2

แพทย์ที่รอคอย

แพทย์ที่รอคอย

 

สงครามคร่าชีวิตคนไปกว่าห้าสิบคนในฝั่งของผู้สืบทอด และอีกไม่รู้จำนวนของฝ่ายทายาทลำดับสอง ผู้เป็นน้องชายและกบฏ แต่ก็คงไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะฝ่ายโน้นหยุดการโจมตีมาแล้วเกือบสองสัปดาห์

วันที่สามหลังการผ่าตัดผู้สืบทอดฟื้นขึ้นมา พ้นขีดอันตรายอย่างแท้จริง แต่เนื่องจากกระสุนเฉียดสมองและทำลายเนื้อสมองไปบางส่วน แม้จะไม่มาก แต่การผ่าตัดและการมีเลือดออกในสมองก็ทำให้เจ้าตัวเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน จะสับสนเป็นช่วงๆ จำหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้ บางครั้งก็พูดในสิ่งที่คิดออกมาไม่ได้ด้วย ซึ่งอาการสับสนเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัดสมอง แต่จะเป็นนานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้บาดเจ็บและการซ่อมแซมตัวเองของสมอง 

แต่เพราะเหตุนี้ผู้สืบทอดถึงยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และจำเป็นต้องมีพยาบาลคอยให้การดูแลตลอดเวลา กานมณีคือผู้ได้รับหน้าที่นั้น เพราะเธอเป็นพยาบาลหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองอย่างแท้จริงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม หากมีข้อผิดพลาดก็พร้อมจะให้ผู้ติดตามของผู้สืบทอดลากตัวไปยิงทิ้งได้ตลอดเวลา

ในทุกวันเธอจึงต้องดูแลเขา วัดไข้ วัดความดัน จับสัญญาณชีพ ทำกายภาพแขนขา และเช็ดตัวให้ทุกซอกทุกมุมแม้แต่จุดซ่อนเร้น 

อืม...ผู้ชายเขาจะเรียกแบบนี้เหมือนกันไหม ช่างเถอะในเมื่อเป็นสิ่งซ่อนเร้นต่อสายตาผู้คนเหมือนกันก็ย่อมเรียกเหมือนกันได้ ไม่ได้เช็ดแค่ใบหน้ามือแขน ขาเหมือนในละครหลังข่าว เพราะหากเช็ดแบบนั้นรับประกันว่าไม่เกินสองวัน ผู้สืบทอดคงเหม็นยิ่งกว่าซากศพและสังคังคงถามหาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

เธอเคยสอนให้ผู้ติดตามเขาทำแล้ว ปรากฏว่าทั้งนายทั้งบ่าวเละยิ่งกว่าเด็กอนุบาล ยิ่งเวลาที่ผู้สืบทอดสับสนทำเอาผู้ติดตามเกือบน้ำตาร่วง เธอเลยต้องกลับมาทำเองเหมือนเดิม อย่างน้อยก็เพื่อให้ผู้ชายคนนี้รอด ประชาชนที่ยืนหยัดเพื่อเขาจะได้ไม่เสียสละโดยเปล่าประโยชน์ แต่เวลาที่เขาสับสนก็ทำให้เธอลำบากไม่น้อยเลยเหมือนกัน...

เพราะสมองกระทบกระเทือนเลยสับสน จำถูกจำผิด จำเธอสับสนกับมารดา จำได้ว่าตัวเองสี่ขวบเลยจะนอนซบอกมารดาให้ได้ เธอเกือบได้ทำ ไม่ใช่สิ ไม่เกือบ...เธอทำไปแล้วต่างหาก 

คืนแรกที่เขาฟื้นขึ้นมา คืนนั้นอาการสับสนของเขาหนักที่สุด ทั้งตัวเขา ผู้ติดตาม ต่างกดดันจนเธอสะบัดตัวหนีไปไหนไม่ได้ จำต้องนอนลงบนเตียงให้เขาซบอก ดีที่เจ้าเด็กสี่ขวบหลับเร็ว แค่ไม่กี่นาทีก็เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ที่เลวร้ายคือกอดเธอแน่นยิ่งกว่าปลิงดูดเลือด แกะยังไงก็ไม่ออก และก็จำไม่ได้เหมือนกันว่านอนอยู่แบบนั้นไปนานแค่ไหน เพราะรู้ตัวอีกทีเธอก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับคำทักทายที่น่าชื่นใจยิ่ง

