๒เจ้าชายน้ำแข็ง
มินนภัสต่อสายหามารดาทันทีที่โบกแท็กซี่ได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สะดวกคุยเพราะรับสายแล้วเอ่ยเพียงสั้นๆ ว่ากำลังประชุมอยู่จากนั้นก็วางสายไป คนตั้งใจโทร. ไปฟ้องจึงได้แต่อ้าปากค้างด้วยยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรสักคำ
เธอหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด การกลับบ้านก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเสียแล้ว จึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาหวังหาคาเฟ่เก๋ๆ ไปนั่งชิลพักผ่อนจิตใจ แต่ยังไม่ทันกดเข้าเว็บค้นหาใดๆ ก็มีข้อความจากแอปพลิเคชันแสดงภาพชื่อดังอย่างไอจีเด้งเตือนขึ้นมา มินนภัสเปิดดูก็พบว่าคนที่เธอติดตามอยู่เพิ่งโพสต์ภาพสถานที่ที่หนึ่ง แล้วมุมปากก็ค่อยๆ มีรอยยิ้ม รีบบอกจุดหมายปลายทางใหม่แก่โชเฟอร์เพราะเธอหาที่ปรึกษาได้แล้ว
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถแท็กซี่ก็เข้ามาจอดยังประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเธอเคยมาเยือนบ่อยครั้ง
“สวัสดีค่ะคุณมิน มาหาคุณพิชเหรอคะ” ภาษาไทยแปร่งๆ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของหญิงสาวจากประเทศเพื่อนบ้านทำให้มินนภัสยิ้มตอบ
“ใช่จ้ะ พี่พิชอยู่ใช่ไหม”
“อยู่ค่ะ เพิ่งมาเมื่อวานนี่เอง ตอนนี้น่าจะอยู่ในสตูดิโอค่ะ” แม่บ้านสาวตอบอย่างฉะฉานด้วยรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“โอเคจ้ะ นิ่มมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันเดินเล่นรอบๆ สักครู่แล้วจะเข้าไปหาพี่พิชเอง”
“ค่ะคุณมิน”
แม่บ้านหมุนกายแล้วเดินหายไปทางหลังบ้าน มินนภัสจึงเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ สวนสไตล์อังกฤษที่แสนร่มรื่นไปเรื่อยๆ
‘บ้านวริทธิ์นันท์’ เป็นของตระกูลวริทธิ์นันท์ที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น มารดาเคยเล่าให้ฟังว่าตระกูลนี้เป็นผู้ดีเก่า และที่เธอสามารถเข้านอกออกในได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อนก็เพราะสนิทสนมกับ พิมพ์พิช วริทธิ์นันท์ หรือที่เธอเรียกติดปากว่าพี่พิชตั้งแต่สมัยไปเรียนที่ต่างประเทศ
“ไฮดาร์ลิง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ได้จ๊ะ”
เสียงร้องทักทำให้แขกผู้มาเยือนชะงักฝีเท้า เหลียวไปทางต้นเสียงจึงเห็นหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนขาสั้น ผมมวยสูงมีปากกาเสียบไว้ ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง และสวมแว่นตากำลังเดินตรงมาหา
“สวัสดีค่ะพี่พิช” มินนภัสยิ้มกว้าง เข้าไปสวมกอดรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ “คิดถึงจังเลยค่ะ”
