6

โมโมที่แปลว่าที่รัก

โมโมที่แปลว่าที่รัก

 

“ปาปา!” เสียงทวนย้ำถึงฐานะที่เกล้าเศียรมอบให้แก่ตัวเองดังขึ้นพร้อมเพรียงทั้งจากคนนอกและในกระโจม ถ้าความตกใจคือปรอทในแท่งแก้ว ตอนนี้ก็ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปหมดแล้ว

“ใช่ ไม่ได้รึไง” 

ทีเธอยังรับสมอ้างเป็นมารดาได้ เขาจะแอบอ้างเป็นบิดาบ้างไม่ได้หรือไร ในเมื่อจะเล่นบทพ่อแม่ลูกก็จำเป็นต้องมีให้ครบสิ เพราะจากที่รู้มาผู้สืบทอดไม่ได้เติบโตมากับมารดาที่เป็นซิงเกิลมัม และเขาเองก็ว่างพอจะเล่นบทพ่อด้วย

“ไหนปาปาดูซิ เจ็บตรงไหน” 

เกล้าเศียรขยับเข้าไป รอยยิ้มกระชากใจผุดขึ้นบนเรียวปาก คิ้วข้างหนึ่งกระตุกขึ้นตอนหันไปสบตากับผู้ที่กำลังเล่นบทเป็นภรรยาของเขา

 โมโมที่แปลว่าแม่ของลูก ที่รักของเขา

‘เขามาได้อย่างไร!’

กานมณีอยากร้องโอ๊ยเป็นภาษาละตินบวกเขมร!

แค่นี้ก็ยุ่งยากจะแย่แล้ว ยังมีตัวบ้ามาเพิ่มอีก   เจ้าเด็กสี่ขวบเองก็ถลาเข้ามาซุกอกเธอและร้องเสียงหลง...

“ละ...ลุพอไม่เจ็บเท้า ลุพอไม่ได้เจ็บอะไรเลย ปาปากลับไปเถอะ” ใบหน้าซุกอก สองมือกอดกระชับรอบเอวบางแน่นๆ

บิดาคงไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีนักในใจผู้สืบทอด... 

เกล้าเศียรก้าวต่อไปหยุดลงเบื้องหน้าหนุ่มสาวที่กอดกันกลม หากเป็นเด็กชายวัยสี่ขวบจริงๆ ภาพนี้คงให้ความอบอุ่นน่าเอ็นดูไม่น้อย ผิดแต่ว่าไม่ใช่ หัวใจเขาจึงรู้สึกคันยุบยิบ

“แน่เหรอว่าไม่เจ็บ” 

คุณพ่อสวมรอยละมือข้างหนึ่งตีลงไปบนเท้าคนปากไม่ตรงกับใจ ถ้าความทรงจำของเขาคือเด็กชายวัยสี่ขวบที่เปรยออกมาว่าไม่เจ็บเท้า เช่นนั้นในตอนนี้เท้าของอีกฝ่ายก็จะต้องเจ็บมากอยู่แน่นอน 

“เจ็บ! มะ...ไม่เจ็บ” 

ร้องแล้วรีบปิดปากแรงๆ ส่ายหน้ากับอกมารดา น้ำตาไหลลงเป็นทางจนอ้อมอกเจ้าของเปียกชื้น

กานมณีลำคอตีบตันขึ้นมาเฉียบพลัน ความเจ็บปวดสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นส่งผ่านไปหาตัวเองในอดีต ถึงเด็กหญิงวัยหกขวบที่นั่งกอดเข่ารักษาบาดแผลทางกายและใจ อันเกิดจากถูกบิดาบังเกิดเกล้าทุบตี และมารดามาลูบศีรษะเอ่ยถามแผ่วเบา

‘เจ็บไหม คราวหลังถ้าพ่ออารมณ์ไม่ดีอย่าไปต่อปากต่อคำกับพ่ออีกเข้าใจไหม’

‘ไม่ต้องมายุ่งกับหนู หนูไม่เจ็บ’ 

‘อย่าโกรธพ่อเลยนะ ที่พ่อทำไปพ่อไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วพ่อเขารักหนูมากนะ’

‘หนูไม่ต้องการความรักแบบนี้ หนูไม่ต้องการ และหนูก็ไม่ต้องการแม่ด้วย’ 

