6

เรื่องมุ้งมิ้งของเลขาฯ และเอ็มดี


เรื่องมุ้งมิ้งของเลขาฯ และเอ็มดี

 

“คุณมินคะ คุณแสนบอกให้รอค่ะ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน”

ประโยคบอกเล่าที่มาพร้อมกับสายตาอยากรู้อยากเห็นทำให้มินนภัสเร่งมือเก็บของให้เร็วกว่าเดิม เรื่องอะไรเธอจะรอ แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเล็กนั่นก็น่าอายมากพอแล้ว

“ไม่ต้องรีบหรอก ผมรอได้”

มินนภัสสะดุ้งโหยง ไม่รู้เลยว่าเขาแอบมายืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่ตอนไหน

“เปล่ารีบสักหน่อย” ใบหน้าที่ยังคงซีดเซียวค้อนขวับ เขาแปลปฏิกิริยาของเธอผิดไปมากทีเดียว “ฉันจะกลับเองค่ะ”

มินนภัสแจ้งเจตจำนงแล้วเก็บของต่ออีกครู่ก็คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย เห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรก็ตีขลุมว่าเขาเข้าใจ จึงยกมือไหว้แล้วหมุนตัวเดินออกมา

แต่เพียงครู่กระเป๋าสะพายก็โดนดึงออกไปจากมือ

“ผมไปส่ง” นั่นเป็นเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ไม่ต้องการคำตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเขาเดินนำออกไปพร้อมกับกระเป๋าของเธอทันที

มินนภัสสาวเท้ามาดักหน้าไว้

“ฉันกลับเองได้” เธอย้ำคำเดิม ยื่นมือไปหวังคว้ากระเป๋าคืนแต่คนตัวสูงก็หลบหลีกว่องไว พอประตูลิฟต์เปิดก็เดินหนีเข้าไปด้านในเสียดื้อๆ

มินนภัสจำต้องตามเข้าไป แล้วแบมือตรงหน้าเขา “ขอกระเป๋าคืนด้วยค่ะ”

เงียบ…ราวกับว่าเธออยู่ในลิฟต์เพียงลำพัง

มินนภัสรู้สึกโมโหกับพฤติกรรมสงบนิ่งของเขา ไหนจะเรื่องที่เกิดในห้องเล็กอีก

‘คำถามที่ไม่เคยได้คำตอบ’

เธอจึงโถมเข้าหาหวังแย่งของของตนคืนโดยลืมคิดไปว่า ลิฟต์ใช้เวลาเคลื่อนตัวเร็วเพียงใดกับความสูงเพียงสามชั้น

ติ๊ง!

ครืด!

แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาทำให้สองหนุ่มสาวที่อยู่ภายในหันไปยังประตูลิฟต์อย่างพร้อมเพรียง ดวงตาจึงสบประสานกับคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่พอดิบพอดี

วิศวกรสาวฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อ้าปากค้าง ดวงตาหลังกรอบแว่นหนาเบิกกว้าง

คุณมินกับคุณแสนกำลังกอดกันอยู่!

“ขะ…ขอโทษค่ะ” หญิงสาวก้มศีรษะ แล้วขยับไปกดปิดประตูลิฟต์ให้โดยพลัน

มินนภัสค่อยๆ หันกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้น จึงพบว่าใบหน้าของแสนศรันย์อยู่ห่างเพียงคืบแถมสองมือยังตวัดรัดรอบเอวของเธอแน่น ดวงตากลมโตกะพริบติดๆ กันหลายครั้งก่อนจะตั้งสติได้แล้วผลักอกแกร่งเต็มแรง ถอยกรูดไปจนติดผนังอีกฝั่ง ใบหน้าซีดจางเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง

‘วันนี้ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาไปกี่รอบแล้วเนี่ย ยายมิน!’ มินนภัสเม้มปากแน่น หัวใจเต้นตึ้กตั้ก

ฝ่ายคนโดนจู่โจมยังคงไม่มีท่าทีอะไร เพียงขยับไปกดเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้

มินนภัสเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า พอก้าวออกไปก็พบว่าวิศวกรคนเมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

“เอ่อ…คุณฝนคะ เมื่อกี้พวกเราไม่ได้…” เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค คนตัวโตก็เดินมาดันหลังเบาๆ เป็นเชิงเร่งให้เดินไปจากตรงนี้

“ไม่ใช่อย่างที่เห็นนะคะ อย่าเข้าใจผิดนะคะ” แม้ตัวจะห่างออกไป แต่มินนภัสก็ยังพยายามแก้ตัว จนกระทั่งออกมาจากตัวอาคารเธอจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูงด้วยท่าทีเอาเรื่อง