‘เจ้าเป็นใคร เข้ามานอนร่วมเตียงกับเราได้อย่างไร’

‘ดิฉันชื่อกานมณี เป็นพยาบาลผู้มีหน้าที่ดูแลตาเนซาค่ะ’

กานมณีตอบหน้าตายและขยับลงจากเตียงหน้าตาเฉย ก็เขาเป็นคนดึงเธอขึ้นไปและกอดไว้แน่นทั้งคืนจนกระดิกตัวไม่ได้เอง ถ้ากล้าลากเธอไปยิงทิ้งก็เอาสิ

ไม่กลัวตาย!

คือจุดเด่นและความไว้วางใจที่ทำให้เธอได้มารับหน้าที่นี้อยู่แล้ว เธอย่อมไม่ทำให้คนเลือกเสียความตั้งใจ  และเธอก็ยังมีลมหายใจต่อมาได้จนถึงวันนี้

“รถใครมา”

เย็นนี้ผู้สืบทอดไม่สับสนอายุตนเองจึงเอ่ยถามอย่างเป็นงานเป็นการ แต่กลับไม่สามารถรักษาน้ำเสียงให้เป็นการเป็นงานได้เท่าที่ควร เนื่องจากมีกานมณีเช็ดตัวราวกับเขาเป็นเด็กเล็กอยู่ข้างๆ ถึงตำแหน่งผู้สืบทอดจะอำนวยความสะดวกสบายให้แก่เขา แต่นั่นก็ไม่เคยมีคนดูแลใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน ผิดกับกานมณีที่ไม่มีอาการผิดปกติแม้แต่นิดเดียว เพราะเห็นเขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเหม็นที่ยังลุกไม่ได้ อาบน้ำทีก็วุ่นวาย และบัดนี้ก็ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันเต็มๆ แล้ว

“หมอคนใหม่ครับ หมอเด็กที่ตาเนซาขอกับทางการไทยไว้” 

ปุคารายงานหลังหายออกไปนอกกระโจมเพื่อหาคำตอบกลับมาให้เจ้านาย เขาเป็นผู้ติดตามชาวตาลูลาที่มีร่างกายสูงใหญ่พอๆ กับผู้เป็นนาย แต่คล้ำกว่านิดหน่อย

“มาสักที!” 

ไม่เพียงผู้สืบทอด แต่กานมณีก็เอ่ยคำนี้ออกมาอย่างยินดี ทำให้ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแบบไม่ได้นัดหมาย ผู้สืบทอดยิ้มให้เธอ ก่อนจะเอ่ยอย่างโล่งใจ 

“มาถึงสักที เด็กๆ ของเราจะตายกันหมดแล้ว”

“ตาเนซารักประชาชน สวรรค์ต้องปกป้อง ทุกอย่างจะจบลงโดยเร็ว” ถึงเขาจะยิ้ม กานมณีกลับสัมผัสได้ถึงกระแสเสียงอันหดหู่ที่แฝงอยู่ลึกๆ คนที่ปริ่มๆ จะไร้หัวใจอย่างเธอจึงอดรู้สึกสั่นไหวในใจไม่ได้

“ขอบคุณที่ปลอบเรา แต่เรารู้ว่าสงครามนี้ไม่จบง่ายๆ แน่” จนกว่าเขาจะตาย หรือไม่ก็ฝ่ายนั้นที่ตายกันไปข้าง ขึ้นชื่อว่าสงครามมันไม่เคยจบลงเพียงแค่วันสองวัน

“ขอตาเนซาอย่าได้พูดเช่นนั้น”