แม่ที่ยอมทำตามคำพูดพ่อทุกอย่าง แม่ที่ไม่เคยอยู่ปกป้องเธอสักครั้ง แม่ที่ทำแต่งานเพื่อพยายามหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและเลี้ยงดูคนขี้เมาแบบพ่อ แม่ที่คอยแต่อธิบายว่าทุกการกระทำของพ่อคือความรัก ถ้าความรักคือทั้งหมดนี้ เธอก็ขอไม่รู้จัก ไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา ไม่ต้องการไอ้ความรักบ้าบอนี่ไปตลอดชีวิต

“ทำไมต้องทำตัวเข้มแข็ง ทำไมต้องปฏิเสธ เจ็บก็ตะโกนออกมาว่าเจ็บดังๆ คิดถึงก็พูดไปสิ พูดออกไปเลย ตอบเขาไปสิว่าเจ็บ!” เธอตะคอกเสียงสั่น น้ำตานองหน้าในชั่วพริบตา

“ใช่ เจ็บก็แค่บอกว่าเจ็บ คิดถึงก็แค่พูดออกมา ปากเป็นของเรา คำพูดเป็นของเรา เราไม่พูดใครที่ไหนจะมารับรู้ด้วย” 

เกล้าเศียรสนับสนุนคำพูดภรรยาอย่างเห็นด้วย และเขาต้องการย้ำถ้อยคำเหล่านั้นให้มันซึมซับไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเธอ ผู้ที่ไม่แตกต่างจากเด็กชายในอ้อมแขน ถึงจะไม่เคยผ่านความเลวร้ายแบบคนทั้งคู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเลวร้ายที่คนเหล่านั้นสร้างเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ พวกเขาจึงได้มีสภาพเช่นนี้ 

“ลุพอเจ็บใช่ไหม” 

“ละ...ลุพอเจ็บ”

เจ้าเด็กสี่ขวบค่อยๆ เอ่ยออกมา เมื่อคำถามอันอ่อนโยนของบิดาทำให้เขาค่อยๆ คลายความหวาดกลัวลง เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็โหยหาอ้อมกอดของบิดาเช่นกัน

“แล้วคุณล่ะ เจ็บหรือเปล่า” น้ำเสียงละมุนเอ่ยถามเธอบ้าง ดวงตาที่เคยสงบนิ่งยากหยั่งถึงทอประกายความอบอุ่น ดั่งอ้อมกอดที่เปิดกว้างรอให้โผเข้าไปซุกซบปรับความทุกข์ใจ

เจ็บ...ในใจเธอสวนตอบออกไปทันที ร่างกายอ่อนยวบเหมือนเหล็กกล้าที่ถูกความอบอุ่นนั้นหลอมละลายกลายเป็นของเหลว พร้อมจะโผเข้าไปหาและเอื้อนเอ่ยความทุกข์แสนสาหัสในใจให้เขาฟัง แต่ปากกลับตอบออกไปตามใจไม่ได้ เพราะความคิดภายในคัดค้านไม่ให้เธอเผยความรู้สึกอ่อนแอออกไป

เขาเกลียดชังเธอยิ่งกว่าอะไร น้ำหนักความเกลียดชังแทบจะกดทับให้เธอขาดใจตาย เนื้อที่ในสมองถูกความเกลียดชังนั้นบรรจุไว้จนเต็ม ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับฟังความเจ็บปวดรวดร้าวของเธอด้วยความเต็มใจโดยไม่คัดค้าน นี่จะต้องเป็นเพียงกลลวง เป็นแผนที่จะเอาคืนเธออีก

“ฉันไม่ใช่เด็ก” เมื่อสมองได้ข้อสรุป หัวใจก็กล้าแกร่งขึ้น จึงมีแต่ถ้อยคำกระด้างกระเดื่อง

จะไม่ยอมอ่อนลงบ้างเลยจริงๆ หรือ

เกล้าเศียรตัดพ้อในใจ…

“ไม่ใช่เด็กก็ตอบได้ เจ็บก็แค่พูดออกมา ไม่พอใจก็แค่ระบายออกมา มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ต้องเข้มงวดกับชีวิตตลอดเวลาก็ได้”

แต่เธอไม่ใช่มนุษย์...เธอเป็นคนเลว เป็นนางแม่มด เขาเองที่เป็นคนตอกย้ำเธอเช่นนั้นมาตลอดเวลาหนึ่งปี ชนิดที่ต้องการให้จดจำไปจนวันสิ้นลมหายใจ

“กานมณี คุณไม่จำเป็นต้อง...”