“อะไร”

ดูพูดเข้า เรื่องบานปลายขนาดนี้ยังหลุดมาแค่สองคำ ‘อะไร’

มินนภัสหงุดหงิดจนไม่อยากพูดด้วย จึงคว้ากระเป๋าแล้วเดินไปที่รถของตน ใช้เวลาเพียงครู่รถสัญชาติอังกฤษคันเล็กก็แล่นออกจากลานจอดรถไป

แสนศรันย์ไม่ห้ามปรามดั่งก่อนหน้า มีเพียงมุมปากที่ยกสูงแล้วเดินขึ้นรถขับตามไปห่างๆ

 

“คนบ้า! คนผีทะเล!” มินนภัสทุบพวงมาลัยรถอย่างหงุดหงิด แสนศรันย์ทำให้เธออับอายต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน เท่านั้นไม่พอเขายัง ‘จูบ’ เธออีกด้วย

มือเล็กยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากราวกับความอุ่นชื้นนั้นยังคงอยู่ และก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นเมื่อเธอไม่ได้รังเกียจสัมผัสของเขาแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ปกติไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวนะ! เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักน้ำหนึ่ง แล้วทำไม…” จากความโกรธเริ่มกลายเป็นความสงสัยจนชวนให้ต้องครุ่นคิด เท่าที่จำได้ตอนนั้นทั้งสองก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก น้ำหนึ่งค่อนข้าง

แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าแสนศรันย์ด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่ปฏิเสธยามที่น้ำหนึ่งมาสารภาพความจริงกับเธอแถมทั้งสองยังไปเรียนต่อด้วยกันอีก ทำให้เธอไม่ระแคะระคายอะไรเลย

“หรือจะมีอะไรมากกว่านั้น” เพราะแสนศรันย์ไม่ใช่คนโกหก ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็แค่เลือกที่จะไม่พูด

ความจริงที่เพิ่งระลึกได้ทำให้ก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้ายเต้นแรง ความผิดปกติในหลายๆ เหตุการณ์ประเดประดังเข้ามาในมโนสำนึกเป็นฉากๆ

สรวิศส่งข่าวบอกเธอว่าแสนศรันย์อยู่ที่ออสเตรเลียเพียงลำพังตอนที่ไปเยี่ยมหลังเหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็นปี ไม่มีน้ำหนึ่งหรือผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วย สรวิศยังบอกอีกว่าต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่ด้วยความเจ็บที่ยังสดใหม่ทำให้เธอเลือกที่จะไม่สนใจและตัดเรื่องราวของเขาออกไปจากชีวิต พอมาคิดตอนนี้ถึงรู้สึกได้ว่ามีหลายอย่างที่น่าสงสัยจริงๆ

 

มินนภัสขบคิดเรื่องดังกล่าวมาตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้าน พอลงจากรถก็พบว่ามีรถสัญชาติยุโรปแล่นเข้ามาจอดต่อท้าย แค่เห็นสีรถก็รู้แล้วว่าเป็นใครจึงเดินไปดักหน้าไว้

“ตามมาทำไมคะ”

“ก็บอกแล้วว่าจะมาส่ง”

“ก็บอกว่าไม่ต้อง!” มินนภัสย้ำประโยคเดิมเป็นรอบที่ร้อยแปด คนอะไรฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง “แล้วนั่นจะไปไหน” เธอขยับไปขวางอีก เมื่อแสนศรันย์ทำท่าจะเดินเข้าไปด้านในบ้าน

“ไปสวัสดีน้ามิ่งครับ”

“คุณแม่ไม่อยู่ค่ะ” คนโกหกคำโตเชิดหน้า แม้จะมีความสงสัยในตัวเขาอยู่มากแต่ยังไม่ใช่เวลาที่ดีในการหาคำตอบ ถ้าเกิดให้พบมารดาแล้วเขาหลุดปากเรื่องที่เกิดขึ้นที่บริษัท มารดาอาจตกอกตกใจก็เป็นได้

“อ้าว! ตาแสน ไปไงมาไงลูก”

เสียงของมารดาที่ดังอยู่ทางด้านหลังทำให้มินนภัสหน้าร้อนผ่าว เงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขากำลังกลั้นยิ้มอยู่

แสนศรันย์ยกมือไหว้คนสูงวัยแล้วเดินเบี่ยงเพื่อเข้าไปด้านใน แต่คนตัวเล็กก็เดินมาเบียดอีก

