหนีกลับไปเสียก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น