“ปากหวาน แล้วนี่รู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่ที่นี่” พิมพ์พิชทำหน้าฉงน เนื่องจากเวลาจะคิดงานใหม่ๆ เธอจะเก็บเนื้อเก็บตัวจนบางครั้งแม้แต่ครอบครัวก็ยังตามตัวไม่พบ
ทั้งสองจูงมือกันไปนั่งยังชุดโต๊ะใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วมินนภัสก็หยิบสมาร์ตโฟนที่หน้าจอมีรูปดอกไม้มายื่นให้ดู
พิมพ์พิชเห็นแล้วก็จำภาพดอกกุหลาบที่ตนเพิ่งอัปโหลดลงไอจีไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนได้ทันที
“เก่งจริงๆ ที่รัก เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วเหรอว่าพี่อยู่ที่นี่”
“รู้สิคะ ก็มินมาบ้านพี่พิชบ่อยจะตาย เผลอๆ จะมาบ่อยกว่าเจ้าของอีก”
มินนภัสชอบบ้านหลังนี้มากเพราะเป็นสไตล์เดียวกับที่อยากได้ แถมยังมีสวนหย่อมที่ปลูกกุหลาบนานาชนิดรายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหลังบ้านยังติดลำคลองสาธารณะ อีกด้านเป็นสวนมะพร้าวของชาวบ้าน สงบและเย็นสบาย ถือว่าได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง แถมยังไม่ไกลจากบ้านเธออีกด้วย
“จ้า พี่เชื่อ” เจ้าของบ้านยิ้มละไม ด้วยแม่บ้านรายงานเสมอว่ารุ่นน้องชอบแวะมานั่งเล่นในสวนกุหลาบและศาลาริมน้ำบ่อยๆ ซึ่งเธอก็ไม่เคยหวงห้าม
“ว่าแต่มินมากวนพี่พิชหรือเปล่าคะ”
“ไม่กวนเลย พี่กำลังคิดงานไม่ออกพอดี ว่าแต่มินเถอะ ไม่ทำงานเหรอ” พิมพ์พิชถามอย่างแปลกใจ ปกติการนัดเจอกันของทั้งสองเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากบ้างานทั้งคู่
“เบื่อค่ะ เลยหนีออกมา”
“เป็นครั้งแรกที่ได้ยินมินพูดแบบนี้เลยนะเนี่ย แสดงว่าคุณเสือต้องทำอะไรให้ไม่พอใจแน่ๆ” พิมพ์พิชยกมือขึ้นกอดอกอย่างสนใจ เธอรู้จักกับสรวิศผ่านการแนะนำของมินนภัสมาพักใหญ่ และได้พบเจอตามงานสังคมอีกหลายครั้งจึงถือว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน
“พี่เสือน่ะเหรอคะ ตอนนี้หนีไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่รู้”
“อ้าว! แล้วใครทำให้มินของพี่อารมณ์เสียกัน”
“ก็…” มินนภัสเกือบจะหลุดปากแล้ว ยังดีที่ยั้งทัน “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่พิชพอจะมีเวลาให้มินไหมคะ บ่ายนี้เราไปชอปปิงกันเถอะ”
คนโดนชวนยังไม่คลายสงสัย ยิ่งมินนภัสบ่ายเบี่ยงก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
“อย่าบอกนะว่า...คนคนนั้นกลับมาแล้ว!”
พิมพ์พิชไม่ได้รู้จักแสนศรันย์เป็นการส่วนตัว แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของฝาแฝดทั้งสองคนบ่อยมากจากคำบอกเล่าของมินนภัสโดยเฉพาะวีรกรรมของคนฝาแฝดคนพี่
และความเงียบก็เป็นคำตอบได้อย่างดี
“ลาออกไหม” คนรับรู้ความทุกข์ใจของรุ่นน้องเอ่ยปาก เพราะหากเป็นเธอก็คงไม่อยากทำงานกับคนทรยศที่หนีไปกับผู้หญิงอื่นเช่นกัน
“มินก็อยากทำแบบนั้น แต่คงต้องคุยกับคุณแม่ก่อน”
