๔
พิสูจน์ว่าพูดจริง
“คนโรคจิต!”
โรคจิตเกินไปแล้ว กานมณีกรีดร้องและดันตัวเองออกมาจากใต้เตียงอย่างหมดความอดทน สองมือพุ่งเข้าไปคว้าชุดชั้นในอย่างคนบ้าคลั่งที่ไม่กระดากต่อสภาพเปลือยเปล่าของแพทย์เจ้าของกระโจมสักนิดเดียว แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบและยกมือขึ้นโบกเฉกเช่นมิตรสหาย
“สวัสดี กานมณี”
เกล้าเศียรก็ไม่มีความกระดากแม้แต่น้อยเช่นกัน ทั้งๆ ที่ตัวเองไร้เสื้อผ้าติดกาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่มีอาการตกใจเช่นที่กานมณีกำลังเป็น เธอปากอ้า ตาค้าง หลังจากเห็นใบหน้าเขาชัดๆ นั่นเพราะเขารู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามีผู้บุกรุกยามวิกาลและคนคนนั้นคือใคร ห้องน้ำสังกะสีที่มีรอยแยกอยู่ไม่น้อยทำให้เขาเห็นตั้งแต่เธอเดินมาท่าทางละล้าละลังหน้ากระโจม ที่ทำไปทั้งหมดก็เพียงเพื่อจับขโมย
‘หมอเกล้า!’
เป็นเขาได้ยังไง
แล้ว…
“คะ...คุณรู้อยู่แล้วว่าฉันอยู่ในนี้?”
กานมณีพยายามอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ แต่ใจนั้นหล่นไปกองอยู่แทบเท้ายังไม่สามารถเก็บขึ้นมาได้ จึงรู้สึกวูบโหวงในอกและโมโหพุ่งปรี๊ดจนตัวสั่น เมื่อตระหนักได้ว่าการกระทำทุกอย่างก่อนหน้านี้ เขาจงใจทำเพื่อล่อเธอให้ออกมา สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่นเสียจนนิ้วทั้งสิบจิกลึกลงบนฝ่ามือ
“ผมไม่ชอบคนขี้ขลาด คุณก็รู้นี่”
เกล้าเศียรไหวไหล่ รวบชุดชั้นในด้วยมือเดียว มืออีกข้างคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันกายท่อนล่างลวกๆ ก่อนจะเอียงตัวพิงหัวไหล่กับประตูห้องน้ำ จ้องมองคนที่ถูกตราหน้าว่าขี้ขลาดด้วยสายตาแน่นิ่ง
“คนหน้าไม่อาย”
หากรู้สักนิดว่าเป็นเขา จ้างให้เธอก็ไม่มาเหยียบที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ชาตินี้จะไม่โคจรมาพบหน้ากันอีกตลอดชีวิต นั่นคือข้อตกลงของการชดใช้ที่เธอได้ใช้คืนเขาไปหมดแล้ว
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเธอ แต่ยังล่อให้ออกมาเจอในสภาพที่…
“ฉันแค่มาเอาของ กระโจมนี้เคยเป็นของฉัน ขอของของฉันคืนด้วย” ฝ่ามือที่กำกันแน่นแบออกขอชุดชั้นในที่ยังอยู่ในมือเขาคืน บอกตัวเองให้ใจเย็น หากไม่ต้องการเสวนากับคนคนนี้อีกต่อไป
“ผมก็ไม่ได้อยากจะเก็บไว้ แต่จะพิสูจน์ได้ยังไงว่าของสิ่งนี้เป็นของคุณ” เกล้าเศียรยกขึ้นให้อยู่ในระดับใบหน้า สีหน้าซีเรียสจริงจัง “ต้องขอโทษด้วยนะ คนประวัติไม่ดี ผมต้องระแวงไว้ก่อน”
ประวัติไม่ดี!
ระแวงไว้ก่อน!
