9

แบ็กดีมีชัยไปกว่าครึ่ง


แบ็กดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

 

มินนภัสตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนพิมพ์พิชตลอดทั้งวัน แต่กลับโดนพิมพ์พิชปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าอยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว แถมตอนนี้กรชวัลก็กำลังบินกลับมาหาคาดว่าไม่เกินพรุ่งนี้น่าจะถึง

“งั้นพี่พิชก็ให้มินอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพี่กรจะมาสิคะ” มินนภัสพ้อ ไม่ใช่น้อยอกน้อยใจที่ความสนิทของตนเองน้อยกว่ากรชวัล แต่เพราะไม่อยากนั่งรถไปกับแสนศรันย์ต่างหาก

“มินกลับเถอะ พี่รู้สึกเกร็งมากเลยที่มีผู้ชายแปลกหน้ามานั่งในห้องแบบนี้” พิมพ์พิชลดเสียงลงขณะบุ้ยปากไปทางคนที่ออกไปนั่งชมวิวจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียง

“งั้นมินจะไล่เขากลับไปก่อน”

“พี่ว่ายังไงคุณแสนก็รอกลับพร้อมมิน”

คำพูดนั่นไม่ผิด เพราะเธอเองก็บอกเขาไปหลายครั้งหลายหน ถึงขั้นโทร. ไปฟ้องสรวิศว่าให้ช่วยพูดหน่อยแต่ฝ่ายนั้นกลับเห็นพ้องกับแสนศรันย์เสียอย่างนั้น

‘ให้นายแสนอยู่ด้วยแหละดีแล้ว เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน’

เธอแย้งกลับไปทันทีว่าจะเกิดอะไรได้อย่างไร ในเมื่อที่นี่คือคอนโดของพิมพ์พิชไม่ใช่สนามรบสักหน่อย สรวิศก็แค่หัวเราะแล้วรีบวางสายไปโดยอ้างว่าลูกสาวมาตาม ให้ตายเธอก็ไม่เชื่อว่าอย่างสรวิศจะอยู่กับลูกสาว ถ้าเป็นอีหนูอายุสิบแปดสิบเก้ายังน่าเชื่อเสียกว่า สุดท้ายจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้แสนศรันย์ลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อจนถึงตอนนี้

“แต่มินไม่อยากกลับพร้อมเขา” คนงอแงหน้าง้ำ เธอจะกล้าสู้หน้าเขาได้อย่างไรในเมื่อนอนอยู่ในอ้อมกอดเขาทั้งคืน

“ไปเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว ผมยังมีอะไรต้องทำอีกหลายอย่าง” แม้จะอยู่ในช่วงเฮิร์ตแต่งานก็ยังต้องรับผิดชอบ แพลนที่จะออกคอลเล็กชันใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงต้องดำเนินต่อไป

“พี่พิช…”

พิมพ์พิชได้แต่ส่ายหน้าแล้วดันหลังรุ่นน้องให้ไปนั่งรอที่โซฟา แล้วเดินไปตามแสนศรันย์ที่พอได้ฟังว่ามินนภัสจะกลับแล้วก็เด้งตัวขึ้นมาทันที

“ขอบคุณคุณแสนมากนะคะ และก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อน”

“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” แสนศรันย์ก้มศีรษะยามอีกฝ่ายยกมือไหว้แล้วเดินไปยืนรอที่หน้าประตู

ครู่ใหญ่คนงอแงก็เดินตามมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“เป็นอะไร” แสนศรันย์อดที่จะถามไม่ได้เมื่อมาอยู่ในลิฟต์ตามลำพัง

“เปล่าค่ะ”

เมื่อได้คำตอบแบบนั้นแสนศรันย์ก็ไม่เซ้าซี้ พอลงมาถึงชั้นล่างก็ไปขอกุญแจรถที่ประชาสัมพันธ์แล้วเดินไปยังรถของตนเอง ไม่ถึงสิบนาทีรถคันหรูก็แล่นเข้าสู่การจราจรในเช้าวันเสาร์ที่ค่อนข้างบางตา

แสนศรันย์เห็นมินนภัสนั่งเบียดประตูรถแถมเอาแต่มองเหม่อไปด้านนอกก็อมยิ้ม และเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไปเขาจึงเปิดเพลงจากแอปพลิเคชันชื่อดังซึ่งเชื่อมต่อบลูทูธกับเครื่องเสียงรถแล้วยื่นมือไปเร่งเสียงให้ดังขึ้น

‘ทำไมสายตาเย็นชา เวลาที่เราเจอกัน ทำไมต้องทำอะไรอย่างนั้น ไม่เข้าใจ…’๔

เพลงที่ดังขึ้นทำให้มินนภัสเหลือบมองไปทางคนขับรถ เห็นเขายังนิ่งเธอจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

‘หากวันนั้นฉันทำอะไร ที่ไม่ดีที่ผิดไป อยากจะขอให้ลืมมันไป ได้ไหม กลับมารักกัน…’

มินนภัสเหลือบมองแสนศรันย์อีกหน เห็นเขายังมองตรงไปที่ถนนจึงยื่นมือไปเบาเสียง

‘เพลงอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นเพราะ’ เธอนึกค่อนขอดในใจ

“เบาทำไมครับ ยังไม่ถึงท่อนฮุกเลย”