“ฉันไม่ใช่มนุษย์” 

เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแสดงละครกับเธอ เธอไม่ได้ความจำสับสนเหมือนผู้สืบทอด ไม่ได้กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เธอคือกานมณีที่ยังจำได้แม่นทุกเรื่องราวและถ้อยคำ

“ไม่ใช่มนุษย์ก็เจ็บเป็น” 

ใครบอกกันว่าต้องเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะเจ็บเป็น เกล้าเศียรอยากเขกมะเหงกหน้าผากภรรยาจำเป็นของตนแรงๆ สักที แต่กลับก้มลงมองใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนคราบน้ำตาของลูกชายปลอมๆ แทน เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนดื้อ ไม่อยากซ้ำเติมผู้ใหญ่มีปัญหาให้ยิ่งจมดิ่งสู่ความดำมืด อย่างไรเธอก็เป็นไม้แก่ที่ดัดอะไรไม่ได้แล้ว เขาได้แต่ทอดถอนใจ 

“ไหน ลุพอเจ็บตรงไหน ขอปาปาดูหน่อยซิ”

“ถ้าลุพอให้ดู ปาปาจะไม่ดุโมโมอีกใช่ไหมครับ” มือเล็กกางออกขวางมารดาไว้ เขาไม่ชอบมากที่สุดคือเวลาที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้บิดาต้องขึ้นเสียงดุใส่มารดา

เจ้าเด็กอ่อนแอกางกรงเล็บกลายเป็นเสือเสียแล้ว…

“อื้ม ปาปาสัญญา” เกล้าเศียรชูสามนิ้วขึ้นให้สัตย์

“ลุพอล้ม ลุพอเจ็บเท้า” 

เขาก้มลงประคองเท้าตัวเองขึ้นจากพื้นอย่างไร้เดียงสา เท้าเปลือยเปล่าไม่มีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวแม้แต่น้อย มีแค่รอยถลอกของตุ่มน้ำเก่าที่เกือบจะหายดีแล้ว กับใบหน้าที่เจ็บปวดของเจ้าตัวจนน้ำตานอง

“โอมเพี้ยง ขอให้พระเจ้ารักษาให้เท้าของลุพอหายไวๆ” 

บิดาจำเป็นก้มลงเป่าเท้าข้างนั้นอย่างไม่รังเกียจ และเอ่ยถึงพระเจ้าที่ชาวตาลูลาส่วนใหญ่นับถืออย่างศรัทธา ไม่ว่าพุทธหรือคริสต์ต่างสอนให้ทุกคนเป็นคนดี เขาให้ความเคารพทุกศาสนาเท่าเทียมกัน 

“เดี๋ยวเราขึ้นไปนอนบนเตียงดีไหมครับ นั่งบนพื้นนานๆ ความเย็นจะกินตูดและจะทำให้นั่งไม่ได้อีกเพราะเจ็บมาก”

“ลุพอไม่กลัวเจ็บ” เจ้าเด็กน้อยบอกอย่างกล้าหาญ

“แต่ปาปากลัวลุพอเจ็บ” เกล้าเศียรสวนกลับอย่างห่วงใยและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าผู้เป็นภรรยาจำเป็นด้วยสายตามีความหมาย “กลัวโมโมจะเจ็บด้วย”

“ฉันเกี่ยวอะไร” กานมณีชักสีหน้ากลบเกลื่อนความหวาดหวั่นใจที่เกิดขึ้นปุบปับอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งสะกดไว้ได้ไม่นาน

“นั่นสิ” เกล้าเศียรไหวไหล่และยิ้ม “แม่พาลูกขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ เดี๋ยวพ่อจะเล่านิทานให้ฟัง”

“แม่ พ่อ…”

“ลืมไป โมโมพาลูกขึ้นไปนอนบนเตียง เดี๋ยวปาปาเล่านิทานให้ฟัง” 

เกล้าเศียรเปลี่ยนคำให้ทันใจ แต่ไม่สบอารมณ์ผู้ฟังเอาเสียเลย จึงโดนค้อนควักจนตากลับ

“คุณนี่มัน...!”