ระแวงบ้านป๊าเขาสิ! เห็นๆ อยู่ว่ามีแค่เธอที่อาศัยกระโจมนี้ ยังจะมีสิทธิ์เป็นของคนอื่นอีกหรือไง
กานมณีที่ตั้งใจว่าจะใจเย็นโกรธจนควันออกหู
“ผมลองพิศดูแล้วไม่มีชื่อ คุณพอจะมีอะไรยืนยันได้ล่ะ” พูดแล้วก็พิศดูอีกทีชัดๆ ช้าๆ
คนบ้ากาม ชุดชั้นในนะ ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า!
เธอกำลังจะไม่ไหวกับเขาแล้ว…
“ต้องการการยืนยันใช่ไหม” ก่อนที่เธอจะสติหลุดและจัดการบีบคอเขา กานมณีทวนความต้องการของเขาเสียงกร้าว
“ใช่ มันควรต้องเป็นอย่างนั้น”
“ได้ งั้นฉันจะใส่ให้ดู” ไม่ได้ประชด แต่เธอจะทำจริงๆ ในเมื่อชื่อไม่มีปัก หลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันอื่นๆ ก็ไม่มี มีแต่ขนาดหน้าอกเธอเท่านั้นที่พอจะยืนยันได้
สำหรับเขาเธอไม่เคยเป็นผู้หญิง เธอเป็นเพียงคนเลวที่ทำลายชีวิตผู้หญิงที่เขารัก ต่อให้เธอแก้ผ้าก็ไม่มีคุณค่าอะไรให้เขากระดากอาย แต่เขาจะหาว่าเสียสายตาหรือไม่ นั่นก็ดี จะได้คืนชุดชั้นในกลับมาเสียที เดิมทีไม่เสียดายอยู่แล้ว แต่มันไม่สมควรอยู่ในมือของผู้ชายคนนี้
ดูซิว่า...ยังจะมีหน้าหาเรื่องอะไรต่อได้อีก
“กล้าก็เอาสิ”
เขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญกว่าผู้หญิงทั่วไป ถึงได้สร้างเรื่องโกหกทำลายคนอื่นได้หน้าตาเฉย และเรือนร่างผู้หญิงที่ไม่ใช่คนที่รักไม่เคยทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว เว้นแต่...
นั่นเพราะเขาเมาต่างหาก จึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว!
“ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ก็แค่ตอไม้ทื่อๆ ตอหนึ่งเท่านั้น” เกล้าเศียรเป็นยิ่งกว่าตอไม้ทื่อๆ สำหรับเธอเสียอีก คนอย่างเขาอาจจะต้องเรียกว่าก้อนหิน
“ดี งั้นก็พิสูจน์สิ” ชุดชั้นในถูกโยนไปหาผู้กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของ
กานมณีรับมันด้วยสองมือ ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่ใช่อาการของความขวยเขิน แต่โกรธจนจุกอกต่างหาก
“ดูให้มันชัดๆ อย่าให้คลาดสายตา จะได้ไม่หาว่าคนอื่นเขาสมอ้าง” มือไม้ไม่สั่นแต่หัวใจสั่นไหวรุนแรง ความเจ็บปวดชนิดหนึ่งกัดกินจนเลือดในกายเดือดพล่าน
“ถึงจะเสียสายตา แต่ผมจะดูชัดๆ เพื่อจับโกหกคนลื่นเป็นปลาไหล”