ปุคากระแทกหัวเข่าซ้ายลงพื้น ชันเข่าอีกข้างขึ้นมา วางแขนขวาลงไป ก้มหน้าลง ไม่อาจฟังถ้อยคำหมดอาลัยตายอยากเช่นนั้นจากผู้เป็นนายเหนือชีวิตได้

“เรารู้ว่าต้องเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ไม่มีใคร ขอเราอ่อนแอบ้างไม่ได้รึไง”

ตาเนซายิ้มมากขึ้น ดวงตาชั้นเดียวเกือบปิดสนิท ทว่าถ้อยคำติดตลกของเขาก็ไม่มีใครตลกร่วมด้วย เพราะในแววตาของเขานั้นว่างเปล่าเหมือนคนที่ไร้แสงสว่างตรงปลายอุโมงค์

“ตาเนซา...” ผู้ติดตามร้องห้าม ค้อมศีรษะลงอ้อนวอนไม่ให้นายเหนือหัวแสดงความอ่อนแอเช่นนั้นออกมาอีก

“เจ้านี่นะปุคา” เขาเองก็รู้ว่าไม่ได้และไม่สมควร แต่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แค่เพียงไม่กี่นาทีก็ยังไม่ได้จริงหรือ...

ตาเนซาผ่อนลมหายใจเบาๆ แต่บนเรียวปากก็ยังประดับรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้คนนับล้าน เขาถูกสอนมาให้ซ่อนความกลัว ความหวั่นไหว ความอ่อนแอไว้ภายใต้ใบหน้าประทับยิ้ม เพื่อไม่ให้ประชาชน ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องหวาดหวั่นตามไปด้วย เพื่อไม่ให้ศัตรูที่มองเห็นและมองไม่เห็นได้ใจ

“เจ้าคิดเหมือนเขาไหม” 

ตาเนซาเงยหน้าขึ้นถามคนที่เช็ดตัวให้เขาอยู่ จู่ๆ ก็อยากรู้ความคิดเห็นของเธอ ว่าผู้นำไม่สามารถอ่อนแอได้เลยสักวินาทีจริงหรือ

“ดิฉันไม่มีความคิดเห็นค่ะ”

ประชาชนตัวเล็กๆ เช่นเธอยังไม่กล้าแสดงความอ่อนแอของตัวเองมาตลอดชีวิต แล้วจะมีความเห็นกับการที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะอ่อนแอได้อย่างไร

“เห็นไหม นางไม่สนแม้แต่น้อย”

ตาเนซาหัวเราะ การแสดงความคิดเห็นออกมา แม้จะไม่ถูกใจ ขัดแย้ง คิดต่าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความคิดเห็นใดๆ อย่างเช่นสตรีตรงหน้านี้เลย ลำคอรู้สึกขมปร่าทั้งที่ยังมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดผ่านริมฝีปาก

“แต่ท่านเป็น…”

“เรารู้แล้ว” เสียงหัวเราะถูกเก็บไป เหลือเพียงรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก คล้ายรอยยิ้มเยาะมากกว่ารอยยิ้มปกติ “เราอยากพบหมอเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้”

“กระผมจะไปตามท่านหมอมาพบเดี๋ยวนี้” ปุคาลุกขึ้นและทำตามคำพูดตัวเองในทันที

“รีบใส่เสื้อผ้าให้เรา” คล้อยหลังผู้ติดตาม ตาเนซาก็เอ่ยความต้องการ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดความใกล้ชิดขนาดลมหายใจกั้น แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังก้มลงเช็ดหน้าท้องและผงกศีรษะขึ้นพอดิบพอดี ความใกล้ชิดจึงเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ “เราไม่ได้ตั้งใจ”

ทำไมหน้าแดงขนาดนั้น!