“ปาปาออกจะน่ารัก”

“กวนประสาทคนได้โล่ทุกสถานการณ์จริงๆ”

“ขอบคุณที่ชมนะโมโม”

“ฉันด่า”

“เอ้าเหรอ ทำไมปาปาหัวใจเต้นแรง”

“ประสาท”

กานมณีสะบัดเสียง เลิกสนใจเขา ค่อยๆ พยุงเจ้าเด็กสี่ขวบตัวโตให้ลุกขึ้นกลับไปนอนบนเตียง โดยมีเกล้าเศียรหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นตามมานอนด้วยอย่างไม่ต้องมีใครเชิญ ส่วนปุคา...ได้แต่ปิดปากกระโจมและเดินกลับไปยืนยังจุดเดิมของตน

 

“โมโมจะไปไหน”

สองหนุ่มฉุดมือเธอคนละข้างราวกับนัดกันเอาไว้ล่วงหน้า คนหนึ่งตาละห้อย ส่วนอีกคนรู้ทันราวกับดวงตานั้นเป็นเครื่องฉายรังสีเข้าไปถึงเซลล์ความรู้สึก

“ถ้าคิดจะหนี เพราะไม่กล้านอนร่วมเตียงเดียวกันกับผม ก็เลิกคิดไปได้เลย ลุพอเขาจะนอนกับโมโม ปาปาใช่ไหม” 

ตอนตามมาดู เขาคิดเพียงอยากรู้ว่าเธอต้องดูแลผู้สืบทอดระดับไหน พอรู้ว่ามันใกล้ชิดมาก แมลงในสมองก็ถึงกับบินหึ่งๆ แต่ตอนนี้...เกล้าเศียรหันไปขอความเห็นจากลูกชายดั่งว่าตัวเองนั้นคือบิดาจริงๆ

“โมโมนอนกับลุพอนะ ลุพออยากให้โมโมเล่านิทาน ลุพอจะไม่ดื้อ จะตั้งใจฟังดีๆ”

ใบหน้าหล่อเหลาถูไถมือนุ่มนิ่มอย่างคิดถึง ดวงตาคมกล้าเว้าวอนด้วยความหวังชนิดที่ต่อให้เป็นพระอิฐพระปูนก็ไม่อาจดูดายได้

“เอาเรื่องแม่มดผู้โดดเดี่ยว โมโมเล่านิทานเรื่องนี้สนุกมาก” 

เกล้าเศียรเคยได้ยินเธอเล่านิทานเรื่องนี้ตอนงานวันเด็กและยังอยากได้ยินมันอีกครั้ง เพราะช่างเป็นนิทานที่ประทับใจผู้ฟัง สะท้อนการเลี้ยงดูอย่างลึกซึ้ง

“แม่มดผู้โดดเดี่ยว ลุพออยากฟังเรื่องนี้” เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“มันไม่สนุกหรอก” 

กานมณียอมนั่งลงบนเตียง แต่เธอปฏิเสธการเล่าเรื่องราวที่เรียบเรียงมาจากชีวิตของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินมาได้อย่างไร และทำไมถึงบอกว่ามันสนุก ทั้งๆ ที่ทุกถ้อยคำล้วนคือความเจ็บปวดของเธอ หรือเพราะเขาสนุกไปกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับ...

ดวงตาแน่นิ่งผินไปมองเขา ซึ่งเกล้าเศียรก็รออยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างค้นคว้าหาคำตอบโดยไร้คำพูด 

“คุณบอกเองว่าจะเล่านิทาน เล่าสิ” เป็นกานมณีที่เมินหลบ เพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบ ยังร้อนรุ่มไปทั้งใจจนทนไม่ไหว

“ปาปาอยากฟังโมโมเล่าแม่มดผู้โดดเดี่ยว”

เกล้าเศียรยืนยันความต้องการอันจริงจังของตน แววตาไม่หวาดหวั่นยังคงตรึงอยู่ที่ใบหน้างดงามของผู้สวมบทเป็นภรรยา

“ลุพอก็อยากฟังแม่มดผู้โดดเดี่ยว โมโมเล่าให้ลุพอฟังหน่อยนะครับ นะโมโมนะ” 

เจ้าเด็กสี่ขวบที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับบิดามาตั้งแต่ต้น เอ่ยตามน้ำ และความคาดหวังจากเขาก็มากมายจนทำให้กานมณีไม่อาจทนเห็นความผิดหวังในดวงตาคู่นั้นได้