กานมณีวางชุดชั้นในที่รับมาจากเขาลงบนเตียง แล้วลงมือถอดเสื้อยืดออกทางศีรษะ เผยให้เห็นดอกบัวคู่เล็กที่อาจถูกปรามาสว่าไข่ดาว แต่แท้จริงคือผลท้อหวานละมุนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้บราเซียร์สีชมพูอ่อน ราวกับผลท้อล้ำค่าในแพ็กเกจจิงอันหรูหราส่งตรงมาจากต่างประเทศ ยั่วน้ำลายยิ่งกว่าลูกโป่งน้ำที่ล้นจนแทบปริแตก
“แน่จริงก็อย่าหันไป”
เกล้าเศียรท้วงทันทีที่อีกฝ่ายหันหลังให้ขณะปลดบราเซียร์บนตัวออก เพื่อจะสวมตัวใหม่เป็นการพิสูจน์
“ฉันแค่หันไปหยิบเสื้อ”
กานมณีหันกลับมาสู้สายตาอย่างแน่วแน่ ชูเสื้อชั้นในสีดำที่หันไปหยิบมาขึ้นสูง เธอตัดสินใจจะทำไม่มีคำว่าลังเล
“ผมแค่อยากเห็นความจริง”
“งั้นก็ดูให้ชัดๆ”
กานมณีดึงเสื้อชั้นในสีชมพูซึ่งถูกปลดตะขอแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสวมเสื้อชั้นในสีดำตัวใหม่เข้าไปแทน พริบตาเดียวผลท้อชมพูระเรื่อก็ถูกแพ็กเกจจิงห่อหุ้มอีกครั้ง
“ผมเห็นไม่ชัด”
“นั่นก็เรื่องของคุณ”
กานมณีหยิบเสื้อยืดมาสวมและคว้าของที่เหลือเดินออกจากกระโจม เธอได้พิสูจน์แล้ว เขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ใจ ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องให้ความสนใจอีก
“เดี๋ยว!” เกล้าเศียรตามไปคว้าข้อมือนุ่มนิ่มไว้ รู้สึกกระตุกวูบหนึ่งในหัวใจ เมื่อรู้สึกได้ว่าข้อมือนี้เล็กลงกว่าเดิมหลายส่วน “สามปีมานี้ไม่กินข้าวเลยหรือไง”
“นั่นก็เรื่องของกระเพาะฉัน” เธอบิดข้อมือ ไม่แยแสสายตาตำหนิอย่างไม่ปิดบังของเขา
“อวดดี”
“ไม่มีดีให้อวดหรอกค่ะ แค่พูดความจริง”
“ความจริงที่มีแต่ความโอหัง หนึ่งปีนั้นไม่สอนให้ปรับปรุงตัวบ้างเลยหรือยังไง”
“สอนให้รู้แค่ว่ากรรมมันมีจริง และฉันก็ชดใช้มันไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันไม่ใช่นักโทษที่ต้องชดใช้อะไรให้ใครอีก โดยเฉพาะคุณ” เธอรู้ดีว่าความดีไม่อาจชดเชยความผิด การชดใช้ไม่อาจชดเชยความสูญเสีย แต่กรรมทั้งหมดนั้นเธอต้องชดใช้ให้แก่ครอบครัวแก้วกินรี ไม่ใช่เขา
“ผมก็ไม่ได้เรียกร้อง” หนึ่งปีนั้นจบก็ถือว่าจบ เขาก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะให้เธอชดใช้อะไรแก่เขาอีก
“งั้นก็ปล่อยค่ะ ฉันมีงานต้องไปทำต่อ”
“นอนค้างกระโจมตาเนซาน่ะเหรอ” เกล้าเศียรไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าประโยคนี้ เขาส่งมันลอดไรฟันออกมา
“ค่ะ นั่นคืองานของฉัน”
สายตาของเธอที่ฉายคำถาม...แล้วทำไม ทำให้เกล้าเศียรหงุดหงิดจนอยากจิ้มตาคู่นั้นให้บอด
“คุณยังเอาไปไม่ได้ ชิ้นล่างยังไม่พิสูจน์” เขาฉวยผ้าชิ้นน้อยที่เธอถือมันไว้ในมือมากำไว้แน่น
“นี่คุณ!”