กานมณียกมืออังหน้าผากอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณเมื่อพบความผิดปกติของคนไข้ ไม่ได้รู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ไม่สมควรเกิดขึ้น เพราะสำหรับเธอ เขาก็แค่คนไข้เด็กชายสี่ขวบ

“ไม่มีไข้ เมื่อครู่ตาเนซาพูดว่าอะไรนะคะ” โล่งใจที่ไม่มีไข้ หลังการผ่าตัดสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการติดเชื้อ และอาการไข้ก็มักจะเป็นอาการนำของการติดเชื้อ

“เออ...เราว่าใส่เสื้อผ้าให้เราได้แล้ว” 

ผู้หญิงคนนี้มีหัวใจหรือไม่ 

ความกระดากหายไปแทนที่ด้วยคำถาม ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของตาลูลา ชายหนุ่มต้องรักนวลสงวนตัวประพฤติตนอยู่ในหลักชายชาตรี ๓ ข้อคือหนึ่งกตัญญูบิดา มารดา สองประพฤติตนอยู่ในกรอบปฏิบัติ ไม่มั่วสุมสตรีอื่นนอกจากภรรยา และสามครองพรหมจรรย์จนกว่าวันแต่งงาน

ตาลูลาสตรีเป็นผู้สู่ขอบุรุษ หากบุรุษบ้านใดผิดจารีตประเพณี ไร้สตรีสู่ขอจะเป็นการทำให้บุพการีเสื่อมเสีย กลายเป็นความอกตัญญูใหญ่หลวง แม้แต่ผู้นำก็ไม่ละเว้น บ้านเมืองของเขายึดถือการรักเดียวใจเดียวยิ่งชีพ ถึงจะมีสตรีมากมายปรนนิบัติดูแล หากนั่นคือความดูแลในหน้าที่ เขามิอาจคิดเป็นอื่น และไม่เคยคิดเป็นอื่น

แต่กับสตรีเหล่านั้น น้อยคนนักที่จะไม่หน้าแดงเวลาได้สบตากับเขา ผิดกับผู้หญิงคนนี้ที่นิ่งสนิท ไร้แววความหวั่นไหวแม้แต่กระผีกริ้น ทั้งยังทำตามคำสั่งของเขาอย่างไม่เก้อเขิน

“ได้ค่ะ” กานมณีรีบรับคำและหันไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้อย่างรวดเร็ว มือไม่สั่นแม้แต่น้อย ต่างกับผู้ถูกปรนนิบัติที่ต้องกำมือตัวเองแน่นๆ เพื่อไม่ให้เผลอแสดงอาการสั่นออกมา

 

สิบนาทีผ่านไปผู้ติดตามก็กลับเข้ามาพร้อมกับบุรุษร่างสูงโปร่งปราดเปรียวราวกับนายแบบบนแคตวอล์ก กานมณีลอบมองเรือนร่างของผู้มาใหม่ด้วยหางตาขณะประคองหลอดให้ผู้สืบทอดดื่มน้ำ ไม่กล้าละทิ้งหน้าที่เพื่อหันไปมองอีกฝ่ายเต็มตาตามความต้องการของหัวใจ... 

เธอลอบประเมินแพทย์หนุ่มผู้มาใหม่จากรองเท้า...เขาสวมรองเท้าผ้าใบสีดำผูกเชือกแน่นหนาดั่งว่าพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ทุกเวลา พร้อมวิ่งแบบไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง สวมกางเกงสีเขียวขี้ม้าที่มีกระเป๋าหลายช่อง สวมเสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกง แต่ไล่ระดับให้อ่อนกว่านิดหน่อย ชายเสื้อสอดลงในกางเกงและคาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีเดียวกับชุด เขาพร้อมสำหรับการอำพรางกายกับแมกไม้และความมืด 

เขาไม่เหมือนแพทย์สักนิด ถ้าบอกว่าเป็นทหารยังน่าเชื่อเสียกว่า ทั้งๆ ที่ผิวตรงลำคอขาวเอามากๆ 

“พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติเรา”

อีกนิดเดียวก็จะเลื่อนสายตาจากลำคอไปถึงใบหน้าแล้วแท้ๆ กานมณีสูดหายใจแรงกว่าปกตินิดหน่อยทดแทนอาการเสียดาย และถอยออกไป

“เจ้าชื่ออะไร”

กานมณีได้ยินเสียงผู้สืบทอดตั้งคำถาม จึงตั้งใจผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อแอบฟัง แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบใดๆ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเธอคิดหวังสิ่งใด และจงใจจะไม่เอ่ยอะไรออกจากปาก จนกว่าภายในกระโจมจะไร้ตัวตนของเธอ 

บ้าชะมัด!