พิมพ์พิชพยักหน้าอย่างเข้าใจ มินนภัสเหลือมารดาเพียงคนเดียว จะคิดจะทำอะไรจึงค่อนข้างแคร์ความรู้สึกท่าน
“ก็บอกน้ามิ่งว่าอยากเปลี่ยนงาน ลองมาทำกับพี่ก็ได้”
“พี่พิชมีงานให้มินทำเหรอคะ”
“เยอะแยะไป มาเป็นนางแบบประจำแบรนด์พี่ยังได้เลย” พิมพ์พิชมีแบรนด์เสื้อผ้าโดยใช้ชื่อ ‘พิมพ์พิช’ ตามชื่อจริงของตนเอง ฝีไม้ลายมือก็ไม่ธรรมดา เพราะได้ไปแสดงในงานแฟชั่นโชว์ระดับโลกทุกปี
“โอ๊ย! ไม่ไหวหรอกค่ะ ชุดพี่พิชขายไม่ออกพอดี” มินนภัสหัวเราะร่วน เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเอาจริงเอาจังในการช่วยเหลือถึงขั้นจะให้เป็นพรีเซนเตอร์ประจำแบรนด์
“พูดอะไรอย่างนั้น มินออกจะหุ่นดี หน้าเป๊ะ นางแบบของพี่บางคนยังสู้ไม่ได้เลย”
พิมพ์พิชไม่ได้แกล้งอวย แม้มินนภัสจะสูงไม่เท่านางแบบมืออาชีพแต่ก็มีใบหน้าโฉบเฉี่ยว ตาคม จมูกโด่ง แถมผิวพรรณก็ดีมาก รับรองว่าถ้าได้ถ่ายแบบก็ไม่แพ้คนอื่นๆ แน่นอน
“มินทำงานที่นั่นเพราะอยากได้เงินไปเปิดบริษัทไม่ใช่เหรอ พี่ว่าเป็นนางแบบเผลอๆ รายได้เยอะกว่าทำงานที่นั่นไม่รู้กี่เท่า”
“จริงเหรอคะ” คนฟังเริ่มคล้อยตาม เธอเคยได้ยินอยู่บ้างที่ดารา นางแบบระดับเอลิสต์หลายคนได้ค่าโฆษณาตัวหนึ่งเป็นล้านๆ
“จริงสิ แล้วยังมีพี่เป็นกองหนุนอีกทั้งคน รับรองแจ้งเกิดแน่”
มินนภัสตาเป็นประกาย เริ่มเห็นแสงสว่างที่เป็นทางรอดของตัวเอง ถ้ามีเงินทุนสักก้อนเธอก็ไม่ต้องไปทำงานที่นั่น และไม่ต้องเจอคนใจร้ายคนนั้นอีก
“สนใจใช่ไหม งั้นพี่จะเริ่มหาทีมงานเลยนะ”
“ก็สนค่ะ แต่มินต้องขอปรึกษาคุณแม่ก่อนนะคะ”
“ได้จ้ะ ตกลงยังไงก็บอกได้เลย แต่พี่อยากให้มินมาทำงานกับพี่จริงๆ นะ” คนมีหัวคิดบรรเจิดมองรุ่นน้องตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วอมยิ้ม การได้จับมินนภัสมาแต่งตัวในแบบที่ต้องการคงจะสนุกน่าดู
“โอเคค่ะแต่ว่าพักเรื่องนั้นไว้ก่อน เอาเรื่องวันนี้ดีกว่า พี่พิชสนใจออกไปชอปปิงกับมินไหมคะ”
“ได้สิ เบื่อๆ อยู่เหมือนกัน แต่พี่ขอเวลาแต่งตัวหน่อยนะ” พิมพ์พิชก้มมองชุดตนเองแล้วยิ้มแหย เธอออกไปเผชิญผู้คนในสภาพนี้ไม่ได้แน่ๆ
“เชิญพี่พิชตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวมินนั่งรับลมรอ”
“โอเค ขอเวลาครึ่งชั่วโมง ระหว่างนี้เดี๋ยวพี่ให้นิ้มนิ่มเอาของว่างมาให้นะ”
“ค่ะ” มินนภัสยิ้มขำกับชื่อเรียกแม่บ้านที่ไม่เหมือนใครของรุ่นพี่สาว พออีกฝ่ายเดินลับหายเข้าไปในบ้านเธอก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเช็กข่าวสารฆ่าเวลา พักใหญ่ต่อมาจู่ๆ ก็มีสายเรียกเข้าจากจิตรา
มินนภัสไม่ลังเลที่จะรับ เพราะปกติแม่บ้านของบริษัทเลนส์ออฟติกไม่โทร. หาเธอพร่ำเพรื่อนอกเสียจากจะมีเรื่องด่วนจริงๆ