“ถ้าอยากเอามันไปด้วย ก็พิสูจน์มาก่อนว่ามันเป็นของคุณ”
“คุณมันบ้า” ที่เธอตัดสินใจทำก่อนหน้าก็เพราะคนอย่างเขา ถ้าไม่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่มีทางจบ แต่ตอนนี้...เธอไม่เสียเวลาเล่นเกมบ้าๆ อะไรของเขาอีกแน่
“งั้นก็ทิ้งมันไว้นี่” เขาโยนผ้าชิ้นน้อยกลับไปบนเตียง
กานมณีเบิกตากว้าง ถลาตามกลับไป แต่กลับถูกพันธนาการฝ่ามือกระตุกให้เธอเซเข้าไปในอ้อมกอดเขาแทน
“อย่าขี้โกง ถ้าจะเอาไปก็พิสูจน์” เสียงเหี้ยมดังขึ้นชิดใบหู
“ฉันไม่ทำ”
“งั้นก็ออกไป” เขาผลักเธอออกและยืนขวางเตียงด้วยการกางสองแขนแข็งแกร่งทั้งสองข้าง
“แต่มันเป็นของฉัน คุณจะเอาไว้ที่นี่ทำไม”
“นั่นก็เรื่องของผม มันอยู่ในกระโจมที่พักของผม ผมยังหาเจ้าของไม่ได้ มันก็ถือว่าเป็นของของผม”
“โรคจิต”
“ผมจะยอมรับแบบนั้นเมื่อจัดการดมมันแล้ว แต่ตอนนี้ ออกไปให้พ้นจากกระโจมผมได้แล้ว ผมไม่ไว้ใจคนประวัติไม่ดี”
“งั้นเรามาตกลงกันก่อน”
เธอไม่คิดว่าเขาจะดมมันจริงๆ แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้น อยากจะบ้า...
“ว่ามา” สองมือกอดอก ใบหน้าเชิด สายตาแน่นิ่ง
กานมณีอยากข่วนสักทีแรงๆ เธอเม้มปากแล้วบอกตนเองว่า อีกนิด...
“มาใกล้ๆ หน่อยสิ”
“ถ้าคิดจะทำร้ายร่างกายผมละก็...มันไม่ โอ๊ย...”
“มันง่ายกว่าที่คิด” กานมณีดึงเข่ากลับเข้ามาหลังจากส่งมันไปทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นผลสำเร็จ “เป็นผู้ชายอย่าคิดแต่ใช้กำลัง ตลอดชีวิตของฉันพบผู้ชายแบบนั้นมามาก ฉันรู้ว่าต้องจัดการไอ้พวกนั้นยังไง”
ตั้งแต่เด็ก บิดาเมามาก็ทำร้ายร่างกายเธอเป็นเครื่องระบายอารมณ์ แรกๆ เธอยังเด็กก็ได้แต่ยอม แต่เมื่อเธอโตขึ้นก็ค้นพบว่า หากไม่สู้ คนที่จะตายก็มีแต่เธอ เพราะไม่มีใครสักคนจะยื่นมือเข้ามาช่วยหรือวุ่นวายเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะเด็กที่บิดามารดาเป็นผู้กระทำเองเช่นเธอ
“เป็นผู้หญิงก็หัดอ่อนลงบ้าง ไม่ใช่ว่าจะสามารถต่อกรกับผู้ชายที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าได้ทุกครั้ง อย่างเช่นครั้งนี้...”
เกล้าเศียรยืดตัวตรงแล้วรั้งเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง แทนที่จะทรุดลงกับพื้นอย่างคนที่ถูกกระแทกจุดยุทธศาสตร์ควรเป็น กานมณีคงลืมไปแล้วว่าเวลาหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกัน เขาได้เรียนรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง ต่อสู้กับเธอมานับครั้งไม่ถ้วน ลูกไม้เดิมๆ หรือลูกเล่นพลิกแพลงที่เธอใช้กับเขา มันไม่ได้ผลอีกต่อไป
“ปล่อย!”
“อยากได้คืนก็พิสูจน์ซะ หรือถ้ามันยากนัก เดี๋ยวผมจะช่วยพิสูจน์ให้”
“ไม่มีทาง”
“จำได้ไหมกานมณี วันสุดท้ายที่เราจะจากกัน ผมพูดอะไรกับคุณ”
“ไม่รู้ ฉันไม่เคยจำอะไรที่เกี่ยวกับคุณ”
“แต่ผมจำมันได้ขึ้นใจ ถ้าคุณคิดจะทำผิดอีก ผมจะกลับไปลากคุณมาลงทัณฑ์และครั้งนี้จะไม่มีกำหนดเวลา นั่นหมายความว่าอาจจะทั้งชีวิตของคุณที่ต้องชดใช้”
“เพื่ออะไร ต่อให้คุณลงทัณฑ์ฉันไปทั้งชาติ แก้วกินรีเขาก็ไม่หันมาแลคุณแม้แต่เสี้ยวสายตาหรอก ไอ้เจ้าทื่อ!”