มินนภัสสะดุ้งเมื่อคนที่เธอคิดว่าไม่ฟังเพลงหันมาถาม

“ไม่อยากฟังค่ะ” คนตอบคอแข็ง น้ำเสียงเหวี่ยงๆ

“งั้นผมเปลี่ยนเพลงให้ ดีกว่านั่งเงียบๆ จริงไหม”

มินนภัสไม่ตอบ ยอมให้เขาเลื่อนเปลี่ยนเพลงแล้วเร่งเสียงให้ดังอีกครั้ง

‘ฉันยังเป็นคนที่รักเธอหมดใจ ฉันยังได้แต่คิดถึงเธอเรื่อยไป ฉันยัง...’๕

ผ่านไปแค่สองท่อนคนที่นั่งฟังอยู่ก็ยื่นมือไปปิดเสียงอีกครั้ง

“ไม่…”

“ไม่เพราะค่ะ” มินนภัสให้เหตุผล แม้ท่าทีจะหงุดหงิดแต่แก้มทั้งสองข้างก็มีสีแดงน้อยๆ

“งั้นอีกเพลง”

“พอค่ะ ไม่อยากฟังแล้ว” มินนภัสร้องห้าม แต่ละเพลงของเขาเล่นเอาเธอทำตัวไม่ถูก

“แต่ถ้านั่งเงียบๆ...”

“เงียบๆ ดีแล้วค่ะ” มินนภัสว่าแล้วก็สะบัดหน้าหนีไปมองวิวด้านนอกเพื่อบดบังสองแก้มที่ร้อนผ่าว

แสนศรันย์ยิ้มเผล่เหล่มองคนแง่งอน

“ถ้าไม่อยากอยู่เงียบๆ”

คำพูดที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาทำให้คนขับรถละสายตาจากท้องถนนแล้วเหลือบมามอง

“ช่วยอธิบายที่คุณบอกว่า…เอ่อ ไม่ได้รักน้ำหนึ่งหน่อยได้ไหมคะ” มินนภัสละสายตาจากสองข้างทางหันมามองคนขับรถ เธอนั่งเรียกกำลังใจอยู่นานกว่าจะกล้าเอ่ยปาก และที่เลือกพูดตอนนี้เพราะเขาจะได้หนีหรือบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีก

“ทำไมถึงพูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่…ไปเรียนต่อกับเธอ”

แสนศรันย์ยังนิ่ง พอได้ยินชื่อน้ำหนึ่งบรรยากาศก็ดูจะตึงเครียดขึ้นสิบระดับ

“ทะเลาะกันเหรอคะ หรือว่า…”

“อย่าเดา”

“ไม่ให้เดาก็อธิบายมาสิคะ!” มินนภัสขึ้นเสียง เธอไม่ชอบเลยที่เขาไม่ยอมเอ่ยอะไรสักอย่าง พอแตะเรื่องน้ำหนึ่งทีไรก็เอาแต่เงียบใส่

“ผมอธิบายแน่…”

พอเขาพูดแบบนั้นมินนภัสก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟัง เธออยากรู้ใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอให้เรื่องทั้งหมดเรียบร้อยก่อน แล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง”

พอไม่ใช่คำตอบที่ต้องการมินนภัสก็กระฟัดกระเฟียด กอดอกแล้วหันหน้าหนีคนเรื่องมากทันที

‘ไม่เล่าก็อย่าเล่า ไม่อยากรู้ก็ได้!’

 

มินนภัสทนอึดอัดอยู่ในรถของแสนศรันย์อยู่เกือบชั่วโมงก็กลับมาถึงบ้าน ขณะเดินเข้าไปด้านในมารดาในชุดเตรียมพร้อมออกจากบ้านก็เดินสวนออกมาพอดี

“อ้าว มาถึงกันแล้วเหรอ” มิ่งกมลถามลูกสาวพร้อมกับรับไหว้คนที่เดินตามหลังมา

“ค่ะ แล้วคุณแม่จะออกไปไหนคะ”

“ไปที่ร้านหน่อยน่ะ”

“อะไรกันคะ มินเพิ่งกลับมาเอง ไม่ถามอะไรเลยเหรอคะ” คนเป็นลูกกระเง้ากระงอด ด้วยเมื่อคืนโทร. มาบอกแค่ว่าจะขอค้างกับพิมพ์พิชโดยไม่บอกรายละเอียดอะไร ซึ่งมารดาก็ไม่ได้เซ้าซี้ มาตอนนี้ยังไม่คิดจะถามไถ่อีก

“ตาแสนโทร. มาเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว”

คนเป็นลูกหันไปถลึงตาใส่คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ชอบทำอะไรเกินหน้าเกินตาตลอด

“แล้วที่แม่ยอมให้ค้างก็เพราะพี่แสนบอกจะค้างด้วยหรอก ไม่งั้นแม่ให้ลุงชมไปรับตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” มิ่งกมลจับจมูกบุตรสาวส่ายไปมาด้วยความมันเขี้ยว

“นี่คุณแม่ไว้ใจเขาเหรอคะ”

“ไว้ใจมากกว่าลูกแหละ”

“คุณแม่คะ!” มินนภัสท้วง นึกน้อยใจที่มารดาไว้ใจคนอื่นมากกว่าตนเอง แล้วอย่างแสนศรันย์น่าไว้ใจตรงไหน อันตรายกว่าใครทั้งหมดด้วยซ้ำ

“มัวแต่คุณแม่คงคุณแม่คะอยู่นั่นแหละ ชวนพี่เขาเข้าไปกินข้าวข้างในก่อนไป๊ ยังไม่ได้กินอะไรกันมาใช่ไหม”