“ว่าไงคะป้า ที่บริษัทมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เธอนิ่งฟังคนปลายสายอยู่ครู่ก่อนจะตาโตด้วยความตระหนก “อะไรนะคะ ออดิต๑ เข้า” มินนภัสยกนาฬิกาขึ้นมาดู เธอลืมไปจริงๆ ว่าวันนี้ออดิตภายนอกจะเข้ามาตรวจประเมิน ISO13485๒ ของฝ่ายบริหาร ปกติคนที่ต้องรับการตรวจก็คือสรวิศ ในเมื่อเขาไม่อยู่ก็ต้องเป็นแสนศรันย์ซึ่งฝ่ายนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวแน่ๆ
“คุณแสนแย่แล้วค่ะคุณมิน หาเอกสารอะไรไม่เจอสักอย่างเลย”
คำบอกเล่าทำให้มินนภัสปวดหัวขึ้นมาทันที
“ค่ะป้า มินจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
การตรวจออดิตถือว่ามีความสำคัญ หากไม่ผ่านการรับรองอาจส่งผลให้ถูกระงับการส่งเลนส์ไปขายต่างที่ประเทศ มินนภัสจึงไม่อาจเพิกเฉย
“ไปหรือยังมิน พี่พร้อมแล้ว”
เสียงของพิมพ์พิชทำให้คนที่กำลังเก็บของเหลียวมอง
“มินคงไปด้วยไม่ได้แล้วค่ะ คือบ่ายนี้มีตรวจออดิตแต่มินลืมสนิทเลย มินขอโทษนะคะ” มินนภัสสีหน้าสลด เป็นเพราะมัวแต่โกรธแสนศรันย์ทำให้ลืมเรื่องสำคัญไป
เมื่อพิมพ์พิชเห็นสีหน้าขาวซีดของรุ่นน้องแล้วก็โกรธไม่ลง
“ไม่เป็นไรจ้ะ งานด่วนนี่นา แล้วมินจะไปยังไงล่ะ”
“เดี๋ยวมินเดินออกไปเรียกแท็กซี่ได้ค่ะ”
“อืม งั้นพี่ไปส่งดีกว่า ซอยนี้ไม่ค่อยมีแท็กซี่เข้ามาหรอก” พิมพ์พิชอาสา เพราะไหนๆ ก็แต่งตัวเตรียมพร้อมออกจากบ้านขนาดนี้แล้ว
“จะดีเหรอคะ คือมิน…”
“ไปเถอะ เผื่อมินเสร็จธุระเร็วเราจะได้ไปช้อปปิงกันต่อไง”
มินนภัสตรึกตรองไม่นานก็พยักหน้าตกลง สองสาวจึงไปขึ้นรถสัญชาติอังกฤษคันเล็กของพิมพ์พิชแล้วบึ่งกลับไปยังบริษัทเลนส์ออฟติกด้วยความรวดเร็ว
มินนภัสใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน เมื่อลงจากรถได้ก็ปรี่ไปที่ห้องประชุมเล็กซึ่งใช้เป็นสถานที่ตรวจออดิต ลองมองผ่านช่องกระจกเข้าไปก็เห็นแสนศรันย์ที่สีหน้าเคร่งเครียดกำลังสาละวนอยู่กับแฟ้มเอกสาร
“คุณมินรีบเข้าไปเถอะค่ะ ป้าเห็นเปิดแฟ้มนั้นมาตั้งนานแล้ว” จิตราที่เตร่อยู่แถวหน้าประตูเดินเข้ามากระตุกแขนเป็นเชิงเร่งเร้า
“ค่ะ มินฝากป้าช่วยพาพี่พิชไปนั่งรอที่ห้องรับรองหน่อยนะคะ” มินนภัสบอกแล้วมองเลยไปยังคนที่เดินตามหลังมา “มินขอเวลาหน่อยนะคะพี่พิช” พอรุ่นพี่พยักหน้าเธอจึงเปิดประตูเข้าไป คนสี่คนที่นั่งอยู่ในห้องพร้อมใจกันหันมามองเป็นตาเดียว
“คุณมิน! ไปไหนมาคะ นึกว่าลืมพวกเราเสียแล้ว” เป็นประโยคที่สุดแสนจะดีใจจากหนึ่งในทีมออดิตซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเนื่องจากมาตรวจแทบทุกปี
“คือ…มินไปทานกลางวันข้างนอกมาน่ะค่ะ ขอโทษที่เลตนะคะ” มินนภัสก้มศีรษะขอโทษขอโพยแล้วเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างข้างๆ แสนศรันย์
“คุณอิ๊กต้องการเอกสารอะไรคะ”
“เอกสารนโยบายคุณภาพของบริษัทค่ะ” คนพูดปรายตาไปทางผู้บริหารที่ยังนั่งหน้าเครียด มือก็เปิดแฟ้มเอกสารอย่างเอาเป็นเอาตาย