“แล้วนั่นทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่เข้ามาในบ้าน”

“คุณแสนจะกลับแล้วค่ะแม่” มินนภัสตะโกนบอก พร้อมกับจิกตาใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

“ไหนๆ ก็มาแล้วจะรีบกลับทำไมล่ะ อยู่กินมื้อค่ำด้วยกันก่อนสิ วันนี้น้าทำชาบูด้วย กินหลายๆ คนสนุกดี”

“คุณแสนเขา…”

“ครับคุณน้า”

มินนภัสพูดไม่ทันจบประโยคแสนศรันย์ก็แทรกขึ้นมาอีก มารดาของเธอเลยดีใจยกใหญ่

“ดีเลย น้าโทร. ไปชวนแม่เรามาด้วยดีกว่า กินข้าวเย็นที่บ้านคนเดียวเดี๋ยวจะเหงา”

ว่าแล้วมารดาก็เดินเข้าไปด้านใน คงไปโทร. ชวนเพื่อนสนิทให้มาร่วมวงชาบูดั่งปากว่า มินนภัสจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วตวัดมองตัวปัญหาอย่างเอาเรื่อง

“ผมทำอะไรผิด”

นี่ยังไม่รู้ตัวเหรอ!

มินนภัสอยากจะกรีดร้อง ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หน้ามึนนัก ภายนอกดูนิ่งๆ เงียบๆ เหมือนไม่มีพิษมีภัยแต่ความจริงไม่ใช่เลย มองแววตาก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย

เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่พูดอะไรนอกจากจ้องเขม็ง แสนศรันย์จึงทำเมินแล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน

“เดี๋ยวค่ะ!” มินนภัสคว้ามือหนาไว้ “อย่าลืมสัญญานะคะ”

เมื่อขวางไม่ได้สิ่งที่พอจะทำได้คือขอความร่วมมือ เธอไม่อยากให้มารดารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จริงๆ

แสนศรันย์ก้มมองมือแล้วตวัดข้อมือเพื่อจับไว้เสียเอง

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วจูงมือเธอเข้าไปด้านใน

มินนภัสเดินตามอย่างโล่งอก ลืมไปเลยว่ามือของเธอถูกเขากระชับไว้เสียแน่น

 

มื้อค่ำที่บ้านนราวิชญ์เต็มไปด้วยความครื้นเครง คนที่ดูมีความสุขที่สุดก็ไม่พ้นสองแม่ที่สนทนากันอย่างออกรส บางช่วงบางตอนก็มีแสนศรันย์กับมินนภัสเข้าไปร่วมแจมด้วย

“งานเข้าที่เข้าทางหรือยังล่ะตาแสน” มิ่งกมลหยิบผักใส่หม้อต้มไปพลางสนทนากับลูกชายของเพื่อนสนิทไปพลาง

“เริ่มดีขึ้นแล้วครับ วันนี้ผมก็ลงไปดูไลน์ผลิตมา”

“แล้วเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรไหม”

“ก็มีบ้างครับ”

คำตอบของแสนศรันย์ทำให้มินนภัสหูผึ่ง แม้เขาจะรับปากแล้วแต่เธอก็ไม่วายเขม้นมองเป็นเชิงปราม

“ปัญหาอะไรรึ” ดารินเป็นอีกคนที่สนใจ เนื่องจากลดบทบาทจากการเป็นผู้บริหารมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้โชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ เธอจึงรู้ความเคลื่อนไหวของบริษัทเฉพาะตอนมีประชุมใหญ่หรือไม่ก็ยามที่ลูกชายเข้ามาขอคำแนะนำเท่านั้น

“ก็มีทั้งเรื่องพนักงาน คุณภาพเลนส์ รวมถึงเรื่องอาคารสถานที่ด้วยครับ อย่างเรื่องพนักงาน ผมว่ากฎบางข้อหย่อนยานไปหน่อย แต่ผมจะคุยกับนายเสือก่อนแล้วค่อยเอาเข้าที่ประชุมอีกทีครับ”

ดารินพยักหน้าอย่างเข้าใจ แถมยังรู้สึกดีที่พี่น้องปรึกษาหารือกันตลอด

“แล้วมินล่ะลูก มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

คำถามที่จู่ๆ ก็วกมาหาทำให้คนมีชนักติดหลังถึงกับสำลักน้ำซุป แสนศรันย์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามจึงรีบลุกมาช่วยหยิบทิชชูกับน้ำส่งให้

“เป็นไงบ้าง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” มินนภัสตอบกระท่อนกระแท่น สีหน้าแดงก่ำ ดวงตามีน้ำคลอและยังมีอาการไอ

คนสูงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกินครึ่งศตวรรษเห็นพฤติกรรมของคนทั้งสองแล้วก็หันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ ดั่งมองตาก็รู้ใจจึงยกยิ้มแล้วพยักหน้าให้กันน้อยๆ

“กินไม่ระวังเลยนะเรา” มิ่งกมลกระแอมขัดจังวะสองหนุ่มสาว

“ตาแสนกลับมานั่งที่ลูก นี่แม่ลวกหมูไว้ให้” ดารินเองก็เรียกลูกชายกลับมาเมื่ออาการของหลานสาวดีขึ้น ทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก

อย่าเพิ่งกระโตกกระตากจนไก่สองตัวตื่นเป็นดีที่สุด

“ไม่เป็นไรแน่นะ”

“ค่ะ”

เมื่อมินนภัสยืนยันเช่นนั้นแสนศรันย์ก็กลับมานั่งที่ของตน ตักชาบูทานต่อเรื่อยๆ โดยไม่พลาดที่จะเก็บรายละเอียดจากผู้ร่วมโต๊ะทุกคน ดวงตาใต้กรอบแว่นฉายแววพึงพอใจ

แต่ใครเลยจะมองเห็น

 

เมื่ออิ่มจากอาหารคาว ของหวานก็ทยอยกันมาเสิร์ฟ เมนูวันนี้เป็นขนมไทยที่หาได้ทั่วไป แต่พิเศษตรงที่มิ่งกมลบรรจงปรับสูตรให้เป็นของหวานคลีนๆ ตามเจตจำนงของลูกสาวที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

“กล้วยบวชชีนมสดมะพร้าวอ่อนจ้ะ ตาแสนกินได้ไหมลูก”

“ได้ครับคุณน้า ขอบคุณครับ” แสนศรันย์ไม่ปฏิเสธ รับถ้วยมาแล้วตักเข้าปากอย่างว่องไว

“ช่วงนี้ดูเธอขยันทำอาหารคลีนจังเลยนะ จะเอาเมนูไปใส่ในร้านหรือไง” ดารินถามขณะมองลูกชายที่ดูจะเจริญอาหารกว่าทุกวัน เธอกับมิ่งกมลร่วมหุ้นกันเปิดร้านอาหารไทยจึงคิดว่าอีกฝ่ายคิดค้นสูตรเพื่อนำไปเป็นเมนูในร้าน

“เปล่าหรอก ก็ยายมินน่ะสิบ่นว่าอยากลดน้ำหนัก ฉันก็เลยต้องลงมาช่วยเนียมทำ” มิ่งกมลตอบขณะยื่นถ้วยขนมส่งให้

“อย่างนั้นเหรอ ถึงว่า…”

“ถึงว่าอะไร” เจ้าบ้านถามกลับอย่างแปลกใจ

“ก็ตาแสนน่ะสิ กำชับให้แม่บ้านทำแต่เมนูอาหารคลีนไปบริษัท ที่แท้เอาไปกินกับหนูมินนี่เอง”

“แค็กๆ” เจ้าของชื่อที่โดนพาดพิงสำลักขึ้นมาอีกหน

“เอาอีกแล้วลูกคนนี้ ค่อยๆ กินก็ได้ไม่มีใครแย่งหรอก” มิ่งกมลบ่นอย่างอ่อนอกอ่อนใจ สายตามองตามแสนศรันย์ที่ลุกขึ้นมาหยิบทิชชูหยิบน้ำส่งให้บุตรสาวอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ

“ขอโทษค่ะ” มินนภัสกล่าวเสียงเบา ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกประหม่าจนไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้

“ไม่เป็นไรหรอกหนูมิน เราคนกันเองทั้งนั้น ใช่ไหมตาแสน” ดารินโยนหินถามทางไปทางลูกชาย ซึ่งคำตอบสั้นๆ ที่ได้ก็ทำให้สองแม่หน้าบาน

“ครับ”

 

ช่วงเวลามื้อค่ำจบลงหลังจากนั้นพักใหญ่ แสนศรันย์ขับรถพามารดากลับมาถึงบ้านก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนโดยไม่มีการสนทนาอะไรกันเป็นพิเศษ เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเขาก็โทร. หาสรวิศ รออยู่พักใหญ่กว่าปลายสายจะกดรับ

“ทำไมเพิ่งโทร. มาวะ นึกว่าลืมไปแล้ว”

มีเสียงบ่นแทรกออกมาทันทีแทนการทักทายเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