กานมณีสบถในใจอย่างขุ่นเคืองผู้มาใหม่ที่ยังไม่รู้จัก และตัดใจเดินเร็วๆ ให้พ้นไปเสีย จึงไม่เห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งเหลือบมองจนเธอพ้นปากกระโจม

“กระผมเกล้าเศียรครับ” 

เจ้าของดวงตาคมกล้าค้อมกายลงทำความเคารพผู้สืบทอด สีหน้าสงบนิ่งด้วยตระหนักถึงฐานะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

เกล้าเศียร กานตินันท์ อดีตกุมารแพทย์ด้านระบบการหายใจ แพทย์หนุ่มรูปงาม ซึ่งปัจจุบันได้ศึกษาต่อด้านกุมารศัลยศาสตร์ หรือศัลยกรรมเด็ก เป็นกุมารศัลยแพทย์ และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลรัฐชื่อดังในกรุงเทพมหานคร 

“นั่งก่อนสิ” ตาเนซาผายมือไปที่เก้าอี้ “เกล้าเศียร ทำไมเรานึกถึง เก้าเศียรไปได้นะ" 

เขาหัวเราะออกมา ไม่ได้ตั้งใจจะล้อชื่ออีกฝ่าย เพียงแต่หยุดเอาไว้ไม่ได้ ประการหนึ่งก็เพราะอยากจะตีสนิทกับอีกฝ่ายมากขึ้นด้วย จึงตั้งใจจะสร้างบรรยากาศเป็นกันเองให้มากที่สุด เพื่อลดความอึดอัดใจที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า

“กระผมเองก็เคยคิดเช่นกัน”

เกล้าเศียรหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ มุมปากคลี่ยิ้มกับความจริงที่ตัวเขาก็เห็นด้วย...

เกล้าแปลว่าศีรษะ เศียรก็แปลว่าศีรษะ ชื่อของเขาจึงเเปลว่าศีรษะ หรือจะแปลว่าสองศีรษะตามที่บิดาแอบคิดความหมายเฉียดใกล้ความเลวนี้ให้เขาก็ได้ (สองหัว นกสองหัว) เพราะท่านถือคติสองหัวดีกว่าหัวเดียว แต่เขากลับนึกถึงแต่เก้าเศียร (เก้าหัว) อันเป็นที่หยิบยกไปหัวเราะหลังอาหารสามมื้อของเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมยันมัธยมปลาย

“ไม่ต้องพิธีรีตองกับเราหรอก เรียกเราว่าจอลุพอ[1] เถอะ เรามีชื่อว่าลุพอ เราก็จะเรียกเจ้าว่าเกล้า ถือว่าเรากับเจ้าเป็นสหายกันแล้ว”

“กระผมขอบังอาจไม่รับได้ไหมครับ” เกล้าเศียรยิ้มเจื่อน เพราะการปฏิเสธของตนเหมือนคนไม่รู้จักมารยาท ก่อนจะขยายความต่อ... “กระผมขอเรียกตาเนซาอย่างคนอื่นๆ  จะดีกว่า กระผมไม่อยากได้รับอภิสิทธิ์เหนือใครๆ การเด่นไปมักเป็นการชักนำภัยให้เข้าตัว”

“ยังไม่ทันได้เริ่มงาน เจ้าก็กลัวเสียแล้วหรือ” 

“ประสบการณ์มันสอนมาเยอะน่ะครับ หวังว่าตาเนซาจะอนุญาต” 

“ตามใจเจ้า” ยังไม่ทันไรเขาก็ชักจะชอบแพทย์หนุ่มตรงหน้าเสียแล้ว  ตาเนซาหัวเราะออกมาอีกครั้ง พลอยกลบบรรยากาศอึมครึมชั่วขณะก่อนหน้า ก็ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ คนชัดเจนในเจตนาไม่เสแสร้งเช่นเกล้าเศียรคือคนที่เขาต้องการที่สุด 