“สักครู่นะคะ” มินนภัสถือวิสาสะแย่งแฟ้มคืนมาจากแสนศรันย์ พลิกไปที่หน้าแรกสุดของแฟ้มเอกสารแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่
“นี่ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณมิน”
ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะรออยู่นานแล้วจึงรีบรับไปเปิดอ่านแล้วจดพวกรายละเอียดลงในเอกสารของตนทันที
มินนภัสไม่หันมองคนนั่งข้างๆ เธอเปิดแฟ้มเพื่อเตรียมเอกสารที่น่าจะถูกเรียกดูลำดับต่อๆ ไป ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาแสนศรันย์ก็ลุกหนีออกไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครทักท้วง
พอคล้อยหลังคุณอิ๊กจึงโน้มตัวลงมากระซิบกระซาบถามมินนภัสด้วยความสงสัย
“คุณเสือเป็นอะไรไปคะ ทำไมรอบนี้ดูแปลกๆ ไม่เฟรนด์ลีเหมือนเดิม แถมยังหาเอกสารไม่เจอสักอย่าง นโยบายบริษัทนี่ง่ายสุดแล้วนะคะ”
มินนภัสฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยรีบไขความกระจ่างทันใด “นั่นไม่ใช่พี่เสือหรอกค่ะ เป็นคุณแสนฝาแฝดพี่เสือ”
“คะ!”
เธอพยักหน้ายืนยัน นึกแปลกใจว่าทำไมแสนศรันย์ไม่แนะนำตัวเอง ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ออดิตเข้าใจผิดอยู่ได้นานสองนาน
“เพิ่งรู้นะคะเนี่ยว่าคุณเสือมีฝาแฝด”
คนฟังส่งยิ้มน้อยๆ แล้วเสเปลี่ยนเรื่องไปคุยเกี่ยวกับการออดิตด้วยไม่อยากตอบคำถามเกี่ยวกับแสนศรันย์มากและเพื่อให้เสร็จธุระโดยเร็ว
เนื่องจากห้องรับรองไม่ว่างเพราะมีแขกจากต่างประเทศกำลังคุยงานกับทีมวิศวะเรื่องเครื่องจักรตัวใหม่อยู่ จิตราจึงพาพิมพ์พิชเข้ามานั่งในห้องทำงานของแสนศรันย์เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเสร็จการออดิตพร้อมกับมินนภัสแล้วจึงขอตัวออกไปเตรียมของว่างมาเสิร์ฟให้ พิมพ์พิชจึงยึดโซฟาเพื่อนั่งรอพร้อมกับหยิบไอแพดขึ้นมาทำงานฆ่าเวลา แต่ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายตัวสูง
แสนศรันย์เองก็แปลกใจแต่ก็มีเพียงคิ้วที่เลิกขึ้นเพียงนิด จากนั้นก็เดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตนเอง
“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะกลับมาเร็ว เดี๋ยวฉันไปนั่งรอมินข้างนอกก็ได้” พิมพ์พิชว่าพร้อมกับคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย”
ประโยคสั้นๆ ทำให้พิมพ์พิชรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แสนศรันย์ดูไม่แปลกใจเลยที่พบเธอทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรก
“เอ่อ! เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“ไม่นี่ครับ”
“เหรอคะ” พิมพ์พิชมองคนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่หลังโต๊ะทำงานจะอย่างพินิจพิจารณา หากไม่รวมหน้าตาที่เหมือนสรวิศแล้ว บุคลิกและท่าทีเย็นชาของเขาก็ดูคุ้นอย่างบอกไม่ถูก