“กินแล้วค่ะยังครับ”

สองเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน มิ่งกมลเลยมองทั้งสองคนสลับไปมา

“ก็กินกาแฟไปแล้วนี่คะ” มินนภัสหันไปเหวี่ยงใส่คนที่ขัดใจเธอมาตั้งแต่เช้า

“นั่นเรียกอาหารเช้าที่ไหนกันยายมิน เรานี่ชักจะเกเรใหญ่แล้ว” มิ่งกมลถอนหายใจ ก่อนจะหันไปเรียกว่าที่ลูกเขยที่หมายตาเข้ามาด้านใน “เข้ามาก่อนตาแสน วันนี้บ้านนู้นไม่ได้ทำอะไรไว้หรอก เพราะน้าให้แม่ดาพาแม่ครัวไปที่ร้าน วันนี้คนขาดน่ะ”

“ครับคุณน้า”

มินนภัสมองคนที่ว่านอนสอนง่ายอย่างเคืองๆ พอเขาเดินมาเธอจึงขวางไว้ ไม่ยอมให้เข้าไปง่ายๆ

“ยายมิน!” มิ่งกมลเอ็ด เมื่อลูกสาวออกตัวขวางเสียเต็มประตู

“คุณแม่อะ!”

“ลูกคนนี้นี่” มิ่งกมลดึงแขนลูกสาวให้ขยับเปิดทาง พอแสนศรันย์เข้าไปด้านในจึงแอบต่อว่าในความใจแคบ

“พี่เขาอุตส่าห์ไปอยู่เป็นเพื่อนมาทั้งคืนทำแบบนี้ได้ยังไงเรานี่”

“มินไม่ได้ขอสักหน่อย”

“ขนาดไม่ได้ขอพี่เขายังมีน้ำใจ เราก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย”

มินนภัสหน้ามุ่ยกว่าเดิม ทำไมเธอต้องโดนมารดาดุเพราะเขาด้วยเนี่ย

“เอาละแม่ต้องไปแล้ว ดูแลพี่เขาดีๆ ด้วยล่ะ เดี๋ยวแม่จะให้ป้าเนียมจับตาดูเราทุกฝีก้าวเลย”

แม้จะไม่พอใจนักแต่มินนภัสก็พยักหน้ารับคำสั่ง ยืนรอส่งจนรถมารดาแล่นหายไปจึงค่อยเดินเข้าไปสมทบ เห็นแม่ครัวของบ้านกำลังต้อนรับขับสู้แขกไม่ได้รับเชิญอย่างขมีขมันก็ถือโอกาสชิ่งหนีเสียดื้อๆ

“คุณมินไม่รับมื้อเช้าก่อนเหรอคะ” เนียมตะโกนถามเมื่อเห็นมินนภัสเดินขึ้นบันไดไป

“ไม่ค่ะ! ทานไม่ลง” เธอตอบพร้อมกับสะบัดหน้าใส่คนที่นั่งกินมื้อเช้าในบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย

“คุณมินคะ คุณมิน!” เนียมทำท่าจะตามขึ้นไป แต่แสนศรันย์ก็ห้ามไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ มินคงเหนื่อย”

“แต่ป้าว่า…”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมกินเสร็จก็จะกลับเลย ขืนนั่งนานใครบางคนจะหิวจนเป็นลมไปเสียก่อน” แสนศรันย์กล่าวยิ้มๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากิน พออิ่มก็ขอตัวกลับไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยอดว่ากับข้าวอร่อยทุกอย่าง

เนียมเดินมาส่งแขกที่หน้าบ้าน พอกลับไปที่โต๊ะเพื่อเก็บจานชามก็พบมินนภัสเดินลงมาพอดี

“มีอะไรกินบ้างคะ มินฮิ้วหิว”

“หิวแล้วทำไมไม่ลงมากินพร้อมคุณแสนล่ะคะ”

มินนภัสยักไหล่ เดินไปที่โต๊ะอาหารแต่พบว่ากับข้าวทุกอย่างเกลี้ยงหมด พอเข้าไปดูในครัวก็ไม่มีอะไรเหลืออีก

“นี่เขาไม่เหลืออะไรไว้ให้มินกินเลยเหรอคะ” คนโมโหหิวกอดอก ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน

“ก็คุณมินบอกไม่หิวป้าเลยเอาออกมาให้คุณแสนกินหมดเลย”

มินนภัสรู้สึกห่อเหี่ยว นั่งปุกลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารภายในครัว

“ป้าเนียมใจร้าย”

คนสูงวัยยิ้มพราย ก่อนจะเฉลยว่าเก็บของโปรดเอาไว้ให้แล้ว “คุณแสนบอกให้ป้าเก็บไว้ เดี๋ยวคุณมินต้องลงมากินแน่ๆ”

คนฟังทำไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดดังกล่าว

“คุณแสนนี่น่ารักนะคะ แถมยังรู้จักคุณมินดีด้วย ป้าว่า…”

มินนภัสกระแอมขัด ไม่อยากฟังคำพูดใดๆ อีก ขืนฟังมากจะพานกินข้าวไม่ลงไปเสียเปล่าๆ

ป้าเนียมได้แต่ส่ายหน้า จัดแจงตั้งจัดโต๊ะเสร็จก็เลี่ยงออกไปจัดการงานอื่นๆ ในบ้านต่อ

มินนภัสก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เธอนั่งละเลียดมื้อเช้าไปอัปเดตข่าวสารในมีถือไป จนไปเจอข่าวเด่นที่ทำให้หัวใจกระตุก

‘คลิปหลุด! การ์ดคลับ @Night ทำร้ายนักท่องเที่ยว!’