นี่เธอจะต้องเล่าต่อหน้าเกล้าเศียรจริงๆ หรือ

“โมโมนอนตรงนี้” เมื่อไม่ได้รับการปฏิเสธ เจ้าเด็กตัวโตก็ตบที่นอนข้างตัว เข้าใจว่ามารดายินยอมแล้ว

“ตรงนี้ดีกว่านะลุพอ” ฝ่ามือหนาตบลงตรงกลางเตียง “นอนฝั่งโน้นปาปาฟังไม่ถนัด ให้โมโมนอนตรงกลางดีไหม” 

แพทย์หนุ่มออกความเห็นแบบที่คนต้องนอนมือสั่น อยากจะฟาดให้ปากแตก แต่อย่าคิดว่าเขาจะสะทกสะท้าน ไม่สักนิดจ้า ขยับที่ให้อย่างใจดีและยังดันผู้รับบทเป็นลูกให้กระเถิบไปอีกฝั่งจนเกิดช่องว่างตรงกลาง

“เชิญนอนได้เลยครับคุณแม่” 

“โมโมนอนๆ” รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า

กานมณีอยากวิ่งออกไปแบบไม่เหลียวกลับมาอีก ตอนนี้เธอไม่ต่างกับคนที่มีก้างปลาติดคอ กลืนก็ไม่เข้า คายก็ไม่ออก จะล้วงก็มีแต่เจ็บตัว จะปล่อยไปก็เจ็บจนทนไม่ได้

“โมโม”

“ก็ได้ค่ะ ลุพอขยับไปอีกนิดสิคะ” 

ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนเลวเช่นเธอพ่ายแพ้ท่าทีออดอ้อนเช่นนี้ที่สุด เด็กมีปัญหา…เธอก็เป็นเช่นนั้น เหมือนเหล็กที่ยิ่งดัดยิ่งคดงอ แต่ถ้าหลอมละลายเธอด้วยความอบอุ่นละมุน ก็จะโอนอ่อนผ่อนตามแต่ใจผู้นั้นจะบัญชา

“โมโมน่ารักที่สุด” ไม่ใช่คำพูดของเจ้าเด็กชายตัวโต แต่เป็นแพทย์หนุ่มผู้สวมบทเป็นปาปาที่แปลว่าพ่อ

“ไม่เกี่ยวกับคุณ ฝากไว้ก่อนเถอะ” 

กานมณีอ้าปากพะงาบๆ ฝากไปกับอากาศ แล้วเอนตัวลงนอนระหว่างกลางชายทั้งสอง ซ้ายก็ตัวโต ขวาก็ตัวใหญ่ ยิ่งพวกเขาพร้อมใจกันหันตะแคงข้างเข้าหา วางศีรษะบนอกเธอคนละข้าง ตีบทสามีและลูกชายแตกกระจุย แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะถูกพวกเขาช่วงชิงไปด้วย

“นี่...”

“เล่าเลยครับโมโม” 

“ผมก็พร้อมฟังแล้วครับที่รัก” ไม่พร้อมธรรมดา แขนแกร่งที่โอบเอวก็พร้อมจะกักเธอเอาไว้ไม่ให้ตุกติก

ฉันไม่พร้อม!

กานมณีตวาดออกมาแบบไร้เสียง ไม่คิดว่าพวกเขาทั้งคู่จะกล้าตรึงเธอไว้จนกระดิกตัวไม่ได้แบบนี้ เจ้าเด็กน้อยยังพอเข้าใจ แต่คนตัวใหญ่จะรัดเธอเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ แบบนี้ไม่ได้!

“ขยับออกไปห่างๆ กว่านี้หน่อยได้ไหม” และแล้วเธอก็หาเสียงตัวเองพบ แต่ว่า…

“ลุพออยากกอดโมโม”

“ปาปาก็อยากกอดโมโม”

ความดื้อดึงแพ็กคู่…ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ยังไงเธอก็ไม่รอด

พุท โธ… 

เธอสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ที่สุด ก่อนจะผ่อนออกแบบถ่วงเวลาให้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่ายิ่งถ่วงเวลาก็ยิ่งทำให้สภาพการณ์เช่นนี้ยืดออกไป เธอควรเล่านิทานเสียให้จบๆ หน้าที่นี้จะได้ยุติเสียที

“เล่าสิที่รัก คุณคงไม่อยากรู้แน่ว่าระหว่างรอนานๆ ผมคิดอะไร”

“ก็จะเล่าอยู่นี่ไง...” รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้ น่าหยิกให้เอวช้ำ และเธอก็ทำ แต่เจ้าของเอวกลับผงกขึ้นมางับลำคอของเธอแทน กลายเป็นว่าเธอที่ต้องร้องออกมาแทน “หมอเกล้า!”

