๕
ปาปาที่แปลว่าพ่อ
“คุณหมอหนีอะไรมาเหรอครับ”
“ว้าย!”
กานมณีกระโดดตัวลอย ก่อนจะยกทั้งสองมือฟาดไปเบื้องหน้า เมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มาไม่มีปี่มีขลุ่ยเป็นใคร
“ปุคา!”
“กระผมเองครับ ไม่ใช่ผี” ผู้ติดตามรีบแก้ต่างอย่างร้อนรน ใบหน้าชายหนุ่มดำคล้ำในความมืด แม้จะไม่มีใครเห็น
“ใจหายใจคว่ำหมด มาหาฉันดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรคะ” เธอยังจำได้แม่นว่าตาเนซาให้เธอหยุดพักในคืนนี้ และให้ตาย... หัวใจเธอแทบจะวาย
“อีกแล้วครับ”
ปุคาไม่อ้อมค้อม แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยออกมาตามตรง เพราะส่งผลโดยตรงกับภาพลักษณ์เจ้าเหนือหัวของตน
“อีกแล้ว อีกแล้วอะไร” เธอทวนซ้ำ เพราะสมองยังทำงานไม่เต็มที่หลังจากตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
“เอ่อ...ตาเนซาตาเนซา...” ปุคายกมือขึ้นชูสี่นิ้วแทนคำตอบที่ว่า...ตาเนซาสี่ขวบ
“เฮ้อ... ให้มันได้แบบนี้” เจ้าเด็กชายนั่นมาอีกแล้ว...
กานมณีถึงกับคลึงขมับแรงๆ นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
“ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ ขอเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วจะตามไปนะคะ”
เธอยังต้องการเวลาทำใจสักพักใหญ่ๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะไปอารมณ์เสียใส่คนไม่รู้เรื่องด้วยได้ เช่นคนที่ชอบเรียกเธอว่า ‘หมอ’ ทั้งที่บอกไปแล้วว่าเธอเป็นเพียงพยาบาล แต่เขาก็แย้งว่าทุกคนที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยสำหรับเขาก็คือหมอทั้งหมด
“ให้กระผมรอนำทางดีไหมครับ” ถึงจะมีทหารเวรเฝ้ายามอยู่ตลอด แต่แสงจากคบเพลิงก็ไม่ส่องสว่างเพียงพอ บางจุดยังมืดสนิท
“มะ...ก็ดี งั้นรอสักครู่นะคะ” กานมณีเกือบตอบว่า ‘ไม่’ แต่ฉุกคิดได้เสียก่อน จึงไม่ปฏิเสธและก้าวต่อไปยังกระโจมพัก ในเมื่อเกล้าเศียรอยู่ที่นี่ โดยไม่รู้เจตนาอันแท้จริงของเขา เธอจำเป็นต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ไม่อาจชะล่าใจได้แม้แต่นาทีเดียว
เธอใช้เวลาทำธุระส่วนตัวและจัดการกับอารมณ์ของตนเองไปชั่วโมงนิดๆ ก็เดินตามปุคาไปยังกระโจมพักผู้สืบทอด ที่ด้านหน้ากระโจมมีผู้ติดตามร่างกายสูงใหญ่เฝ้าอยู่หนึ่งคน เนื่องจากชาวตาลูลามีผิวสีแทนค่อนไปทางคล้ำ เมื่อผนวกกับใบหน้านิ่งๆ จึงดูน่ากลัวเหมือนผู้คุมมากกว่าผู้ติดตาม
“เชิญครับคุณหมอ” ปุคาแหวกกระโจมให้เธอเดินเข้าไป
“ทำไมคืนนี้เวรยามดูบางตาจัง ปกติหน้ากระโจมต้องมีสองคนไม่ใช่เหรอ”
กานมณียังไม่ได้ก้าวเข้าไปภายในกระโจม เธอกวาดมองไปโดยรอบอีกครั้ง หลังจากสังเกตมาตลอดทางและพบว่าจุดต่างๆ ล้วนเหลือคนน้อยกว่าปกติ ไม่ใช่แค่เพียงบริเวณโดยรอบกระโจมพักผู้สืบทอด