“แต่ฉันว่าฉันเคยเจอคุณที่ไหนสักแห่ง”
“คงเป็นนายเสือ”
พิมพ์พิชยังคงติดใจ เธอจ้องแสนศรันย์ตาไม่กะพริบจนฝ่ายนั้นวางเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นมาแนะนำตัวเอง
“ผมแสนศรันย์ครับ แล้วคุณ…”
“พิชค่ะ พิมพ์พิช เป็นเพื่อนสนิทกับมิน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
แสนศรันย์กล่าวแค่นั้นก็ก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารต่อ ทิ้งให้พิมพ์พิชนั่งเค้นความทรงจำของตนว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหน แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกจนถอดใจ คงเป็นอย่างที่แสนศรันย์ว่า เธออาจจะรู้สึกคุ้นเพราะเคยเจอกับสรวิศมาหลายครั้ง
มินนภัสใช้เวลาในการออดิตไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็กลับมาที่โต๊ะทำงาน จิตราจึงรีบเดินมาบอกว่าพิมพ์พิชอยู่ในห้องทำงานของแสนศรันย์
“อะไรนะคะ!”
“คือห้องรับรองไม่ว่างเลยค่ะ” คนสูงวัยเสียงอ่อย ห้องรับรองที่มีเพียงห้องเดียวของชั้นนี้ถูกจองล่วงหน้ามานาน ส่วนห้องประชุมที่มีมากกว่าสามห้องก็พร้อมใจกันมีประชุมทั้งหมด
“คุณแสนคงไม่ทำอะไรคุณพิชหรอกมั้งคะ”
มินนภัสลอบถอนหายใจ พิมพ์พิชกับแสนศรันย์คงไม่ลุกมามีเรื่องกันแน่ๆ แต่เธอนี่สิไม่อยากเข้าไปเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้น
“ขอบคุณค่ะป้า”
พอแม่บ้านประจำชั้นคล้อยหลังไปแล้ว มินนภัสจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของแสนศรันย์ ภาพที่เห็นก็ไม่ต่างไปจากที่คิดนัก คือทั้งสองนั่งอยู่คนละมุมต่างจมอยู่กับงานของตนเอง
เธอไม่เอ่ยอะไรกับเจ้าของห้อง เพียงเดินเข้าไปหาพิมพ์พิชที่จดจ่ออยู่กับไอแพดของตน
“พี่พิชคะ มินเสร็จธุระแล้วเราไปกันเถอะค่ะ”
“เสร็จแล้วเหรอ พี่ก็ทำงานเพลินไปเลย” พิมพ์พิชยกนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่าเกือบจะสี่โมงเย็นแล้วจึงรีบคว้ากระเป๋ามาเก็บของ “มินไปกับพี่แบบนี้คุณแสนเขาจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย” เธอกระซิบถาม สายตาก็เหลือบแลไปยังคนที่นั่งทำงานแบบไม่เงยหน้าขึ้นมาสนใจคนในห้อง
“ไม่หรอกค่ะ มินลาไว้แล้ว”
คนฟังพยักหน้าแล้วสนใจสัมภาระของตนต่อ ยังไม่ทันเก็บของเสร็จจู่ๆ คนที่นั่งอยู่อีกมุมห้องก็ลุกเดินมาหา
“จะไปไหนอีก” คำถามห้วนๆ มาพร้อมสายตาที่เจาะจงชัดเจนว่าถามใคร
มินนภัสนิ่ง บ่งบอกว่าไม่อยากคุยด้วย
“จะทิ้งงานไปอีกแล้วเหรอ ไม่มีความรับผิดชอบ”
ประโยคตำหนิทำเอาคนฟังปรี๊ด มินนภัสหันไปจ้องคนที่สูงกว่าเกือบยี่สิบเซ็นต์เขม็ง กล้าว่าเธอไม่มีความรับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อเธอเพิ่งวิ่งกลับเข้ามารับออดิตให้หยกๆ
“ฉันลาแล้วไงคะ!”