แค่พาดหัวก็พานให้ช้อนในมือร่วงหล่น ชื่อคลับนี้ฝังใจเธอมานานเพราะเรื่องเลวร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตลอดเกือบหกปีเกิดขึ้นที่นั่น

‘คลิปหลุดมีด้วยกันสองคลิปนะคะ จากภาพเราจะเห็นว่าการ์ดของคลับ @Night ลากผู้ชายคนนี้ออกไปในมุมมืดแล้วก็รุมทำร้าย ส่วนคลิปที่สองเป็นคลิปภายในสถานีตำรวจ พบว่ามีการทำร้ายร่างกายต่อแต่กลับไม่มีใครห้ามเลยค่ะ’

‘นั่นน่ะสิครับ สองคลิปนี้ทำให้เป็นที่พูดถึงในวงสังคมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ และคลับนี้ก็ตกเป็นข่าวเรื่องการทำร้ายร่างกายหลายครั้งแล้วนะครับ แต่ทุกครั้งเรื่องก็จะค่อยๆ เงียบหายไป ทำให้ประชาชนเริ่มถามถึงกันแล้วว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง แล้วสาเหตุที่แท้จริงของการรุมทำร้ายเหยื่อในครั้งนี้คืออะไร’

‘ใช่ค่ะ งั้นเราลองมาคุยกับสารวัตรของ สน. เจ้าของพื้นที่กันดีกว่านะคะ ขอเชิญพบกับ…’

แสนศรันย์ปิดวิทยุพร้อมกับขับรถเข้าไปจอดภายในบ้าน ดวงตาแกร่งกร้าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

“คิดว่านี่เป็นการต้อนรับการกลับมาก็แล้วกัน!” เพราะมันแค่เริ่มต้น คนที่อยู่เบื้องหลังคลับ @Night ยังต้องชดใช้ให้เขากับมินนภัสอีกเยอะ!

 

เช้าวันจันทร์เริ่มต้นอีกครั้ง มินนภัสมาถึงบริษัทเลนส์ออฟติกก่อนแปดโมงเหมือนเช่นทุกวัน ทว่าสิ่งที่แปลกไปคือสายตาของทุกคนที่เดินผ่านจนเธอต้องก้มมองดูการแต่งตัวว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ชุดของเธอคือกางเกงสแลกส์สีขาวขายาว เสื้อกล้ามสีขาวสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเหลือง ไม่มีส่วนใดที่ไม่เรียบร้อยเลย

แม้จะรู้สึกเสียเซลฟ์แต่ก็เดินต่อ เธอไปที่ห้องครัว เป็นอันดับแรก เห็นจิตรากำลังพิมพ์ข้อความในมือถือจึงกระแอมกระไอส่งสัญญาณ

“ป้าจิตคะ มินฝากข้าวกลางวันด้วยค่ะ”

คนสูงวัยสะดุ้ง รีบเก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋าแล้วหันมาหาด้วยสีหน้าท่าทางมีพิรุธ

“อ้าวคุณมิน มานานแล้วเหรอคะ”

“เพิ่งมาถึงค่ะ ว่าแต่…มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถาม ก็ขณะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ยามมีพนักงานเดินผ่านยังแอบมองแล้วหันไปซุบซิบกันอยู่เลย

“ไม่มี้ ไม่มีค่ะ”

‘เสียงสูงเสียขนาดนั้นยังกล้าปฏิเสธ’ มินนภัสแอบค่อนแคะในใจ

“ไม่มีจริงๆ เหรอคะ”

“ค่ะ” เมื่ออีกฝ่ายยืนยันมินนภัสก็ไม่เซ้าซี้ เธอพยักหน้าแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของตน

จิตราถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันไปคว้ามื้อกลางวันเก็บให้หญิงสาว แต่ก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างติดอยู่ในใจ

“เอ…เราต้องบอกอะไรคุณมินนะ” พยายามคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก จนได้ยินเสียงมินนภัสตะโกนเรียก “จริงสิ!”

แม่บ้านสูงวัยรีบวางมือแล้ววิ่งไปยังหน้าห้องเอ็มดีทันที สิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่คิดนักคือมินนภัสยืนหน้าตาตื่นเพราะโต๊ะทำงานของเธออันตรธานไปแล้ว

“ป้าจิตคะ ทำไมโต๊ะมิน...” มือเล็กชี้ไปยังพื้นที่ว่างเปล่า

“คือว่า…”

“ผมให้คนย้ายเข้าไปไว้ในห้องแล้ว” เป็นคำตอบของคนที่เพิ่งมาถึง แสนศรันย์สีหน้าเรียบเฉยแถมยังเดินเลี่ยงทั้งสองคนเพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน

มินนภัสอ้าปากค้าง พอตั้งสติได้จึงหันไปหาจิตราซึ่งก็ได้แต่พยักหน้ายืนยันว่าสิ่งที่แสนศรันย์พูดคือความจริง เธอจึงรีบตามเข้าไปด้านใน พบโต๊ะทำงานของเธอตั้งตระหง่านอยู่บริเวณปีกขวาของห้อง

“อะไร…ทำไม…” มินนภัสไม่รู้จะถามอะไรก่อน คำที่หลุดออกมาจึงฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“ที่ผมให้คุณเข้ามานั่งข้างใน เพื่อจะได้เรียกใช้งานสะดวกๆ”

เหมือนเป็นคำตอบที่มินนภัสอยากได้ แต่ยังไม่กระจ่างนัก “นั่งข้างนอกก็เรียกได้ค่ะ” เธอมองค้อน ยังคงไม่เห็นด้วยกับความเผด็จการของเขา

“แบบนี้สะดวกกว่า”

“แต่ฉันไม่…”

“อย่าเรื่องมากได้ไหม เรื่องแค่นี้เอง”

มินนภัสตะลึง ก่อนความโกรธจะแล่นขึ้นหน้าเป็นริ้วๆ นี่กล้าว่าเธอเรื่องมากได้อย่างไร ในเมื่อเขาจัดการทุกอย่างโดยพลการ ไม่เคยถามความสมัครใจของเธอสักคำ!