“จะหลับแล้วหรือไง”

“เกือบแล้ว พอดีพายิหวาเข้านอน นี่กะจะตีเนียนนอนรอแม่ยิหวาด้วย แต่นายดันทำเสียเรื่อง”

คำตอบของฝาแฝดทำเอาแสนศรันย์ได้แต่ส่ายหน้า นี่ไปแค่ไม่กี่วันคิดจะเคลมแม่ของลูกเสียแล้ว

“แต่เรื่องฉันเอาไว้ก่อนเถอะ ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับยายมุมิกันแน่”

คำถามยิงตรงทำให้ดวงตาหลังกรอบแว่นทอแสงกล้า สันกรามนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สรวิศฟังโดยย่อ

“ก็น่าจะพวกพนักงานห่ามๆ นั่นแหละ” สรวิศถอนหายใจ บริษัทเลนส์ออฟติกมีพนักงานกว่าพันคน จึงเป็นไปได้ที่การดูแลไม่ทั่วถึง

“ให้ฉันจัดการ…” ยังไม่ทันที่สรวิศจะเอ่ยจบประโยค แสนศรันย์ก็ขัดขึ้น

“ไม่ต้อง! เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

“นายแน่ใจนะ”

“แน่ใจ!” แสนศรันย์ยืนยันหนักแน่น ดีแค่ไหนที่เขากำลังเดินดูงานอยู่ใกล้ๆ พอได้รับรายงานว่าไฟฟ้าดับและมินนภัสอาจติดอยู่ข้างใน คุณตรีซึ่งพกกุญแจโกดังทั้งหมดไว้ตลอดจึงรีบพาไปเปิดประตูหนีไฟซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด และโชคดีเหลือเกินที่มินนภัสอยู่ตรงนั้น

“เรื่องที่เกิดขึ้นกับมินวันนี้ ต้องมีคนรับผิดชอบ!”

 

เช้าวันศุกร์ของบริษัทเลนส์ออฟติกแตกต่างไปจากทุกวัน ข่าวเรื่องที่มินนภัสเป็นลมในตึกคลังสินค้าถูกพูดถึงไปทั่ว และที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์กว่านั้นก็คือคนที่ช่วยมินนภัสออกมาคือแสนศรันย์

“ไม่ใช่แค่นั้นนะแก เขาลือกันว่าในห้องทำงานเอ็มดีมีห้องลับด้วย คุณแสนกับคุณมินหายไปอยู่ในนั้นด้วยกันตลอดทั้งบ่าย”

“แถมมีคนเห็นว่ากอดกันกลมตั้งแต่ออกจากห้องทำงานยันลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างเลย”

พนักงานสองคนในกลุ่มที่นั่งออกันเกือบสิบคนเมาท์มอยอย่างเมามัน

“จริงเหรอ”

“จริงสิ มีคนเห็น”

“ใครล่ะ”

คนเมาท์อย่างออกรสชาติขยับกรอบแว่นพร้อมกับเลียริมฝีปาก

“เอาน่า จะใครก็ช่างเถอะแต่เรื่องจริงชัวร์ ฉันว่าสองคนนั้นต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ”

“ไม่หรอกมั้ง คุณแสนเพิ่งมาทำงานได้ไม่นานเองนะ”

“นั่นสิ จะรวดเร็วอะไรปานนั้น”

“อ้าวๆ ล้อมวงกันแต่เช้าเลย ไม่มีงานมีการทำกันหรือยังไงครับ” เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้หนุ่มสาวเกือบสิบชีวิตแตกฮือ รีบไถเก้าอี้กลับโต๊ะใครโต๊ะมันทันที

“แล้วใครเป็นแฟนใคร”

สีหน้าของบรรดาพนักงานที่จับกลุ่มกันก่อนหน้านี้ดีขึ้น เมื่อหัวหน้าซึ่งอายุห่างกันไม่กี่ปีอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้าง

“ก็เอ็มดีคนใหม่กับคุณมินไงคะคุณเป็ด เขาเมาท์กันให้แซดว่าแอบกุ๊กกิ๊กกัน”

“ฮะ! ใครนะ” คนที่ลาพักร้อนเมื่อวานหูผึ่ง เพียงวันเดียวหญิงสาวที่หมายปองกลับไปมีข่าวกับชายอื่นเสียแล้ว

“คุณมินค่ะ มินนภัสเลขาฯ เอ็มดี” วิศวกรสาวที่มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ ย้ำแบบช้าๆ ชัดๆ

“ไม่จริง!”