แก้วกินรีมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีสามีที่รัก มีลูกที่น่ารักเพิ่มอีกสองคน และตอนนี้กลายเป็นคุณแม่ลูกสาม ที่อย่าว่าแต่เสี้ยวสายตาเลย แค่แวบเดียวที่จะนึกถึงเขายังไม่มีเลย ถึงเธอจะไม่เคยกลับไปพบครอบครัวนั้นอีก แต่เธอก็ติดตามเรื่องราวของพวกเขาและดีใจกับความรักของพวกเขาจากใจจริง
“ผมก็ไม่เคยทำให้กินรีหันมามองผม” สำหรับแก้วกินรี เขาปล่อยเธอไปตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาลแล้ว เขาไม่เคยคิดจะทำให้เธอหันกลับมาอีก
“งั้นจะทำไปทำไม หรือว่าอยากให้ฉันอยู่ด้วยจนตัวสั่น หา!” กานมณีตะคอกออกไปอย่างกังขา
“มั้ง”
เกล้าเศียรยิ้มเย็นตอบหน้าตาย ก่อนจะทำบางอย่างที่กานมณีเบิกตาโพลง…
“ฮื้อ...”
ไอ้เจ้าทื่อบ้า เขาบังอาจผลักเธอลงบนเตียงและยังจะ...จูบเธออีก!
กานมณีอยากตีเข่าให้จุก อยากกัดให้ลิ้นขาด แต่ทำไม่ได้สักอย่าง เพราะร่างสูงบนตัวจับทางเธอได้ และปิดทุกหนทางหนีจนเธอดิ้นแทบไม่ได้ ราวกับจะกักขังเธอไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของเตียงไม้ไผ่นี้เสียเลย
เขาทำแบบนี้ไปทำไม
เกล้าเศียรก็ไม่รู้เหมือนกัน แรกๆ จุดประสงค์เขาชัดเจนมาตลอด แต่หลังๆ มันตอบยากจริงๆ
คนบังอาจจูบหน้าตาเฉยดูดริมฝีปากนุ่มแรงๆ ก่อนจะช่วงชิงจังหวะที่เธอเปิดปากจะร้องแทรกลิ้นร้อนเข้าไปครอบครองความอ่อนนุ่ม หอมหวาน และร้อนรุ่ม เขาทำมันอย่างรวดเร็วและตักตวงราวกับว่าร่างกายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนที่จะทำอย่างไรก็ได้ เนิ่นนาน...เขาจึงได้ยอมปล่อยจูบนั้นแบบไม่เต็มใจนัก
“จะพิสูจน์ หรือให้ผมพิสูจน์”
ใบหน้าห่างกันแค่คืบ ลมหายใจเป่ารดปลายจมูก มือข้างหนึ่งพันธนาการมือเล็กกว่าทั้งสองข้างเหนือศีรษะ อีกข้างทาบลงบนสะโพกกลมกลึง หากออกแรงอีกนิดเดียวส่วนที่อ่อนนุ่มก็จะสัมผัสส่วนแข็งขึงของบุรุษเพศที่ตอนนี้ล่อนจ้อนจากผ้าเช็ดตัวที่หล่นอยู่ข้างเตียง
บ้าที่สุด!
“พะ...พิสูจน์” กานมณีเกร็งสะโพกจนตะคริวจะกินไปครึ่งตัว เธอเข้าใจหลักการเมื่อตกเป็นรองให้ถอยและกำลังใช้มันกับเจ้าทื่อที่คร่อมอยู่ด้านบน “คร่อมไว้แบบนี้ ฉันจะพิสูจน์ยังไง”
“นั่นก็เรื่องของคุณ” ความหมายคือเขาจะอยู่แบบนี้ไม่ขยับ รู้สึกชอบใจกับใบหน้าโกรธจัดจนกลายเป็นสีแดงก่ำของเธออย่างมากด้วย
ให้ตาย!