มือเล็กกระชับกระเป๋าแน่น สะบัดหน้าแล้วก้าวฉับๆ ไปที่ประตู วันนี้เธอไร้อารมณ์ทำงานและจะไปยื่นคำขาดกับมารดาว่าขอลาออก!

มินนภัสยื่นมือไปยังไม่ทันถึงลูกบิด จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของมารดาและดาริน

“อ้าวหนูมิน จะไปไหนลูก”

“นั่นสิ จะไปไหนเพิ่งมาถึงไม่ใช่เหรอ”

มินนภัสยืนนิ่งด้วยความตระหนก ก้าวถอยหลังทันทีเมื่อผู้สูงวัยทั้งสองเดินเข้ามา

“คุณแม่…มาที่นี่ทำไมคะ” ถามออกไปอย่างนึกอะไรไม่ทัน ก็ตอนที่ออกจากบ้านมามารดาไม่เห็นบอกสักคำว่าจะมาที่นี่

“มาประชุมประจำไตรมาสจ้ะ แล้วก็เรื่องที่เราไปดูชอปด้วยกันเมื่อวันศุกร์ด้วย”

“ใช่จ้ะ นี่หนูมินไม่รู้เหรอ” ดารินสำทับแล้วมองผ่านไปยังบุตรชายที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง

“น้องน่าจะลืมน่ะครับ”

พอแสนศรันย์เอ่ยแบบนี้ สายตาทั้งสามคู่ก็หันมาทางมินนภัสเป็นจุดเดียว

“เอ่อค่ะ มินคงลืม” สมองของเธอตอนนี้ว่างเปล่าจนคิดอะไรไม่ออกเลยต่างหาก “ก็คุณแม่ไม่เห็นบอกมินเลยนี่คะ”

“ก็แม่ไม่เคยเห็นเราพลาดนี่นา ปกติเวลามีประชุมแม่ก็มากับป้าดาเป็นประจำอยู่แล้ว”

“พอดีช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่องน่ะครับ เชิญคุณแม่กับคุณน้านั่งพักที่โซฟาก่อนดีกว่าครับ” แสนศรันย์เดินไปโอบทั้งสองอย่างเชื้อเชิญ อยากให้เห็นสิ่งที่เขาดำเนินการไปชัดๆ เพื่อหาพวก แล้วก็ไม่ผิดหวัง…

“นี่โต๊ะหนูมินใช่ไหม” ดารินปัดมือบุตรชายออกแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานที่ถูกย้ายเข้ามาเมื่อวันศุกร์

“ครับ” คนเจ้าแผนการตีหน้านิ่ง

“ย้ายเข้ามานั่งข้างในก็ดีนะ เธอว่าไหมมิ่ง” ดารินไม่วายหันไปขอความเห็นจากมารดาของสาวเจ้า ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม

“ก็ดีนะ ยายมินจะได้เลิกบ่นว่าร้อนสักที เห็นบอกนั่งข้างนอกแอร์ไม่ค่อยถึง ใช่ไหมลูก”

คนโดนโยนกลองหน้าบูด ดูท่าแล้วไม่มีใครเข้าข้างเธอสักคน

“มินไม่เคยบ่นสักหน่อย” เธอแก้ต่าง เรื่องอะไรจะยอมรับให้ใครบางคนได้ใจ

“บ่นสิ แม่จำได้ ตอนนั้นแม่ยังอาสามาบอกป้าดาให้ติดแอร์เพิ่มอยู่เลย แต่หนูบอกไม่อยากรบกวนเดี๋ยวซื้อพัดลมตัวเล็กมาตั้งที่โต๊ะก็ได้” มิ่งกมลไม่พูดเปล่า ยังเดินไปสำรวจโต๊ะทำงานบุตรสาว เห็นพัดลมตั้งโต๊ะตัวเล็กๆ ตั้งอยู่ก็ยกขึ้นมาชูให้ทุกคนดู

“นี่ไง ซื้อมาจริงๆ ด้วย”

มินนภัสแทบอยากกลอกตาสามร้อยหกสิบองศา เป็นอันว่าเธอหมดสิทธิ์ออกความเห็นเรื่องโต๊ะทำงานไปโดยปริยาย แต่ยังไม่วายหันไปตวัดค้อนคนเจ้ากี้เจ้าการอย่างอดไม่ได้ ทำไมอะไรๆ ก็ดูเข้าทางเขาไปเสียหมด ราวกับวางแผนเอาไว้อย่างนั้น

 