“ลูกรอนานแล้ว เล่าครับที่รัก” แต่ประโยคถัดไปมีเพียงเธอที่ได้ยิน “ถ้าหันมาด่าอีก จะจูบให้ดู”

‘คุณมันประสาท’ เธอไม่ได้พูดมันออกมา เพราะไม่อยากถูกจูบตามคำขู่ เธอรู้แจ้งดีว่าหมอบ้าอย่างเขาทำอะไรๆ ได้มากกว่าที่คิด

“ก็ถอยไปหน่อยสิ” เธอดันเขาออก กระเถิบตัวเข้าไปหาผู้สืบทอดอีกนิด อยู่ใกล้เจ้าเด็กตัวโตย่อมดีกว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุดวุ่นวาย ให้ตายฉันก็จะไม่เล่าเด็ดขาด”

“ก็ได้ ผมจะอยู่นิ่งๆ” 

แต่นิ่งของเขาคือนิ่งบนอกนุ่มๆ ของเธอ

ให้ตาย!

กานมณีไม่รู้ว่าวันนี้สบถคำหยาบคายนี้ออกไปกี่ครั้ง หากเป็นนิยายเธอได้ถูกคนอ่านด่าแล้วว่าจำเจ แต่มันไม่มีคำไหนเหมาะกับสถานการณ์ที่พบเจอในวันนี้จริงๆ

“อะแฮ่ม...” ความกระดากที่เกิดขึ้นติดคอ เธอกระแอมสองสามทีแล้วเริ่มถ่ายทอดเรื่องราว 

“กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว มีเด็กหญิงคนหนึ่งเกิดมาท่ามกลางความรัก เด็กหญิงมีพ่อ มีแม่ มีครอบครัวที่อบอุ่น พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกมีความสุขกันมาก แต่แล้ววันหนึ่งพ่อของเด็กหญิงเกิดตกงานกะทันหันและหางานไม่ได้ เพราะเขาเคยมีตำแหน่งดีๆ มีคนใต้บังคับบัญชามากมาย เขาจึงไม่อาจลดตัวลงไปทำงานธรรมดาๆ ได้...

“วันแล้ววันเล่าที่เขาหางานและต้องพบกับความผิดหวังซ้ำๆ ซากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาเดินออกจากบ้านไปและกลับมาพร้อมกับความว่างเปล่าจนก่อเกิดเป็นความสิ้นหวังและความรู้สึกเช่นนั้นเองที่ค่อยๆ เปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนไม่เอาไหน พึ่งพาเหล้าเพื่อดับความทุกข์ในใจ ค่อยๆ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีพนันหวังปลดความยากลำบากในชีวิตด้วยโชคชะตา โดยไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าผลของการกระทำเหล่านั้นจะทำให้เขากลายเป็นคนเลวร้าย กลายเป็นปีศาจในคราบมนุษย์ที่ทำร้ายทุบตีเด็กหญิงผู้เป็นลูกสาวอย่างทารุณ เพียงเพราะเขาควบคุมตัวเองไม่ได้…”

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ คุณแม่ไปไหน” 

เด็กชายถามออกมาอย่างตื่นเต้นกับเนื้อหาในนิทาน ผิดกับเกล้าเศียรที่ตั้งใจฟังจนผิดปกติ

“คุณแม่ไปทำงาน…เพราะคุณพ่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน คุณแม่เลยต้องไปทำงานทุกวัน ไม่มีเวลาอยู่บ้านดูแลเด็กหญิง ไม่มีเวลามารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น มีแต่คำปลอบโยนเศร้าๆ ที่ฟังยังไงเด็กหญิงก็ไม่เข้าใจ...” มารดาของเธอทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต ไม่มีเวลาอยู่บ้านเลย หน้าท่านเธอยังนับนาทีที่ได้เห็นได้