“ฝั่งโน้นเงียบมานานหลายวัน ตาเนซาเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอีก จึงให้เคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนไปเสริมให้แก่ค่าย แต่ถึงคนจะเหลือน้อยลง คุณหมอก็ไม่ต้องกลัวนะครับ พวกเราทุกคนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นมือดีที่ตาเนซาคัดเลือกมากับมือ”
ปุคารายงานไปตามความจริง เพราะความกังวลแวบหนึ่งที่วาบผ่านดวงตาพยาบาลสาว ทำให้เขาคิดได้ว่าไม่ควรปิดบัง
“ตาเนซาจะไม่เป็นไรใช่ไหม”
เธอไม่ห่วงตัวเองหรอก เพราะคนธรรมดาสามัญเช่นเธอใครจะเห็นค่า แต่นายของปุคาเป็นถึงผู้สืบทอด หากเธอเป็นพวกกบฏ เธอก็จะต้องเลือกตัดศีรษะเขาเพื่อควักหัวใจกองกำลัง เมื่อขาดผู้นำ ที่เหลือก็จะระส่ำระสายแตกกระเจิง
“คุณหมออย่ากังวลเลยครับ ตาเนซาตัดสินใจอะไรรอบคอบเสมอ ไม่เกิดข้อผิดพลาดแน่นอนครับ”
ปุคายิ้มกว้าง หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถเห็นความกังวลที่แวบผ่านก่อนรอยยิ้มนั้น แต่เธอเห็น และสัญชาตญาณก็บอกให้นับจากนี้ต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น
กานมณีมองเข้าไปภายในกระโจมที่เงียบสนิท แสงตะเกียงกะพริบไหวบนหัวเตียงทั้งสองข้างส่องแสงสว่างให้เห็นภายในได้ทั่วถึง และเห็นว่าเจ้าของกระโจมนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ผ้าห่มบนตัวสั่นไหวเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังสะอื้นไห้ หรือว่าขยับตัวอย่างขุ่นข้องหมองใจ เธอเดินเข้าไปหลายก้าวก่อนถูกเสียงสั่นเครือบนเตียงหยุดไว้
“ไม่ต้องตามโมโม[1] มานะ เราอยู่ได้ เราไม่ต้องการโมโม ไม่...ไม่ต้องการ ฮือ”
เด็กชายวัยสี่ขวบผู้กำลังเผชิญความอ้างว้างโดดเดี่ยวมาตลอดในฐานะผู้สืบทอด เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตั้งแต่ลืมตาดูโลก มีภาระอันใหญ่หลวงที่วางลงบนบ่าตั้งแต่นาทีแรกบนโลกใบนี้ มีคนมากมายให้เขาดูแลปกป้องตั้งแต่ยังไม่รู้จักใครสักคน และเพราะอายุไล่เลี่ยกับน้องชายหัวปีท้ายปี อ้อมกอดมารดาจึงเป็นของเขาน้อยเหลือเกิน
หากถามว่าเขาต้องการอะไรมากที่สุด
ตาเนซาสะอื้นไห้ออกมา เขาคิดถึงมารดา คิดถึงอ้อมอกอุ่นๆ น้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งคอยปลอบโยนยามเขาโดนตำหนิ โดนทำโทษ เขาคิดถึงมารดามากเหลือเกิน อยากฟ้องท่านว่าวันนี้เขาล้มตอนฝึกเทควันโด เขาเจ็บเท้า เขาถูกดุและหาว่าไม่ตั้งใจ ทั้งๆ ที่เขาพยายามฝึกซ้อมจนหัวเข่าเขียวช้ำเพราะล้มนับครั้งไม่ถ้วน เขาอยากได้ยินมารดาบอกว่าไม่เป็นไรและถามว่า…
‘กินอันนี้ดีไหม เดี๋ยวโมโมทำให้’
“ตาเนซา”
“เราจะนอน ฮือ...ไม่ต้องมายุ่งกับเรา”
“แต่ว่า...”
“บอกว่าไม่ต้องยุ่งไง และถ้าเจ้าไปบอกโมโม ฮือ...เราจะไม่มีวันให้อภัยเจ้า ฮื้อ...” เสียงสะอื้นดังลั่นกระโจมทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่าไม่เป็นไร
เจ้าเด็กแก่แดด!