แม้มินนภัสจะพลาดที่ลืมนัดประชุมแต่เธอก็เตรียมเอกสารที่สำคัญๆ ไว้แล้วอย่างครบถ้วนจึงไม่เสียเวลามากนักในการพรินต์แจกผู้เข้าร่วมประชุมท่านอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะมีวาระเรื่องการเปิดชอปแห่งใหม่แล้ว ยังมีความคืบหน้าของเลนส์ที่อยู่ในขั้นตอนทดลอง ซึ่งผลในตอนนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ ทางแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์คัดเลือกน้ำยาที่มีคุณสมบัติเด่นๆ ไว้แล้วสองสามตัว คงเหลือเพียงการทดลองในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามความต้องการและต้นทุนไม่สูงจนเกินไป ส่วนประเด็นที่เป็นปัญหาที่สุดในตอนนี้คือบริษัทที่อเมริกาซึ่งแสนศรันย์เคยรับผิดชอบกำลังประสบปัญหาขาดผู้นำ

“ผมพอเข้าใจนะครับ ที่นู่นก็มีปัญหาพื้นฐานที่พบเจอทุกวันอยู่แล้ว จะให้รอคำสั่งจากทางนี้ก็ดูจะช้าเกินไป”

เพราะระยะเวลาที่ห่างกันเกือบสิบสองชั่วโมง หลายๆ ครั้งจึงเกิดปัญหาความล่าช้า กว่าทางนี้จะรู้ กว่าจะเรียกประชุม กว่าจะตัดสินใจก็สายเกินไปในการให้คำตอบแก่ลูกค้า

“ให้คุณเสือกลับมาดูแลที่นี่ก็ได้นี่ครับ ส่วนคุณแสนก็ให้กลับไปดูแลที่อเมริกาเหมือนเดิม” เป็ดที่เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วยนำเสนอ

ดารินหันขวับมองผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตาวาววับ ลูกๆ ของนางเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานยังจะเห็นแก่ผลประโยชน์ไล่ให้กลับไปอีก

“นายเสือยังติดธุระสำคัญค่ะ ส่วนนายแสนก็คงไม่กลับไปทำงานที่อเมริกาอีกแล้วค่ะ” เธอเน้นเสียงหนักแน่นแล้วหันมองคนอื่นๆ ในที่ประชุม หากมีใครเสนอแนวคิดแบบนี้ออกมาอีกแม่จะเหวี่ยงไม่ไว้หน้าเลย

“คุณแม่ใจเย็นๆ นะครับ” สรวิศที่ร่วมประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เอ่ยแทรก ด้วยกลัวจะเกิดศึกภายในก่อนจะหาข้อสรุปได้

ดารินตวัดค้อนใส่ลูกชายแล้วเผื่อแผ่ไปยังคนเสนอความคิดเห็นก่อนจะยอมนั่งลงแต่โดยดี สรวิศจึงถามความเห็นของแสนศรันย์

“นายแสนล่ะ คิดว่าไง”

“ยังไงก็ได้ แต่ถ้าจะให้ผมกลับไป…” คนพูดเว้นจังหวะหายใจ แล้วหันมองไปทางเลขาฯ ส่วนตัวที่นั่งอยู่ทางขวามือ “ผมก็คงไปๆ มาๆ คงไม่อยู่ที่นั่นแล้วครับ”

สองแม่แอบมองตากันแล้วยิ้มในหน้า ฝ่ายชายดูออกตัวชัดเจนแต่ฝ่ายหญิงดันเอาแต่นิ่งเฉย ทำไม่รู้สึกรู้สา

“งั้นเอางี้ ช่วงนี้แม่ว่างๆ เดี๋ยวแม่ไปดูให้ก่อน สักเดือนสองเดือนน่าจะได้ แล้วเราจะหาคนที่นู่นมาคอยรับคำสั่ง หรือคัดคนที่นี่ไปคุมค่อยว่ากันอีกที ตกลงไหม” ประมุขใหญ่ของบริษัทออกตัวขนาดนี้ คนในห้องประชุมจึงพากันพยักหน้าเออออ จะมีก็แต่แสนศรันย์กับสรวิศที่ยังเงียบอยู่

“ตกลงไหม ตาเสือ ตาแสน” ดารินต้องเน้นชื่อเพื่อให้ทั้งสองลงมติ

“คุณแม่จะไปคนเดียวเหรอครับ ผมว่าไม่ดีหรอก”

“นั่นน่ะสิครับ อายุก็เยอะแล้วด้วย เป็นลมเป็นแล้งไปแย่แน่” สรวิศสนับสนุนความคิดของพี่ชาย

“น้อยๆ หน่อยตาเสือ แม่ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย ถ้าไม่อยากให้แม่ไปคนเดียวให้แม่พาหนูมินไปด้วยไหมล่ะ” คนเป็นแม่แหวเสียงเขียว

“ไม่ดีครับ” แสนศรันย์ค้านขึ้นมาทันที เล่นเอาคนทั้งห้องหันมองเป็นตาเดียว

“คือผมหมายถึง งานทางนี้ผมยังไม่ค่อยคล่องน่ะครับ ขาดเลขาฯ ไปคงแย่ ถ้างั้นให้ผมไปเองดีกว่า”

ดารินมองบนเมื่อได้ยินคำแก้ตัว ลองมองไปทางผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ ก็ไม่สนิทชิดเชื้อถึงขนาดที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆ ได้ ตัวเลือกสุดท้ายจึงตกอยู่ที่มิ่งกมล

“เธอไปกับฉันไหม”

“ฉันเหรอ…” คนโดนชวนตื่นตัวขึ้นทันที คนแรกที่หันไปถามความคิดเห็นคือลูกสาวซึ่งฝ่ายนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะเป็นเชิงไม่เห็นด้วย “ได้สิ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเลย”