“เด็กหญิงน่าสงสารจังเลยครับ”

“เธอชินแล้ว” กานมณีตอบรับเสียงเศร้า

“แล้วเธอกลายเป็นแม่มดได้ยังไงครับ”

“เธอโตขึ้นมาโดยไม่เชื่อในความรัก เธอจึงทำลายทุกความรักที่เห็นตรงหน้าและทำให้ใครต่อใครเสียใจ เจ็บปวด ร้องไห้ สองมือแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ความเกลียดชัง คำด่าทอ และคำสาปแช่งให้ชีวิตนี้ไม่มีวันมีความสุข”

“เธอถูกคำสาปให้กลายเป็นแม่มดแห่งความเกลียดชัง” เจ้าเด็กชายตาโต ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลงเมื่อทบทวนดูแล้วว่าไม่ค่อยถูกต้อง “แต่ถึงแม่มดจะทำผิด แต่ก็เพราะเธอเจอเรื่องไม่ดีมาก่อน ทำไมทุกคนไม่พยายามเข้าใจแม่มดบ้างล่ะครับ”

เธอเองก็เคยคิดแบบนี้ แต่ใครบางคนทำให้มันเปลี่ยนไป...

กานมณีเหลือบมองคนผู้นั้นด้วยหางตา

“ผิดก็คือผิด ไม่สามารถใช้เรื่องในอดีตมาเป็นข้ออ้างได้ เหมือนเจ้าหัวขโมยที่ลักของคนอื่นเพราะความหิว ถึงเจ้าหัวขโมยจะทำไปเพราะความยากจน ความลำบากที่ไม่มีทางออกแล้วจริงๆ แต่การขโมยก็คือความผิด เจ้าขโมยได้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ลุพอจำไว้นะครับ ต่อให้เราไม่เชื่อ ไม่ต้องการ ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีสิทธิ์เอาความคิดของตัวเองไปตัดสินคนอื่น ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นเพราะเขาคิดเห็นไม่เหมือนเรา ไม่มีสิทธิ์เอาความเจ็บ ความลำบาก ความยากจนของตัวเองไปสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น” 

คำพูดทั้งหมดที่เกล้าเศียรเคยเอ่ยกับเธอเป็นเหมือนดาบที่คอยห้ำหั่นหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็เป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้หลงกระทำผิดซ้ำอีก

“ลุพอจะจำไว้ แล้วแม่มดเป็นยังไงต่อครับ”

“แม่มดเหรอ...” กานมณีแสร้งทำเป็นนึกให้อีกฝ่ายลุ้นไปก่อน แล้วจึงค่อยเล่าต่อ แอบประชดคนข้างๆ ไปหน่อยหนึ่ง “พอชดใช้กรรมไปบ้างจากอสูรจอมน่าเกลียด เธอก็หนีเข้าป่าและพยายามทำตัวเองให้มีประโยชน์ที่สุด ถึงเธอจะโดดเดี่ยว แต่เธอก็รู้สึกผิดน้อยลง”

“ลุพออยากเจอแม่มดจัง”

“ทำไมล่ะครับ แม่มดตนนี้โหดร้ายมากเลยนะ มีเทพบุตรมาช่วยแท้ๆ ยังว่าเป็นอสูรน่าเกลียด ยิ่งถ้าเห็นลุพอมีแม่ ดวงตาแม่มดก็จะอิจฉาจนกลายเป็นสีแดง น่าเกลียดน่ากลัว น่าอาเจียนที่สุด” ผู้ถูกเปลี่ยนจากเทพบุตรเป็นอสูรเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง และไม่ลืมเหน็บแนมคืนให้เจ็บๆ คันๆ บ้าง

“ปาปาเคยเจอแม่มดแล้วเหรอครับ” เจ้าเด็กชายถามบิดาตาโต

ยิ่งกว่าเคย เขาอยู่ร่วมกับแม่มดมาเป็นปีๆ แต่เขาตอบแบบนี้ไม่ได้ เพราะสายตาแม่มดตอนนี้ยิ่งกว่าปีศาจที่จะสาปเขาให้กลายเป็นหิน ขนาดว่าเห็นแค่หางตานะ