“จริงค่ะ คุณเป็ดไม่มาเลยไม่รู้ เมื่อวานคุณมินเป็นลม เอ็มดีเลยอุ้มจากตึกคลังขึ้นไปถึงห้องทำงาน”

“อยู่ด้วยกันสองต่อสองจนเย็นเลยค่ะ”

ประโยคเสริมจากพนักงานอีกคนทำให้คนฟังนิ่วหน้า แต่กระนั้นก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองอยู่ เพราะตอนมินนภัสมาดำรงตำแหน่งเลขาฯ ของสรวิศใหม่ๆ ก็มีข่าวลือแบบนี้กระฉ่อนทั่วบริษัทแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร

“ไม่เห็นแปลก เขาโตมาด้วยกันก็ต้องห่วงใยกันอยู่แล้ว”

พนักงานทุกคนต่างรู้ว่ามินนภัสเป็นบุตรสาวเพื่อนสนิทเจ้าของบริษัท และเติบโตมาพร้อมสรวิศกับแสนศรันย์

“เขากอดกันในลิฟต์ด้วยนะคะ”

“ก็ไม่…ฮะ!”

“ใช่ค่ะ นี่ยายฝนไปได้ยินคนเมาท์มาว่ากอดกันกลมเลย สงสัยจะหมดเรี่ยวหมดแรงเห็นว่าปากเจ่อๆ กันด้วยค่ะ”

วิศวกรชื่อฝนตั้งท่าจะแย้ง ก็ตนไม่เคยบอกเลยว่าดูไร้เรี่ยวแรงหรือปากแดงเจ่อ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางกระวนกระวายของหัวหน้าฝ่ายแล้วจึงเลือกที่จะเงียบ

“มันไม่ชอบมาพากลใช่ไหมล่ะคะ อ้าว! คุณเป็ดจะไปไหนคะ” วิศวกรสาวผู้มากประสบการณ์ตะโกนถาม เมื่อนายตนเดินดุ่มๆ ไปยังประตู

“เอ่อ ผม…”

“คุณเป็ดคงไม่คิดที่จะขึ้นไปหาคุณมินหรอกใช่ไหมคะ”

คำถามจี้ใจดำทำให้คนเป็นหัวหน้าชะงัก เพราะในห้องนี้ต่างรู้ดีว่าเขาตามเทียวไล้เทียวขื่อฝนอยู่ ถึงขั้นทำอีเวนต์ขอเป็นแฟนในงานเลี้ยงของฝ่ายมาแล้ว หากรู้ว่าร้อนรนเพราะเลขาฯ ของเอ็มดีมีหวังไม่มีใครนับหน้าถือตา

“เปล๊า! ผมจะไปดูวิศวกรคนใหม่ไง เห็นว่าจะมารายงานตัววันนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ค่ะ แต่…”

“เดี๋ยวผมไปพามาเอง” เป็ดตัดบทแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว บรรดาหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ในห้องกว่าสิบชีวิตจึงได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วพุ่งความสนใจไปยังน้องใหม่ที่เข้ามาหลังสุดอย่างฝน

อยู่แผนกนี้ถ้าจิตไม่แข็งพอเป็นต้องใจอ่อนกับผู้จัดการหน้าหม้อแทบทุกราย แถมตอนโดนทิ้งก็ลาออกกันหมด ทำให้ขาดแคลนวิศวกรผู้หญิงเป็นระยะๆ

 

แสนศรันย์มาถึงบริษัทในเวลาเกือบเก้าโมง ยังไม่ทันเข้าห้องก็พบใครคนหนึ่งเดินวนไปเวียนมาอยู่บริเวณโต๊ะทำงานของมินนภัส

“คุณเป็ดมีอะไรหรือเปล่าครับ”

คนโดนเรียกสะดุ้ง หันขวับไปทางเจ้าของเสียงด้วยแววตาที่พยายามเป็นมิตรอย่างที่สุด

“สวัสดีครับคุณแสน คือผมมารอพบคุณมินครับ”

“วันนี้มินไม่มาครับ”

“ทำไมไม่มาล่ะครับ”

แสนศรันย์เลิกคิ้ว สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วจ้องมองคู่สนทนานิ่ง

“คือผมมีธุระด่วนน่ะครับ เดี๋ยวผมไลน์หาดีกว่า”

“ถ้าเป็นเรื่องงานคุยกับผมก็ได้ครับ”

คนที่หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาชะงักมือ เสมือนรับรู้ถึงรังสีบางอย่างแผ่ซ่านมาที่ตนจนรู้สึกหายใจไม่ออก