“จากนี้ไปเราและเด็กๆ ของเราต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะกลัวแค่การโดดเด่น ไม่กลัวความยากลำบากที่กำลังรออยู่มากมาย”

“กระผมจะทำสุดความสามารถครับ เมื่อตัดสินใจจะมา กระผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก” 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับปากทันทีที่ได้รับการทาบทาม การมายืนอยู่ตรงนี้ของเขาได้ผ่านการตรึกตรองและใคร่ครวญมาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน 

‘ตาลูลาเป็นบ้านเมืองที่น่าสงสาร พวกเขาเพียงต้องการที่ยืนบนผืนแผ่นดินตนเอง บนความภาคภูมิใจในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของตนเองเท่านั้น’

ถ้อยคำที่ทำให้เขาลังเลทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจต้องมาตาย แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขาตัดใจโยนความลังเลนั่นทิ้ง...มีแต่ไอ้โง่ในซอกหลืบหัวใจของเขาเท่านั้นที่รู้!

“ดี เราชอบคนเช่นเจ้า”

“แต่กระผมมีเรื่องที่ต้องรู้มากมาย ต้องรบกวนตาเนซาช่วยชี้แนะแล้ว”

“เรายินดียิ่ง เจ้าจะเริ่มเลยไหมล่ะ” เขาเองก็มีเรื่องมากมายจะส่งไม้ต่อเหมือนกัน แทบจะเรียกได้ว่ารอคอยกุมารแพทย์คนนี้ทุกเวลานาที รอคอยการมาถึงของอีกฝ่ายจนใจจะขาด

“ถ้าตาเนซาไม่ถือว่าเป็นการรบกวน กระผมก็พร้อม” ถึงในอดีตจะเคยลังเลกับหลายสิ่งหลายอย่าง หลายเรื่องราวมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็ได้มอบบทเรียนให้เขารู้จักไขว่คว้าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า วิ่งตามสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่ค่อยๆ คลานและปล่อยให้คนอื่นคว้าไปได้ก่อน 

“ผู้หญิงคนเมื่อครู่เป็นผู้ติดตามของตาเนซาเหรอครับ”

“ไม่ใช่คนของเรา นางเป็นพยาบาลที่คอยดูแลเราเท่านั้น”

“พยาบาล?...”

“ทำไมหรือ” ตาเนซาตั้งคำถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นคิ้วของแพทย์หนุ่มขมวดเป็นปม

“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าเธอช่างสอดรู้สอดเห็นไปหน่อย อาจไม่ปลอดภัย”

“งั้นหรือ เรากลับรู้สึกว่านางไม่สนใจอะไรเลยสักอย่างมากกว่า” หัวใจก็อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เขาเห็นต่างกับเกล้าเศียรในข้อนี้ 

“ตาเนซาไว้ใจนาง?...”

“เราแค่ยังไม่พบจุดน่าสงสัยในตัวนางเท่านั้น”

การเลี้ยงดูแบบผู้นำแฝงหัวใจอันหวาดระแวงให้แก่เขามาตั้งแต่แบเบาะ การจะไว้วางใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นได้ภายในวันสองวัน เขาไม่ได้ไว้ใจ แค่ยังจับผิดอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกับแพทย์หนุ่มที่เพิ่งเจอคนนี้ ถูกชะตา แต่ก็ไม่ได้เชื่อโดยไม่กังขากับคำพูดเขา และไม่ได้จะไม่เก็บคำเตือนหรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เอามาระวังป้องกัน เพราะการมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ก้าวผิดพลาดครั้งใหญ่มานักต่อนักแล้ว


[1] จอ เป็นคำเรียกสำหรับผู้ชาย มักจะใช้เรียกนำหน้าชื่อผู้ชายทุกคน เช่น จอลุพอ จอเลอทู

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น