“แต่ผมไม่ได้อนุญาต”
“นี่คุณ…”
“เอ่อ! ขอเวลานอกค่ะ” การปะทะคารมขนาดย่อมที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้พิมพ์พิชไม่อาจนิ่งเฉยจึงลุกขึ้นยืนแทรกกลางบุคคลทั้งสอง “คือ…นี่ก็บ่ายมากแล้ว แถมมินก็เพิ่งไปรับออดิตมา ฉันว่าคุณแสนให้มินกลับไปพักก่อนเวลาก็น่าจะได้นะคะ”
บรรยากาศยังคงตึงเครียด พิมพ์พิชหันมองซ้ายทีขวาที แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเธอเท่าไรนัก
“พี่พิชไม่ต้องไปพูดดีกับเขาหรอกค่ะ ไปกันเถอะ” มินนภัสสะบัดหน้าหนี หันไปคล้องแขนพิมพ์พิชแล้วเดินนำออกไป ทว่าแสนศรันย์กลับคว้าข้อมือเธอไว้
มินนภัสหันขวับมองที่ข้อมือตน ไล่ตามแขนไปจนถึงใบหน้าของคนจับ วินาทีต่อมาเธอก็สะบัดมืออย่างแรงแล้วขยับถอยห่างไปสองสามก้าว สร้างอาณาเขตที่มองไม่เห็นเพื่อกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“มินจะลาออก!” เธอทิ้งท้ายแล้วเดินหนีออกไปจากห้องทันที
“เอ่อ…แล้วพบกันใหม่นะคะคุณแสน” พิมพ์พิชว่าแล้วรีบวิ่งตามมินนภัสไป
แสนศรันย์ยืนมองประตูที่ปิดลงด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เขาเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานแล้วคว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมาพิมพ์ข้อความบางอย่างหาใครบางคน
คนที่บีบให้เขาต้องกลับมา…
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถของพิมพ์พิช มินนภัสก็ไม่พูดไม่จา นั่งกุมข้อมือข้างที่โดนแสนศรันย์จับไว้เงียบๆ ดวงตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
‘พี่เสือ พี่แสน ลงไปส่งมินหน่อยสิคะ’ มินนภัสในวัยสิบสองปีนั่งอยู่ทางเบาะหน้าของรถตู้ หันไปทำตาปริบๆ อ้อนพี่ชายฝาแฝดทั้งสองซึ่งนั่งกันอยู่คนละมุมทางเบาะหลัง
มินนภัสเรียนอยู่โรงเรียนประจำจึงกลับบ้านได้แค่เสาร์อาทิตย์ ปกติเช้าวันจันทร์มารดาจะมาส่งทว่าวันนี้ติดธุระด่วนจึงให้เธอติดรถมากับสรวิศและแสนศรันย์ซึ่งกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
“ไม่อะ พี่ขี้เกียจ’ สรวิศปฏิเสธแทบจะทันที
“พี่แสน...’ มินนภัสหันไปพึ่งพี่ชายอีกคน ส่งสายตาอย่างออดอ้อน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาพร้อมกับประโยคที่แสนอ่อนโยน
‘ครับ เดี๋ยวพี่ลงไปส่ง’
‘พี่แสนใจดีที่สุด ไปค่ะ! มินจะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก มีแต่น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย’
‘อะไรนะ! งั้นพี่ไปด้วย” คนทำหน้าเบื่อโลกเมื่อครู่เด้งตัวลุกขึ้นมาทันที และก่อนที่ใครจะทันได้กล่าวอะไรก็ชิงลงจากรถวิ่งข้ามถนนไปรอฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
สองหนุ่มสาวที่ยังนั่งอยู่บนรถได้แต่หันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะให้แก่ความกระตือรือร้นแบบเหลือรับประทานของสรวิศ