“เชิญด้านในดีกว่าครับ จะได้คุยกันสะดวกๆ”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ไม่มีอะไรด่วน ผมขอตัวนะครับ”

แสนศรันย์มองตามคนที่เดินหนีไปด้วยแววตาที่ไม่ต่างจากเดิม แม้ปฏิกิริยาภายนอกจะดูนิ่งเฉยแต่ภายในใครเลยจะรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอเป็ดพ้นมุมตึกไปเขาจึงหมุนตัวไปยังประตู แต่ไม่ทันได้เปิดเพราะโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของมินนภัสก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน แล้วบริเวณนั้นก็ไม่มีบุคคลอื่นอยู่เขาจึงต้องรับแทน

“สวัสดีฮะคุณมิน อาการเป็นยังไงบ้างครับ ผมเป็น…”

คำถามที่โพล่งขึ้นมาบวกกับลักษณะการพูดทำให้แสนศรันย์รู้ได้ทันทีว่าปลายสายเป็นใคร จึงเอ่ยแทรกก่อนที่จะได้ยินถ้อยคำระคายหู

“มินไม่อยู่ครับ”

“ระ…เหรอฮะ งั้นแค่นี้นะฮะ สวัสดีฮะ”

เมื่อสัญญาณตัดไปเขาจึงวางโทรศัพท์ลง กวาดตามองโต๊ะทำงานของเลขาฯ ประจำตัวนิ่ง…คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

 

มินนภัสนั่งอยู่ในรถตู้คันหรูของบ้านศิลป์ศุภา เมื่อราวชั่วโมงก่อนเธอได้รับข้อความจากแสนศรันย์ระบุว่าให้ไปดูชอปที่มีแผนจะปรับปรุงในไตรมาสหน้าร่วมกับดาริน ระหว่างที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกมารดาของเธอก็แต่งตัวสวยลงมาจากชั้นบนแล้วเอ่ยถามว่า ‘จะไปกันหรือยัง’ แค่นั้นมินนภัสก็ดั่งถูกมัดมือชก จำยอมขึ้นรถตู้ที่แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่หน้าประตูบ้านแต่โดยดี

“ไหนๆ วันนี้ก็มาถึงนี่แล้ว เราไปทำสปาแล้วก็หาคอร์สบำรุงผิวกันสักคอร์สดีไหม”

ห้างสรรพสินค้าที่เป็นจุดมุ่งหมายอยู่กลางเมืองจึงมีทุกสิ่งให้เลือกสรร ดารินที่นานๆ จะเข้าเมืองมาจึงคิดแผนที่จะทำหลังเสร็จธุระ

“ก็ดี ฉันอยากทำอยู่พอดี” มิ่งกมลเห็นด้วย เนื่องจากแถวนี้มีสถานเสริมความงามเลื่องชื่ออยู่เยอะมาก

“ครั้งสุดท้ายที่เราไปกัน ก็ตั้งหลายเดือนแล้วนี่นา”

“ก็ช่วงนี้ที่ร้านยุ่งๆ ฉันเลยไม่ค่อยมีเวลา ดูสิตีนกาเริ่มชัดขึ้นอีกแล้ว” มิ่งกมลบ่นอุบ มือก็ล้วงไปหยิบกระจกขึ้นมาส่องริ้วรอยบนหน้าของตน

“อย่าว่าแต่เธอ หน้าฉันก็ไม่ต่างกันหรอก”

มินนภัสเห็นสองแม่ไม่สนใจตนเลยจึงค่อยๆ ชูมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตแทรกบทสนทนาของสองเพื่อนซี้ที่กำลังออกรส “แต่มินขอตัวนะคะ เสร็จจากที่นี่มินคงต้องกลับบริษัทเลย”

“กลับทำไมลูก ไปด้วยกันนี่แหละ”

“ไม่ดีหรอกค่ะคุณป้า มินว่า…”

“ไม่วงไม่ว่าแล้ว ไปกับป้าก็ถือว่าทำงานเหมือนกัน”

มินนภัสยิ้มแหย “แต่มินกลัวคุณแสนจะงานล้นมือน่ะสิคะ”

อันที่จริงเธออยากบอกตรงๆ ว่ากลัวแสนศรันย์ทำงานไม่ได้มากกว่า เพราะขานั้นหาอะไรไม่เคยเจอ เอะอะก็เรียกให้เธอช่วยและถามนั่นถามนี่อยู่ตลอด

“โอ๊ย! ไม่ต้องไปห่วงหรอกหนูมิน ตาแสนเก่งอยู่แล้ว เอาตัวรอดได้ หนูไปกับป้านี่แหละ นานๆ เราจะได้ออกมาด้วยกันสักที จริงไหมมิ่ง”