“ขึ้นชื่อว่าแม่มดไม่มีหน้าตาดีๆ หรอก ไม่เคยเจอก็บอกได้” เว้นแต่แม่มดจะน่ารักนิดหน่อย ถ้าไม่ทำหน้าดุตลอดเวลาแบบนี้... “แล้วทำไมลุพอถึงอยากเจอแม่มดล่ะครับ”

“ลุพอจะบอกแม่มดว่าไม่เป็นไรนะ ใครไม่เข้าใจแม่มดก็ช่าง ลุพอจะเข้าใจแม่มดเอง เพราะลุพอก็เคยอยากขอให้เลอทูหายไป เคยบีบมือเลอทูแรงๆ ที่เอาแต่ร้องให้โมโมเอาใจตลอด ลุพออยากให้โมโมกอดลุพอแค่คนเดียวเหมือนกัน”

“ปาปา โมโมโกรธลุพอไหมครับที่ทำแบบนั้นกับน้อง” เจ้าเด็กน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดสิ่งไม่ดีออกไป เงยหน้าถามเสียงเศร้า

“จะโกรธได้ยังไง…” กานมณีถึงกับครวญเสียงอ่อน ลืมความขัดเคืองที่มีหมดสิ้น กระชับอ้อมแขนที่โอบเขาไว้แน่น ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลถึงคนที่นอนในอ้อมแขนเธออีกข้าง ริมฝีปากร้อนรุ่มจากความใกล้ชิดประทับตรงปลายคาง แต่เจ้าของคางก็ยังไม่รับรู้ เพราะพุ่งความสนใจไปที่เจ้าเด็กน้อยจนหมด 

“ลุพอทำไปเพราะยังไม่รู้เดียงสา โมโมจะโกรธได้ยังไง ไม่โกรธ ไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจอีกเลย ตัวลุพอเองที่จะเจ็บปวด” เหมือนเธอที่เจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตที่ปล่อยวางไม่ได้

“ลุพออยากให้โมโมกับปาปาอยู่กับลุพอแบบนี้ตลอดไป” ความต้องการที่ไม่มากมายอะไรเลย แต่กลับเป็นความต้องการที่เด็กชายคนหนึ่งไม่เคยเรียกร้อง ได้แต่เก็บซ่อนไว้ในหัวใจ

“เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป” ฝ่ามืออบอุ่นของผู้เป็นบิดาลูบศีรษะลูกชายตัวโต ถึงเมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจปัญหาทางใจเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขายินดีจะทำความเข้าใจและช่วยแก้ไข

“ปาปาให้สัญญาแล้วนะครับ”

“ปาปาให้สัญญา” เกล้าเศียรยกตัวขึ้นประทับจุมพิตบนกระหม่อมของลูกและภรรยาเป็นการประทับตราสัญญาฉบับนี้

“เย่ๆๆๆ” ตาเนซาตัวน้อยไม่อาจเก็บกักความยินดีที่มาในรูปแบบของสายน้ำหลากไว้ได้ เขาลุกขึ้นโผเข้าใส่พื้นที่ตรงกลาง แยกบิดามารดาออกจากกันด้วยร่างกายสูงใหญ่ของเขา “ลุพอมีความสุขที่สุดในโลกเลย”

เจ้าเด็กน้อยซุกตัวเข้าหาอกอุ่นๆ ของทั้งบิดามารดาที่ต่างพร้อมใจกันตะแคงข้างเข้ามาหา และจับมือพวกเขามาวางซ้อนทับกันกับมือของตัวเองบนหน้าท้อง

“ลุพอรักปาปา ลุพอรักโมโม ลุพอมีความสุขที่สุดในโลก”

“ปาปาก็มีความสุขที่สุดในโลกเหมือนกัน” ความสุขที่เกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆ มีลูกนอนอยู่ตรงกลาง มีเขาเป็นพ่ออยู่ด้านหนึ่งและมีเธอเป็นแม่อยู่ตรงข้ามกับเขา ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครอบครัวที่ผู้หญิงตรงหน้าแม้ไม่พูด แต่เขาก็รู้ว่าเธอต้องการมันสุดหัวใจ “และปาปาก็รักลุพอ รัก...โมโมด้วย”

รัก!

คำลวงที่รู้อยู่แก่ใจ แต่กานมณีก็ยินดีให้คำลวงนั้นทำให้หัวใจทั้งดวงของเธอพองโต ยินดีให้คำลวงนั้นกลบฝังความความเจ็บปวดที่ผ่านมา


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น