กานมณีสบถจนใจเจ็บ แต่ฝืนยิ้มและเค้นความอ่อนหวานที่หลบหนีไปซ่อนอยู่ในซอกหลืบอันลึกสุดใจออกมาใช้
“แต่คร่อมไว้แบบนี้คุณจะไม่เห็นนะ ฉันพิสูจน์ไปก็เสียเปล่า”
“งั้นก็ให้ผมช่วยพิสูจน์สิ รับรองผมจะเห็นชัดๆ ไม่เสียเปล่าแน่นอน”
เกล้าเศียรเลิกคิ้วกับทางออกที่คิดออกมา มันเข้าท่าจนสีตาเขาเปลี่ยน ลมหายใจก็หนักหน่วงขึ้น ผิดกับคนฟังที่ต่อต้านวิธีการนั้นจนใจสะท้าน
เธอต้องบ้าแน่ ถ้าเห็นพ้องต้องกันกับวิธีของเขา พอที!
“เดี๋ยวก่อน...ถ้าจะใช้วิธีนั้น ผมต้องเตรียมน้ำเกลือไว้ล้างตา” แววตากานมณีตอนนี้บอกว่าเธอสู้ขาดใจแล้ว ถ้าเขาไม่ถอยอาจมีเจ็บตัว เกล้าเศียรอาศัยว่ารู้จักอีกฝ่ายดีดีดตัวลุกขึ้นเก็บผ้าเช็ดตัวมาพันเอว
“ผมจะเอาน้ำเกลือได้จากไหน”
ไอ้หมอบ้า
ปากที่อ้าเตรียมจะงับจมูกเขาให้จมเขี้ยวชะงักค้าง กานมณีรู้สึกเหมือนแหที่ถูกเหวี่ยงออกไปสุดแรงและกระตุกกลับทันทีทันใดไม่ให้โอกาสปลาได้ติดแห เหมือนน้ำในหม้อที่เดือดจัดแล้วปิดฝาอัดแรงดัน
“เอาไปดมให้ตายไปเลย!”
เธอลุกขึ้นผลักอกกว้างสุดแรงและวิ่งหนีออกจากกระโจมทันที แค่ชั้นในชิ้นเดียวเธอจะถือว่าโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว ส่วนสุนัขมันจะมาคาบไปฉีกทึ้งเล่นหรือไม่ก็แล้วแต่สุนัข เธอไม่ขอรับรู้อีก ไม่รับรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนคนนี้อีกแล้ว
“ให้แล้วให้เลย อย่ามาทวงคืนทีหลังก็แล้วกัน”
เกล้าเศียรตะโกนไล่หลัง รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหลายขุม หลังจากได้ทำโทษแม่คนประวัติไม่ดี ผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะทำให้เจ็บปวดเจียนตายเพื่อชดเชยความเจ็บปวดของผู้หญิงที่เขารัก แต่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ที่การกระทำให้เธอเจ็บปวดของเขา ค่อยๆ เปลี่ยนจากทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดแรงๆ ขยี้ความเลวร้ายสารพัดที่เธอทำโดยไม่เลือกเวลาสถานที่ ใช้งานหนักๆ เพื่อทรมานร่างกายที่เพิ่งข้ามผ่านความเป็นความตาย เป็นการเอาเปรียบร่างกายด้วยการสัมผัสทั้งปากและฝ่ามือให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจแทน เหมือนเขาจะค้นพบหนทางสร้างความเจ็บปวดให้เธอและเสพติดมันไปแล้ว สามปีมานี้จึงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปตลอดเวลา ทั้งๆ ที่แค่ปล่อยคนไม่ดีให้เป็นอิสระไปเพียงคนเดียว
ความคิดเห็น |
---|