กานมณีทั้งนึกเอ็นดูและสงสารจับใจ หัวใจดวงเล็กของเธอถูกกดลึกให้รอยแผลใหญ่ที่พยายามปกปิดไว้เผยอออกมา เธอเองก็เคยเป็นเช่นนี้ เคยต้องการมารดาสุดหัวใจ แต่เพราะรู้ว่าต่อให้ต้องการแทบตายก็ไม่ได้ จึงปฏิเสธออกมาสวนทางกับหัวใจ เด็กตัวเล็กๆ อายุไม่กี่ขวบ แต่ต้องพูดสวนทางกับความต้องการ รู้จักการซ่อนหัวใจตนเอง มักไม่ใช่เด็กที่เติบโตมาพร้อมความสุข เส้นทางชีวิตทุกย่างก้าวต้องเหยียบขวากหนามมานับครั้งไม่ถ้วน
“คุณหมอ” ปุคาเรียกเบาๆ เมื่อเห็นพยาบาลสาวเอาแต่นิ่ง
“ออกไปก่อน ที่เหลือฉันจัดการเองค่ะ”
การรับมือกับเด็กแสร้งเข้มแข็งไม่ง่ายนัก ยิ่งเป็นเด็กโค่งตัวโตหกฟุตกว่าและเก็บซ่อนความน้อยใจไว้มานานนับยี่สิบสามสิบปี อาการสับสนครั้งนี้ล้วนมาจากจิตใต้สำนึกและจำเป็นต้องใช้ความอ่อนโยนรักษาความเจ็บปวดเหล่านั้น
“ครับคุณหมอ”
หลายวันที่เจ้าเหนือหัวอยู่ในความดูแลของพยาบาลคนนี้ ทำให้เขาเกิดความไว้วางใจเธอในหลายๆ ด้าน ยอมให้อีกฝ่ายรับผิดชอบดูแลผู้สืบทอดอย่างเต็มที่
“ถ้ามีอะไรให้ส่งเสียงเข้ามาก่อน อย่าให้ใครบุ่มบ่ามเข้ามาเด็ดขาด” ไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดี แต่อะไรที่จะทำลงไปนับจากนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีในสายตาคนพบเห็น ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้
“ครับคุณหมอ”
“ออกไปให้หมด!”
เจ้าเด็กสี่ขวบส่งเสียงไล่ทันทีที่ได้ยินว่าผู้ติดตามยอมออกไปและเหลือคนอื่นไว้ เธอคนนั้นจะต้องเป็นหมอใจร้ายที่แอบซ่อนเข็มอันใหญ่ไว้ข้างหลัง พอมาใกล้เขาก็จะจิ้มลงมาบนตัวและบอกว่า...
‘ถ้าตาเนซาร้องไห้ จะโดนฉีดอีกสองเข็มใหญ่ๆ เลยนะคะ’
กานมณีถอนหายใจ ยิ่งมองผ้าห่มสั่นไหว ยิ่งฟังเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้สุดฤทธิ์แต่ไร้ผล ใจเธอยิ่งอ่อนไหว หัวตาร้อนผ่าวจนยากจะระงับไม่ให้ก้าวเดินต่อไปที่เตียง
“เราไม่ต้องการหมอ เราไม่เป็นอะไร เราไม่ได้เจ็บเท้าสักนิดเดียว เราไม่เจ็บเท้าจริงๆ” เด็กชายสี่ขวบร้อนรนปฏิเสธโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือคำสารภาพจนหมดเปลือก
เด็กน้อย...
“ฮื้อ...เราบอกว่าอย่าเข้ามา” ก้อนผ้าห่มม้วนตัวเป็นวงกลมกลิ้งหนีราวกับใบไม้ถูกลมพัด
“อย่า...!!!”
กานมณีร้องห้ามเสียงหลง รีบกระโดดขึ้นไปคว้าตัวคนที่เพิ่งรอดพ้นจากความตาย คนไม่รู้จักรักชีวิตตัวเอง ไม่รู้หรือไรว่าการตกลงไปกระแทกโดนศีรษะอีกครั้งนั้นเท่ากับชีวิตเขาจบเห่แน่!
“อย่าดิ้น…ไม่นะ!”
ตุบ!
เธอคว้าเขาไว้ได้อย่างหวุดหวิด แต่เพราะตัวเขาสูงใหญ่เกินไป หนักเกินไป เหตุการณ์ต่อจากนั้นจึงกลายเป็น...ตกจากเตียงทั้งคู่
“โอ๊ย...เราเจ็บ ฮื้อ!”
เจ้าเด็กสี่ขวบปล่อยโฮลั่นทันที ทั้งที่ไม่ได้เป็นฝ่ายกระแทกพื้น เขาเพียงตกไปทาบทับร่างเล็กกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของขนาดตัวเขาเท่านั้น
พยาบาลสาวหน้าเขียวสลับแดง เหงื่อเย็นแข่งกันผุดขึ้นท่วมตัว…
หนีเสือปะจระเข้ เจอแพะดักตีหัวระหว่างทาง!
ฉันเจ็บกว่า!!!