‘มาครับ พี่ช่วยถือของ’
มินนภัสยื่นกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมส่งให้ทันที แล้วเดินเคียงคู่ไปกับคนตัวสูง
‘พี่แสนก็อยากรู้จักเพื่อนมินใช่ไหมล่ะ’ เด็กสาวผมเปียเอียงคอถาม สายตาเต็มไปด้วยความล้อเลียน
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา มีเพียงสายตาที่ทอดมองนิ่งๆ
‘แน้! ทำเป็นเงียบ เพราะมินรู้ทันละสิ’
ทั้งสองเดินมาหยุดตรงทางม้าลาย พอสัญญาณไฟเขียวรูปคนสว่างแสนศรันย์ก็คว้ามือเล็กไปกุมแล้วพาไปยังอีกฝั่งของถนน
มินนภัสไล่มองตามแขนยาวไปจนถึงใบหน้าของเขา หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วเธอก็ได้ยินแสนศรันย์พึมพำบางอย่าง
‘พี่แสนว่าอะไรนะคะ มินได้ยินไม่ถนัด’ มินนภัสถามย้ำเมื่อมาถึงอีกฝั่ง เขาไม่ตอบ เพียงหันมามองแล้วอมยิ้ม
‘เอาไว้เมื่อถึงเวลาพี่จะพูดให้ฟังอีกครั้ง’ มือใหญ่วางลงที่ศีรษะเธอแล้วโยกเบาๆ ‘เข้าโรงเรียนเถอะ พี่ต้องไปแล้ว’
แสนศรันย์หมุนตัวเดินข้ามกลับไปที่รถทันที โดยมีสรวิศวิ่งตามกลับไปพร้อมกับโวยวายที่อีกฝ่ายไม่ยอมเข้าไปด้านในโรงเรียนหญิงล้วนด้วย
มินนภัสยืนนิ่งจนรถขับออกไปก็ยังไม่ขยับ เมื่อกี้...เธอได้ยินที่เขาพูดแม้จะไม่ชัดแต่ว่าเธอได้ยินไม่ผิดแน่นอน
‘พี่มีมินคนเดียวก็พอแล้ว’
...
สัมผัสที่ข้อมือยังคงอุ่นอยู่ แต่เรื่องระหว่างเราในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว มินนภัสหลับตาลงช้าๆ ฝังความทรงจำให้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เพราะพี่แสนคนดีของเธอไม่มีอีกต่อไปแล้ว
‘แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังอยู่ตรงนั้น ในภาพทรงจำสีจางจาง๓’
เสียงเพลงจากแอปชื่อดังซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องเสียงรถยนต์ทำให้พิมพ์พิชต้องเหลือบมองคนข้างๆ ก่อนจะยื่นมือไปปิดด้วยกลัวมันจะเข้ากับบรรยากาศมากเกินไป
“มินจะลาออกจริงๆ เหรอ” เธอไม่อยากให้รุ่นน้องจมอยู่กับตัวเองเพียงลำพังจึงชวนคุย
“ค่ะ มินจะได้ไปทำงานกับพี่พิชไงคะ” คนตกอยู่ในภวังค์หันมามองพร้อมกับริมฝีปากที่พยายามยิ้มอย่างเต็มที่ แต่มองยังไงก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ฝืนธรรมชาติ
“พี่จะยินดีมาก ถ้าเป็นแบบนั้น”
“มินตัดสินใจแล้วค่ะ เหลือแค่ไปเรียนให้คุณแม่ทราบ แต่ท่านคงไม่ห้ามหรอกค่ะ”
พิมพ์พิชไม่เอ่ยอะไรต่อ แม้ลางสังหรณ์ของเธอจะบอกว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเธอสังเกตเห็นสายตาของแสนศรันย์ก่อนที่จะออกมา แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยเย็นชา แต่ยามดวงตาดำขลับใต้แว่นคู่นั้นจ้องมองมินนภัสกลับวูบไหวแปลกๆ
ความคิดเห็น |
---|