“ดีล!” สองแม่แปะมือกัน แล้วดารินก็หันไปทางลูกชายคนโต “ทีนี้แม่ก็มีเพื่อนไปแล้วโอเคไหม” พอแสนศรันย์พยักหน้าก็หันไปทางสรวิศที่อยู่ในหน้าจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ฝ่ายนั้นก็ยกมือส่งสัญญาณโอเคให้ ประเด็นนี้จึงถือว่ามีทางออกอย่างสวยงาม

 

การประชุมจบลงหลังจากนั้นไม่นาน ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ ทยอยกันเดินออกจากห้องคงเหลือเพียงดาริน มิ่งกมล และลูกๆ ทั้งสอง

“คุณแม่! ทำไมทิ้งมินให้อยู่บ้านคนเดียวล่ะคะ” มินนภัสหน้าง้ำ ขยับไปกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน “ให้มินไปด้วยนะคะ”

“จะไปได้ยังไง เดี๋ยวตาแสนก็ขาดผู้ช่วยพอดี”

มิ่งกมลยกเหตุผลที่ชายหนุ่มบอกขึ้นมาท้วง มินนภัสจึงหน้าบูดบึ้งเข้าไปใหญ่แทนที่มารดาจะเห็นลูกสาวดีกว่ากลับเห็นงานดีกว่าเสียอย่างนั้น

“คุณแม่ไม่กลัวว่ามินอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเป็นอันตรายเหรอคะ”

“จะกลัวอะไรล่ะ ลุงชม ป้าเนียมก็อยู่”

“หรือถ้าหนูมินกลัวมากๆ ก็มาอยู่บ้านป้าหรือจะให้ตาแสนไปอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ จริงไหมตาแสน” ดารินหันไปถามความเห็นบุตรชาย ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบมินนภัสก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“มินอยู่ได้ค่ะคุณป้า”

บรรดาคนฟังพากันกลั้นขำ มินนภัสรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะจึงหยิบเอกสารแล้วเดินหนีออกจากห้องไป

เห็นอากัปกิริยาของบุตรสาวแล้วมิ่งกมลก็ได้แต่ส่ายหน้า ปีนี้มินนภัสจะอายุยี่สิบห้าแล้วแต่ยังเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ อยู่เลย

“ยังไงน้าก็ฝากน้องด้วยนะตาแสน ถ้าดื้อมากน้าอนุญาตให้ตีได้เลย”

“ตีเตออะไรกันเธอ หนูมินโตขนาดนั้นแล้ว” ดารินไม่วายปรามเพื่อนสนิทเพราะกลัวบุตรชายจะบ้าจี้ทำตาม

“ผมไม่ตีหรอกครับ แต่ก็มีวิธีกำราบแบบอื่น” แสนศรันย์กล่าวยิ้มๆ ดวงตามีแววละมุนละไมจนคนเป็นแม่ต้องออกตัวขวาง

“อย่าทำอะไรให้น้องเสียหายด้วยล่ะ แม่กับน้าให้ดูแลเฉยๆ แค่ดูกับแล” ดารินย้ำเสียงหนักแน่น รู้สึกไม่ไว้ใจบุตรชายตงิดๆ ขานี้ทำอะไรไม่โจ่งแจ้งเหมือนสรวิศ กลัวเหลือเกินว่าจะแอบทำอะไรไม่ดีไม่งาม

“ครับคุณแม่” แสนศรันย์รับปาก แต่มือก็แอบไขว้กันอยู่ทางด้านหลัง เขารับปากว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลย แต่แค่ดูกับแลคงไม่ได้แน่ๆ

 

ดารินกับมิ่งกมลอยู่รับประทานมื้อกลางวันที่บริษัทเลนส์ออฟติกจากนั้นจึงพากันไปดูกิจการร้านอาหารแล้วเลยไปชอปปิงกันต่อเพื่อเตรียมตัวบินไปดูงานที่อเมริกาช่วงอาทิตย์หน้า ส่วนแสนศรันย์กับมินนภัสก็เข้าสู่โลกของตัวเองคือการเคลียร์งานในรอบบ่าย

หลังจากหมกมุ่นอยู่กับตัวเลขและรายงานเกือบสองชั่วโมงมินนภัสก็เพิ่งมีโอกาสได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองงาน เธอยกมือบิดขี้เกียจด้วยความเคยชินแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจังหวะที่เอี้ยวตัวมาทางซ้ายแล้วพบกันใครบางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด

เธอรีบลดมือลงในทันใด แม้แสนศรันย์จะไม่มีท่าทีสนใจพฤติกรรมดังกล่าวเลยแต่ก็ไม่ชินอยู่ดีที่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกับเขา แค่คิด…ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก มินนภัสหันซ้ายหันขวาจากนั้นก็แกล้งปิดแฟ้มเสียงดัง นั่งรอว่าจะมีคำบ่นใดลอยตามลมมาหรือไม่แต่ก็ยังเงียบกริบ เธอชำเลืองมองก็เห็นเขายังสนใจกับหน้าจอโน้ตบุ๊กจึงเปลี่ยนวิธีใหม่

มินนภัสเอาแฟ้มงานแฟ้มล่าสุดขึ้นมาเพื่อทำรายงานการประชุมส่งให้ผู้เข้าร่วมประชุม จากที่เคยค่อยๆ ทำก็แกล้งออกแรงคลิกเมาท์และกดแป้นพิมพ์ให้เสียงดังเข้าไว้ ภายในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ‘ทนได้ทนไป’

เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าแสนศรันย์จะหันมาสนใจ กลับเป็นเธอเองที่ทนเมื่อยไม่ไหวจึงหยุดมือแล้วยกขึ้นสะบัดเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ

“ให้ผมเรียกหมอไหมครับ”

มินนภัสหันมองผู้ร่วมห้องตาวาว ด้วยไม่รู้ว่าเขาพยายามจะสื่ออะไร

“ก็น่าจะเจ็บมือ”

มีเสียงปรี๊ดดังขึ้นในหู นี่เธออุตส่าห์ก่อกวนหวังให้เขารำคาญจะได้ไล่เธอกลับไปนั่งที่เดิม ที่ไหนได้นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วยังโดนย้อนเข้าให้อีก มินนภัสสะบัดหน้าหนีไปใส่อารมณ์กับแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กอีกครั้ง ทว่ารอบนี้หน้าจอดันดับพึ่บก่อนเครื่องจะรีบูทตัวเองแล้วขึ้นหน้าจอสีฟ้า

“เฮ้ย!” มินนภัสอุทานเสียงหลง รีบขยับเมาท์และเคาะแป้นพิมพ์เผื่อโน้ตบุ๊กจะกลับมาเหมือนเดิมแต่จนแล้วจดรอดหน้าจอสีฟ้าก็ยังรันตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“เกิดอะไรขึ้น” แสนศรันย์เห็นคนหน้าตาตื่นก็อดไม่ได้ที่จะเดินมาถามไถ่

“งานมิน…หายหมดเลย” คนพูดหน้าเศร้า น้ำเสียงเจือสะอื้นราวกับจะร้องไห้ออกมาจริงๆ

“ไปกดโดนปุ่มไหนเข้าล่ะ”

“ไม่รู้ มิน…ไม่ทันมอง ยังไม่ได้บันทึกเลยด้วย”

“ไหนผมดูสิ”

มินนภัสลุกขึ้นหลีกทางให้คนอาสา ขยับไปยืนซ้อนหลังอย่างลุ้นๆ เห็นเขากดนู่นคลิกนี่ก็มีหน้าจอเล็กๆ ขึ้นมา ตามด้วยหน้าจอสีดำที่มีตัวภาษาอังกฤษเต็มไปหมด เขาพิมพ์คำสั่งอะไรเข้าไปอีกนิดเครื่องจึงรีสตาร์ตใหม่อีกครั้ง

“ไหนลองเปิดไฟล์ที่เพิ่งทำสิ ดูว่าข้อมูลหายไปหรือเปล่า”

มินนภัสโน้มตัวไปเลื่อนเมาท์คลิกเข้าโฟลเดอร์แล้วเปิดไฟล์ดูทันที เห็นทุกอย่างยังครบถ้วนไม่มีตกหล่นก็ใจชื้น

“ครบ…” คำตอบชะงักอยู่ที่ริมฝีปากเมื่อหันหน้าไปแล้วพบว่าใบหน้าของแสนศรันย์อยู่ห่างแค่คืบ

ใกล้…ชนิดสัมผัสได้ถึงลมหายใจเลยทีเดียว

แสนศรันย์มองใบหน้านวลนิ่ง เห็นสองแก้มค่อยๆ ขึ้นสีก็รู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก

“ดูดีหรือยัง หืม” คำหลังยังแกล้งแหย่ด้วยการยื่นหน้าเข้าหา ราวกับอยากฉกฉวยโอกาสนี้ชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่ม แต่ดูเหมือนมินนภัสจะรู้ทันเพราะเธอยืดตัวขึ้นทันใด

“คุณแสนลุกออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” มินนภัสเมินหน้าหนี ทำไม่รู้สึกรู้สากับความใกล้ชิดเมื่อครู่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

“หมดประโยชน์ก็ไล่เชียว แล้วเมื่อกี้ยังแทนตัวเองว่ามินอยู่เลยทำไมเป็นฉันอีกแล้วล่ะ”

“หูฝาดไปหรือเปล่าคะ” มินนภัสเฉไฉ พอคนตัวโตยืนขึ้นเธอจึงจะเข้าไปนั่งที่ แต่เขาก็ขวางไว้

“ไม่พอใจอะไรก็มาลงที่ผม อย่าไปลงที่ข้าวของเดี๋ยวพังขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“มุสา”

คำสั้นๆ ของคนตัวสูงมาพร้อมกับการกระชับพื้นที่เข้ามาใกล้อีกนิด มินนภัสไม่คุ้นชินกับปฏิกิริยานี้ของเขาเลยจึงยิ่งทำตัวเงอะงะ ดีที่เขายังเว้นระยะให้เธอพอหายใจบ้าง แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนในบรรยากาศ แต่ก็มีเพียงสายตาเท่านั้นที่จ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง

“อะไรคะ”

“วันนี้เป็นอะไร ทำไมทำตัวเกเรจัง”

มินนภัสกอดอกแล้วเชิดหน้ามองเขา “แล้วคุณแสนเป็นอะไรล่ะคะ ทำไมพูดมากจัง”

คำพูดที่สวนกลับมาทันทีทำให้มุมปากของเอ็มดีหนุ่มยกขึ้นสูง ได้ต่อปากต่อคำและใกล้ชิดกันแบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย มิเสียแรงที่สั่งให้ย้ายโต๊ะเข้ามาจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น