กานมณีกัดริมฝีปากจนตัวสั่น เจ็บไปทั่วร่างจนอยากจะดิ้นแด่วๆ กับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด และให้ตาย...เจ้าเด็กสี่ขวบซบหน้าลงกับเข่า ปล่อยเสียงร้องไห้ดังไปสามบ้านแปดบ้าน ทั้งที่ยังทับเธออยู่ไม่ยอมลุก คนข้างนอกต้องคิดว่าเธอฆ่าปาดคอเขาแล้วเป็นแน่ ทั้งๆ ที่คนจะตายคือเธอ
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณหมอ!” ปุคาไม่บุ่มบ่ามเข้ามาตามที่เธอสั่งไว้ แต่เขาส่งเสียงถามอย่างร้อนรน
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” เกือบตายแล้ว คำพูดสวนทางกับความจริงอย่างสิ้นเชิง
“ให้กระผมเข้าไปช่วยไหมครับ”
คนข้างนอกยังไม่หมดห่วง แต่ขืนให้เขาเข้ามา คนข้างในอย่างเธอคงจะกลายเป็นหมดห่วงจากโลกนี้เป็นแน่ ใครยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อได้อีกล่ะ ถ้ามีคนมาเห็นสภาพถูกนั่งทับจนแทบจะบี้แบนแบบนี้
กานมณีสังเวชตัวเองจับใจ
“ไม่ต้อง ฉะ...ฉันจัดการเองได้” ตอนนี้เจ้าเด็กนี่ไม่น่าสงสารแล้ว แต่น่าจัดการให้กลายเป็นปุ๋ยหมักไปเลย
“แน่นะครับคุณหมอ”
“ถ้ายังถามมากอีกคำ ก็ดูแลกันเอาเองแล้วกัน” ลืมกันไปแล้วใช่ไหมว่าเธอไม่กลัวตาย
กานมณีตวาดพร้อมกับออกแรงผลักร่างสูงให้พ้นไปจากตัว ผลักแบบลืมไปแล้วว่าต้องระวังศีรษะของเขาไม่ให้กระทบกระเทือน
โครม!
เจ้าเด็กสี่ขวบกระเด็นไปชนเตียงไม้ไผ่จนสั่นไหว และส่วนที่กระแทกคือแผ่นหลัง ไม่ใช่ศีรษะ แต่กระนั้นเขาก็ปล่อยโฮลั่น
“เจ็บ เจ็บ ปวดหัวด้วย”
“อย่าทำแบบนั้น!” เคยเห็นเสือที่ขย้ำคอเหยื่อจนขาดสะบั้นและยังแลบลิ้นเลียเลือดปิดปากแผลให้เหยื่อไหม เธอกำลังเป็นเช่นนั้น กานมณีถลาเข้าไปคว้ามือทั้งสองข้างของคนที่ตัวเองผลักไปสุดแรง ยับยั้งการประทุษร้ายที่ศีรษะ “ยะ...อย่าร้อง ดิฉันขอโทษ...ไม่สิ”
เธอหยุดคำพูดตัวเองทันที ผิดแล้ว เธอพูดผิดแล้ว เวลานี้เธอไม่ได้อยู่ในฐานะพยาบาล แต่อยู่ในฐานะผู้บริบาล ผู้ที่ต้องทำให้ผู้ป่วยสงบลง ผู้ที่ต้องยอมเป็นทุกอย่างที่ผู้ป่วยต้องการ แม้ว่าจะเป็นภาระที่หนักหน่วงเช่นการเป็นมารดา และอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่อยากจะฆ่าเขามากกว่าช่วยเหลือ แต่เธอก็ต้องทำหน้าที่ผู้บริบาลจนกว่าอาการสับสนของเขาจะกลับมาปกติ
“โม โมโมขอโทษ”
โมโมแปลว่าแม่ เธอรู้มาจากการศึกษาภาษาท้องถิ่นของตาลูลาก่อนมาทำงานที่นี่ ถึงจะไม่สามารถสื่อสารเป็นประโยคยาวๆ ได้ แต่พอฟังออกและสื่อสารถ้อยคำง่ายๆ ได้
“โมโม”
ไม่ใช่เสียงของเจ้าเด็กสี่ขวบ และไม่ใช่เสียงของปุคา ผู้มาใหม่ถลาเข้ามาภายในกระโจมทันทีโดยไม่ฟังคำสั่งห้ามของผู้ติดตาม
เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม
ผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนั้นบอกว่าตนเองคือมารดา เกล้าเศียรได้ยินเสียงกรามตนเองที่ลั่นกรอด ไม่ใช่โกรธ แต่เขากลั้นหัวเราะจนกรามสั่น
“จะ...เจ้าเป็นใคร”
เจ้าเด็กสี่ขวบเงียบเสียงลงและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำคลอเบ้าด้วยหยาดน้ำจ้องมองใบหน้าของผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้
“ถ้ายัยนั่นคือโมโม ผมก็คงเป็นปาปา ปาปาที่แปลว่าพ่อ”
[1]โม หมายถึง แม่ โมโม มักเป็นการเรียกอย่างออดอ้อนของเด็กเล็ก
ความคิดเห็น |
---|