“ใช่ ไปกับแม่นี่แหละลูก เราไม่ได้ทำสปาด้วยกันนานแล้วนะ”

สองผู้สูงวัยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยขนาดนี้ มินนภัสจึงไม่สามารถแย้งอะไรได้ จำต้องตอบรับสั้นๆ ว่า ‘ค่ะ’ คำเดียว พอสองเพื่อนซี้เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นเธอจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาส่งข้อความหาเจ้านาย

‘วันนี้ฉันคงต้องอยู่กับคุณป้าและคุณแม่ทั้งวัน ถ้างานติดขัดตรงไหน โทร. หาฉันได้ตลอดนะคะ’

ไม่กี่วินาทีท้ายข้อความที่ส่งไปก็ขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ มินนภัสรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีข้อความใดตอบกลับมาจึงปิดหน้าแชตแล้วแอบถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์

‘เป็นบ้าอะไรอ่านแล้วไม่ตอบ’

 

แสนศรันย์ละสายตาจากข้อความ มุมปากยกขึ้นเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน มิเสียแรงที่เมื่อคืนขอให้สรวิศจัดการเรื่องนี้ให้ เขาจดนิ้วมือลงบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเพื่อตอบข้อความแต่จังหวะนั้นจิตราก็เดินเข้ามาพอดี

“กาแฟค่ะคุณแสน”

“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยเหมือนทุกครั้ง แต่คนสูงวัยก็ยังยืนนิ่งจึงคว่ำหน้าจอสมาร์ตโฟนลงบนโต๊ะ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ป้าไม่เห็นคุณแสนถือถุงข้าวมาเลยจะมาถามว่ามื้อเที่ยงอยากทานอะไรน่ะค่ะ ป้าจะได้หาซื้อมาไว้ให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ พอดีช่วงบ่ายผมจะออกไปข้างนอก”

“จะไปทานกับคุณมินเหรอคะ”

แสนศรันย์เงยหน้าขึ้นมองคนถาม เห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“ป้าขอโทษที่ละลาบละล้วงค่ะ”

คนฟังพยักหน้านิดๆ อย่างไม่ถือสา

“แล้วทำไมวันนี้คุณมินไม่มาล่ะคะ หรือยังไม่สบายอยู่”

แสนศรันย์ถอนหายใจ เมื่อคนที่เพิ่งขอโทษไปเมื่อครู่ดูท่าจะอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีก

“มินติดธุระครับ”

“อย่างนั้นหรอกเหรอคะ” จิตรามีสีหน้าโล่งอก ก่อนจะขยับเข้ามาชิดโต๊ะทำงานของแสนศรันย์

“คุณแสนรู้หรือยังคะว่า คนทั้งบริษัทเขากำลังเมาท์ว่าคุณแสนกับคุณมิน เอ่อ กิ๊กกัน”

บุคคลในข่าวขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีคำถามใดออกมาจากปาก

“มีคนเห็นคุณแสนกับคุณมินกอดกันในลิฟต์ด้วยค่ะ”

จิตราเฝ้าสังเกตสีหน้าของคู่สนทนาแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ จึงคิดเองเออเองว่าเรื่องที่ได้ยินคงเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูล

“ป้าว่าแล้ว พนักงานคงลือมั่วกันไปเอง มันน่าตบปากจริงๆ คนพวกนี้”

แสนศรันย์ยังคงนิ่งเช่นเดิม อีกฝ่ายจึงหมดฟีลเมาท์โดยปริยาย

“คุณแสนมีอะไรจะสั่งป้าหรือเปล่าคะ คือเดี๋ยวป้าจะลงไปข้างล่างหน่อย” คนสูงวัยรู้สึกคันยิบๆ มุมปาก อยากจะหาเพื่อนเมาท์ที่มีส่วนร่วมกับตนมากกว่านี้

“ครับ ผมต้องการช่างสักสองสามคน รบกวนป้าช่วยตามให้หน่อยนะครับ แล้วช่วยโทร. บอกคุณตรีว่าผมขอนัดประชุมตอนสิบโมงครึ่งครับ”

“ได้ค่ะ คุณแสน”

แม้ข่าวลือที่ดังกระฉ่อนบริษัทจะทำให้อารมณ์ดีเพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ว่าไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องน้อยของเขาแน่ แต่พอนึกถึงสิ่งที่ต้องจัดการต่อจากนี้แววตาแสนศรันย์ก็กร้าวขึ้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น